โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๔ ภ.ม. ภาคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๔

ภ.ม. ภาคิโน


หน่วยฝึกทหารใหม่ของกรมทหารของเราตั้งอยู่ใกล้กับอาคารกองบังคับการกรมฯ หรือที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า บก.กรมฯ ตั้งอยู่ในส่วนด้านหน้าของค่าย นอกจากนี้ ยังมีหน่วยขึ้นตรงที่สำคัญหลายแห่งในบริเวณนั้น ได้แก่ หมวดยานยนต์ของกรมฯ หน่วยวิทยุสื่อสาร อาคารสโมสรนายทหาร กองร้อยสนับสนุนการช่วยรบ หอคอยสูง ๓๐ ฟุต และโรงสูทกรรม

อาคารที่ทำการของหน่วยฝึกทหารใหม่ เป็นอาคารที่สร้างขึ้นมามีรูปแบบคล้ายกับอาคารใหญ่ที่ใช้เป็นที่ทำการกองบังคับการกองร้อย กับโรงนอนในค่ายทหารทั่วไป แต่ดัดแปลงพื้นที่ของอาคารให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ชั้นล่างของอาคารทำเป็นห้องเรียนและห้องประชุม ตรงห้องโถงปีกซ้ายชั้นล่าง เป็นที่ทำการ บก.หน่วยฝึกฯ ส่วนชั้นบนเป็นโรงนอนขนาด ๗๐ เตียง ซึ่งเป็นเตียงนอนของทหารใหม่ จำนวน ๖๐ เตียง ที่เหลือเป็นของครูฝึกและผู้ช่วยครูฝึก

จ่าสิบเอกอานนท์ พาพวกเราทั้งสามคนมารายงานตัวที่ บก.หน่วยฝึกฯ ทำให้เราได้พบกับเพื่อนพลทหารรุ่นเดียวกันอีก ๕ นาย ที่ได้แยกย้ายกันไปภายหลังสำเร็จการฝึกทหารใหม่ เมื่อเกือบ ๙ เดือนที่ผ่านมา แม้จะได้เจอกันบ้างเป็นบางครั้ง ในการช่วยงานกิจกรรมส่วนกลางของกรมฯ เช่น การจัดเลี้ยงนายทหาร การทำความสะอาดบ้านพักที่ริมอ่างเก็บน้ำ งานดับไฟป่า เป็นต้น แต่ก็ไม่ได้ไต่ถามสารทุกข์อะไรมากไปว่าการทักทายกัน เนื่องจากมีภารกิจรออยู่ตรงหน้า ดังนั้น พวกเราจึงไม่ได้คาดหวังว่า จะได้มีโอกาสกลับมาหวนรำลึกถึงความหลังด้วยการ มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเช่นนี้ในหน่วยฝึกทหารใหม่แห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง

“พัทซี่!!!!” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้น ร่างล่ำสัน เตี้ยกว่าฉันเล็กน้อยกระโดดลงจากรถกระบะของอีกกองพันฯ หนึ่ง พลทหารอีกสองนายกระโดดลงตามมาด้วย

“อ้าว ปิ๊ก!” ฉันดีใจ และแอบใจชื้นเล็กน้อย ที่เห็นเพื่อนสนิทอีกคนซึ่งเป็นบัดดี้ของฉันสมัยฝึกทหารใหม่ นั่นคือ ปิ๊ก หรือพลทหารไพศาล ได้มาฝึกเป็นผู้ช่วยครูฝึกด้วย ปิ๊กยิ้มกว้างจนแทบฉีกถึงใบหูตามนิสัยรีบเดินตรงมาหาฉัน

“เราได้ยินพวกรุ่นพี่เขาพูดกัน นึกว่าพูดเล่นกันเสียอีก เป็นไงบ้างสบายดีหรือเปล่าวะ?” คนพูดโอบไหล่ฉันอย่างคุ้นเคย ด้วยความเป็นบัดดี้เก่ากันมาก่อน ฉันเลยไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร

