มะลิไทยแลนด์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Group Blog
 
 
เมษายน 2559
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
3 เมษายน 2559
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มะลิไทยแลนด์'s blog to your web]
Links
 

 

อินเดีย ทั้งรักทั้งชัง ตอน ๓




ฮุมมายุน ทูมบ์

 วันที่ 11 ธันวาคม 2558
     รู้สึกตัวอีกทีเกือบ 8 โมง  อาหารเช้า เมนูอาหารอินเดีย อร่อยทุกอย่าง พนักงานมาถามจะเสริฟอย่างอื่นเสริมให้อีก ขอรับแค่แพนเค้กละกัน เพราะเท่าที่จัดไว้ในไลน์อาหารก็เยอะอยู่แล้ว วันนี้ไม่มีน้ำลูกเดือย แต่มีที่รสชาดคล้ายข้าวเหนียวเปียกใส่ถั่ว ลูกเกดอร่อยมาก จัย ก็หอมอร่อย จัดไปสองแก้ว  กว่าจะได้ออกจากโรงแรมก็ 10 โมงแล้ว วันนี้เราวางแผนว่าจะไป Qutab minar  humayun tomb และ connaught place โดย metro  สายสีเหลืองทั้งหมด  เริ่มต้นกันที่ ndl metro station วันนี้ให้ประหลาดใจเป็นที่สุด เพราะ metro โล่งงงงงมาก ไร้ผู้คน แตกต่างจากวันแรกที่เห็น  ซื้อตั๋วไม่ต้องต่อคิวเลย ราคา metro จาก ndl station ไป qutab minar station คนละ 20 rps นั่งไปประมาณ 20 นาที ออกจากสถานีเดินไปทางขวาประมาณ 1.6 กิโลเมตร หรือถ้าไม่ถนัดเดินก็นั่งตุ๊กๆ น่าจะประมาณ 20-30 rps  เรายังคงรักษามาตรฐานเดิม คือ เดิน เดิน เดิน  ไม่ไกลเลย อากาศก็เย็นสบาย ไปถึงต้องซื้อตั๋วที่ห้องขายตั๋วด้านขวามือ ราคานักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีบัตรเบ่งอย่างเราถูกฝุดๆ 10 rps ต่อคน  ส่วนด้านซ้ายเป็นทางเข้า ใครเอาเป้ใบใหญ่ไปต้องฝากที่ cloak room ใกล้ที่ขายตั๋วก่อน   สิ่งที่เป็นพระเอกของสถานที่แห่งนี้คือ Qutab minar ออกเสียงว่กุตุ๊บ มีนาร์



สถาปัตยกรรม บริเวณทางเข้า Qutub minar



 หรือหอแห่งชัยชนะ (Tower of Victory) เป็นเสาหินทรายแดง 5 ชั้น สูง  72.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.27 เมตร ฐานกว้าง 14.32 เมตร เป็นหอคอยสุเหร่าที่สูงที่สุดในโลกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกปี 1993 สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดย Qutbu'd-Din Aibak กษัตริมุสลิมองค์แรกของอินเดีย เพื่อแสดงถึงชัยชนะที่มีต่อชาวอินเดียพื้นเมืองที่เป็นชาวฮินดู  โดยสร้างต่อเติมจากหอชมพิธีของมหาอุปราชาปฤถวีราชกษัตรฮินดูองค์สุดท้ายของอินเดีย ดัดแปลงศิลปะฮินดูมาเป็นศิลปะมุสลิม กษัตริย์องค์ต่อๆมาก็สร้างเพิ่มให้สูงขึ้นไป  ชั้น 1 เป็นลายลูกฟูก ชั้น 2 ลูกฟูกสลับเหลี่ยม ชั้น 3 ลายเหลี่ยม  ส่วนสิ่งก่อสร้างอื่นๆก็มี tomb ของหลายๆคน สร้างด้วยหินทรายแดงแกะสลักกันอย่างละเอียด  วิจิตร  บ้างก็เป็นซาก minar ที่พยายามสร้างให้ใหญ่กว่า Qutab แต่็ไม่สำเร็จ เพราะคนสร้างตายซะก่อน   เราเพลิดเพลินอยู่ที่นี่นานมาก เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว อาจเป็นเพราะอากาศที่เย็นสบาย แสงแดดไม่แรง ทำให้การรับรู้เวลาของเราผิดความจริงไป คิดว่ายังไม่ถึงเที่ยง  แต่ที่จริงบ่ายโมงกว่าแล้ว... ขุ่นพระ... เราอยู่ที่นี่สามชั่วโมงเชียวหรือ... 





