โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๙ ภ.ม. ภาคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๙ ภ.ม. ภาคิโน

กร ถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นฉันขอยานวดบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อจากกล่องยาของหน่วยฝึกฯ มาทาบริเวณต้นขาข้างซ้าย

“มึงเป็นอะไรวะ พัทซี่ เมื่อวานยังดี ๆ อยู่เลย”

“เอ้อ ฉันเคล็ดขัดยอกตรงขาขึ้นมาเมื่อเช้านะ น่าจะนอนผิดท่า”

“นึกว่านายโดนหมู่เมธแกล้งอีกละ” ปิ๊กพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง ฉันอ้าปากค้าง

“นายรู้ด้วยหรือ?”

“รู้ดิ ก็ที่พัทซี่โดนหมู่สั่งให้วิดพื้นไง ตอนนี้เพิ่มเป็นวันละ ๒๐๐ แล้วไม่ใช่หรือ?”

“อ๋อ.............” ฉันลากเสียงยาว แล้วรีบสวมรอยทันที “ก็ประมาณนั้นแหละ”

สรุปว่า เรื่องเมื่อคืนนี้ ไม่มีพลทหาร หรือแม้แต่นายสิบนายทหารที่หน่วยฝึกฯ ทราบเลยสักนายเดียว ส่วนหมู่เมธนั้น แกทนนอนของแกได้ประมาณสิบห้านาทีแล้วก็ลุกไปนอนเตียงของแกเอง พอตื่นเช้ามาตีห้าครึ่งแกดันหายตัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้

จ่ากองกวักมือเรียกฉันเข้าไปพบใน บก.หน่วยฝึกฯ

“รายชื่อพลทหารใหม่พรุ่งนี้ ช่วยพิมพ์ให้จ่าหน่อย จ่าเรียงรายชื่อและแบ่งหมู่ไว้แล้วนะ ใส่ในกระดาษเศษที่เย็บติดกันนั่นแหละ ยังไงเอ็งลองทวนรายชื่อดูอีกทีก็ได้ว่าครบตามนั้นไหม? ถ้าเสร็จแล้วสั่งพิมพ์ออกมา ๓ ชุด ชุดหนึ่งเอาเก็บไว้ในแฟ้มที่ บก. อีกชุดแบ่งผู้ช่วยครูฝึกฯ ดูกัน อีกชุดติดประกาศ” แกยื่นหนังสือราชการมาให้ฉบับหนึ่ง ซึ่งมีบัญชีแนบท้าย และกระดาษเศษมีลายมือขยุกขยิกเขียนรายชื่อแยกเป็นหมวดหมู่เรียบร้อย

ฉันปราดดูเร็ว ๆ เลยทำให้รู้ว่า พลทหารใหม่รุ่นนี้ มีทั้งหมด ๕๖ นาย แล้วฉันก็เห็นรายชื่อพลทหารหมวดที่ ๒ หมู่ที่ ๔ จ่ากองใช้ดินสอเขียนชื่อฉันกำกับไว้ด้วย ดังนั้น รายชื่อพลทหารใหม่ดังต่อไปนี้ คือ เหล่าลูกศิษย์ในอนาคตของฉัน

๑. พลทหารภูหิน แม่นในรบ
๒. พลทหารทวีกิจ...
๓. พลทหารพลวัต...
๔. พลทหารมาวิน...
๕. พลทหารพิพัฒน์พงศ์...
๖. พลทหารขจร...
๗. พลทหารศุภนนท์...

ฉันจ้องชื่อและนามสกุลของพลทหารใหม่ ที่ชื่อ ภูหิน แม่นในรบ ในเอกสารอยู่นาน จ่าสิบเอกสถาพร จ่าหน่วยฝึกฯ เดินเข้ามาใน บก. ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แกคงเห็นฉันกำลังนั่งอ่านรายชื่ออยู่ จึงชวนคุย

“คุ้นนามสกุล แม่นในรบ ไหมละ?”

