มะลิไทยแลนด์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
7 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มะลิไทยแลนด์'s blog to your web]
Links
 

 

วันที่ 18 ตุลาคม 2551 ทัวร์ตามเส้นทาง Kings' Highway

เมื่อคืนนี้นอนหลับดีมาก คงเพราะเมื่อวานนี้เดินทั้งวัน หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จเราก็ออกเดินทางเวลา 8.00 น. โดยรถ Taxi ที่คนขับชื่อ Ali เป็นชาวจอร์แดน รูปร่างสูงใหญ่ แต่งตัวเรียบร้อยมาก ๆ อยากให้รัฐบาลไทยส่งคนขับ Taxi บ้านเราไปดูงานจังเลย เราตกลงราคาค่ารถสำหรับท่องเที่ยววันนี้ไว้ 80 JD โดยจะไปเที่ยวที่ shawbak, Dana,Kerak, Wadi Mujib, Madaba, Dead sea, Mt. Nebo, St. George และไปส่งที่โรงแรมในกรุงอัมมานด้วย Ali ขับรถไม่เร็วมาก เพื่อให้เราได้มีโอกาสชื่นชมความงามของบรรยากาศข้างทาง และจอดให้เราลงไปถ่ายภาพวิวสวย ๆ เป็นระยะ ๆ Ali บอกเราว่าเส้นทางที่เราจะไปวันนี้ เดิมเคยเป็นเส้นที่พระราชานาบาเทียน เดินทางจากประเทศซีเรียมานครเพตรา ซึ่งเมื่อก่อนไม่ได้เป็นทางถนนลาดยางแบบนี้ ก็เป็นทางธรรมดา และเวลาเดินทางก็ใช้ม้า ปัจจุบันเป็นถนนลาดยาง มีรถสัญจรไปมาไม่มาก เพราะไม่ใช่เส้นทางหลักของรถประจำทาง เนื่องจากระยะทางจะไกลกว่าเส้นทางปกติ ส่วนใหญ่จะเป็นรถที่พานักท่องเที่ยว ๆ ชม ทัศนีย์ภาพ และโบราณสถานต่าง ๆ จุดแรกที่เราจะแวะชม คือ ปราสาท Shawbak หรือที่รู้จักกันในพวกนักรบครูเสดชื่อ มอนทรีลแห่ง ตะวันออก (MONTREAL) สร้างขึ้นโดยกษัตร์บอลด์วินที่ 1 แห่งเยรูซาเลม ในปี ค.ศ. 1115 เพื่อใช้เป็นป้อม ปราการควบคุมเส้นทางกองคาราวานที่จะเดินทางจากดามัสกัสไปอิยิปต์ ในอดีตเมืองแห่งนี้มีชาวคริสต์อาศัยอยู่ ราว 6,000 คน และในปี ค.ศ. 1189 ได้ถูกทำลายลงโดยนักรบมุสลิมภายใต้การนำทัพของ ซาลาดิน (SALADIN) ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้นตอนที่เราไปสภาพจะเหมือนกับกองหิน กองมหึมา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความงดงาม และยิ่งใหญ่ เราสังเกตเห็นมีคนงานจำนวนหนึ่งกำลังดำเนินการบูรณะแต่ก็ดูไม่ได้เร่งรีบหรือจริงจังอะไร จึงคิดว่าคงอาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าจะได้เห็นมันกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ 40 นาที แล้วเดินทางต่อ


ถ่ายรูปคู่กับ Ali คนขับรถ










ปราสาท shawbak

ระหว่างทาง Ali แวะที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้เป็นที่อยู่ของชายสูงอายุคนหนึ่ง ทำเป็นที่อยู่อาศัยและตกแต่งเหมือนร้านค้าขายของที่ระลึก เมื่อไปถึงก็นำชาใส่น้ำตาลรสชาติหวานมาก ๆ มาให้ดื่มคนละถ้วย และนำเหรียญเงินเก่า ๆ ของจอร์แดนที่ปัจจุบันหาไม่ได้แล้วมานำเสนอให้ สามีก็ถ่ายรูปแต่ไม่ได้ซื้อ พอจะลาก็เลยให้เงินค่าน้ำชาไป 1 JD


ภายในบ้านของคุณลุง

แล้วออกเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านเก่าแก่ ชื่อ Dana สำหรับเราที่นี่สงบและน่าใช้เป็นที่พักผ่อน หลังจากที่ตรากตรำงานมานาน ๆ หรือใครที่เบื่อความสับสนวุ่นวายในชีวิตเมืองหลวง ก็เหมาะเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ คนอยู่ไม่มาก และมีโรงแรมเล็ก ๆ อยู่ 3 โรงแรม บรรยากาศประมาณ country club มาก ๆ แถมวิวหลังหมู่บ้านก็สวยมากด้วย ที่นี่มีบ้านว่างอยู่อีกหลายหลัง บ้านทุกหลังจะสร้างด้วยหิน แต่ภายในจะแบ่งเป็นห้อง ๆ เหมือนบ้านทั่ว ๆ ไป เรายังบอก Ali ว่าถ้าเราจะมาอยู่บ้านที่ว่างนี่ได้ไหม Ali บอกว่าได้ แต่ไม่มีน้ำไม่มีไฟใช้นะ หมู่บ้านนี้แต่ก่อนก็มีคนอยู่เยอะ แต่พอความเจริญเข้ามาชาวบ้านก็ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองที่เจริญกว่า ทำให้ปัจจุบันมีคนอยู่น้อยมาก