เห็นที่ต้องไป humayun tomb ได้แล้ว เดินกลับไปที่ metro ซื้อตั๋วไปลงที่สถานี jor bagh ขึ้นทาง exit 2 เรียกตุ๊กๆ 70 rps นั่งรถผ่านเส้นทางที่พยายามจะเดินไปเองในวันแรกที่มาถึงเดลี  คราวนี้ึจึงได้รู้ว่า.... มันไกลมากจริงๆ... ดังนั้นคำแนะนำที่ดีที่สุดคือนั่งตุ๊กๆเถอะพี่น้อง 70 rps รับรองว่าไม่แพง ค่าเข้าที่นี่ 10 rps เช่นเดิม ก่อนถึงสุสาหุมายุน ด้านขวามือเป็นสุสานของอิซา คาน นิยาซี (Isa Khan Niyazi) ซึ่งเป็นขุนนางชาวอัฟกันในราชสำนักของพระเจ้าเชอร์ชาห์สุรีแห่งราชวงศ์สุรี ซึ่งสร้างในปีค.ศ. 1547  สร้างเป็นรูป 8 เหลี่ยม   สุุสานหลักซึ่งเป็นหลวง เป็นที่ฝังพระศพจักรพรรดิหุมายุน (Humayun) จักรพรรดิองค์ที่สองของราชวงศ์มูฆัล...โดยทรงครองราชย์สองรอบ... รอบแรกครองอยู่ดีๆก็โดนกองทัพสุลต่านเชอร์ชาห์สุรีมาขับไล่ จนต้องเสด็จหนีไปเก็บตัวเงียบๆอยู่ไกลถึงเปอร์เซีย (อิหร่าน) ต่อมาก็เริ่มสั่งสมกำลังมากพอแล้วกลับมายึดกรุงเดลลีคืนได้สำเร็จในที่สุด จึงได้ครองราชย์รอบที่สองจวบจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ด้วยอุบัติเหตุ “ตกบันได”…นับเป็นชีวประวัติของกษัตริย์ที่แปลกอีกองค์หนึ่ง...สำหรับผู้สร้างสุสานแห่งนี้ก็คือพระมเหสีหม้ายขององค์จักรพรรดินั่นเอง เนื่องจากพระนางเป็นชาวเปอร์เซีย จึงสั่งทั้งสถาปนิกและช่างฝีมือ import มาจากอิหร่าน ดังนั้นศิลปะของสุสานแห่งนี้แม้ว่าจะเป็น “ศิลปะอิสลาม” แต่ก็เป็นแบบ Persian Style ส่งตรงจากประเทศอิหร่าน ไม่ใช่ Indian Style 