“ครับ นามสกุลเหมือน เสธ. ของกรมฯ เราเลยใช่ไหมครับ?”

“ถูกแล้ว” จ่าสิบเอกสถาพรตอบยิ้ม ๆ

“ลูกชายแกหรือครับ?” ฉันเดาเอา

“หลานชายต่างหาก” จ่าตอบแล้วทำท่านึกอะไรสักอย่าง “เหมือนจะเป็นลูกของน้องชายแกนะ ทำงานบริษัทฝรั่งในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน แกขอให้เอามาฝึกที่นี่”

คำว่า ขอ ในความหมายของจ่าหน่วยฝึกฯ คงหมายถึงความพยายามใช้เส้นสายที่มีในการดึงตัวหลานชายมาฝึกทหารใหม่ในกรมฯ ที่คุณลุงของน้องคนนี้ทำงานอยู่ แต่เมื่อดูจากตำแหน่งหน้าที่การงานของ เสธ. แล้ว น่าจะทำได้อย่างไม่ยากเย็น

“จบปริญญาตรีแล้วด้วยนะ แต่ไม่ยอมสมัครทหาร จับฉลากเอาที่ลำพูน ได้เป็น ๑ ปี”

“แหม... เป็นหลานชาย เสธ. ยศใหญ่โตอย่างนี้ ทำไมไม่สมัครเอาละครับ? เท่กว่าออก”

ฉันก้มหน้าก้มตาอยู่กับแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ เลยไม่ทันสังเกตสีหน้าของจ่าหน่วยฝึกฯ ที่เจื่อนลงเล็กน้อย

“เอ้อ... ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ เล่าให้ฟังว่า แกจัดให้มาอยู่หมู่เดียวกับเอ็งนี่นา”

“ใช่แล้วครับ อยู่หมู่ผมเนี่ยแหละครับ” ฉันถอนหายใจ แต่ก็พูดติดตลก“ว้า! งั้นก็แย่นะสิครับ ขืนเล่นอะไรมากไป เดี๋ยวโดนไปฟ้อง ลุงเสธ. หมด แถมบังเอิญเอามาอยู่กับผมอีก ผมก็ต้องเกร็งเวลาสอนแน่ ๆ เลยนะครับเนี่ย”

ปรากฏว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังฉันไม่ได้ตลกด้วย เพราะจ่าสิบเอกสถาพรเดินออกจากห้องหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ ส่วนนายทหารที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้องแทนนั้น คือ ผู้ฝึกฯ!

“สวัสดีครับ” ฉันผุดลุกขึ้นจนเก้าอี้พลาสติกตัวที่นั่งอยู่กระดอนออกไปอย่างรวดเร็ว

“พัท” สีหน้าแกเคร่งขรึมเมื่อรับความเคารพ “ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ไปงานอำลาผลัดปลดที่ลานหน้า บก. กรมฯ ละ?”

จริงสิ! วันนี้มีพิธีอำลาพลทหารกองประจำการ หรือพิธีอำลาผลัดปลดนี่นา ฉันมัวแต่ทำอะไรอยู่นี่ เพื่อน ๆ พลทหารก็ไม่เตือนเลยหรือว่ากระไร...

“ขอโทษครับ ผมลืมเสียสนิทเลย” ฉันตอบตามความจริง “ผมมัวพิมพ์งานให้ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ อยู่ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอก เหลือเวลาอีกตั้ง ๑๐ กว่านาที” ร้อยเอกดำรง หรือผู้ฝึกฯ โบกมือห้ามพัลวัน “เดี๋ยวคงเป่ารวมแล้วเดินแถวไป เรา... มากับผู้กองดีกว่า”

“ไปไหนหรือครับ?” ฉันงุนงง

“นั่งรถไปกับผู้กอง มีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย”




