โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๒๓ ภ.ม. ภาิคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๒๓ ภ.ม.ภาคิโน

หลังจากฉันเห็นผลไม้ประจำตัวของไอ้โบ๊ต ที่มันจะตั้งใจโชว์ หรือว่าไม่ตั้งใจก็ตามเถอะ... เอาเป็นว่า ฉันก็เห็นของมันเต็ม ๆ ตาเข้าให้แล้ว หากถามว่า... ฉันรู้สึกอย่างไร? คงตอบได้เลยว่า เฉย ๆ เพราะเห็นมามากมายแล้ว

ฉันโยนเรื่องผลไม้ประจำตัวนั้นทิ้งไป เนื่องจากมีงานสำคัญที่ต้องทำในคืนนี้ หลังจากปรึกษากันอย่างถี่ถ้วนแล้วในตอนเย็น ทั้งจ่ากอง และหมู่เมธ ก็เห็นพ้องต้องกันที่จะให้ฉันเป็นคนร่างรายงานส่งให้ เสธ. กรมฯ ขึ้นมาก่อน ทั้งสองนายจะเป็นคนตรวจทานอีกที แล้วเสนอให้ผู้ฝึกฯ ลงนาม ส่งไปที่ บก.กรมฯ ต่อไป ดังนั้น เมื่อเป่านกหวีดสั่งทหารใหม่เข้านอน พร้อมกับอาบน้ำทำธุระส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อย ฉันจึงมานั่งพิมพ์รายงานในคอมพิวเตอร์ในห้อง บก.หน่วยฝึกฯ ตามลำพัง ผู้ฝึกฯ เข้านอนที่ห้องเล็กด้านหลัง บก.หน่วยฝึกฯ ซึ่งมีประตูเข้าออกคนละทาง จ่าวิทย์และเพื่อน ๆ ผู้ช่วยครูฝึกฯ ทั้งหลายก็อยู่บนโรงนอน บรรยากาศอันเงียบเชียบ ทำให้ฉันมีสมาธิในการทำงานมากขึ้น

ฉันตัดสินใจที่จะเขียนรายงานตามตารางการฝึก และประเมินผลการฝึกออกมาเป็นข้อ ๆ ได้แก่ ความประพฤติทั่วไป ระเบียบวินัย อุปนิสัย สุขภาพร่างกาย และความก้าวหน้าในการฝึก จากการพิจารณาความเป็นจริงของภูหินในตอนนี้ ฉันให้คะแนนความประพฤติทั่วไป และระเบียบวินัย อยู่ในเกณฑ์ดี นอกนั้น อยู่ในเกณฑ์พอใช้

ฉันบิดขี้เกียจแล้วปิดคอมพิวเตอร์ แหงนดูนาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาเกือบห้าทุ่ม ได้เวลานอนของฉันแล้ว!

จากประตูห้อง บก.หน่วยฝึกฯ จะสามารถมองเห็นเวรฯ เฝ้าธงหน่วยฝึกฯ ได้อย่างชัดเจน บางครั้ง ฉันและเพื่อนผู้ช่วยครูฯ มานั่งเล่นในห้อง บก.หน่วยฝึกฯ จนดึกดื่น แล้วทยอยกันเดินกลับขึ้นไป ก็จะทักทายพลทหารใหม่ที่เข้าเวรฯ อยู่ตรงจุดนั้น และเวรฯ หน้าโรงนอนเสมอ แต่วันนี้ ฉันไม่สามารถทักใครได้ เพราะที่ว่างข้าง ๆ ธงหน่วยฝึกฯ ปราศจากเงาของพลทหารใหม่โดยสิ้นเชิง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดวินัยอย่างร้ายแรง คงมีใครริอ่านคิดลองดีกับการฝ่าฝืนกฎระเบียบของทหารเข้าให้แล้ว...

เสียงหัวเราะคิกคักในห้องเรียนที่อยู่ติดกับทางเดิน ทำให้ฉันค่อยเดินย่องออกไปช้า ๆ จากบานหน้าต่างที่เปิดไว้บานหนึ่ง พลทหารใหม่คู่หนึ่งนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้น!

“แม่ง! ไอ้พวกที่เข้าเวรฯ คู่อื่นมันคงไม่ฉลาดอย่างเราวะ ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่มีใครลงมาแล้วละวะ นั่งสักพักคงไม่เป็นไร”

“ยังไงก็เร็ว ๆ หน่อยละกัน กูกลัวพวกครูเขาจะมาเห็นวะ” ศักดิ์ หรือพลทหารชุมศักดิ์ค้าน ไอ้โบ๊ต ซึ่งเจ้าตัวกลับยิ้มแบบไร้กังวล

“ไม่เป็นไรน่า... มึงก็คอยดูต้นทางไว้สิวะ ถ้าพวกครูมาเจอ ก็บอกว่ากูไม่ค่อยสบาย เลยต้องมานั่งพักเป็นครั้งคราว นี่ไง!” มันชูซองยาที่ฉันให้มันเมื่อตอนกลางวันขึ้น “ยาแก้ไข้กูก็มีนี่!”

ศักดิ์หลบออกไปชะเง้อมองตรงระเบียงหน้าโรงนอนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เวรฯ หน้าโรงนอนมันเห็นเรานั่ง มันก็นั่งบ้างวะ เดี๋ยวซวยกันพอดี ออกมาเถอะ... กูว่าน่าจะพอได้แล้ว”

“เฮ้ย! แสดงว่าคู่ข้างบนมันก็ฉลาดขึ้นเหมือนเราแล้วสิวะ” น้ำเสียงของไอ้โบ๊ตติดตลก “มึงก็เซ้าซี้พิรี้พิไร น่ารำคาญชิบ!”