ลวดลายวิจิตร ใน Qutub minar



....จุดเด่นของ Persian Style อยู่ตรงที่ยอดโดมใหญ่ที่เป็นหินอ่อนสีขาว ซึ่งจะเป็นโดมที่กลมๆเกลี้ยงๆทั้งลูก ไม่เหมือนกับโดมแบบ Indian Style ที่จะมีรูปกลีบดอกไม้ประดับอยู่ตรงโคนยอดเสมอ…..ตัวฐานด้านล่างของสุสาน จะทำเป็นประตูโค้งแหลมเป็นช่องๆเรียงต่อกันอย่างที่เห็น...ในช่องประตูเหล่านั้นว่ากันว่าจะเป็นที่ฝังศพของบรรดาขุนนางคนสนิทขององค์จักรพรรดิ...ที่น่าสนใจก็คือ วิธีการตกแต่งผนัง เนื่องจากตัวอาคารเป็นหินทรายสีแดง สถาปนิกจึงออกแบบการตกแต่งแบบเรียบง่าย โดยใช้หินอ่อนสีขาวมีทำเป็นเส้นๆแถบ แล้วฝังลงไปในพื้นผนังหินทราย เป็นลวดลายแบบเรขาคณิตตามที่ช่างมุสลิมถนัด...ทำให้ผนังหินโล่งๆดูมีลวดลาย.... ขากลับเรียกตุ๊กๆ ในราคาเดิม คนขับเปิดมิเตอร์ด้วย ซึ่งเมื่อไปถึงสถานี jor bagh ขึ้น 68 rps …เห็นว่า 5  โมงแล้ว จึงไม่ได้แวะที่ connaught place ตามแผน กลับห้องไปกินอาหารญี่ปุ่นดีกว่า... ก่อนเข้าโรงแรม ลองเดินไปด้านซ้ายของโรงแรมดูบ้าง... เท่าที่อยู่มาตั้งหลายวันไม่เคยคิดจะเดินไปดูอะไร รอบๆโรงแรมเลย มีแต่เดินเข้าออกทางเดียวคือทางขวาที่ไปสถานีรถไฟเท่านั้น ... เลยได้เจอร้านสะดวกซื้อแบบชาวบ้าน มีขนม น้ำอัดลม ของใช้จำเป็นหลายอย่าง เลยซื้อน้ำมะนาวไปกินที่ห้องพัก ขวดละ 35 rps อร่อยใช้ได้เลย... วันนี้เราก็ยังได้อยู่ห้องเดิม เข้าใจว่าเค้าคงให้เราอยู่จนครบ 3 คืนแน่ๆ.... ตอนแรกก็เฉยๆ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าดีเหมือนกัน เพราะมีที่รื้อและจัดของกว้างดี...อิอิ...







12 ธันวาคม 2558
   ก่อนขึ้นไปกินอาหารเช้าที่โรงแรม พยายามเข้าอินเตอร์เนตเพื่อ check in online jet airway เพราะรู้สึกนอย  กลัวว่าจะได้นั่งตำแหน่งที่ด้านหลังติดทางออกฉุกเฉินอีก   แต่ปรากฏว่าอินเตอร์เนตใช้ไม่ได้ แจ้งผู้จัดการโรงแรมบอกว่า  จะจัดการให้แต่ต้องรอครึ่งขั่วโมง  เราจึงไปกินข้าวเข้ากันก่อน  เมนูอาหารหลักๆก็เหมือนเดิม วันนี้เริ่มกินได้น้อยลง  คาดว่าน่าจะเริ่มเบื่ออาหารเช้าของโรงแรมแล้วล่ะ  เก้าโมงครึ่งลองต่ออินเตอร์เนตอีกที  แต่ก็ยังไม่ได้ ถามผู้จัดการอีกรอบ  บอกว่าต้องรออ่ะ... เอางัยดีล่ะทีนี้... งั้นรออีกสักพัก เผื่อจะใช้ได้  ระหว่างรอพนักงานโรงแรมก็เข้ามาถามว่าพรุ่งนี้จะไปสนามบินกี่โมง จะใช้บริการแทกซี่มั้ย  แล้วเชิญเราเข้าไปในห้องเพื่อตกลงบริการ... เปิดราคามาที่ 700 rps แล้วทำท่าจะเขียนใบเสร็จ... เราบอก  ช้าก่อนอาบัง 700 แพงไป  เดี๋ยวชั้นไปเรียกแทกซี่เองดีกว่า... อาบังบอก 700 ราคาปกตินะนายจ๋า ว่าแล้วก็เปิดใบเสร็จใบที่เคยเขียนมาก่อนให้ดู ... อีนี่เห็นไหม  ใครๆก็จ่ายในราคา 700  ... เราก็ยืนยันคำเดิม ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวไปเรียกเองดีกว่า  อาบังเลยถามว่าเราจะให้ราคาเท่าไร ... 500 ขาดตัวจ้ะ... 600 ละกันนะนายจ๋า special price for you เลยนะเนี่ย.. เราทำท่าลุกขึ้นแล้วบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวไปเรียกเองคิดว่าได้ถูกกว่านี้แนน่อน... ช้าก่อน งั้น special price เลยนะ 550 … ไม่เป็นไร ไปเรียกเองดีกว่า... โอเคๆ 500 ก็  500  พอดีผู้จัดการเดินเข้ามาดู 2 คนก็คุยกัน ....&฿@>%#$€ ....แล้วผู้จัดการก็พูดกับเราว่าอีนี่ my friend ได้ราคา very special เลยนะ ราคานี่ไม่เคยให้ใครมาก่อน...จะเชื่อดีมั่ยอ่า...  



