โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑๘ ภ.ม.ภาคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑๘ ภ.ม. ภาคิโน

ฉันตัวชา ลิ้นแข็ง ราวกับมีกระแสไฟฟ้านับหมื่นโวลต์ฟาดลงกลางลำตัว! เมื่อได้ยินสิ่งที่เพิ่งหลุดออกจากปากของหมู่เอ็ม แต่คนพูดหาได้สนใจอากัปกิริยาของคนฟัง จึงเล่าฉอด ๆ ต่อไปอย่างได้อารมณ์ตื่นเต้น

“ตอนเรียน ม.ต้น มันก็ชอบอยู่กับพวกตุ๊ดเพื่อนมันนั่นแหละ เป็นก๊กใหญ่เลย ไอ้นี่มันเรียบร้อยกว่าเพื่อน ชอบผัดหน้าขาว แต่งตัวสำอาง แต่เรียนเก่ง พอจบชั้น หมู่ก็มาสอบโรงเรียนนายสิบ ยังตกใจที่เจอมันมาสอบเข้าด้วย แถมติดอีกต่างหาก มันก็มุ่งมั่นเรียนจนจบได้ แล้วก็แยกย้ายห่างหายกันไปสังกัดค่ายต่าง ๆ จนสองปีก่อนมันถึงย้ายมาที่นี่ เลยได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง”

“เป็น... กะเทย?” ฉันพยายามปรับสติอารมณ์ นี่เป็นคำพูดที่ยาวที่สุดที่สามารถเอ่ยได้ในภาวะเช่นนี้

“อืม... กะเทยกับตุ๊ดมันก็เหมือนกันแหละว๊า!” คราวนี้ หมู่เอ็ม หันมาหาฉันพอดี แกอมยิ้ม

“มึงเป็นไรวะ? ทำหน้ายังกับลำไส้หักใน”

“เป็น...กะเทย เอ้ย! ไม่ใช่...” สมองสั่งการพัลวันกันไปหมด “ก็... ตกใจนะครับ”

“ตกใจเรื่องอะไรวะ?” แกชะงักไปนิดนึง แล้วทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ “เฮ้ย! เชี่ย! อย่าบอกนะว่า... มึงเพิ่งรู้ว่ามันเป็นกะเทยนะ... โอ้! กูเอาความลับมาเปิดเผยหรือนี่ !?!?”

“แต่... แกดูโคตะระแมนมากเลยนะครับ” ฉันพูดตามความเห็นของฉัน

“แมนหรือวะ?” หมู่เอ็ม เลิกคิ้วข้างหนึ่ง “เริ่ดสะแมนแตนละสิไม่ว่า ตอนฝึกมันก็หนิม ๆ ติ๋ม ๆ มีแต่กูเท่านั้นแหละที่รู้ว่ามันเป็นตุ๊ด ยิ่งตอนอาบน้ำนี่... แม่ง! ตามันลุกวาวเชียว แต่ก็ไม่เคยเห็นมันมีฟงมีแฟนกับใครเขานะ ทั้งแฟนผู้ชายและแฟนผู้หญิง มันเรียนอย่างเดียว ฝึกหนักมันก็สู้ แล้วบุคลิกมันก็เปลี่ยนไป คงจะเพราะมาคลุกอยู่กับพวกผู้ชายมาก ๆ เข้าก็เลยกลายพันธุ์ไปแล้วละมั้ง”

ฉันทำตาปริบ ๆ ขณะที่หมู่เอ็มหัวเราะร่า พยายามเปล่งเสียงผ่านลำคอเพราะกลืนน้ำลายลำบาก

“แล้วทำไมแกถึงไปสมัครเป็นทหารละครับ?”