ความเงียบเกิดขึ้นสักพักหนึ่ง ศักดิ์ เริ่มลุกลี้ลุกลนมากขึ้นเหมือนมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง “ออกมาเถอะวะ พอได้แล้ว มึงไม่กลัวโดนลงโทษทั้งหน่วยฝึกฯ เหรอวะ? ...พวกเพื่อน ๆ ที่เหลือก็จะด่าเอาได้ว่า กูกับมึงเฝ้าธงไม่ดี””

“ไม่ดีตรงไหนวะ... ธงก็ยังอยู่เหมือนเดิม...” มันชี้ไปที่ธงหน่วยฝึกฯ ที่ปักอยู่ด้านนอกห้องเรียน ก่อนจะร้องขึ้นเสียงดัง

“เออ... เชี่ยแล้ว!!!!” ไอ้โบ๊ตตาค้าง ศักดิ์ วิ่งถลันออกมาจากนอกห้องเรียน เพียงเพื่อพบกับความว่างเปล่า!?!?

“ไอ้โบ๊ต กูบอกมึงแล้วไง... ทำไงดีว่ะ ซวยชิบ ธงหายไปแล้ววะ!!!!”




ข่าวเรื่องธงหน่วยฝึกฯ หายซ้ำเป็นครั้งที่สอง แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในหมู่พลทหารใหม่ที่เข้าเวรฯ คืนนั้น มีการปลุกหัวหน้าตอน และหัวหน้าหมวดลงมาช่วยกันค้นหา แต่ก็คว้าน้ำเหลว

ฉันเป่านกหวีดปลุกให้พลทหารใหม่ลุกตอนตีห้าครึ่งตามปกติ พร้อมทั้งกับลงไปนำ พี.ที ด้วยตนเอง พลทหารใหม่ดูหมดเรี่ยวหมดแรงหน้าตาไม่สดชื่น ฉันตีสีหน้าเรียบเฉย และไม่เอ่ยถึงเรื่องธงหายเลยสักคำ แม้ในขณะที่กำลังตั้งแถวเพื่อออกวิ่งรอบสนามโดดร่มก็ตาม ฉันก็เลี่ยงไม่สั่งเชิญธงหน่วยฝึกฯ เอาดื้อ ๆ ทำเอาพลทหารใหม่แต่ละนายมีสีหน้าประหลาดใจ แต่การวิ่งก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

อันที่จริง ความเงียบแบบนี้ ถือเป็นการทำสงครามจิตวิทยาอย่างหนึ่ง คือการสร้างความกดดันให้พวกเขาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในจิตใจของพลทหารใหม่ตอนนี้ คงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า... ทำไมฉันถึงยังไม่สั่งลงโทษเรื่องธงหายเลยสักครั้ง? หรืออาจกำลังคิดว่า... พวกเราจะโดนลงโทษเมื่อไหร่กันนี่?

เหล่าครูฝึกฯ และเพื่อน ๆ ผู้ช่วยครูฝึกฯ ทั้งหลายก็มารู้ข่าวร้ายเอาตอนเช้าเช่นกัน ท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียดซึ่งก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันนั้น มีเพียงนายเดียวที่สามารถทำให้สถานการณ์นั้นพลิกผันได้อย่างขีดสุด

“นั่นแหละ ๆ อย่างนั้น... ดีมาก ไอ้หลอดยุทธ!” ไอ้หน้าหล่อ ยืนกำกับ ยุทธ พ่นสีสเปรย์สีขาว ลงบนผ้าสีดำผืนใหญ่ที่อยู่ในห้องเก็บของ ทำเป็นรูปหน้าแมวเหมียวซานริโอ “คิตตี้” ซึ่ง หล่ออิท อุตส่าห์เปิดอินเตอร์เนทในมือถือให้ ยุทธ ดูเป็นแบบ

“อย่าบอกนะครับว่า หมู่จะให้เอาไอ้ผ้าเนี่ย ไปผูกแทนธงหน่วยฝึกฯ?” กร พูดแบบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“อ้าว! ก็อย่างงั้นสิวะ ไอ้เชี่ยกร” มันเริ่มเรียกชื่อด้วยภาษาดั้งเดิมตามนิสัย “ธงหน่วยฝึกฯ ที่ไอ้พวกนั้นทำหาย ตรามันเป็นรูปเสือ เราก็เอารูปแมวให้มันแทนเนี่ยแหละ... พวกมึงก็เรียกมันว่า กองทหารแมวเหมียวแล้วกันวะ”

ว่าแล้ว มันก็หัวเราะขำกลิ้งอยู่คนเดียว ในขณะที่ ยุทธ น้ำ และ กร ลอบมองตากันอย่างปลงตก!

“แล้วตกลงใครเป็นคนเอาธงไปซ่อน?” คราวนี้ จ่าวิทย์ ถามบ้าง

“ไม่ทราบเหมือนกันครับจ่า” ชัย ส่ายศีรษะ “พอตื่นขึ้นมาก็ได้ยินน้องใหม่เขาพูดกันแล้ว ผมลงไปดูมันก็ไม่มีจริง ๆ แล้วละครับ”

“เห็นเขาบอกว่า จ่ากอง เอ้ย...ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ น่าจะเป็นคนเอาไปซ่อนนะครับ?”

“เฮ้ย! จ่านนท์นะหรือ?” จ่าวิทย์ ขมวดคิ้วใส่ เชฟน้อย “แกจะเข้ามาทำไมดึกดื่น ๆ วะ?”

“ได้ยินจาดน้องใหม่ที่เข้าเวรฯ เขามักพูดกันครับว่า แกชอบขับรถเข้ามาแอบตรวจเวรฯ ตอนกลางคืนนะครับ” เชฟน้อย ขยายความเพิ่มเติม แต่จ่าวิทย์ก็ยังไม่กระจ่างอยู่ดี

“งั้นเดี๋ยวตอนสาย ๆ รอถามจ่านนท์แล้วกัน ว่าจะคืนให้เมื่อไหร่ดี?”

คนที่ไหวตัวเรื่องนี้ทัน เป็นคนเดียวกันกับคนที่สามารถทำให้สถานการณ์นั้นพลิกผันได้อย่างขีดสุด...