นายทหารระดับหัวหน้าหน่วยฯ มักมีรถประจำตำแหน่งเป็นรถกระบะที่ใช้ในราชการทหารอยู่แล้ว ของผู้ฝึกฯ ก็มีใช้หนึ่งคัน ทว่าตั้งแต่เป็นพลทหารมา ฉันยังไม่เคยนั่งรถกระบะของนายทหารนายใดเลยสักครั้ง

ในทางกลับกัน ถ้าพูดถึงรถกระบะที่ใช้ในราชการทหารแล้ว ฉันได้นั่งอยู่เนือง ๆ ทั้งในช่วงที่อยู่ บก.ร้อยฯ รพศ.๕ พัน.๓หรือแม้แต่รถกระบะเก่า ๆ ที่เอาไว้ใช้ในงานหน่วยฝึกฯ ซึ่งจอดอยู่ในโรงรถข้าง บก.หน่วยฝึกฯ นี่ ก็ได้นั่งและขับเองมาแล้วหลายครั้ง เช่น เวลาไปส่งหนังสือที่ บก.กรมฯ บ้าง หรือเวลาที่ขับไปเอาของที่คลังบ้าง เป็นต้น ฉันจึงอดตื่นเต้นไม่ได้ และตื่นเต้นเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผู้ฝึกต้องการจะคุยกับฉัน
รถของผู้ฝึกฯ ค่อนข้างใหม่ เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ

แกถอยรถช้า ๆ แล้วเลี้ยวออกสู่ถนนใหญ่ผ่านหน้าอาคารหน่วยฝึกทหารใหม่ฯ เห็นเพื่อนพลทหารบางนายชะเง้อมองตามด้วยความสนใจ

“เรื่องหลานของท่าน เสธ. นั่น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หรอกนะ ที่จัดให้อยู่หมู่ของพัทนะ ผู้กองเป็นต้นคิดแล้วปรึกษากับผู้ช่วยผู้ฝึกฯ ซึ่งก็เห็นดีด้วย”

ผู้ฝึกฯ เข้าเรื่องโดยไม่อ้อมค้อม “แต่ที่พัทสงสัยเมื่อครู่ว่า จะให้สอนหลานของท่านยังไงนั้น เรื่องนี้ เสธ. ท่านสั่งลงมาเองเลยว่า ให้ทำปฏิบัติเหมือนกับพลทหารใหม่นายอื่น ๆ ทั้งหมด ไม่ต้องแบ่งแยกหรือทำอะไรพิเศษมากไปกว่าปกติ วันนั้นที่ เสธ. ท่านเดินทางมาที่หน่วยฝึกฯ ก็ย้ำเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งด้วยดังนั้น ก็สบายใจได้”

ฉันหวนนึกถึงวันที่เห็น เสธ. กรมฯ เดินทางมาหน่วยฝึกทหารใหม่ฯ ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่พวกเราสงสัยกันว่า ท่านมาคุยธุระด้วยเรื่องอันใด แท้จริงก็คือเรื่องนี้นี่เอง!

“พัท มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้กองอยากจะขอไว้?”

“เรื่องอะไรหรือครับ?”

“ช่วยสอนเขาให้เป็นได้สักครึ่งหนึ่งของพัทก็ดีนะ”

“เออ...” ฉันกระอักกระอ่วนกับคำขอร้องนั้น “ผมว่า... คงไม่ไหวหรอกกระมังครับ ผมไม่ได้เป็นทหารที่ดีเลิศอะไรนะครับ ตอนฝึกผมแย่มากเสียด้วยซ้ำ ผมโดนคอมแบทกัดเสียจนต้องใส่รองเท้าแตะเกือบเป็นเดือน วิ่งก็เป็นลมอีกต่างหาก”

“เราคิดอย่างนั้นหรือ?” แกเลี้ยวรถจอดบริเวณใต้ต้นไม้ เยื้องกับลานหน้า บก.กรมฯ “แต่พวกเราไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะ พัทรู้ไหมว่า...ข่าวของพัทตอนฝึกนี่ ออกจะดังทั่วค่าย ที่ดังเพราะนอกจากเราจะ... เป็นอย่างนี้แล้ว เรายังกล้าสมัครเข้ามา แล้วมีความพยายาม อย่างน้อยท้ายที่สุด เราก็ฝึกจนจบผ่านเกณฑ์ทดสอบหมดไม่ใช่หรือ?”