“อันนี้ไม่รู้เหมือนกันวะ” หมู่เอ็มกอดอก ดวงตาชั้นเดียวและใบหน้าที่มีเคราเขียวครึ้มบาง ๆ เริ่มครุ่นคิด “เคยแซว ๆ มันเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยเห็นมันเคยบอกใครสักทีว่าเพราะอะไร... ได้แต่เดาเอา... เดานะ เดาว่าพ่อมันเป็นทหาร เลยคงโดนบังคับให้มาเป็น”

“พ่อหมู่เมธเป็นทหารหรือครับ?” ฉันอยู่ในภาวะเกือบปกติ เลยขอซักเพิ่มเติม

“เป็นทหารอากาศ ยศนายพันเชียวนะมึง แต่ไม่ได้อยู่แถวนี้นะ เคยถามมัน มันบอกว่า พ่อมันประจำอยู่แถวทางใต้โน่น นาน ๆ จะกลับบ้านมาสักทีนึง”

อ๋อ... ครับ”

“มึงยังไม่ได้ตอบคำถามหมู่เลยว่า มึงสองคน สนิทกันหรือยัง?” หมู่เอ็มทวงหน้าตาเฉย

“ก็พอสมควรครับ... แกเป็นครูฝึกฯ หมู่ผม” ฉันประสงค์ที่จะตอบเพียงเท่านี้

“นึกว่าเป็นแฟนกันแล้วซะอีก!”

ฉันค้อนหมู่เอ็มที่หัวเราะลั่น จนไอ้เยิ้มที่คุยกับเชฟน้อยอยู่ ยังหันมามอง

“หมู่ก็ว่าไป...” ฉันกลืนน้ำลาย “ยิ่งมารู้ว่าหมู่เมธเป็นเหมือนผม มันจะเป็นแฟนกันไปได้อย่างไรละครับ”

“ได้อยู่มั้ง? เคยอ่านในเนทเจอว่า... เดี๋ยวนี้พวกตุ๊ดมันก็กินพวกเดียวกันไม่ใช่หรือวะ... ประมาณว่าชวนกันไปแทงกบแทงกอย แต่ต้องคอยดูว่าใครจะแทงกบ หรือใครจะแทงกอยก่อนกันไงวะ”

ฉันอยากกราบให้กับมุขนี้ของหมู่เอ็มยิ่งนัก อยากจะรู้จริง ๆ ว่า อ่านในเนท ที่แกบอก แกเข้าเวบไซต์ประเภทไหนกัน! ...แต่ก็ทำได้เพียงส่ายหน้ากับความคิดพิเรนทร์ ๆ ของแก สุดท้าย หมู่เอ็มก็แก้เก้อ

“เฮ้ย! หมู่แซวเล่นนะวะ อย่าคิดมาก...” แกเอามือมาตบบ่าฉันหนัก ๆ “ไอ้เมธ มันบ้า ๆ บอ ๆ ก็จริง แต่มันไม่ค่อยมีเพื่อน ขนาดไปฝึกจู่โจมรุ่นเดียวกัน อยู่หมู่เดียวกัน มันพูดกับหมู่แทบนับคำได้เลยวะ... อย่างที่เล่านั่นแหละ เพราะมันเป็นอย่างนั้น... มันก็เลยไม่อยากไปคลุกคลีตีสนิทกับใคร ถ้ามึงเป็นเพื่อนกับมันได้ ก็ทน ๆ ปากมันหน่อยแล้วกัน เนื้อแท้มันก็เป็นคนดี จริงใจวะ”

หมู่เอ็มกับไอ้เยิ้ม โบกมือบ๊ายบาย ฉัน กับเชฟน้อย ในขณะที่ท้องฟ้ายามบ่ายแก่ ๆ เป็นสีส้ม หูแทบไม่ได้ยินเสียงจ่ากอง ซึ่งเดินมาบอกให้ฉันเตรียมตัวไปเอาเอกสารที่ศาลากลางจังหวัดลำพูนในวันรุ่งขึ้น เพราะสมองมัวไพล่คิดเรื่องอื่นที่ยังสับสนอยู่ไม่วาย




