อย่าพยายาม อดทนกับบางสิ่งที่มันจะบั่นทอนจิตใจเราไปเรื่อยๆ เพียงเพราะคิดว่ามันน่าจะดีขึ้น (ถ้ามันจะดีมันดีไปนานแล้ว) ที่มา : NOTE ความคิดของข้าพเจ้า เราไม่ได้พยายามอดทนกับสิ่งที่บั่นทอนจิตใจเรา แต่เราพยายามรับรู้กับสิ่งที่บั่นทอนจิตใจเรา แล้วปล่อยให้มันผ่านไป ไม่เก็บมาคิดซ้ำๆ แค่รับรู้ แล้วปล่อยไป เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนสถานที่ทำงานได้แล้ว หรือหัวหน้างาน หรือเพื่อนร่วมงาน หรือญาติพี่น้องได้ และด้วยอายุที่มากขึ้น เราจึงมีความจำเป็นต้องอยู่กับมันให้ได้ ทำตีมึนกับเหตุการณ์ที่บั่นทอนจิตใจของเรา หรือกับการกระทำของบุคคลที่ทำให้เราเสียใจ น้อยใจ เพราะเหตุการณ์หรือบุคคลเหล่านั้นเหมือนกับคนที่ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกับเรา เมื่อถึงสถานีที่เขาต้องลง เขาก็ลงไป หรือออกไปจากชีวิตของเรา หรือต่อให้เขาอยู่กับเราจนถึงสถานีสุดท้าย เมื่อลงจากรถไฟต่างคนต่างแยกย้ายกันไปสถานที่ที่ตนเองต้องไป ไม่มีใครอยู่กับเราตลอดชีวิต มีแค่ตัวเราเท่านั้นที่อยู่กับตัวเราเองตลอดชีวิต ดังนั้นพยายามอย่านำเอาเหตุการณ์หรือบุคคลที่บั่นทอนจิตใจมาผูกมัดกับจิตใจของตัวเอง เพราะ ณ เวลาหนึ่ง สิ่งเหล่านั้นจะหายไปจากชีวิตของเรา ข้าพเจ้าใช้คำว่า “พยายาม” เพราะว่าไม่มีใครตัดได้อย่างสิ้นเชิง แต่มันต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เราต้องค่อยๆ ฝึกฝนการรับรู้และปล่อยไป อยู่เรื่อยๆ หากหลงลืม เมื่อนึกได้ก็กลับมาฝึกฝนใหม่ โดยเฉพาะคนที่ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชแบบข้าพเจ้า อาการหลงลืมมีโอกาสสูงมาก ดังนั้นไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ให้จดบันทึกไว้ เมื่อไปพบจิตแพทย์ก็สรุปเรื่องที่ซ้ำๆ กันเป็นข้อเดียวกัน แล้วนำไปบอกจิตแพทย์เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยว่าจะต้องรักษาอย่างไร ข้าพเจ้าป่วย ไม่มีญาติอยู่ใกล้ชิด เพื่อนสนิทก็เหลือแค่คนเดียว และแทบไม่ได้คุยกันเลย น้องคนเดียวทางสายเลือดก็ห่างเหิน ไม่ได้พูดคุยติดต่อกัน การพูดคุยเหมือนกับคนแปลกหน้า ดังนั้นข้าพเจ้าในตอนนี้เหมือนกับคนที่อยู่ใกล้สถานีสุดท้ายปลายทางที่ต้องลงแล้ว และยังไม่รู้ว่าเมื่อลงจากรถไฟจะไปไหนต่อ มันเคว้งคว้าง หว่าเว้ ขาดเสาหลักของชีวิต แล้วยังต้องกลายเป็นเสาหลักของชีวิตให้กับน้องและแม่ มันเหมือนถูกตรึงอยู่บนกางเขนที่ไม่มีใครเอาศพลงมาฝัง ถูกปล่อยให้อยู่บนกางเขนอย่างเดียวดาย รอเวลาหมดลมหายใจ ไร้แล้วความรู้สึก ไม่มีความหวังใดๆ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ แต่คนป่วยเป็นไบโพล่าเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ เพราะเดี๋ยวก็ซึมเศร้า เดี๋ยวก็ร่าเริง จับจ่ายซื้อของจนเกินความจำเป็น ถ้ามีคนทำให้โมโหจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ คงอาละวาดออกมา อย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนว่าจะถูกไล่ออกหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะถ้าไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน ไม่มีญาติ โอกาศฆ่าตัวตายสูงมาก เพราะต้องการหนีปัญหาและไม่ต้องการเป็นภาระของใคร ถ้าข้าพเจ้าจะฆ่าตัวตาย 1.ข้าพเจ้าไปทำเรื่องบริจาคร่างกายที่โรงพยาบาลศิริราชเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ 2.หาทางฆ่าตัวตายที่ตายแน่นอนและไม่ไกลจากโรงพยาบาลศิริราชมากนัก เพื่อทางโรงพยาบาลจะได้นำอวัยวะที่ใช้ได้ไปให้กับผู้ป่วยคนอื่น ส่วนอวัยวะที่เหลือเก็บไว้เป็นอาจารย์ใหญ่ให้กับนักศึกษาแพทย์ต่อไป
Create Date : 10 มกราคม 2566 |
Last Update : 10 มกราคม 2566 12:25:03 น. |
|
0 comments
|
Counter : 241 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|