“สบายดี อ้าว...หวัดดี ยุทธ... อิท... เป็นไงบ้างล่ะ?” ฉันทักเพื่อนพลทหารอีกสองนาย ยุทธ พลทหารยุทธพงศ์ และ อิท พลทหารอิทธิฤทธิ์ หรืออีกชื่อที่รุ่นเราตั้งให้คือ หล่ออิท เพราะหน้าตาดี สูงโปร่ง แต่ขอความกรุณาทำหน้านิ่ง ๆ อย่าเผลอได้ยิ้มเชียว เพราะความหล่อจะลดลงไปเกือบครึ่ง ทั้งสามนายเป็นพลทหารสังกัด กองพันฯ ที่ ๑ ของกรมฯ

“เรื่อย ๆ วะ พัทซี่ แต่กูก็อ้วนขึ้นจมเลยแหละ” ยุทธตอบพลางลูบพุงตัวเองที่น้ำหนักน่าจะขึ้นราวสิบกิโลเห็นจะได้ “ได้มาฝึกก็ดีเหมือนกัน น้ำหนักน่าจะลดลงไปบ้าง... นอกจากมึงแล้ว พันฯ ๓ ส่งใครมาฝึกบ้างล่ะ?”

“มีน้ำ แล้วก็เชฟน้อยอ่ะ โน่น...หิ้วกระเป๋าตามจ่ากองเข้าไปข้างในแล้วล่ะ”
“จ่ากองไหนหรือวะ?” คราวนี้ปิ๊กเป็นฝ่ายถาม

“อ๋อ จ่ากองร้อย ของ ร้อยฯ บก. เราเองแหละ เห็นว่าแกได้เป็นจ่าหน่วยฝึกฯ แน่ะ”

“เฮ้ย! ว่าไปนั่น... จ่าสถาพรจากกองพันฯ กูต่างหากที่ได้มาเป็นจ่าหน่วยฝึกฯ อ่ะ พัทซี่ไม่ได้อ่านประกาศที่บอร์ด บก.พันฯ หรือ?” อิทแย้งขึ้นมา ฉันเองก็เริ่มสับสน ทว่าข้อมูลจากอิทน่าจะพอเชื่อถือได้ เพราะอิททำงานอยู่ บก.พันฯ ของกองพันฯ ที่ ๑ ย่อมน่าจะมีโอกาสได้เห็นเอกสารประกาศของกรมฯ มาก่อนบ้าง ถ้าเป็นอย่างอิท พูดจริง แล้วจ่ากองทำไมไม่บอกพวกเราตั้งแต่แรก? หรือพวกเราจะเข้าใจผิดกันไปเอง?

“แต่.... จ่ากองบอกว่าแกจะมาเป็นจ่าหน่วยฝึกฯ ถึงเอาเรามาเป็นผู้ช่วยแกนะ ทำงาน บก. อะไรทำนองนี้อ่ะ” ฉันแย้งตามความเข้าใจแต่เดิม อิทได้ยินดังนั้น ก็ส่ายหน้าขาว ๆ ของตนเอง

“ไปใหญ่แล้วพัทซี่ มึงก็มาเป็นผู้ช่วยครูฝึกเหมือนกันนะ จะไปอยู่ บก. ได้ไงละ”

“ก็...” ฉันเริ่มลังเล “ก็ได้ยินมาว่า เขาให้โควตากองพันละ ๓ นาย มันก็ต้องรวมเป็น ๙ นายอ่ะดิ ปกติหน่วยฝึกมีแค่ ๘ หมู่ แล้วจะมีผู้ช่วยครูฝึกตั้ง ๙ นายไปทำไมละ? ขนาดตอนพวกเราฝึก ยังมีผู้ช่วยครูฯ แค่ ๘ นายเองนี่นา”