“ขอบคุณมากครับ” ฉันเอ่ยจากใจจริง รู้สึกเต็มตื้นจนบอกไม่ถูก

ตรงบริเวณสนามหญ้าเล็ก ๆ ติดกับต้นสักที่ปลูกเป็นทิวแถว เยื้องกับลานหน้า บก.กรมฯ ให้ความร่มรื่นและเย็นสบาย จึงมีทหารจากกองพันต่าง ๆ และหน่วยขึ้นตรงฯ ยืนหลบร้อนเพื่อคอยเวลาทำพิธีอำลาพลทหารกองประจำการอยู่ประปราย

จ่ากองหรือผู้ช่วยผู้ฝึกฯ ซึ่งกำลังยืนเตร่อยู่แถวนั้นคุยกับเพื่อนทหารนายโน้นที นายนี้ที สังเกตเห็นรถของผู้ฝึกฯ จอดดับเครื่อง ก็ค่อย ๆ ลัดสนามเดินตรงมา

“ฝากด้วยนะ” ผู้ฝึกทิ้งท้าย พลางล็อกประตูรถ

“ท่านคุยแล้วใช่ไหมครับ?” จ่ากองถามขึ้น เมื่อเดินมาถึงที่ที่ฉันกับผู้ฝึกฯ ยืนอยู่

“คุยแล้ว” ผู้ฝึกฯ ยิ้ม

“เอาละ พรุ่งนี้เอ็งก็จะได้เห็นพัสดุแล้วสินะ”

เหมือนพลุแตกดัง ตู้ม! ขึ้นกลางหัวสมองของฉัน!
จริงสิ...เรื่องนี้ไงละ! ที่จ่ากองเคยบอกฉันตั้งแต่วันแรกที่มายังหน่วยฝึกทหารใหม่นะ.........

...จ่าเลือกคนไม่ผิดหรอก เอ็งเป็นคนฉลาด จ่าถึงเลือกเอ็งให้มาช่วย เพราะจ่ามีเรื่องให้เอ็งช่วยจริง ๆ นั่นแหละ แต่ตอนนี้พัสดุยังส่งมาไม่ถึง เลยยังบอกอะไรมากไม่ได้ ถ้ามาถึงแล้วถึงจะบอกได้”

“พัสดุไหนครับ?” ฉันงง

จ่ากองเอามือเท้าสะเอวอีกครั้ง “อุวะ! จ่าเพิ่งชมเอ็งฉลาดอยู่หยก ๆ ดันมาตกม้าตายเสียได้ สรุปว่าถ้าถึงเวลาแล้วจะบอก เข้าใจไหม?”...

พัสดุที่ว่านั้น... ก็คือ ไอ้เจ้าหลานชายของ เสธ. กรมฯ นั่นเอง!




พิธีอำลาพลทหารกองประจำการผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย อย่างเช่นที่จัดขึ้นเป็นประจำ อีกหนึ่งปี นับจากนี้ไป ฉันก็ต้องเป็นพลทหารชุดที่ยืนอยู่ตรงกลางแถว ในฐานะพลทหารกองประจำการที่จะปลดออกจาก ค่ายทหารแห่งนี้ไปในตอนเย็นเช่นกัน.....