หมู่เมธ ยื่นหน้าขาว ๆ เดินเข้ามากระซิบข้างหลัง ขณะที่ฉันกำลังยืนคุมเชิงพลทหารใหม่ซึ่งกระจายตัวกันไปทำความสะอาดตามเวรประจำวัน

“มึงเอาเก็บไหนวะ?”

“หมู่พูดเรื่องอะไรครับ?” ฉันทำหน้าเซ่อ

“กูดูหน้ามึงก็รู้แล้วว่ามึงเป็นคนทำ ไอ้พัทเซ่อ” มันเท้าสะเอวใส่ ยืนกระดิกขาอย่างชนิดที่ว่า ใครเห็นก็อยากจะกระโดดถีบมันสักครั้ง “ตกลงเอาไปซ่อนไหนวะ?”

“มันเรื่องของผม” ฉันสวนกลับไปด้วยความลืมตัว ไอ้หน้าหล่อ อมยิ้ม

ฉันกลืนน้ำลายทีหนึ่ง ไหน ๆ ก็หลุดปากยอมรับไปแล้ว จึงเข้าเรื่องต่อให้เลยดีกว่า “แล้วหมู่จะอยากรู้ไปทำไมละครับ?”

“มันเรื่องของกูวะ” เชี่ย! มันย้อนฉันเข้าให้ ประโยคต่อไปนี้สิ น่าทึ่ง! “กูจะไปลองหาดู ถ้ากูหาเจอ มึงมีรางวัลอะไรให้หมู่หรือป่ะ?”

“ผมจะไปหารางวัลอะไรมาให้หมู่ละครับ?” ฉันมองหน้ามันแบบ... ตูจะบ้าตาย!!!! “แล้วหมู่จะไปช่วยน้องใหม่เขาทำไมละครับ?”

“กูพูดตรงไหนวะ ว่ากูจะช่วยน้องใหม่?” มันย้อนฉันอีกครั้งหนึ่ง “ถ้ากูหาเจอแล้ว กูก็ไม่คืนให้ไอ้พวกนั้นหรอก กูแค่อยากได้รางวัลเฉย ๆ รางวัลง่าย ๆ อย่างกินข้าวต้มรอบดึกวันอาทิตย์นี้อีก แถมเบียร์ฟรีสักสามขวด มึงน่าจะพอเลี้ยงกูได้อยู่ละมั้ง?”

มันแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ในขณะที่ฉันขนลุกพิกล !?!?




ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ คือ จ่ากอง มาถึง บก.หน่วยฝึกฯ ช่วงก่อนเคารพธงชาติ ผู้ฝึกฯ ซึ่งตื่นนอนและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างรอประชุมพร้อมหน้ากับเหล่าครูฝึกฯ จากนั้น ก็ถึงเวลาเฉลยว่า แท้จริงแล้วฉันนี่แหละ เป็นคนเอาธงหน่วยฝึกฯ ไปซ่อน และเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟังอย่างละเอียด

จ่าคม เสนอให้คืนธงพลทหารใหม่ ในกิจกรรมฐานวัดใจตอนกลางคืน ซึ่งจะมีขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้ โดยก่อนคืน คงต้องโดน “ซ่อม” ให้หนักเสียบ้าง เนื่องจาก จ่าคม เข้าเวรฯ ต่อจาก จ่าหวัด ในวันพรุ่งนี้พอดี ผู้ฝึกฯ และจ่ากองก็เห็นชอบอนุมัติทันที

จ่าหวัด ถามฉันด้วยเสียงแหบ ๆ ตามเคย “เอ็งก็แน่เหมือนกันนี่หว่า ไอ้พัทซี่ ...แล้วตกลงเอ็งเอาธงไปซ่อนไว้ที่ไหนครับ?”

ฉันเหลือบมองร่างสูงโปร่งที่ยืนเยื้องไปข้างหลังจ่าหวัด ก่อนจะตอบอย่างระมัดระวัง “ผมคงบอกตอนนี้ไม่ได้หรอกครับจ่า เผอิญมีคนท้าพนันผมไว้ว่า ถ้าเขาหาเจอ ผมต้องมีรางวัลให้เขา”

“รางวัลอะไรวะ?” จ่าหวัดดูตื่นเต้น “จ่าเล่นด้วยสิวะ เดี๋ยวจะลองไปหาดูบ้าง หวังว่ารางวัลคงไม่ใช่ตั๋วนอนกับมึงฟรีหนึ่งคืนนะวะ อย่างนั้น จ่าไม่เอาวะ”

จ่าหวัดหัวเราะเสียงดัง ฉันยิ้มแหย ๆ ไปกับมุขตลกนั้น พอสบตาเข้ากับใบหน้าของหมู่เมธ... ปรากฏว่า มันยักคิ้วให้ อึ๋ย!!!!

ฉันส่งมอบเวรฯ ผู้ช่วยครูฝึกฯ ให้แก่ น้ำ เป็นอันว่า ภาระหน้าที่ของฉันก็เสร็จสิ้นเรียบร้อยไปด้วยดี แล้วมันก็จะวนกลับมาใหม่ในอีก ๘ วันข้างหน้า พลทหารใหม่ยังคงรักษาสีหน้าที่แสดงถึงความหมดเรี่ยวหมดแรง น้ำ สั่งให้เชิญธง “แมวคิตตี้”

“ไม่ต้องร้องเอี๊ยะ.!” จ่ากอง บอก “ให้ตะโกนว่า เหมียว! เหมียว! เหมียว! แทน”

ฉัน และเพื่อนผู้ช่วยครูฝึกฯ อดขำไม่ได้ เมื่อเหล่าพลทหารใหม่ กลายเป็นกองทหารพระเจ้าซานริโออย่างน่ารักน่าชังไปซะนี่!