หมู่บ้าน Dana


วิวหลังหมู่บ้าน

หลังจากเดินชมหมู่บ้านแล้วเราก็เดินทางต่อไป ระหว่างทางเราจะผ่านช่วงที่เรียกว่า Wadi Mujib ซึ่งเป็นบริเวณที่มีลักษณะภูมิประเทศที่มีรูปร่างแปลก ๆ อ่านจากในเอกสารเค้าบอกว่าเป็นลักษณะคล้ายแกรนด์แคนยอน ซึ่งเราก็ว่าสวยแปลกตา และยังเห็นมีเขื่อนเก็บน้ำบริเวณนี้ด้วย Ali จอดรถข้างทางเพื่อให้เราได้ชื่นชมความงาม และเก็บภาพความประทับใจด้วย เสร็จแล้วก็เดินทางต่อไป โดยจุดมุ่งหมายของเราอยู่ที่ปราสาท Karak ซึ่งต้องใช้เวลา 2 ชม. จากหมู่บ้าน Dana


Wadi Mujib


เขื่อนในพื้นที่แห้งแล้ง

เมื่อถึงปราสาท Kerak เราก็เข้าไปเที่ยวชมปราสาทก่อน ปราทนี้สร้างในปี ค.ศ. 1142 โดย ผู้ปกครอง PAYEN LE BOUTIELLER ในอดีตเป็นเมืองศูนย์กลางขนาดใหญ่ของนักรบครูเสด และสร้างเพื่อควบคุมเส้นทางทั้งทางเหนือและใต้ และใช้ในการต่อสู้ในสงครามครูเสดกับกองทัพมุสลิมจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1187 ได้ถูกเข้าทำลายโดยนักรบมุสลิมภายใต้การนำทัพของ ซาลาดิน (SALADIN) ซึ่งคิดว่าคงได้รับการบูรณะมาเป็นเวลานานแล้ว จนปัจจุบันอยู่สภาพที่ดี ดูแข็งแรงมาก ๆ หลังจากชมจนทั่วแล้ว เราก็ไปกินข้าวที่ร้านอาหารบริเวณทางเข้าปราสาท เป็นร้านอาหารที่ Ali แนะนำ เราสั่งอาหารกลางวันเป็น Vegetable+chicken+rice และ chicken salad คงจะสงสัยว่าทำไมเรากินแต่ไก่ เพราะประเทศนี้ไม่มีหมูให้กิน แล้วเราก็ไม่กินเนื้อ จึงต้องกินแต่ไก่ไง อาหารที่สั่งมาอร่อยมาก ไม่มีกลิ่นเครื่องเทศเลย ข้าวรสชาติเหมือนข้าวมันไก่บ้านเราเลย ไก่ย่างก็อร่อยมาก สลัดก็อร่อยและเยอะด้วย มื้อนี้เราจ่ายไป 6 JD










ปราสาท Kerak


อาหารกลางวันมื้ออร่อย


หน้าร้านอาหาร

เสร็จแล้วเราออกเดินทางต่อไปยังเมือง Madaba ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. ถึง Madaba Ali จอดรถให้เราเข้าไปดูในโบสถ์ St. George ซึ่งสร้างบนโบสถ์ไบเซนไทน์เก่า(ศตวรรษที่ 6) ,การตกแต่งพื้นและส่วนอื่นของโบสถ์ด้วยโมเสคที่มาดาบา ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในงานไบเซนไทน์ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยตัวเนื้อโมเสคได้มาการการตัดหินสีที่มีอยู่ใกล้เคียงเป็นชิ้นเล็กด้วยมือ จึงทำให้ชิ้นงานที่มีอายุนานกว่า 1400 ปีมาแล้วยังมีสภาพดีเหมือนเดิม ทำให้เราทราบเรื่องราวต่างๆ ที่สำคัญในยุคดังกล่าว จากภาพโมเสคและสีสรรของหินสี อาทิ ภาพต้นไม้ นก ปลา และสัตว์ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีภาพเกี่ยวเนื่องเทพนิยายกรีกและโรมัน เมืองมาดาบาเป็นเมืองเดียวในจอร์แดนที่มีคนนับถือศานาคริสต์มาก แต่เราไม่ได้เข้าไปดูภายใน เพราะว่าขณะนั้นดูเหมือนกำลังมีการประกอบพิธีบางอย่าง่อยู่ เราจึงได้แต่เดินดูและถ่ายรูปข้างนอกของโบสถ์เท่านั้น