Qutub minar







ตอนนี้ 10 โมงละ ไม่มีวี่แววว่าเนตจะใช้ได้  เลยตัดสินใจออกไปเที่ยวดีกว่า  นายคนจัดการเรื่องแทกซี่พาเราไปดูหน้าคนขับแทกซี่ไว้ก่อน ดูเสร็จเราเลยถามเค้าว่าแถวนี้มีอินเตอร์เนตคาเฟ่มั้ย  เค้าบอกเดินไปแถวซอยที่เมื่อคืนเราไปซื้อน้ำมะนาวแหละ  เราก็ไปตามคำแนะนำ... เจอแล้ว... มันเป็นร้านขายทัวร์ด้วย ค่าเนตชั่วโมงละ 30 rps  เค้าเอา passport เราไป scan แล้ว check visa เราด้วย พอหา visa ในเล่มไม่เจอก็ทำท่าจะถาม เราเลยควัก e visa ให้ดู ... Clear มั้ยบัง...ประเทศนี้เค้า ระบบความปลอดภัยสูงสุดจริงๆ 555 ขนาดแค่ internet café ยัง check นู่นนี่กันวุ่นวาย  ตอนนี้ check in online เลือกที่นั่งเรียบร้อย สบายใจ ไปเที่ยวดีกว่า ... วันนี้เรามีภารกิจ ต้องเอาเงินที่ญาติผู้ใหญ่และคนรู้จักฝากมาไปทำบุญ โดยตั้งใจจะไป 2 วัด ... Lotus temple และ akshardham temple  แล้วไปซื้อของฝากที่ janpath market โดย 2 วัดต้องขึ้น metro คนละสาย เราไปที่ akshardham ก่อน นั่งสายสีน้ำเงินไป ลงจาก metro เดินไปนิดเดียวก็ถึงวัด วัดนี้ใหญ่มาก เห็นจากรูปถ่าย ตอนกลางคืนเปิดไฟสวยมาก เลยเกิดกิเลส... เปลี่ยนแผนซะงั้น... ยังไม่เข้าวัดนี้ดีกว่า  เราไป shopping ก่อน แล้วไป lotus temple แล้วค่อยมาวัดนี้ใกล้ๆ 6 โมงเย็นน่าจะเปิดไฟแล้ว  ... คิดได้ดังนั้นก็เดินกลับไปขึ้น metro ไป janpath market  ถึงตลาด 12.30 น  ช่วงที่ไปถึง ร้านขายผ้ายังเปิดไม่มาก แต่ที่เปิดอยู่ก็มีสวยๆทั้งนั้น  