ช่วงพักครึ่งเช้า ในขณะที่ฉันกำลังยืนซับเหงื่ออยู่ตรงใต้ต้นไม้ โทรศัพท์มือถือที่ปิดเสียงไว้ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้น จึงเดินลัดเลาะเข้าไปในป่าต้นสัก ก่อนจะกดรับ

“เออ... ว่าไง เอ มีอะไรหรือเปล่า?” ชื่อตรงหน้าจอ ขึ้นว่า เอ วีระพงษ์ เพื่อนพลทหาร ร้อยฯ บก.รพศ.๕ พัน.๓ ซึ่งตอนนี้ประจำอยู่ตรง บก.ร้อยฯ

“สะดวกคุยไหม?”

“ได้ กำลังพักอยู่ มีอะไรหรือ?”

ปรากฏว่า เอ โทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องงานเอกสารของคลังอาวุธ ร้อยฯ บก. ที่ฉันเคยทำ เมื่อสนทนากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงปิดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง เสียงฝีเท้าสวบสาบดังขึ้นด้านหลังพอดี

“ครูใช้โทรศัพท์แพงเหมือนกันนะครับเนี่ย?”

ภูหิน คงยืนอยู่นานจนสังเกตเห็น

“มีอะไรหรือ?” ฉันไม่สนใจคำถามนั้น

“ผมอยากจะถามครูหน่อยนะครับ?” ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองมาอย่างมีเลศนัย

“หือ... ว่าไปสิ”

“ครูรู้ใช่ไหมครับ ว่าธงซ่อนอยู่ที่ไหน?”

“ทำไมครูต้องตอบคำถามของเราด้วยละครับ?” ฉันสงสัย

“ผมอยากเอาธงให้เพื่อน ๆ”

“เพราะอะไร?”

“ผมอยากให้เพื่อน ๆ ยอมรับในตัวผม” ภูหิน จ้องหน้าฉันราวกับจะขอร้อง

ฉันหมุนโทรศัพท์มือถือในมือเล่นไปมา ...นั่นแสดงว่า หลังจากที่ปล่อยให้เรื่องระหว่าง จอน วิชา และวิทวัส ที่ทำกับภูหินในห้องน้ำนั้น เจ้าตัวคงจะเก็บมาคิดตลอดเวลาเลยว่า จะมีหนทางใดที่จะลบล้างคำสบประมาทของเพื่อน ๆ ได้ และหนทางที่จะเป็นคนค้นพบธงหน่วยฝึกฯ หลังจากที่มันหายไปเป็นครั้งที่สองนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากคำพูดที่ว่า สถานการณ์ย่อมสร้างวีรบุรุษ

การเป็นวีรบุรุษได้ ก็หมายถึงการที่คนส่วนมากยอมรับในสิ่งที่ตนกระทำอันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และยกย่องในคุณงามความดีนั้น

แต่ไม่ใช่หนทางลัดแบบนี้...

“ครูยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเราอยู่ดี” ฉันแสร้งทำเป็นไม่รู้เหตุการณ์ในห้องน้ำนั้นต่อไป “แล้วครูก็ไม่คิดว่า...ถ้าครูบอกที่ซ่อนธงให้ เราจะไปเอาธงมาให้เพื่อน ๆ แล้วเพื่อน ๆ จะยอมรับในตัวเรานั้น ครูว่าเราคิดง่ายเกินไปหน่อยนะ”

ภูหิน นิ่งฟังอย่างสงบ ในขณะที่ฉันเอ่ยต่อไป “บางครั้ง การที่เราจะยอมรับใครสักคน ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ แต่มักเกิดจากตัวของคนคนนั้นด้วย สมมติว่า เราเอาธงไปให้เพื่อน ๆ ในครั้งนี้ แล้วเราก็ไม่พัฒนาชีวิตการฝึกทหารใหม่ ยังคงเป็นเหมือนเดิม มันก็เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น เหตุการณ์ครั้งนี้ก็จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงวันเดียวก็จบ แต่การกระทำของคนเรายังอยู่ทุกวัน คนอื่น ๆ ก็มองเห็นเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วจะให้เขามายอมรับเรานั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราต้องเปลี่ยนแปลงที่การกระทำของตนเองด้วย”

ฉันจับบ่าลูกศิษย์คนสำคัญอย่างอ่อนโยน “พยายามต่อไปเถอะ เท่าที่เธอทำอยู่ ครูก็เห็นว่าเธอมาถูกทางแล้ว อย่าหลงไปทางอื่นเลยละกัน ครูเป็นกำลังใจให้”

“ผมขอโทษครับ” มันยกมือไหว้ จนฉันต้องรีบยกมือห้าม

“ขอโทษเรื่องอะไรกัน เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“ผมชอบทำเรื่องอะไรไม่เข้าเรื่อง... แล้วก็ชอบเป็นภาระของครูอยู่เรื่อยเลยนะสิครับ”

ฉันหัวเราะลั่น “แต่ครูชอบวะ มาเถอะ... ไปฝึกกันต่อดีกว่า”

ภูหิน เดินตามฉันกลับมาเข้ากลุ่มกับเพื่อน ๆ พลทหารใหม่ หวังว่าคำพูดของฉันคงช่วยให้มันคิดอะไรกว้าง ๆ ขึ้นมาได้บ้าง

“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เราอุตส่าห์มาขอร้องขนาดนี้ ครูก็จะช่วยเรื่องหนึ่งให้”

“เรื่องอะไรครับ?”

“บอกพวกเพื่อน ๆ ละกัน ว่าพรุ่งนี้ตอนกลางคืนก็จะได้ธงคืนแล้ว?”

“พรุ่งนี้ตอนกลางคืน?” มันทวนคำ “แล้วพรุ่งนี้ตอนกลางคืน จะมีอะไรหรือครับ?”