ภายนอกโบสถ์ St. George


ภาพโมเสก

แล้ว Ali ก็พาเราไปที่ Mt. Nebo ซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่บนเขาที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นบริเวณที่ เสียชีวิตและฝังศพของโมเสส ผู้นำชาวยิวส์เดินทางจากประเทศอิยิปต์มายังเยรูซาเล็ม สันนิฐานว่าถูกสร้างขึ้นในยุคสมัยไบเซนไทน์ และยังมีอนุสรณ์ไม้เท้าศักดิ์สิทธ์แห่งโมเสส ออกแบบเป็นลักษณะเป็นไม้เท้าในรูปแบบไม้กางเขน โดยอุทิศเป็น สัญลักษณ์ของโมเสส และพระเยซู เราได้แต่ถ่ายรูปไม้เท้าของโมเสสจากนอกรั้วเท่านั้น เพราะเค้าปิดซ่อมแซมอยู่ แล้วแวะดูพิพิธภัณฑ์อีกเล็กน้อย


ไม้เท้าศักดิ์สิทธ์แห่งโมเสส

จากนั้นจึงเดินทาง ตอนแรกกะว่าจาก Mt. Nebo จะไปที่ Dead sea แต่ตอนนี้คงไม่ทันแล้ว เพราะ 5 โมงเย็นแล้ว Ali บอกว่าเราควรเข้าเมืองอัมมานเลย เพราะว่าช่วงเย็นรถจะติดมาก แล้วยังต้องไปหาโรงแรมอีก แต่ Ali ได้โทร.ถามเพื่อนแล้ว พอรู้ว่าโรงแรมที่เราจองไว้อยู่บริเวณไหน เราจึงไม่ได้แวะที่ Dead seaตรงเข้าเมืองเลย ซึ่งก็จริงอย่างที่ Ali ว่าแหละ ในเมืองอัมมานรถติดมาก เราต้องใช้เวลาในการถามหาโรงแรมเล็กน้อย แต่ไม่นานก็มาถึง Ali ยังชี้ให้ดูร้านอาหารที่ห่างจากโรงแรมไปประมาณ 100 เมตรว่าอาหารอร่อย และราคาก็ไม่แพง เเห็นโรงแรมทีแรกเราไม่คิดเลยว่าจะเป็นโรงแรมเพราะลักษณะชั้นล่างไม่เหมือนโรงแรมเลย แต่พอขึ้นไปชั้น 2 ถึงได้เป็น counter โรงแรม ห้องพักที่นี่ก็ธรรมดาตามแบบของโรงแรมสองดาวแหละ แต่ว่าก็สะอาดสะอ้านดี พอเก็บของแล้ว เราก็ออกไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารที่ Ali บอกไว้ แต่ปรากฏว่าเมนูอาหารเป็นภาษาอารบิก เค้าบอกให้เรา order ได้เลย เราก็นึกไม่ออกว่าจะสั่งอะไร เลยสั่งเหมือนเมื่อตอนกลางวันเลย และก็ไม่ผิดหวังรสชาติดีจริง ๆ แถมราคาก็ไม่แพงด้วย กินข้าวเสร็จแล้วก็เดินสำรวจบริเวณนั้น จึงรู้ว่าเป็นแถว down town มีของขายมากมาย แต่ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเดินดูดีกว่า วันนี้ไปนอนเอาแรงก่อน ขากลับเราแวะซื้อน้ำเปล่า ซึ่งราคาถูกกว่าที่เพตราอีก ขวดใหญ่ 350 fils แล้วเรายังแวะกินน้ำส้มคั้นที่ร้านก่อนถึงโรงแรมด้วย เค้าไม่ใส่น้ำตาล รสชาดอร่อย แก้วละ 600 fils แล้วกลับที่พักเตรียมตัวสำหรับการเดินทางวันพรุ่งนี้


ห้องน้ำในห้องพัก


เมนูอาหารที่มีแต่ภาษาอารบิก


อาหารมื้อเย็น


ร้านอาหารห่างจากโรงแรมไปประมาณ 150 เมตร




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2551
1 comments
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2551 9:39:23 น.
Counter : 1758 Pageviews.

 

รายละเอียดดีมากๆเลยค่ะ
อากาศร้อนมากมั๊ยค่ะ เห็นสีสรรของภาพแล้วดูเหมือนจะร้อนนะค่ะ (อันนี้จะได้เตรียมเสื้อผ้าได้ถูกต้องอ่ะค่ะ)
โชคดีจังเลยนะค่ะที่เจออาลี คนขับแท็กซี่ที่ไม่เอาเปรียบ แล้วเราจะสามารถติดต่อเขาได้อย่างไรค่ะ
เห็นหน้าตาอาหารแล้ว ยังสงสัยว่าเรานี่จะกินได้หรือเปล่า เพราะยังติดอาหารทางบ้านเราอยู่อ่ะค่ะ

 

โดย: กวนฐานฮวา ณ อเบอร์ดีน 13 พฤศจิกายน 2551 1:15:12 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.