เหล่าพลร่มสืบเนื่องมาจากทหารพราน จากฟ้าทะยานลงสู่จุดหมายพิฆาตไพรี

อันความตายไม่ได้เคยไหวหวั่น ดวงชีวันนั้นเรายอมพร้อมกันพลี

เหมือนดังพญาปักษี ร้อนแรงฤทธีฝีมือเกรียงไกร

...ปีกทองสามารถ ปีกทองสามารถ แห่งทหารพลร่ม

เหินลมลงสู่สมรภูมิ พร้อมรักสมัครมั่น

พลีแล้วด้วยใจจงกระโดดลงร่วมกันเข้าประจันปัจจามิตรไป

ทุกทิศจนโลหิตทาบทา อธิปไตยคงสายยงยศเด่นภราดรดั่งพี่น้องร่วมอุทร

เรานี้จะต่อกรจนมรณา สีของมาลาเข้มแดงยิ่งกว่าเลือดนั้น

ดั่งเป็นสัญลักษณ์อันเก่งกล้าหาญชาญชัย


ฉันเดินผ่านห้องเรียนที่ครูแหลมนำครูฝึกฯ ท่านอื่น และผู้ช่วยครูฝึกฯ ทั้งหลาย ช่วยกันสอนพลทหารใหม่ร้องเพลงในชั้นเรียนตอนค่ำ ระหว่างที่รอผู้ฝึกฯ เข้าอบรมประจำวัน การร้องเพลงนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่มีประโยชน์เพื่อเพิ่มความฮึกเหิมของการฝึก การสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และใช้บอกจังหวะเวลาวิ่งออกกำลังกายได้อีกด้วย

งานของฉันในตอนค่ำ ขณะที่ผู้ฝึกฯ เข้าอบรมพลทหารในห้องเรียน คือ การเขียนรายงานประจำวันลงในสมุดบันทึกเวรฯ พิมพ์เอกสารต่าง ๆ ที่ค้างมาแต่กลางวัน ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือโต้ตอบที่จ่าหน่วยฝึกฯ ทิ้งไว้ให้ เมื่อแล้วเสร็จ ฉันก็จะเอาไปสอดไว้ในสมุดเสนอเซ็นต์ตามลำดับ เพื่อรอผู้ฝึกฯ พิจารณาลงนาม

นอกจากนี้ ยังต้องไปตรวจรับและจัดของว่างไว้แจกพลทหารใหม่ก่อนสวดมนต์ด้วย ดังนั้น ภารกิจส่วนตัว เช่น การขัดและวนรองเท้า และการกางมุ้ง เป็นต้น จึงเป็นหน้าที่ของพลทหารใหม่หมู่ ๔ หมวด ๒ ของฉันรับไป ซึ่งทำให้ทุ่นแรงและประหยัดเวลาไปได้เยอะ

การที่ผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้นมอบหมายให้ฉันพิมพ์ หรือเขียนงานเอกสารทางราชการทหารเหล่านี้ ทำให้ฉันได้เรียนรู้งานสารบรรณมากมาย อาทิเช่น การลงท้ายหนังสือ สำหรับหนังสือที่เสนอพิจารณาอนุมัติให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือของบประมาณ ต้องลงท้ายว่า “จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา” แต่ถ้าหากเป็นหนังสือที่แจ้งผลการปฏิบัติงานหรือสิ่งที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว ต้องลงท้ายว่า “จึงเรียนมาเพื่อทราบ” ซึ่งจะใช้เพียงแค่ ๒ ประโยคนี้เป็นหลัก และไม่นิยมเขียนว่า จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุมัติ

เคยถามนายสิบที่ บก.พันฯ รพศ.๕ พัน.๓ ถึงเหตุผล ท่านกรุณาเล่าให้ฟังว่า เป็นเพราะผู้บังคับบัญชาที่เราเสนออนุมัติ อาจจะเห็นเป็นอย่างอื่น จึงอนุมัติให้ดำเนินการในทางใดทางหนึ่งแทน เพื่อไม่ให้เป็นการผูกมัดท่านจนเกินไป จึงไม่ระบุเจาะจงเช่นนั้น

การพิมพ์เอกสารก็เช่นกัน ต้องจัดกั้นหลังให้เท่ากันหมด และเคาะเว้นคำให้พอดี เช่น คำว่า ราชการทหาร จะพิมพ์คำว่า ราช เป็นคำสุดท้ายของบรรทัด แล้วเริ่มบรรทัดต่อไปด้วยคำว่า การทหาร ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการเว้นวรรคคำที่อาจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ ต้องเคาะเอาคำว่า ราชการ ลงมาทั้งหมด หรือหาทางเอาคำว่า การ ขึ้นไปไว้คู่กับคำว่า ราช แทน