ตอนเย็นหลังเคารพธงชาติ ผู้ฝึกเรียกประชุมเพื่อทบทวนแผนงานสำหรับการรับพลทหารใหม่ในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง ทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่ดูเหมือนสติของใครนายหนึ่งยังไม่พร้อม นั่นคือ ไอ้หน้าหล่อที่ทำเวรทำกรรมกับฉันไว้เมื่อคืน นายสิบผู้ผ่านหลักสูตรจู่โจม กลับไม่ได้ฝึกการรับการจู่โจมของอาการแฮงก์เหล้ามาเลยแม้แต่น้อย

พอเลิกแถว จะขึ้นนอนเท่านั้น นายสิบเจ้าของดวงตาอันแข็งกร้าวเล็กน้อยที่บัดนี้ปรือใสเพราะฤทธิ์ แอลกอฮอลตกค้าง ก็เข้ามาประชิดตัวฉันอย่างจงใจ

“เฮ้ย อีตุ๊ด มึงมานี่เด๊ะ” แกยักคิ้วเรียกชื่อ ฉันเดินทื่อ ๆ เข้าไปหาแก หมู่เมธดันตะโกนข้ามไหล่ของฉันไปทางด้านหลัง “ไอ้แมงชัย ไอ้หลอดยุทธ มึงมองหาอะไรวะ?”

“เปล่า ๆ ครับ เชิญหมู่ตามสบาย” ไอ้แมงชัยของหมู่เมธ รีบตอบก่อนจะเดินจากไป

“มีสองเรื่องจะพูดกับมึงหน่อย” แกทำหน้าเคร่ง ไรหนวดอ่อน ๆ ดูเขียวครึ้มจนน่าเอามือขึ้นไปจับ เอ้อ... ดูสิ ตูยังมีแก่ใจจะคิด แกคงไม่ทันสังเกตอะไรเลยพูดต่อไปเรื่อย ๆ

“เรื่องแรก ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ บอกแล้วใช่ไหม? เรื่องหลานชายของ เสธ. ที่จะมาฝึก”

“บอกแล้วครับ”

“แล้วเราจะเตรียมอย่างไรบ้าง?”

“ผมเหรอ... ผมก็เฉย ๆ นะครับ” ฉันตอบซื่อ ทำเอาหมู่เมธส่ายหน้าหล่อ ๆ ของมัน

“กูไม่ได้หมายถึงมึง!” น้ำเสียงเริ่มเอ็ดเบา ๆ “กูหมายถึง พวกเราต่างหาก? มึงกับกู เพราะกูเป็นครูฝึกหมู่มึงด้วยนี่หว่า”

“ก็ไม่รู้ดิครับ” ฉันตอบตามตรง... ก็คุณท่านเวรจะมาถามหาพระแสงอะไรตอนนี้ละ!?!? ...ฉันคิด

“งั้น กูจะเป็นคนคุมเกมเอง มึงก็เล่นตามบทบาทของมึงไป”

มันพูดราวกับว่า... เรากำลังตกลงที่จะเล่นท่าบนเตียงแบบไหน? แล้วอีกฝ่ายเป็นผู้เสนอที่จะคิดท่านั้นเอง

“ครับ”

เอาเถอะ... อยากทำอะไรก็ทำตามใจ! ว่าแต่ประโยคต่อมานี่สิ เล่นเอาฉันหูผึ่ง

“มีอีกเรื่องหนึ่ง ที่มึงยังไม่รู้เกี่ยวกับไอ้เจ้าหลานชาย เสธ. นี่”

“เรื่องอะไรละครับ?”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้มึงก็รู้ ไว้คอยเห็นเอาเองก็แล้วกัน” มันยิ้มเหี้ยมเกรียมเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่รู้จักกันมา

“หมดเรื่องหรือยังครับ? ผมจะไปเข้าห้องน้ำ”

“ยังเหลืออีกเรื่องหนึ่ง” คราวนี้ เจ้าตัวไม่ยอมสบตาฉัน “เรื่องเมื่อคืน คือหมู่เมาไปหน่อย... ก็เลย...”

“อ้อ! ...เหรอครับ?” ฉันทำหน้าตาย มีผลทำให้ไอ้หน้าหล่อชักสีหน้าหงุดหงิด

“มึงโกรธกูหรือเปล่าเนี่ย... ถึงทำเสียงแบบนี้?”