“ฐานวัดใจไงละ!!!!” ฉันยิ้มปิดท้าย




ชั่วโมงอบรมจริยธรรม ผู้ฝึกฯ กำลังอบรมเรื่องคุณธรรมของทหารอยู่ในห้องเรียน ส่วนจ่ากอง เรียกพวกเราประชุมเพื่อเตรียมกิจกรรมฐานวัดใจสำหรับตอนกลางคืนของวันพรุ่งนี้

ฐานวัดใจตอนกลางคืน เป็นกิจกรรมเพื่อฝึกทหารใหม่ให้มีความสามัคคี ฝึกฝนความกล้าหาญ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพัฒนาด้านจิตใจให้มีความแข็งแกร่ง กล้าเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ ตอนที่ฉันผ่านกิจกรรมนี้เมื่อครั้งอยู่หน่วยฝึกทหารใหม่นั้น นับว่าเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานปนความทรมานอยู่พอสมควร แต่สำหรับการฝึกในครั้งนี้ ต้องบอกว่า จ่ากอง ทำได้สมกับเป็นเพชฌฆาตหน้าหยกจริง ๆ

และแล้ว วันเวลาที่รอคอยก็มาถึง...

เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่มตรงวันถัดมา จ่าคม ซึ่งเป็นครูเวรฯ สั่งให้พลทหารใหม่ออกมาตั้งแถวหน้าอาคารหน่วยฝึกฯ ทหารใหม่ ส่วนผู้ช่วยครูเวรฯ คือ ยุทธ สั่งให้ทุกคนปิดปากให้เงียบที่สุด เพราะจะพาไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือ เจ้าพ่อเสือแม่เย็น

ที่มาของเจ้าพ่อเสือแม่เย็นนั้น ในตอนแรก ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันที่จะให้ฉัน แต่งตัวแบบเจ้าเข้าทรง เพื่อเป็นเจ้าแม่ “หารมโหรี” แต่ฉันไม่เล่นด้วย แม้จะช่วยกล่อมซะจนเกือบจะคล้อยตาม จนฉันยื่นคำขาดว่า ถ้าให้ฉันแต่งเป็นเจ้าแม่ ฉันจะหนีกลับกองพันฯ ด้วยสีหน้าขึงขัง และท่าทีที่จริงจัง ทำเอาทุกคนต้องยอมถอย ส่วนคนที่ต้องแต่งตัวเป็นเจ้าพ่อนั้น จ่าหวัด รับเคราะห์ไปเต็ม ๆ

จ่าสถาพร ซึ่งกลับจากการดูแลลูกสาวที่ป่วยอยู่มาทำงานตามปกติได้แล้วนั้น เป็นผู้อาสาหาชุดมาแต่งตัวให้ จ่าหวัด ผลที่ได้ คือ ชายแก่ใส่แว่นตาดำ ใส่เสื้อผ้าฝ้ายคอกลมสีขาว นุ่งโสร่งลายตารางหมากรุก คล้องผ้าผืนยาวสีชมพูสะท้อนแสง ดูเด่นเสียจนฉันต้องขอถ่ายรูปเก็บไว้

พวกเราที่เหลือแต่งชุดพรางครึ่งท่อน สวมเสื้อยืดสีดำ จ่าสถาพร หาอุปกรณ์แต่งตัวเสริมแปลก ๆ มาให้เราลองสวมอย่างสนุกสนาน หล่ออิท กับ ปิ๊ก พรางหน้าตัวเองด้วยผงสีดำ โพกหัวด้วยผ้าขาวม้า แต่เอากิ่งลำไยมาเหน็บไว้บนศีรษะไว้ด้วย ชัย กับ เชฟน้อย เลือกที่จะใส่หมวกไอ้โม่ง แทนการพรางหน้าตา แต่ก็ไม่วาย ขอสะพายกระสุนปลอม กับปืนสั้นปลอม ที่ดูคล้ายปืนฉีดน้ำมากกว่าปืนจริง กร น้ำ และฉัน ขอพรางแต่หน้าตาก็พอแล้ว ผิดกับครูฝึกฯ ที่จัดเต็มเกือบทุกนาย ยกเว้น...

“หมู่ทำอะไรเนี่ย ทำไมไม่พรางหน้าเหมือนคนอื่นเขาละครับ?” ฉันแซวไอ้หน้าหล่อที่ยังคงหน้าขาววอก จนแทบเรืองแสงได้ในความมืด คำตอบของมันเล่นเอาฉันเกือบหงายหลัง

“ไม่เอาวะ เดี๋ยวสิวขึ้น” มันทำหน้าขยะแขยง “กูมีนี่แทนวะ”

มันเอาหน้ากากผีขึ้นมาสวม!

เหมาะจริง ๆ เลยพับผ่าดิวะ ฮา...!!!!

เราจัดพื้นที่ป่าละเมาะหลังอาคารหน่วยฝึกฯ ให้เป็นฐานต่าง ๆ ลัดเลาะเรื่อยไปตามพงหญ้า จนไปสิ้นสุดที่บริเวณหลังหมวดยานยนต์ของกรมฯ ซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร จ่าคม และ ยุทธ สั่งให้พลทหารใหม่ตั้งแถวบริเวณลานดินหลังห้องน้ำของหน่วยฝึกฯ ก่อนจะทิ้งให้จ่าสถาพร กับเชฟน้อย เป็นคนดูแล ขั้นแรก ก็คือต้องปิดตาพลทหารใหม่นายใดนายหนึ่งก่อน เพื่อให้คู่ของตนเองเป็นผู้ใบ้ทางโดยห้ามใช้เสียงโดยเด็ดขาด การจับคู่ไม่จำเป็น ต้องเป็นบัดดี้กัน แต่มาจับคู่กันใหม่ ซึ่งแตกต่างจากสมัยที่ฉันเคยรับการฝึก เจ้าของความคิดนี้ คือ จ่ากอง ซึ่งแกมองว่า เพื่อจะได้รู้จักกันทั่ว ๆ และช่วยเหลือกันได้โดยไม่เกี่ยงกัน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของกิจกรรมนี้