อิทมองหน้าปิ๊ก กับยุทธแล้วหัวเราะเสียงดัง “เฮ้ย... มึงคิดไปเองหรือเปล่าเนี่ย? ... แต่ละกองพันได้โควตามา ๓ นายนะ ถูกแล้ว แต่ยกเว้นกองพันที่ ๒ ที่ได้โควตาแค่ ๒ นายเพราะเหลือพลทหารอยู่น้อยกว่ากองพันอื่น มันก็เลยมีแค่ ๘ นาย ยังไงมึงก็ต้องได้ออกฝึกเหมือนพวกเรานั่นแหละ ถ้าไม่เชื่อ มึงก็ลองไปหาประกาศแต่งตั้งหน่วย ฝึกฯ มาอ่านดูสิ”

และแล้ว... คำตอบก็อยู่ตรงหน้า เมื่อฉันกำลังอ่านประกาศที่ติดหราอยู่ตรงบอร์ดหน้า บก.หน่วยฝึกทหารใหม่ฯ

“....จ่าสิบเอกอานนท์ ... สังกัด รพศ.๕ พัน.๓ เป็น ผู้ช่วยผู้ฝึกทหารใหม่”

“ผู้ช่วยครูฝึกทั้ง ๘ นาย มีรายชื่อดังต่อไปนี้... ลำดับที่ ๑ พลทหารไพศาล... สังกัด รพศ.๕ พัน.๑ ...”

ฉันไล่สายตาลงมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย ก่อนลายเซ็นผู้บังคับการกรมฯ ลงนาม

“ลำดับที่ ๘ พลทหารพัฒนรัฐ พิทยเวช สังกัด รพศ.๕ พัน.๓”

ฉันแอบกรี๊ดเบา ๆ หน้าบอร์ดตรงนั้น!!!!



“จ่ากองทำไมไม่บอกผมตั้งแต่แรกละครับ ว่าจะเอาผมมาเป็นผู้ช่วยครูฝึกฯ?” ฉันถามจ่ากอง หรือถ้าจะเรียกให้ถูกต้องในตอนนี้ คือ ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ

จ่ากองคงจะรู้แนวว่า ฉันมาในอารมณ์ไม่ค่อยดี เพราะน้ำเสียงตะหวัดปลายหางนิด ๆ แกเลยพยายามพูดแบบใจเย็นเข้าสู้

“อ้าว จ่าก็บอกแล้วไงว่าจะเอาเอ็งไปฝึก เอ็งเข้าใจตรงไหนผิดไปล่ะ?” แกแย้งขณะก้มหน้าง่วนอยู่กับการจัดกองเอกสารตรงหน้า ในขณะที่ฉันยืนถือไม้กวาดอ่อนทำตาปริบ ๆ

“เท่าที่ผมจำได้ จ่าบอกแค่ว่าจะพาไปฝึก... พาไปช่วยงานจ่านี่ครับ”

“พาไปฝึก มันก็แปลว่าไปเป็นผู้ช่วยครูฝึกฯ นั่นแหละ โธ่... มาถึงหน่วยฝึกทหารใหม่แท้ ๆ จะให้มานั่งเฉย ๆ ได้ไงละ ใช่ไหม?” ประโยคหลังแกขึ้นเสียงสูงราวกับจะล้อเลียน แต่พอเหลียวมองดูหน้าตาแล้ว แกทำหน้าแบบกวนได้ใจมาก ฉันเลยทำใจกวาดพื้นต่อไป แต่ไม่วายขอบ่นอีกสักหน่อย

“ก็น่าจะบอกตรง ๆ แต่แรกแหละครับ เล่นเอาผมแอบดีใจว่าไม่ต้องฝึกหนักเหมือนคนอื่น”

แกหัวเราะเสียงดัง

“แต่จ่าก็พูดตรง ๆ นะ”

คราวนี้ฉันชะงักมือ “เรื่องอะไรหรือครับ?”