ดังนั้น พอพิมพ์เสร็จ ก็ตั้งสั่งสำเนาออกมาอีกชุด เป็นคู่ฉบับกัน ต้องตรวจทานกันไม่ให้ผิด ถ้าผิดมักจะต้องแก้จนกว่าจะพิมพ์ได้ถูกต้อง ฉันจึงถูกเคี่ยวเข็ญอย่างหนักเลยติดเป็นนิสัยที่ต้องพิมพ์งานให้เป็นระบบระเบียบ และเรียบร้อยมาจนทุกวันนี้

หนังสือทางราชการนี้ หากจะนำส่งไปยังหน่วยงานอื่นในค่าย ก็ต้องลำดับหมายเลขหนังสือด้วย โดยดูจากสมุดบันทึกลำดับเลขหนังสือ และเวลาส่งเอกสาร ก็ต้องมีการเซ็นชื่อผู้รับไว้เป็นหลักฐานด้วย

ในขณะที่กำลังนั่งทำงานอยู่อย่างสงบนั่นเอง เจ้าของเรื่องซึ่งถูกพาดพิงเมื่อตอนบ่ายก็ก้าวเท้าหนัก ๆ เข้ามาในห้อง บก.หน่วยฝึกฯ

“มึงทำอะไรอยู่วะ? ดูหน่อยเด๊ะ”

ไอ้หน้าหล่อ ยื่นหน้ามาจนเกือบจะชิดแก้มฉัน ตาของมันจ้องไปในจอคอมพิวเตอร์ เป็นอีกครั้งที่กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ลอยมาจากซอกคอ ...มันเอาเวลาที่ไหนไปใส่น้ำหอมได้ตลอดเวลาวะเนี่ย...ตูคิด!

“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนี่หว่า... งั้น มึงพิมพ์ไปด้วยคุยไปด้วยได้ใช่ไหมวะ?” มันขยับตัวไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่เยื้องไปด้านข้าง ไขว่ห้างกระดิกปลายเท้าดุกดิก จนฉันอยากจะเอาปลายเท้าสะกิดเข้าให้บ้าง

“หมู่มีอะไรหรือครับ?” ฉันพูดสุภาพแทนคำตอบที่ดังอยู่ในใจว่า ...มึงมีเรื่องเชี่ยอะไรอีกแล้ววะ !?!?

“หมู่ดูแล้ว พลทหารหมู่มึงนะ ยังฝึกได้ไม่ดีเท่าไรเลยวะ แต่ละคน แม่ง! หัวช้าวะ”

มันยกมือขาว ๆ ประสานหลังท้ายทอย สายตาทอดออกไปยังนอกหน้าต่าง ขาทั้งสองข้างเหยียดยาว และกางออกเล็กน้อยทำมุมกันขนาด ๙๐ องศา กางเกงลายพรางถูกรั้งขึ้นมาจนรัดท่อนขาเป็นช่วง ๆ แอ่นหน้าอกขึ้นเล็กน้อย

แม้ว่าฉันอยากจะชื่นชมให้เต็มตาเพียงไร แต่พอนึกถึงคำพูดของหมู่เอ็มที่ว่า “ก็ไอ้เมธเนี่ย... มันก็เป็นเหมือนมึงนั่นแหละ เป็นตุ๊ดมาก่อน แล้วก็ไปสมัครเป็นทหาร จนมาเป็นนายสิบอยู่ค่ายเดียวกับหมู่นี่ไงละ !!!!” ฉันเลยหมดอารมณ์ เปลี่ยนใจลอบจับสังเกตเพื่อพิสูจน์สิ่งที่หมู่เอ็มเล่าให้ฉันฟังเมื่อบ่ายแก่ ๆ ที่ผ่านมา