ท่ามกลางความมืด พลทหารใหม่ที่ไม่ถูกปิดตา ต้องคอยใบ้คนที่คอยปิดตาให้คลานลอดผ่านอุโมงค์ต้นไม้เตี้ย ๆ ความยาวประมาณ ๘ เมตรไปด้วยกันอย่างทุลักทุเล จากนั้น จึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในป่าละเมาะตามเส้นทางซึ่งพวกเราได้จุดคบไว้เป็นทาง ครูฝึกฯ และผู้ช่วยครูฝึกฯ กระจายตัวคุมอยู่ตามฐานต่าง ๆ

ฐานที่สองมี หมู่เมธ อยู่กับ กร เพียงสองนายเช่นกัน ฐานนี้ เล่นง่าย ๆ ด้วยการล้วงไห ๓ ใบ แล้วบอกให้ได้ว่า ในไหนั้นมีอะไร? เมื่อบอกถูกถึงจะให้ไปต่อได้ ความตื่นเต้นอยู่ตรงที่เราไม่สามารถรู้ได้ว่า ในไหนั้นมีอะไร? เมื่อสิ้นสุดฐานนี้ จะสลับกันปิดตา เพื่อเดินทางไปยังฐานที่ ๓ เป็นฐานเดินบนขอนไม้ ฐานนี้ จ่าวิทย์ ชัย กับ ปิ๊ก คอยดูแลอยู่ เนื่องจากเป็นฐานที่ยากพอสมควร เพราะต้องให้คนที่ไม่ได้ปิดตา คอยใบ้คนที่ปิดตาเดินบนขอนไม้ความยาวเกือบ ๕ เมตรให้ได้

ฐานที่ ๔ ฐานนี้ มีคนเฝ้าอยู่เพียงนายเดียว คือ น้ำ เป็นฐานให้ดมกลิ่นต่าง ๆ แล้วบอกให้ได้ว่า มันคือกลิ่นอะไร?

เมื่อสิ้นสุดตรงจุดนี้ พลทหารใหม่จะถอดผ้าปิดตาออก เพื่อเข้าสู่ฐานที่ ๕ ซึ่งเป็นฐานขนหัวลุก จ่ากอง เตรียมกับจ่าคม ให้เอาโลงศพมาตั้ง พร้อมทั้งวางกระถาง จุดธูปเทียน ให้เหมือนจริง โลงศพนี้ จ่ากองไปขอบูชามาจากวัดใกล้กับค่าย แล้วขนมาไว้ตอนกลางวัน แม้แกจะยืนยันว่า เป็นโลงศพใหม่ที่ไม่เคยใช้งานมาก่อน แต่ ยุทธ ซึ่งเฝ้าฐานนี้กับจ่าคม ยืนยันว่า เห็นรูคล้ายกับมีการตอกตะปูฝาโลงแล้วงัดออก ซึ่งหมายความว่า มีการใช้งานมาแล้ว เล่นเอาฉันขนลุกไปด้วยเช่นกัน กลิ่นธูป และควันสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่งท่ามกลางอากาศอันเย็นยะเยือกนั้น สร้างบรรยากาศชวนขวัญผวาได้เป็นอย่างดี

ส่วนฐานสุดท้าย เป็นฐานที่จ่าหวัด ซึ่งแต่งตัวเป็นเจ้าพ่อเสือแม่เย็น นั่งบนแคร่ไม่ไผ่ มีหัวกะโหลก ตุ๊กตากุมารทองศาลพระภูมิเก่า ผลหมากรากไม้ ธูปเทียนจุดบูชา พวงมาลัย และด้ายสายสิญจน์ระโยงระยาง จ่ากอง ซึ่งยืนคุมเชิงอยู่ตรงทางเข้า จะคอยสั่งให้พลทหารใหม่ถอดเสื้อออก เหลือแต่กางเกงใน กองไว้ตรงที่นั่งของใครของมัน ผู้ฝึกฯ ซึ่งยืนคุมแถวอยู่ข้างจ่าหวัด ก็จะคอยบอกพลทหารใหม่เป็นระยะ ๆ ว่า สถานที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น การที่จะเข้ามายังสถานที่นี่ ต้องชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ ด้วยการแต่งกายแบบนี้ ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อเจ้าพ่อ และจะเริ่มพิธีก็ต่อเมื่อ พลทหารใหม่ มากันครบทุกนายแล้ว

สำหรับฉัน ผู้ฝึกฯ ให้ทำหน้าที่บันทึกภาพ และคอยเดินตรวจตราประสานงานระหว่างฐานทั้ง ๖ ฐาน ซึ่งถือเป็นงานที่สนุกยิ่งนัก ยกเว้นฐานที่ ๕ ที่มีโลงศพตั้งอยู่นั้น ฉันแทบจะไม่เฉียดกรายเข้าไปใกล้เลยสักนิดเดียว แม้ว่า พวกเราจะทำพิธีบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณี เพื่อขออนุญาตแล้วก็ตาม ฉันก็ยังอดหวั่นใจลึก ๆ ไม่ได้

แสงสลัวจากคบไฟที่จุดไว้เป็นระยะ ๆ ทำให้พอมองเห็นหน้ากันไม่ชัด ดังนั้น เมื่อมีมือหนึ่งมาสะกิดแขนฉันเบา ๆ จึงต้องเพ่งกันอยู่นาน ถึงจะรู้ว่าเป็นใคร...

“พอล หรือ?”

“ครูพัทซี่หรือครับ?” พอล ถาม มันคงพอจะจำเงาหน้าที่โดนพรางได้บ้าง “ครูครับ... ผมกลัวอ่ะครับ...”