“เรื่องที่จะให้มาช่วยงานจ่าไง ที่หน่วยฝึกฯ นี่” แกเท้าสะเอวมองเขม็งตรงมา ฉันไม่เข้าใจ

“ผมก็... ช่วยจ่าอยู่นี่ไงครับ กวาดพื้น จัดห้อง บก. ห้องเรียน”

“มันมีมากกว่านั้นอีกนะ ไอ้พัท”

“จ่าจะให้ผมไปทำความสะอาดที่ไหนต่อหรือครับ?” ฉันแกล้งซื่อ จริง ๆ ก็เริ่มเข้าใจแล้ว แต่ไม่อยากพูด แกง้างเท้ามาแต่ไกล ฉันโยนไม้กวาดอ่อนทิ้งกระโดดหนี แกหัวเราะร่า

“ไอ้พัท!” แกขำในลำคอ “เอ็งนี่จริง ๆ จ่าเลือกคนไม่ผิดหรอก เอ็งเป็นคนฉลาด จ่าถึงเลือกเอ็งให้มาช่วย เพราะจ่ามีเรื่องให้เอ็งช่วยจริง ๆ นั่นแหละ แต่ตอนนี้พัสดุยังส่งมาไม่ถึง เลยยังบอกอะไรมากไม่ได้ ถ้ามาถึงแล้วถึงจะบอกได้”

“พัสดุไหนครับ?” ฉันงง

จ่ากองเอามือเท้าสะเอวอีกครั้ง “อุวะ! จ่าเพิ่งชมเอ็งฉลาดอยู่หยก ๆ ดันมาตกม้าตายเสียได้ สรุปว่าถ้าถึงเวลาแล้วจะบอก เข้าใจไหม?”

“เข้าใจแล้วครับผม” ฉันยืนตัวตรงรับทราบ

ช่วงจังหวะที่จะหันหลังไปเพื่อหยิบไม้กวาดอ่อนซึ่งตกอยู่กับพื้นนั้น ใครคนหนึ่งดันวิ่งพรวดพราดจนเกือบจะชนกัน ถึงกระนั้นฉันก็เซถลาไปเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติมองใบหน้าของชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาได้อย่างแจ่มแจ้ง

ทหารรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าใสกิ๊ก คิ้วคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาแข็งกร้าวเล็กน้อย ปากได้รูป ผมที่ตัดสั้นนั้นรับกับใบหน้าและศีรษะจนดูเท่... มาดแมน... สมาร์ท... หล่อเหลา... แววตาที่มองฉันนั้น ประดุจดั่งบทละครเมื่อตอนที่พระเอกกำลังพบรักกับนางเอกเป็นครั้งแรก โอ นี่คือรักแรกพบสินะ!

“ตุ๊ด!”

ฉันยังฝันหวานมองพ่อพระเอกตรงหน้า เสียงห้าวกระโชกใส่ฉันตรงหน้าอีกครั้ง
“อีตุ๊ด!”

เอ๊ะ... เสียงผู้กำกับสั่งคัท หรือเขาเรียกฉันอยู่เหรอนี่?

“มึงมองอะไรของมึงนะ มึงไม่คิดจะเก็บไม้กวาดเลยหรือไงวะ! อีตุ๊ด!”

ว้าย... อะไรกันนี่! บทละครที่คิดขึ้นเมื่อครู่ดันโดนผู้กำกับสั่งฉีกทิ้งเปลี่ยนบทเสียนี่!

ด้วยอารามตกใจ ในน้ำเสียงที่เกือบจะตะคอกใส่ ฉันรีบก้มลงเก็บไม้กวาด พลางเขยิบหนีตัวสั่นน้อย ๆ ไปอยู่อีกมุมหนึ่ง สมองกำลังปรับความคิดและเริ่มรับรู้ว่า บทที่ผู้กำกับเปลี่ยนนั้น คือ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า หาได้ใช่พระเอกไม่ แต่ดันกลายร่างเป็นอันธพาลไปซะแล้ว!