“ไอ้ซุป หัวหน้าหมู่ก็พอได้ แต่ไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่ อาจจะเพราะตัวมันใหญ่ด้วยมั้ง... ไอ้พงศ์ กับไอ้พอล กลายเป็นคู่ซี้กัน คงเพราะเป็นบัดดี้กัน ไอ้พอลหัวไว แต่ไอ้เชี่ยพงศ์ บางครั้งเอาแต่เล่นวะ... ส่วนไอ้จอน กับไอ้วิน ไม่ต้องพูดถึง หัวทึ่ม! ...ดีที่สุด คงเป็น ไอ้ที แล้ววะ พอเป็นหน้าเป็นตา แล้วก็คอยสอนเพื่อนได้บ้าง”

“แล้วภูหินละครับ?” ฉันพิมพ์งานได้ช้าลง เพราะยังคงไม่ละสายตาไปจากตัวมัน

“เออ... วิ่งตอนเย็นไม่เป็นลมแล้วนี่หว่า... แต่ก็หายใจหอบอยู่ อาจจะจริงอย่างที่มึงว่าก็ได้ ต้องค่อยเป็นค่อยไป...”

“เหรอครับ?” คราวนี้ ฉันแทบไม่ได้เอานิ้วจิ้มลงบนแป้นพิมพ์เลยด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่สังเกตอากัปกิริยาของไอ้หน้าหล่อที่ยังคงไม่รู้ตัว

“หมู่ก็อยากจะถามมึงเหมือนกัน..”

“ว่าทำไมภูหินถึงดีขึ้นนะหรือครับ?” ฉันคิดไปถึงเรื่องที่ฉันขอภูหินเมื่อตอนเช้า

“เปล่า” หมู่เมธยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง “หมู่อยากถามว่า... เมื่อไหร่มึงจะเลิกมองหมู่สักทีนะสิวะ !?!?”

ฉันสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะหันมาเคาะป้อก ๆ แป้ก ๆ หน้าคอมพิวเตอร์ พลางปฏิเสธพัลวัน

“เปล่านี่ครับ! ผมไม่ได้ดูสักหน่อย”

“อยากโดนสั่งทำโทษเพื่อเค้นความจริงไหมละ?”

“หมู่จะทำอย่างนั้นเลยหรือครับ?” คราวนี้ ฉันวางมือแล้วหันมาสบตากับมันตรง ๆ ซึ่งเจ้าตัวเลิกเอามือประสานท้ายทอย แต่เอามากอดอกแทน

“มึงมาแอบมองหมู่ทำไมวะ?”

“ไม่ได้มองครับ”

“ห้าสิบเด๊ะ”

ฉันลุกจากเก้าอี้เพื่อตั้งท่าวิดพื้น ไอ้หน้าหล่อเอามือห้ามฉันไว้ทัน

“มึงจะทำอะไรวะ?”

“อ้าว! ก็หมู่บอกให้ผมวิดพื้นห้าสิบทีไงครับ”

“หมู่บอกว่า ห้าสิบเด๊ะ ไม่ได้บอกให้วิดพื้น...” เป็นครั้งแรกที่มันหัวเราะยิ้มกว้าง เออ..แหะ อิริยาบถยวน ๆ แบบนี้ ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน “ที่บอกห้าสิบเด๊ะ... เพราะหมู่จะพูดต่อไปว่า พนันกันว่า ห้าสิบบาทไหม? ว่ามึงไม่ได้มองหมู่วะ”

มันขำก๊าก กระทืบเท้าลงกับพื้น... ต๊าย! ยังไง้ยังไง ตูก็มองไม่ออกว่าไอ้หน้าหล่อที่หัวร่องอก่องอขิงตรงหน้านี่ มันเป็นตุ๊ด อย่างที่หมู่เอ็มบอก...

หรือพฤติกรรมคนเรามันเปลี่ยนกันได้จริง ๆ ... !?!?

ระหว่างรอมันสงบสติอารมณ์บ้า ๆ บอ ๆ ฉันเลยตัดสินใจถามมันออกไป

“หมู่เป็นกะเทยหรือเปล่าครับ?”

เหมือนฉันเอาถาดสังกะสีใบใหญ่ ๆ ที่เขาใช้เวลาเล่นตลกคาเฟ่ ตีลงไปบนหัวของไอ้หน้าหล่ออย่างจัง มันทำหน้ามึนศีรษะสักพัก แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึม

“มึงพูดว่าอะไรนะ?”