พอล พูดเมื่อมองเห็นโลงศพตั้งอยู่ไม่ไกล ขณะที่กำลังเดินลัดเลาะไปตามเนินดินระหว่างฐานที่ ๔ กับฐานที่ ๕

คู่ของมันที่ปิดตาอยู่ ฉันจำได้ว่าเป็น เอ็ด ที่อยู่หมู่ ๑ หมวด ๑ ฉันกระซิบตอบมันเบา ๆ

“ใจแข็งไว้หน่อย เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

“คือ... ผมกลัวจน... ขาสั่นไปหมดแล้วครับ”

ฉันก้มมองขาทั้งสองข้างของมัน แม้จะมืดอยู่บ้าง แต่ก็สังเกตเห็นอาการกระดุกกระดิก เหมือนคนอั้นอะไรสักอย่าง ฉันเดาความคิดมันออกทันที “พอล... อย่าบอกนะว่า...”

“ผมกลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้วครับ ครูพัทซี่ ทำไงดีครับ?”

ฉันอดขำเล็ก ๆ กับน้ำเสียงสั่น ๆ ของ พอล ไม่ได้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มีโอกาสเห็นคนกลัวจนฉี่จะราดอย่างที่เขาพูดกัน ฉันไล่ให้มันเข้าพงหญ้าไปปลดทุกข์ พลางจับแขน เอ็ด ไว้ไม่ให้เดินไปชนอะไรเข้า

ฉันทยอยตรวจดูแต่ละฐาน เพื่อคอยช่วยเหลือครูฝึกฯ และเพื่อน ๆ ผู้ช่วยครูฝึกฯ ฐานที่แออัดที่สุด เห็นจะเป็นฐานที่ ๓ เพราะนอกจากจะยากจริง ๆ แล้ว ปิ๊ก อดีตบัดดี้ฉัน ดันเล่นพิเรนทร์ด้วยการเอาแท่งเหล็กแช่น้ำแข็งเย็นจัดในกระติกไปจี้พลทหารใหม่ที่ถูกปิดตา จนสะดุ้งร้องโอดโอยนึกว่าโดนไฟนาบกันเป็นแถว โดยเฉพาะคู่ของ พงศ์ กับ วิชา ที่ฝ่ายหลังโดนจี้จนสะบัดแขนหลุดจาก เจ๋ง ลงไปดิ้นพราด ๆ อยู่บนพื้น พวกเราที่เหลืออยู่ ณ ตรงนั้น ต้องเอามืออุดปากหัวเราะเงียบ ๆ กันจนจุก ปิ๊ก เล่นเสียจนทำให้แถวพลทหารใหม่ต้องรอคิวอยู่นับสิบคู่ ฉันจึงต้องออกแรงช่วยงานฐานนี้อีกนายหนึ่ง

“มึงอย่าเล่นเยอะสิวะ เดี๋ยวก็เสร็จตีสองหรอก” ฉันปรามมัน แต่ ปิ๊ก กลับทำหน้าทะเล้นใส่ แปลง่าย ๆ ว่าไม่ฟังกันนั่นเอง... เอ้อ ฉันนึกปลง!

เมื่อพลทหารใหม่ที่กองกันอยู่ พอเคลื่อนตัวได้บ้างแล้ว ฉันก็ฉุกคิดถึงลูกศิษย์หมู่ฉันที่เหลือขึ้นมาได้ จึงเดินออกตามหา ทันได้เจอ จอน คู่กับ เอ็ด และ ซุป คู่กับ วิทวัส ที่ฐานล้วงไหของหมู่เมธ ซุป ซึ่งโดนปิดตาอยู่ ถึงกับสะดุ้งดึงมือออกจากไหอย่างฉับพลัน เมื่อสัมผัสเจออะไรหยุ่น ๆ เข้าให้ มารู้เอาทีหลังว่า สิ่งของที่อยู่ในนั้น มี เฉาก๊วย ตัดเป็นเส้นเหมือนปลาไหลแช่อยู่ในน้ำ ฟักทองนึ่งเละ ๆ และแปรงล้างขวดอันเล็ก ที่ตัดก้านมันออกเหลือเฉพาะตัวแปรง อันหลังสุดนี้ ตอนฉันรับการฝึกทหารใหม่ ก็ได้จับเช่นกัน ความรู้สึกแรกเมื่อปลายนิ้วสัมผัสกับขนแปรง จะสะบัดและดึงมือออกมาจากไหอย่างแรงด้วยความตื่นกลัว พลทหารใหม่รุ่นนี้ก็เช่นกัน ถือเป็นบททดสอบทางจิตใจได้ดีอย่างหนึ่ง

ที กับ ก้าน จับคู่กัน ที ซึ่งปิดตาอยู่ผ่านด่านดมกลิ่นของ น้ำ ไปได้ฉลุย ในกระปุกใบเล็กนั้น มีแอมโมเนีย หรือเยี่ยวอูฐ ชุบสำลีใส่ไว้ ใบชา ถ่านไม้ และสุดท้ายที่เด็ดสุด คือ ถุงยางอนามัยกลิ่นสตอเบอร์รี่!

นับเป็นโชคดีของภูหินหรือเปล่าไม่ทราบได้ ที่มันได้คู่กับ เอก หัวหน้าหมวด ๒ ซึ่งตอนนี้ กำลังมะรุมมะตุ้มอยู่ที่ฐานไต่ขอนไม้ ภูหินไม่ได้ถูกปิดตา แม้ว่าจะเงอะ ๆ งะ ๆ ในตอนแรก แต่มันก็สามารถพา เอก ไต่ขอนไม้ไปได้จนสุดทางโดยใช้เวลาเพียงนิดเดียว ฉันแอบชื่นชมในความพยายามของมันอยู่ลึก ๆ
ในที่สุด ระหว่างทางจากฐานที่ ๓ ไปฐานที่ ๔ นั่นเอง ฉันก็เจอ มาวิน จับคู่มากับไอ้ตัวดีของรุ่น นั่นคือ ไอ้โบ๊ต ซึ่งตอนนี้มันถูกปิดตาอยู่