“เอ้อ... ไอ่พัท นี่สิบเอกสุเมธ หรือหมู่เมธ นะ มาจากพัน.๒ มาอยู่หน่วยฝึกฯ กับเราด้วย” จ่ากองบอกเสียงเรียบ ๆ

ตายห่า! กูลืมทำความเคารพซะสนิทเลย... ฉันรีบยืนตรงเท้าชิดให้ทันที อีตาอันธพาลในร่างพระเอกมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า

“อีตุ๊ด! มึงก็ดูแมนดีนี่หว่า ทำไมถึงคิดอยากจะเป็นตุ๊ดวะ?”

“ข้างบนเขาเสร็จหรือยัง หมู่เมธ” จ่ากองขัดขึ้น

“ยังครับ เหลือถูพื้นอย่างเดียวเองครับ ต้องกวาดหลายรอบเพราะฝุ่นเยอะมากครับ” อีตาอันธพาลในร่างพระเอกตอบจ่ากองอย่างมีสัมมาคารวะ!

“อ้าวเหรอ งั้น พัท...ขึ้นไปข้างช่วยข้างบนก่อนละกัน”

ฉันรับคำก่อนจะแจ้นออกมา นึกในใจ ...โคตรเกลียดขี้หน้ามันชิบ มันเป็นใครมาจากไหนวะ... มาเรียกกูตุ๊ด อยู่ได้ ตุ๊ดบ้านน้องชายลุงกับน้องสาวน้ามึงสิ มาเป็นทหารงก ๆ อยู่อย่างเนี่ย!?!?



ฉันขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงในโรงนอน อารมณ์บูดเสียจน กร หรือพลทหารพงศกร เพื่อนพลทหารรุ่นเดียวกับฉัน ซึ่งได้โควตามาฝึกเป็นผู้ช่วยครูฝึกฯ จาก รพศ.๕ พัน.๒ วางมือจากการถูพื้นเข้ามาคุยด้วยอย่างอารมณ์ดี

“ทำหน้าเป็นมดง่ามเชียว เป็นอะไรไปล่ะ?”

ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็นึกไม่ออกว่า ไอ้หน้ามดง่ามของ กร นี่ มันมีหน้าตาเป็นเช่นไร!?!?

“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เจอคนประสาท ๆ มานะ”

“เอ... อย่าบอกนะว่า พัทซี่ไปเจอหมู่เมธเข้าให้แล้ว”

“เฮ้ย! รู้ได้ไงเนี่ย?” ฉันมองหน้าเพื่อนที่กำลังหัวเราะร่วน กร ยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “แกก็เป็นของแกอย่างนั้นแหละ อย่าไปถือสา”

จริงสิ! กร มาจาก พัน.๒ เหมือนกับอีตาอันธพาลในร่างพระเอกนั่นนี่นา “แล้วแกมีนิสัยเป็นคนยังไงล่ะ?”

“แกก็... จะบอกไงดีล่ะ เป็นคนปากร้าย บางครั้งก็กวน ๆ นายสิบรุ่นเดียวกันกับแกบางคนดูไม่ค่อยชอบนะ เพราะเวลาแกจะแซวใคร แกจะแซวแรง ๆ”

“พูดอย่างกับว่า เป็นคนปากหมางั้นแหละ”

“เฮ้ย!!!!” คราวนี้ กร เป็นฝ่ายสะดุ้งบ้าง “เราไม่ได้พูดนา...”