“หมู่เป็นกะเทยหรือเปล่าครับ?”

“แล้วมึงคิดว่า หมู่เป็นหรือเปล่าละ?” มันย้อนเข้าให้ เอาละสิ... มันช่างต่อปากต่อคำตูดีแท้! ...

“เอ้อ... ไม่รู้สิครับ”

“อ้าว! มึงเป็นกะเทยนี่หว่า มึงก็น่าจะดูกะเทยด้วยกันออกสิ” หมู่เมธขยับเก้าอี้พร้อมทั้งตัวแกเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น แล้วถามเสียงกระซิบ

“ว่าไงละ มึงคิดว่าหมู่เป็นหรือเปล่า?”

“...”

“ใครบอกมึงมาวะ... ไอ้เอ็มละสิ?”

ด้วยสัญชาตญาณการเป็นทหารที่ดี ฉันจึงพยายามปกป้องแหล่งข่าวของฉันไว้อย่างยิ่งยวด

“จากคนแถวนี้แหละครับ”

มันนิ่งเงียบไป บรรยากาศในห้อง บก.หน่วยฝึกฯ ก็เหมือนจะเงียบสงัดลงฉับพลัน เงียบจนกระทั่งได้ยินเสียงผู้ฝึกฯ ที่กำลังอบรมพลทหารใหม่ในห้องเรียนอย่างชัดเจน ไอ้หน้าหล่อขยับตัวลุกจากเก้าอี้ เอามือเท้าสะเอว สีหน้ามันเปลี่ยนไป แล้วก็พูดขึ้นโดยไม่มองหน้าฉัน

“ได้ข่าวว่า... พรุ่งนี้มึงต้องออกค่ายไปเอาเอกสารที่บ้านหรือวะ?”

“บ้านมึงอยู่ไหนวะ?” ทีเรื่องนี้ มันไม่ยักกะสอดรู้มาก่อนแหะ...

“ลำพูนครับ”

“แล้วใบลาละ ใครเซ็นต์? ผู้ฝึกฯ เร๊อะ?”

“ครับ ผู้ฝึกฯ เซ็นต์ใบลาให้ผมแล้ว”

ฉันชูใบอนุญาตที่มีลายเซ็นของผู้ฝึกฯ หราให้มันดู หมู่เมธเหลืยวดูเพียงแว่บเดียว ก็หันกลับไปมองทางอื่นต่อ “มึงจะออกไปสักกี่โมงวะ?”

“ก็คงหลังเคารพธงชาติแล้วอ่ะครับ” ฉันตอบตามแผนที่วางไว้ “ผมต้องนั่งรถไปเอง ไม่ได้บอกที่บ้าน ก็ใช้เวลาไปกลับรวมทำธุระก็ไม่น่าเกิน ๕ – ๖ ชั่วโมงนะครับ”

“แล้วมึงจะออกไปจากหน่วยฝึกฯ ยังไง?” ที่ถาม แกน่าจะหมายความว่า ฉันจะเดินไป หรือจะให้ใครไปส่งที่ป้อมรักษาการณ์ ฉันเลยตอบไปตามความจริง

“ก็คงเดินไป ขากลับก็คงเดินเข้ามาด้วยครับ”

“งั้น...” ราวกับมันชั่งใจ “มึงโทรฯ หาหมู่แล้วกัน มีเบอร์แล้วนี่หว่า ...ถ้าจะออกจากลำพูนก็โทรฯ หาหมู่ละกันวะ”

“โทรฯ ทำไมครับ?” คราวนี้ฉันสับสนจริง ๆ

“ถ้าอยากรู้จักหมู่ให้มากกว่านี้... ก็โทรฯ แต่ถ้าไม่อยากรู้อะไร ก็ไม่ต้องโทรฯ”

มันหลิ่วตาให้ฉันก่อนจะเดินก้าวเท้าหนัก ๆ ออกไปจากในห้อง บก.หน่วยฝึกฯ เช่นเดียวกับตอนที่มันเข้ามา