ฮูมายูน ทูมบ์




... เราว่าที่นี่เป็นสวรรค์ของคนชอบผ้า สไตล์อินเดีย  ขนาดเราไม่ได้ชอบ shopping และก็ไม่ได้ชอบ้าสไตล์นี้เป็นพิเศษ  ยังรู้สึกอยากได้หลายอย่างเลยทีเดียว... การซื้อของที่นี่ เราก็ยึดหลัก คำนวนราคาที่เราพอใจ ถ้าเค้าเปิดราคามาสูง เราก็ไม่เอา แล้วเค้าก็จะตื้อไม่เลิก แล้วถามว่าเราจะเอาราคาเท่าไร... จังหวะนั้น เราต้องกล้าบอกาคาที่ต้องการออกไป แม้ว่ามันจะเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาที่เค้าบอกมามากๆก็ตาม ... หลังจากนั้นการต่อรองก็จะยืดยาวออกไปเองตามธรรมชาติ ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ  ในที่สุดก็จะได้ราคาที่พอใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย... แต่โดยรวมแล้ว ราคาที่สามารถซื้อได้จริงๆ จะประมาณครึ่งหนึ่งของราคาแรกที่เค้าบอก...หรืออาจได้ถูกกว่านั้น ก็อยู่ที่ความสามารถส่วนบุุคคลแล้ว...คำเตือน เมื่อการซื้อขายเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือ ถามราคาของชนิดเดียวกันจากร้านอื่น เพราะอาจทำให้เรารู้สึกเสียดาย หรือเจ็บใจกับการตัดสินใจซื้อครั้งที่ผ่านมาได้... เวลาของความสุขที่ได้shopping ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูนาฬิกาอีกที เกือบ 3 โมง ประกอบกับวันนี้เป็นวันที่อากาศเย็นมาก ไม่มีแดดเลย ทำให้ดูเหมือนว่าจะมืดเร็ว  เราเลยต้องรีบไปปฏิบัติภารกิจตามที่ได้ตั้งใจไว้   แต่ก่อนอื่นคงต้องเอาของที่ซื้อมาทั้งหมดกลับไปเก็บที่โรงแรมก่อน เพราะถ้าหิ้วไปด้วยคงจะบำบากมาก  










จากนั้นก็ตั้งต้นที่ndl station ใหม่ โดยไปที่ lotus temple ก่อน นั่ง metro ค่อนข้างไกล และช่วงเย็นวันเสาร์ คนเยอะมากมาย แทบจะถอดใจตอนไปเปลี่ยนสาย metro ทั้งเบียด อัด ดัน กัน..จะรอดมั้ยเนี่ยเรา... สุดท้ายก็มาถึงวัดจนได้ ... แต่อุปสรรคยังไม่หมดแค่นั้น ที่ประตูทางเข้าวัด มีคนยืนต่อแถวกันยาวมว๊าาาาาาาาก น่าจะเกือบ 500 เมตร คำนวนเวลา เข้าใจว่าน่าจะไม่ทันวัด akshardham ที่จะปิดเวลา 18.30 เลยตัดสินใจไป akshardham เลยดีกว่า... กว่าจะไปถึง 6 โมงเย็นพอดี  ... เหมือนเป็นการทดสอบความตั้งใจในการทำบุญของเรา  วัดนี้มีการตรวจที่เข้มงวดมาก ห้ามนำสิ่งของใดๆเข้าไป รวมถึงกล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือด้วย ต้องฝากไว้ที่ cloak room ซึ่งแถวยาวเหยียด เลยตัดสินใจเข้าแค่คนเดียว อีกคนดูแลของไว้  กว่าจะฝ่าด่านผู้คนมหาศาล การตรวจที่เข้มงวด 2-3 ด่าน แล้วยังต้องถอดรองเท้าฝากไว้ที่ห้องฝากรองเท้า  เสียเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง  แต่ก็ยอมรับว่าวัดนี้ใหญ่มาก การก่อสร้าง ตกแต่ง วิจิตร อลังการ ลวดลายปูนปั้น การแกะสลักทำนองเดียวกับวัดร่องขุ่น ที่เชียงราย แต่จะใหญ่โตกว่ามาก ยิ่งกลางคืนเปิดไฟ ยิ่งเพิ่มความสวยงาม บริเวณรอบวัดจัดตกแต่งสถานที่ไว้อย่างโอ่อ่า ทำให้นึกถึงอาณาจักรธรรมกายของบ้านเรา  เข้าไปทำบุญตามที่ตั้งใจ แล้วรีบออก ... บริเวณก่อนทางออก มี food center ขนาดใหญ่ เยี่ยง food court ตามห้างใหญ่ๆที่บ้านเราเลย 