“เอ้ย... เปล่าครับ ผมไม่ได้โกรธ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรนะครับ” ฉันปฏิเสธพัลวัน

“งั้นก็ดีแล้วละ” ทีคราวนี้ทำเสียงงึมงำอยู่ในลำคอเชียว

“ช่างมันเถอะครับ” ฉันยิ้มให้ รู้สึกเอ็นต้นขาข้างซ้ายปวดตุบ ๆ ขึ้นมาทันที ราวกับจะฟ้องว่าปากฉันไม่ตรง กับใจ “หมู่อย่าคิดมากเลย... ขอตัวนะครับ”

“เดี๋ยวก่อน... มึงไม่คิดอะไรเลยจริง ๆ หรือวะ?”

“แล้วหมู่คิดว่าผมต้องคิดยังไงละ?” คราวนี้ฉันย้อนให้ด้วยความสงสัยมากกว่ารำคาญ มันจะมาถามซ้ำถามซากหาพระแสงอะไรอีกละนี่!?!? ...แกอึกอัก แล้วพูดเสียงค่อย ๆ

“เอาเถอะ แล้ววันหนึ่ง มึงก็จะรู้เอง”

หมู่เมธเดินจากไป คราวนี้ไอ้หลอดยุทธ กับ ไอ้แมงชัย โผล่มาจากมุมตึก ดูแค่แววตาก็รู้แล้วว่า สองคนนี้แอบฟังอยู่ตั้งแต่ต้น

“ตกลง มึงเป็นผัวเป็นเมียกันแล้วใช่ไหม?”

“สาด..............!” คราวนี้ฉันด่ามันจริง ๆ ยุทธ หัวเราะขำกลิ้ง

“กูแหย่หน่อยทำเป็นด่าเชียวนะมึง ทีหมู่อ้อนหน่อย ทำเสียงอ่อนเสียงหวาน”

“ฉันไปทำเสียงอ่อนเสียงหวานตั้งแต่เมื่อไหร่ยะ?” ฉันแหว

“อ๊ะ! ...พูดแล้วหน้าแดงด้วยวุ้ย!” ยุทธ ยังไม่ยอมหยุด

“เพ้อไปใหญ่แล้ว”

“พัทซี่ หลานชายเสธ. จะมาฝึกกับพวกเราเหรอ?” ชัยคุยเรื่องการเรื่องงาน ซึ่งดีกว่าไอ้หลอดยุทธ ที่แทบจะ ไร้สาระไปวัน ๆ

“อืม...” ฉันรับคำ “จ่ากองจัดให้อยู่หมู่ฉันเนี่ยแหละ หมู่เมธก็เลยกระตือรือร้นเป็นพิเศษไปด้วย”
“แล้วเรื่องที่หมู่บอกว่า วันหนึ่งพัทซี่จะรู้เองนี่ มันเรื่องอะไรละ?” ชัยอยากรู้

“ไม่รู้เหมือนกัน ช่างเถอะ มันบ้า ๆ บอ ๆ อยู่แล้วนี่ อย่าไปคิดอะไรเลย”

ยุทธ กับ ชัย เดินขึ้นโรงนอนไป ทิ้งให้ฉันคิดต่อไปอีกพักใหญ่ว่า ...ก็นั่นนะสิ ในเมื่อเรื่องหลานชาย ของเสธ. กรมฯ ฉันคงจะได้คำตอบในวันรุ่งพรุ่งนี้แล้ว แต่เรื่องของไอ้หน้าหล่อนี่ มันจะทิ้งให้คำถามไว้ให้ฉันอีกกี่คืนกี่วัน ถึงจะได้คำตอบละเนี่ย...





Create Date : 07 พฤษภาคม 2555
Last Update : 7 พฤษภาคม 2555 19:22:21 น.
Counter : 907 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
พฤษภาคม 2555

 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
All Blog