ฉันแอบไปทานข้าวตั้งแต่ตอนเจ็ดโมงเช้า โรงสูทกรรมเต็มไปด้วยพลทหารจากกองพันต่าง ๆ โดยเฉพาะเพื่อนจาก รพศ.๕ พัน.๓ ที่อยู่กันพร้อมหน้า

“ทั้งหมดตรง!” พลทหารรุ่นน้องฉันแกล้งบอกแถวทำความเคารพ ฉันหัวเราะเริงร่า ก่อนจะนั่งลงข้าง เอ หรือวีระพงษ์

“ไอ้เยิ้มไปไหน?” ฉันเหลียวหาคนดังไม่เจอ

“เข้าเวรฯ ป้อมหลัง” เอ หมายถึงป้อมรักษาการณ์หลังค่าย ซึ่งเป็นเวรฯ นอน อยู่ในความรับผิดชอบของ รพศ.๕ พัน.๓ อีหรอบนี้แสดงว่า มันไปเข้าตั้งแต่ค่ำวานนี้

“กับข้าวมีอะไรเนี่ย?” ฉันเปิดฝาชี แล้วต้องร้องอุทานด้วยความตกใจ “ต้มจืดล้อแมกซ์อีกแล้วหรือเนี่ย?”

ย้ง พลทหารสังกัดเดียวกับฉันที่ประจำโรงสูทกรรมได้ยินเข้าพอดี เลยพยักหน้าให้
“อ้าว! พี่พัทซี่ไม่รู้หรือว่า ค่ายเราเขาเปลี่ยนนโยบาย จะแปรงร่างพลทหารให้เป็นกระต่าย เอาไว้รบกับเต่า เลยให้กินเอา ๆ แต่หัวไชเท้าไงพี่”

“นายดูผอมไปนะ” เอ มองฉันตั้งแต่หัวจดเท้า

“อือ... ลดลงไปเยอะอยู่ นายละ... งาน บก. เป็นไงบ้าง?”

“ก็เรื่อย ๆ วะ จ่าแหลมแกไม่ค่อยเคร่งเท่าจ่ากอง” เอ ตอบ แล้วขมวดคิ้ว “แล้วทำไมวันนี้นายมากินข้าวก่อนละ?”

“อ๋อ! เราต้องกลับไปเอาเอกสารที่บ้านนะ ที่ลำพูนไง... เอามาให้จ่าแหลม ก็เลยรีบไปรีบกลับเดี๋ยวไม่ทัน”

“แล้วนายจะไปหน้าค่ายยังไงนะ ไกลอยู่นา” คำว่าไกลของเอ ก็คือ ระยะทางราว ๒ - ๓ กิโลเมตร เพราะตามระเบียบของทางค่ายสั่งห้ามเดินลัดสนามโดยเด็ดขาด จึงต้องเดินตามถนนรอบสนามโดดร่มออกไปหน้าค่าย ก็เท่ากับระยะทางวิ่งออกกำลังกายครึ่งหนึ่งพอดี

“เอายังงี้สิ เดี๋ยวเอารถไปส่งแล้วกัน”

ฉันนึกขอบคุณ เอ อยู่ในใจ พอกินเสร็จเรียบร้อยทุกนายก็เดินออกมาขึ้นรถ ซึ่งวันนี้เป็นรถกระบะ ๒ คัน ไม่ใช่รถยีเอ็มซีเหมือนทุกครั้ง เอ บอกว่า รถยีเอ็มซีเอาไปใช้งานราชการ เลยต้องใช้รถกระบะของกองพันฯ มาแทน

“พี่พัทซี่ ขับเลยครับ” พลทหารรุ่นน้องเปิดประตูรถให้ ฉันลังเลนิดหน่อย ก่อนจะก้าวขึ้นไป

“เอ้อ...” ฉันสตาร์ทรถติดแล้ว แต่ที่มีปัญหา คือ...

“เอ ๆ ทำไมฉันใส่เกียร์ ๒ แล้วรถมันดับทุกทีเลยวะ”

“นายก็อย่ารีบปล่อยคลัชดิวะ” เอ ซึ่งนั่งหน้าคู่กับฉันหันมาดู

“เอางี้ดีกว่า” ว่าแล้ว ฉันก็ขับเกียร์ ๑ คลานไปตามถนนหน้าตาเฉย พลทหารรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างหลัง ๕ – ๖ นาย ตบฝากระบะรถดังลั่น

“เจ๊ ๆ บ้าหรือเปล่า? ใส่เกียร์สิคร้าบ!”