janpath market




 ...เสร็จภารกิจตามที่ตั้งใจ ก็ขึ้น metro กลับโรงแรม อีกครั้งที่ต้องเข้าไปเบียดเสียดกับผู้คน เพื่อที่จะให้มีที่ยืนบน metro ในที่สุดก็กลับถึงโรงแรม วันนี้เราสั่งอาหารเย็นของโรงแรมมากินในห้องพัก เพราะยังมีเงินรูปีเหลืออยู่มาก และจะต้อง pack สิ่งของที่ซื้อมาวันนี้ลงกระเป๋าด้วย  ระหว่างรออาหารมาส่งก็จัดการทุกอย่างได้เสร็จสรรพ  รู้สึกชอบ้อง suite มากๆก็วันนี้แหละ เพราะเราสามารถเอาของทุกสิ่งอย่างออกมากองและจัดกลับเข้าไปใหม่ได้อย้างสะดวก เนื่องจากมีพื้นที่กว้างขวาง  ขอบคุณอภินันทนาการที่อาบังจัดให้  อาหารที่สั่งมาไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย ทั้งปริมาณที่เยอะมากมาย เริ่มจาก green salad ที่ประกอบด้วยแตงกวา หัวหอมแดง พริกชี้ฟ้า แครอท มะเขือเทศ มะนาว และเกลือ  ปริมาณค่อนข้างเยอะ   Plain nan  และ garic nan ที่เข้าใจว่า จะมาอย่างละแผ่น ปรากฏว่ามาอย่างละ 3 แผ่น  butter chicken half   ที่นึกว่าจะเป็นประมาณไก่ย่าง แท้จริงมันคือ ไก่ที่อยู่ในแกง เคี่ยวจนเนื้อนุ่ม แกงรสชาดคล้ายน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ และสุดท้าย mushroom masara มันคือเห็ดดอกตูมที่อยู่ในแกงสีดำๆ ปริมาณแกงไก่และแกงเห็ดเข้าข่ายมาก  โชคดีที่อาหารทุกอย่างมีรสชาดอร่อยมากๆ เรากินกันจนหมด ยกเว้นน้ำแกงและนาน 5555 ราคาคิดเป็นเงินไทยรวม service charge 10% 420 บาท ตกคนละ 210 บาทเอง  ... ถือว่าเป็นการจบวันก่อนกลับที่น่าประทับใจ แม้ว่าวันนี้เวลาส่วนใหญ่จะเสียไปกับการวิ่งขึ้นลง metro และ ไม่ได้ถ่ายรูปสถานที่ต่างๆตามที่ตั้งใจไว้ก็ตาม พรุ่งนี้ต้องออกจากโรงแรม 6.30 น เพื่อ check in เครื่องออก 8.55 น ... คืนนี้ฝันดีแน่นอน เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่มีเนื้อสัตว์ตกถึงท้อง ตั้งแต่มาอยู่อินเดีย 8 วัน 555