ฉันนึกสนุก เลยบอกใบ้มาวินให้ถอยไปห่าง ๆ แล้วสวมรอยคล้องแขน ไอ้โบ๊ต ซะเลย

“ถึงไหนแล้ววะ?” ขนาดห้ามใช้เสียง มันก็ยังกล้าจะฝ่าฝืน
ฉันเงียบแล้วออกแรงฉุดมันเดินไปตามพงหญ้า จนกระทั่งเข้าไปในป่าลึก ที่ห่างจากทางเดินที่เราทำไว้ราว ๑๐ เมตร พาเดินอ้อมต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่า มันเองก็คงผิดสังเกต เลยยื่นมือออกไปคลำหาทางสะเปะสะปะ ท่ามกลางความมืดของต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นสูงจนบดบังแสงจันทร์ พงหญ้าที่หนาทึบจนปิดแสงจากคบไฟหมดสิ้น ฉันผละแขนออก ปล่อยให้มันยืนอยู่คนเดียว เสียงจิ้งหรีดเรไร ร้องระงมไปทั่ว

“เฮ้ย! ไอ้วิน มึงหายไปไหนวะ มาพากูไปต่อสิวะ มึงพากูมาอยู่ที่ไหนวะเนี่ย?”
ฉันกั้นแขน มาวิน ที่ถลาจะเข้าไปช่วย บอกให้มันออกไปรอตรงฐานที่ ๔ แล้วสาวเท้าเข้าไปหาผู้ที่ถูกปล่อยให้ยืนอยู่ตรงนั้น ฉันเปล่งเสียงต่ำ ๆ ออกมา

“มึงใช่ไหม ที่เป็นคนทำธงหาย?”

“ครูพัทซี่!” น้ำเสียงแฝงความตกใจเล็กน้อย

“ตอบมาสิวะ... มึงใช่ไหม ที่เป็นคนทำธงหาย?”
มันนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดช้า ๆ “ใช่ครับ”

“เขาให้มึงเฝ้าธงให้ดี ๆ แล้วทำไมมึงถึงเสือกไปนั่งในห้องเรียนวะ?”

“ครูรู้หรือครับ?” น้ำเสียงมันตระหนก เพราะเรื่องที่ได้ยินมาจาก บะหนุน หัวหน้าตอน ซึ่งเป็นคนสอบสวนมันกลางดึกของคืนวันเกิดเหตุ ไอ้โบ๊ต ให้การว่า ศักดิ์ กับ มัน ได้ยินเสียงแปลก ๆ ในห้องเรียน เลยเข้าไปดู กลับมาอีกที ธงก็หายไปแล้ว

เป็นเรื่องโกหกที่น่าละอายอย่างที่สุด!

“งั้นแสดงว่าครูเป็นคนเอาธงไปซ่อน?” มันพ้อ หลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงฉันตอบคำถามเมื่อสักครู่

“ถ้าใช่แล้วจะทำไมวะ?”

“ครูแกล้งผมทำไมครับ?”

“ครูไม่ได้แกล้ง มันเป็นระเบียบวินัย” ฉันฝืนอดทนกับคำพูดของคนที่ไม่เข้าใจโลกอย่างมัน “มึงไม่ทำตามกฎระเบียบวินัยของทหาร ครูจะปล่อยให้มันผ่านไปไม่ได้ ทหารอยู่ด้วยระเบียบวินัย”

ฉันเอานิ้วไล้ไปตามลำคอ เรื่อยลงมาผ่านหน้าอก แล้ววนเวียนอยู่ตรงหน้าท้อง ได้ยินเสียงไอ้โบ๊ตกลั้นลมหายใจ หน้าท้องที่แบนราบเกร็งขึ้นเล็กน้อย ฉันกระซิบข้างหู

“เสียวหรือวะ?”

ยังไม่สะใจ ฉันลดมือลงลูบไล้ที่ต้นขาทั้งสองข้างของมันอีกครั้ง คราวนี้หน้าท้องมันเกร็งเป็นลูก ๆ สุดท้ายฉันวนเวียนกลับมาตรงบริเวณท้องน้อยของมัน ไปจนถึงบั้นท้าย

“ครูจะทำอะไรผมครับ?” ลมหายใจของมันสะดุด ด้วยความสะท้าน

“ทำแบบนี้ไงจ๊ะที่รัก!”

ว่าแล้ว... ฉันก็คว้าหมับเข้าที่เป้ากางเกงของมัน แล้วออกแรงบีบจนไอ้โบ๊ตร้อง โอ๊ย! ออกมาเสียงดัง มันพยายามจะใช้มือทั้งสองข้างปัดป้อง แต่กลับสู้แรงฉันไม่ได้

มึงนะ ทำไมถึงชอบทำตัวน่ารังเกียจอยู่เรื่อยเลยวะ? เรื่องที่มึงเสนอมานอนกับครูก็เรื่องหนึ่ง แล้วเรื่องที่มึงโกหกเพื่อน ๆ ตอนธงหายนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง... มึงคิดจะเอาตัวรอดอย่างเดียว... คิดจะอยู่อย่างสบาย ไม่สนใจเพื่อนไม่สนใจคนรอบข้าง... มึงนะ... มันไม่ใช่ลูกผู้ชายวะ!”

ฉันเน้นประโยคสุดท้ายหนัก ๆ พลางกำกล่องดวงใจของมันแน่นเสียจนมันเริ่มงอตัวด้วยความเจ็บปวด ตอนปล่อยมือออก ไอ้โบ๊ตจึงล้มกองลงกับพื้นหญ้าไม่เป็นท่า

ฉันมองดูอย่างสมเพชเล็ก ๆ ก่อนจะทิ้งให้มันอยู่ตามลำพัง พลางเดินไปเรียก มาวิน มารับตัวกลับเข้าฐาน นับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ไอ้โบ๊ตไม่กล้าสู้หน้าฉันอีกเลย!

...........................................



Create Date : 15 กรกฎาคม 2555
Last Update : 15 กรกฎาคม 2555 21:05:11 น.
Counter : 1058 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
กรกฏาคม 2555

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
30
31
 
 
All Blog