“พี่ใส่แล้วมันไม่ไปอ่ะ” ฉันบอกตามตรง

“พี่พัทซี่ขับรถเป็นหรือเปล่าเนี่ย?”

“เป็นดิวะ ทุกทีพี่ก็ขับคันของหน่วยฝึกฯ นะ แต่นั่น... มันเก่ากว่านี้หน่อยนะ”

“ลงมาเลยเจ๊! เดี๋ยวโจ๋จัดให้”

และแล้ว... ภายหลังจากผ่านความทุลักทุเลมาพอหอมปากหอมคอ ฉันก็ได้ออกมายืนรอรถสี่ล้อสีเหลืองสายแม่ริม – กาดหลวง ตรงอีกฝั่งของถนนหน้าค่าย ด้วยความราบรื่น!!!!




เนื่องจากฉันไม่ได้โทรศัพท์บอกที่บ้านให้มารับ ดังนั้น การเดินทางกลับบ้าน หรือถ้าจะเรียกให้ถูก คือการกลับไปยังจังหวัดลำพูน เพื่อไปเอาเอกสารที่สัสดีจังหวัด ณ ศาลากลาง จึงต้องเดินทางด้วยรถสาธารณะทั้งหมด

การเดินทางเริ่มต้นจากการโหนรถสี่ล้อสีเหลือง สายแม่ริม – กาดหลวง ไปยังกาดหลวง หรือตลาดวโรรส ริมฝั่งแม่น้ำปิง กลางเมืองเชียงใหม่ ใช้เวลาราว ๑๕ – ๒๐ นาที เพื่อต่อรถโดยสารไปลำพูน มีสองแบบให้เลือก คือ รถสี่ล้อสีฟ้า หรือรถเมล์ ซึ่งปกติฉันจะนั่งได้ทั้งสองแบบ ขึ้นอยู่กับว่า จะเจอรถคันไหนจอดรอตรงคิวรถก่อนกัน รถเมล์จะมีภาษีกว่าหน่อยตรงที่จะลดให้ครึ่งราคา แต่ต้องแต่งเครื่องแบบทหารให้ถูกต้องด้วย การเดินทางจะใช้เวลาราว ๔๐ – ๖๐ นาที แล้วแต่ว่าต้องจอดรับ – ส่งผู้โดยสารบ่อยแค่ไหน

วันนี้ฉันเจอรถสี่ล้อสีฟ้าก่อน เลยก้าวขึ้นไปโหนราวเหล็กท้ายรถ การเดินทางตัวเปล่าไม่มีกระเป๋าเป้เช่นทุกครั้งที่กลับบ้านทำให้โหนได้สะดวกสบาย การโหนท้ายรถนี้ ฉันก็เพิ่งมาหัดตอนเป็นทหาร เพราะเห็นทหารที่ไหน ๆ ก็โหนเป็นกันทั้งนั้น บางทีผู้โดยสารเต็มไปจนถึงลำพูน เราจำต้องยืนไปตลอดทางก็มี แต่ระดับนี้ไม่มีเมื่อยอยู่แล้วละ

รถโดยสารผ่านเส้นทางถนนเชียงใหม่ – ลำพูน สายใน หรือถนนสายต้นยาง ผ่านอำเภอสารภี เข้าสู่อำเภอเมืองลำพูน จนกระทั่งฉันกดออดเพื่อลงตรงหน้าศาลากลางจังหวัดลำพูน สรุปแล้วฉันไม่ได้นั่งเลยตลอดเส้นทาง เหลียวดูนาฬิกาข้อมือ ขณะนั้นเวลา ๐๙๑๐ น. ฉันทำเวลาได้ดีพอสมควร

........................................




Create Date : 08 มิถุนายน 2555
Last Update : 8 มิถุนายน 2555 16:27:15 น.
Counter : 1010 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
มิถุนายน 2555

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
 
All Blog