วันที่ 13 ธันวาคม 2558
  เมื่อคืนนอนหลับไม่ค่อยดี คงเพราะกังวลกลัวจะไม่ตื่นตามเวลา  6.15 น  พนักงานโรงแรมก็โทร. เข้ามาเรียก   ตอนนั้นเราก็เสร็จพร้อมจะออกจากห้องพอดี   เอากุญแจไปคืน ชำระคาอาหารเย็นเมื่อวาน ได้เงินทอนมาเป็นใบละ 10 rps 5 ใบ ให้ทิปคนยกกระเป๋าไป 10 rps อีกคนก็เดินตามมาเหมือนจะขอด้วย ปิดประตูรถแล้วก็ยังไม่ไป เราเลยเปิดประตูยื่นให้  10 rps เวลาเดียวกัน คนแรกที่ได้ไปก็พาอีกคนออกมาเหมือนมาส่งเรา โอ้ ช่างบริการดี มีน้ำใจ... แต่ท่าทางเหมือนตั้งใจมารอรับทิป...เราเลยเปิดประตูยื่น ให้อีก 10 rps ... วินาทีนั้น รู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากมหารานี... แจกเงินเหล่าบริวาร ...เยี่ยงอาม่าแจกอั่งเปาลูกหลาน ในวันตรุษจีน...ช่วงเช้า รถไม่ติด ใช้เวลาประมาณเกือบ 40 นาที ก็ถึงสนามบิน เราทิปเงินย่อยที่เหลือทั้งหมดให้คนขับรถไป  เข้าไปดูตารางเที่ยวบิน... อุ๊แม่... อุทานแบบนี้ทีไร ได้เรื่องทุกที...









 เครื่องบินดีเลย์ จาก 8.55 เป็น 10.15 ก็ยังดี ช้าไปแค่ 1.20 ชั่วโมงเอง load กระเป๋าแล้วเข้าไปนั่งรอที่ gate… ขณะนั่งรอ ทำให้เรานึกถึงประโยคที่เคยอ่านเกี่ยวการมาเที่ยวอินเดีย... เค้าตั้งชื่อกระทู้ว่า... อินเดีย ไม่รัก ก็ เกลียด... หมายความว่าถ้ารักก็จะกลับไปอีกแต่ถ้าเกลียด ครั้งเดียวก็เกินพอ... สำหรับเรา มีทั้งรักและเกลียด... วันแรกที่ไปถึงและได้เริ่มสัมผัสเมือง ชีวิต ความวุ่นวายในอินเดีย ความคิด ความรู้สึกที่แวบเข้ามาในหัว... เรามาทำอะไรที่นี่  คิดผิดจริงๆ มีที่ดีกว่านี้ตั้งมากมาย ทำไมไม่ไป แล้วต้องอยู่อีกตั้งหลายวัน จะไหวมั้ย... หลังจากนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอีก เที่ยวไปเรื่ิอยๆ จนเข้าวันที่ 6 ที่กลับเข้ามาเดลีอีกครั้ง แล้วออกเดินไปตามเส้นทางเดิม ในช่วงเวลาเดียวกับวันแรก ....อยู่ๆก็เกิดความรู้สึกสุขใจ พร้อมๆกับความคิดที่แวบเข้ามา... คราวหน้าเราจะเที่ยวเมืองไหนอีกดี... หมายความว่า เราอยากกลับมาเที่ยวอินเดียอีก แสดงว่า ความคิด มุมมองที่เรามีต่ออินเดียเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับวันแรกที่มาถึง... เราไม่รู้จะบอกว่ารักหรือเกลียดดี... ที่แน่ๆ คือ ...การมาอินเดียครั้งนี้...ตอกย้ำให้เรามั่นใจว่า....ทุกข์... สุข... ไม่มีจริง เกิดขึ้น และดับไปตามเหตุ ปัจจัย ภาวะแวดล้อม และการปรุงแต่งจิตของเราในขณะนั้น .. แต่สิ่งที่เรายังยืนยัน คือ ... รักแท้ นั้นมีอยู่จริง... เชื่อหรือไม่....พิสูจน์ด้วยตัวของคุณเอง... ที่ทัชมาฮาล



lotus temple



วัด akshardham








 

Create Date : 03 เมษายน 2559
0 comments
Last Update : 3 เมษายน 2559 17:45:00 น.
Counter : 1484 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.