ฉันยกมือห้าม “ไม่เป็นไร ฉันเนี่ยแหละเป็นคนพูดเอง... จริง ๆ ก็ไม่อยากเก็บเอามาคิดหรอก แต่เราไม่ชอบให้ใครมาเรียกจิกเราแบบนั้น แกเรียกเราว่า อีตุ๊ด ๆ ๆ อยู่นั้นแหละ มันน่ารำคาญอ่ะ”

กรยิ้มแป้น “พัทซี่ แกยังเคยเรียกฉันว่า ไอ้เชี่ยกร เลย! ...แต่แกก็จริงใจดีนะ สนุกสนานฮาเฮ ถ้าไม่ถือสาอะไรมากก็น่าคบหาอยู่หรอก จริง ๆ แกไม่ได้อยู่กองร้อยเดียวกันกับพลทหาร แต่บางครั้งที่แกแวะมาเที่ยวหาจ่าที่กองร้อยเรา แกก็นั่งเล่นหมากรุก กินกาแฟ คุยกับพวกเราอยู่ตั้งนานสองนานนะ ถ้าพัทซี่สนิทกับแกจริง ๆ ขี้คร้านจะหลงเสน่ห์หัวใจแกมากกว่ารูปร่างหน้าตาแกซะอีก”

ฉันเหลือบมองเพื่อนที่ลิ่วตาให้ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ...คงจะยากนะเพื่อน!

“เฮ้ย! พวกมึงเสร็จแล้วหรือว่ะ มานั่งกันทำเชี่ยอะไรเนี่ย?”

เสียงที่ฉันไม่อยากได้ยินดังขึ้นเต็มโรงนอน กรรีบก้มหน้ากลับไปถูพื้นตามเดิม ส่วนฉันรีบผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจมากกว่า ที่คนที่เรากำลังพูดถึงดันโผล่พรวดขึ้นมา

“อีตุ๊ด มึงจะไปไหน?” หมู่เมธเห็นฉันกำลังสาวเท้าออกไปจากโรงนอน

“ไปตัดหญ้า... ครับ” ฉันเกือบลงหางเสียง แอบเห็นกร ขยิบตาให้เป็นเชิงเตือนว่า อย่าวู่วาม

“อ้าว แล้วมึงไม่ช่วยไอ้เชี่ยดำแล้วหรือ?”

ฉันสะดุ้ง ชื่อ ดำ เป็นชื่อที่รู้กันว่า พลทหารรุ่นเดียวกันอย่างพวกเราเรียก กร แบบฉันท์เพื่อน โดยตั้งให้จากสีผิวของกร ฉันเองก็เรียกบ้างไม่เรียกบ้าง แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่เคยเรียกชื่อเพื่อนชนิดที่ให้ความรู้สึกห่างไกลจากคำว่า ฉันท์เพื่อน ได้ขนาดนี้

ฉันเหลียวไปมองหน้า กร ซึ่งใบหน้าสีเข้มนั้น ซีดลงเล็กน้อย ฉันตอบคำถามของหมู่อย่างหวัด ๆ

“ก็... จะเสร็จแล้วนี่... ครับ งานทางอื่นก็ต้องไปช่วย”

คราวนี้หมู่เมธเท้าสะเอว หรี่ตามองฉัน ...บุญว่าหน้าตาดีนะ ถึงยอมใจเย็นให้หน่อยหนึ่ง ไม่อย่างนั้น ฉันคงเดินลงบันไดไปตั้งนานแล้ว

“จะไปก็ไปเด๊ะ” หมู่บอกห้วน ๆ

ฉันชิดเท้าทำความเคารพแล้วจ้ำอ้าวลงบันไดอันสูงลิ่วนั้นราวกับมีวิชาตัวเบา จึงไม่ได้ยินหมู่เมธ ถาม กร ประโยคหนึ่งว่า

“เฮ้ย.. ไอ้กร ไอ้พัทซี่มันนอนตรงไหนว่ะ? มึงรู้เปล่า?”

..............................................



Create Date : 17 มีนาคม 2555
Last Update : 17 มีนาคม 2555 8:13:54 น.
Counter : 754 Pageviews.

1 comments
  
โดย: Lollapalooza วันที่: 17 มีนาคม 2555 เวลา:8:41:57 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
มีนาคม 2555

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog