โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๒๒ ภ.ม. ภาิคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๒๒ ภ.ม.ภาคิโน


“ภูหิน อย่าลืมกันจอนด้วย” ฉันแวะบอกในตอนเช้าวันจันทร์ เมื่อเห็นมันถือขันน้ำพลาสติกที่ใส่ของมากมายตามที่ฉันจัดให้เดินเข้าห้องน้ำไป

“ผมกันเองไม่เป็นอ่ะครับ” โชคดีที่ดวงตาที่มองกลับมา ไม่ได้มีรอยหมองคล้ำอันเนื่องมาจากการนอนไม่หลับ หรือร้องไห้ตลอดคืน ฉันเลยแนะนำให้อย่างอารมณ์ดี

“ขอเพื่อน ๆ ในหมู่ช่วยกันให้ดิ... ที หรือ ซุป ก็ได้”

การกันจอน คือ การโกนไรผมตรงใต้ขมับ ช่วงระหว่างหน้าใบหู ซึ่งเรียกว่า จอนผม ให้เป็นเส้นตรง ไม่เป็นไรผมปรกระเรี่ย ส่วนใหญ่ คนที่เป็นทหารกับตำรวจ ต้องตัดผมแล้วกันจอนทุกครั้ง... จึงไม่แปลกถ้าจะส่องกระจกแล้วทำคนเดียว เพราะมันลำบากเหลือเกิน

หมู่เมธก็ตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ตามปกติ เราแทบไม่ได้คุยกันเลย ฉันเองก็วุ่นกับเรื่องสารพัด ดีที่ไม่มีอาการเมาค้าง และไม่มีเพื่อนผู้ช่วยครูฝึกฯ นายไหนสงสัยว่าเราหายไปไหนกัน...

วันนี้ยังเป็นวันที่พลทหารใหม่มาอยู่รวมกัน ณ หน่วยฝึกทหารใหม่ กรมรบพิเศษที่ ๕ แห่งนี้ครบ ๘ วันแล้ว เป็นวันที่ใครหลายคนตั้งหน้าตั้งตารอคอย อย่างน้อยก็ บะหนุน กับ เอ็ด โดยเฉพาะตัวฉัน ซึ่งเป็นวันที่ฉันต้องเข้าเวรฯ ผู้ช่วยครูเวรฯ เป็นครั้งแรกในฐานะผู้ช่วยครูฝึกทหารใหม่อย่างเต็มตัว อย่างที่ไอ้หน้าหล่อบอกไว้เมื่อคืน

“แล้วอย่าลืมว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันของมึงนะวะ!”

ฉันขึ้นไปบนโรงนอน พลทหารกำลังเปลี่ยนชุดฝึกกัน แอบเห็น มาวิน พลทหารหมู่ฉันกำลังยกเท้าตัวเองขึ้นดูแผลเล็ก ๆ หลังส้นเท้า

“เป็นไรอ่ะ?”

“รองเท้ากัดครับครู”

“ใส่ถุงเท้าซะสองชั้นก็น่าจะได้” ฉันก้มดูแผลสด ยังไม่รุนแรงเท่ารายภูหิน

“แต่ถ้าไม่ไหว ก็ใส่รองเท้าผ้าใบไปก่อนก็ได้นะ”

“ผมไม่อยากใส่รองเท้าผ้าใบครับ มีคนบอกว่า ทหารใส่รองเท้าผ้าใบ เป็นทหารแม้ว ผมไม่ใช่แม้วสักหน่อย” มาวิน พูดไม่ชัดตามพื้นเพเดิม เพื่อน ๆ ที่อยู่ใกล้กันได้ยินเข้าต่างพากันหัวเราะ

“คนที่โดนรองเท้ากัด แสดงว่า ไม่เคยกินเนื้อควายใช่ไหมครับ?” ไอ้พงศ์ ออกความเห็น

“ทำไมวะ?” ฉันไม่เข้าใจ

“ก็เหมือนที่เขาบอกกันว่า ถ้าไม่อยากโดนหมากัด ก็ต้องหัดกินเนื้อหมา หมามันจะรู้เลยไม่กัด... รองเท้าคอมแบทมันทำจากหนังควาย ก็ต้องลองกินเนื้อควายสักนิด มันก็ไม่กัดแล้วละคร้าบ...”

คราวนี้ เพื่อน ๆ ที่อยู่รายรอบพากันครื้นเครง ฉันเองยังอดยิ้มไม่ได้

“จะลองอีกวิธีก็ได้นะ” ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ “เรากัดมันก่อน มันจะได้ไม่กัดเรา”

มาวิน ทำตาค้าง “กัดรองเท้าเนี่ยหรือครับครู?”

“อือ...” ฉันพยักหน้า เพราะตอนฝึกช่วงที่โดนรองเท้ากัดหนัก ๆ ฉันรำคาญมาก เลยถือโอกาสสบช่องช่วงที่ไม่มีคนอยู่บนโรงนอน หยิบรองเท้าทุกคู่มากัดด้วยฟันตัวเอง ยกเว้นรองเท้าแตะ!

“มันได้ผลไหมครับ?” มาวิน ซัก แสดงว่ามันเริ่มอยากลองขึ้นมาบ้าง

“ก็น่าจะได้ผลนะ ตอนสมัยครูฝึก ครูก็โดนรองเท้ากัด ครูเลยเอามันมากัด มันก็ค่อย ๆ หาย”

มาวิน พยักหน้า ฉันลุกขึ้นเดินกลับมาเอาของที่ตู้ของตัวเอง แล้วลงไปจากโรงนอน

สิบนาทีต่อมา ขณะที่ฉันกำลังคุยกับปิ๊กอย่างเพลิดเพลิน ชัย ก็ตามมาสมทบที่ลานรวมพล แล้วบ่นใหญ่

“โง่ชิบ!”

“อะไรวะ?” ปิ๊กถาม

“ใครหน้าไหนก็ไม่รู้ดันทะลึ่งไปบอกน้องใหม่นะสิวะ” ชัย ทำหน้าเซ็ง “...ว่าถ้ากัดรองเท้าแล้ว รองเท้ามันก็จะไม่กัด... แม่ง! กูขึ้นไปบนโรงนอน เห็นมันเอารองเท้ามากัดกันแทบทุกคนเลยวะ !!!!”



ตอนสาย ฉันรับปลอกแขนสีแดงต่อจาก ปิ๊ก ภายหลังจากที่เคารพธงชาติเรียบร้อยแล้ว ฉันสูดลมหายใจลึก แม้ว่าก่อนหน้านี้ ฉันจะเคยสวมปลอกแขนผู้ช่วยสิบเวรฯ เมื่อครั้งทำงานอยู่ที่ ร้อยฯ บก. รพศ.๕ พัน.๓ มาบ้าง แต่ความรู้สึกเหล่านั้น กลับเทียบไม่ได้กลับความรู้สึกในครั้งนี้ เพราะนอกจากจะเป็นทางการแล้ว ฉันยังต้องออกคำสั่งกับพลทหารใหม่ตั้ง ๕๖ นาย ตลอดทั้งวันทั้งคืน จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า

จู่ ๆ วิญญาณของความเป็นครูก็พลุ่งพล่านขึ้นมา หรือมันจะเป็นอย่างที่คุณแม่ของฉันท่านพูดติดตลกไว้ว่า ...วิญญาณความเป็นครูนี่ มันถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ด้วยนะ ไม่น่าเชื่อ! ... เป็นครั้งแรกที่ฉันมองพลทหารใหม่ทั้งหน่วยอย่างเต็มตา

นับตั้งแต่วันที่จ่ากองประกาศกลาง ร้อยฯ บก. รพศ.๕ พัน.๓ ว่า จะเลือกฉันมาฝึกทหารใหม่ ฉันก็ไม่เคยสลัดความคิดที่ว่า ...ตัวเองนั้นมีค่าพอที่จะได้รับเลือกให้มาเป็นผู้ช่วยครูฝึกฯ จริงอยู่ว่า การที่ฉันผ่านการฝึกทหารใหม่มาได้อย่างยากลำบากแสนเข็ญ จนอาจเป็นเรื่องที่ดูเหลือเชื่อในสายตาของคนอื่น แม้กระทั่งกับผู้ฝึกฯ ก็ตามเถอะ แต่ฉันก็ไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะสามารถสอนพลทหารใหม่ได้ ตำแหน่งผู้ช่วยครูฝึกฯ ที่อาจดูต่ำต้อยด้อยค่า หรือตำแหน่งที่ใครต่อใครที่เคยเป็นพลทหารมาก่อนก็อาจจะมีโอกาสได้เป็นนั้น กลับเป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยคาดคิด เพราะนี่.... คือก้าวต่อไปของการยอมรับ ก้าวต่อมาจากวันที่หมวกทรงอ่อนสีเลือดหมูสัมผัสลงบนศีรษะของฉัน

ได้เวลาก้าวเดินต่อไปอีกก้าวของชีวิตแล้ว...

ฉันเป่านกหวีดเรียกรวมพลบนถนนหน้าหน่วยฝึกฯ !!!!




ฉันเป่านกหวีดเรียกรวมพลบนถนนหน้าหน่วยฝึกฯ เพื่อตั้งขบวนพลทหารใหม่เดินไปยังสนามฝึก สำหรับวันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นั่นคือ การสั่งตั้งแถว จะมอบหมายให้หัวหน้าหมวด คือ บะหนุน เป็นผู้สั่งการ และคอยกำกับดูแล โดยผู้ช่วยครูเวรฯ จะคอยดูอยู่ห่าง ๆ เมื่อตั้งแถวเสร็จเรียบร้อย หัวหน้าหมวดก็จะกลับไปเข้าแถวตามเดิม หลังจากนั้น จะเป็นหน้าที่ของผู้ช่วยครูเวรฯ เป็นผู้สั่งการลำดับต่อไป

ก้าน หัวหน้าหมวด ๑ เป็นผู้เชิญธงหน่วยฝึกฯ จึงยืนอยู่หน้าแถวตอน เมื่อเห็นพลทหารใหม่ประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงเป่านกหวีดอีกครั้ง

“หน่วยฝึกทหารใหม่ฯ ทั้งหมด... ซ้ายหัน”

เสียงตบเท้าดังกึกก้องพร้อมเพรียงกันดีมาก พอ ๆ กับเสียงสั่งแถวของฉันที่ดังห้าวหาญไม่แพ้กัน จนรู้สึกฮอร์โมนชายในร่างกายช่างพลุ่งพล่านยิ่งนัก

“เชิญธงหน่วยฝึกทหารใหม่ฯ ตรงหน้าระวัง วันทยาวุธ!”

สิ้นสุดคำสั่งของฉัน ทั้งแถวจะยืนตรงทำความเคารพ ก้าน ก็ยกแขนทั้งสองข้าง กำมือหลวม ๆ ในท่าเตรียมวิ่ง แล้วเตะเท้าขวาออกไป เมื่อเท้าสัมผัสพื้น ทั้งตัวของมันก็จะวิ่งออกไปโดยอัตโนมัติ แต่ท่าวิ่งจะผิดไปจากการวิ่งแบบปกติอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ จะเตะเท้าสูง จนหลังเท้าเกือบจะสัมผัสบั้นท้ายของเรา ส่วนหลักการวิ่งของทหารมีอยู่ว่า จะไม่วิ่งอ้อมโน่นลัดนี่ ต้องวิ่งเป็นเส้นตรงเท่านั้น ดังนั้น ก้านจะวิ่งออกจากแถวในลักษณะขนานไปกับแถว แล้วคะเนด้วยสายตาว่า เมื่อถึงทางเดินที่ลาดไว้ไปสู่จุดปักธงหน้าอาคารหน่วยฝึกฯ แล้ว ก็จะหันซ้าย หรือขวา ตามแต่สถานการณ์ ตรงไปยังธงหน่วยฝึกฯ

เมื่อใกล้จะถึงประมาณสามก้าว จะวิ่งย่ำอยู่กับที่ เมื่อได้จังหวะจะหยุดวิ่ง ชิดเท้า แขนแนบลำตัว มือตรง วันยาหัตถ์หรือวันทยาวุธขึ้นหนึ่งครั้ง แล้วก้าวเท้าออกไปยกธงหน่วยฝึกฯ ชูขึ้นสุดลำแขน จังหวะนี้เอง พลทหารใหม่ในแถวจะตะโกนขึ้นสุดเสียงว่า เอี๊ย! เอี๊ยะ! เอี๊ย! ถัดไป ก้านก็จะลดธงลง ถือธงในลักษณะเฉียงไปทางซ้าย ๖๐ องศา แล้วเตะเท้าขวาออกไป เพื่อวิ่งกลับไปตามทางเดิมเพื่อประจำ ณ จุดหน้าแถว

สมัยฝึกทหารใหม่รุ่นฉัน เคยได้รับเลือกให้เชิญธงเมื่อจวนจะปิดหน่วยฝึกฯ เนื่องจากมีนโยบายหมุนเวียนให้เป็นกันหมดทุกนาย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้รู้เลยว่า การเป็นผู้เชิญธง พร้อมด้วยปืนเอ็ม ๑๖ เอ.๑ ที่ใส่สายสะพายอยู่ก็หนักพอทนแล้ว ยังต้องมาวิ่งเฉียงธงในลักษณะเฉียงอาวุธ ผืนธงก็หนักเพราะทำจากผ้ากำมะหยี่ เสาธงก็ทำจากไม้เนื้อหนา เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ นิ้ว รวม ๆ แล้วน่าจะประมาณ ๕ กิโลกรัมได้ ดังนั้น จึงถือเป็นภาระอันหนักอึ้ง วันไหนได้วิ่งไปอ่างแม่เย็นนี่ แทบอานเลย...

เรื่องตลกเรื่องหนึ่งที่จำได้ดีก็คือ ในขณะที่ฉันทำพิธีเชิญธง ท่าวิ่งคงจะตลกมาก ๆ ทำเอาเพื่อนพลทหารใหม่ในแถวอดหัวเราะไม่ได้ แต่แทนที่ ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ ในขณะนั้น จะสั่งลงโทษฉัน แกกลับสั่งลงโทษแถวตอนพลทหารใหม่ โดยมีฉันยืนทำตาปริบ ๆ มองเพื่อน ๆ วิดพื้น แกให้เหตุผลว่า ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพื่อน จะมาดูถูกกันไม่ได้ และการหัวเราะกันในแถวก็ไร้ซึ่งระเบียบวินัย อย่างไรก็ดี ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ ท่านนั้น ก็มากระซิบกับพวกครูสามทีหลังว่า มันวิ่งเหมือนม้าดีดกะโหลกจริง ๆ วะ หาใครดีกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือไงวะ !?!?

เมื่อฉันเห็น ก้าน ประจำที่เรียบร้อยแล้ว จึงตะโกนสั่งการอีกครั้ง

“เรียบอาวุธ”

“ขวาหัน”

“เดี๋ยวก่อน” จ่ากอง ตะโกนห้ามไว้ “ขอเวลาสักครู่”

แกเดินออกมาหน้าแถว แล้วประกาศเรื่องสำคัญ “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป จะเริ่มเวียนพลทหารใหม่มาเชิญธงคนละ ๑ วัน ตามลำดับ เพราะฉะนั้น ช่วงพักก็ไปฝึกกันให้ดี ส่วนตอนสั่งพิธีการทั้งหมด จะเปลี่ยนให้หัวหน้าตอน หัวหน้าหมวด และหัวหน้าหมู่ มาสั่งการแทนสลับกันไป ก็ขอฝากให้หัวหน้าตอนช่วยจัดลำดับ อาจมีเปลี่ยนแปลงได้ แต่จัดให้ได้ถือธงกันทุกนายแล้วกัน”
จ่ากอง พยักหน้าให้ฉันเพื่อดำเนินการต่อไป

“หน้าเดิน”

ขบวนพลทหารใหม่เดินไปตามถนน เมื่อเห็นว่าเป็นระยะทางพอสมควรแล้ว ฉันก็สั่งต่อไปว่า “หน่วยฝึกทหารใหม่ฯ วิ่งหน้า วิ่ง”

พลทหารใหม่ รวมทั้งผู้ช่วยครูฝึกฯ วิ่งตามถนน เพื่อเลี้ยวเข้าสู่สนามฝึกต่อไป




ฉันเป่านกหวีดพักช่วงสิบโมง ตอนสาย ๆ ของวันแดดเริ่มร้อนจัด แต่ยังไม่มากเท่าช่วงบ่าย การฝึกบุคคลท่าอาวุธเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะกว่าพลทหารใหม่จะเข้าใจท่าต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องตามระเบียบ ก็ต้องอธิบายกันละเอียดพอสมควร

“ทั้งหมดตรง!” พอล ตะโกนบอกทำความเคารพ เมื่อเห็นรถกระบะคุ้นตาคันหนึ่งกำลังแล่นมาตามถนนรอบสนามโดดร่ม แล้วเปิดไฟเตรียมเลี้ยวขวาตรงมุมสนามฝึกพอดี

รถของเสนาธิการกรมฯ

ทหารทุกนาย ไม่เว้นแม้แต่ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ ก็ต้องทำความเคารพกันทั้งสิ้น เพราะท่านเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกรม ฯ ฉันลอบสังเกตดู ภูหิน เหมือนดวงตาของมันจะกระตุกนิด ๆ

“ครูครับ ๆ” คราวนี้ เป็นเสียงของ วิชา ถ้าไม่ติดใจเรื่องที่มันคุยกับภูหินเมื่อคืนแล้ว มันก็ชอบมานั่งคุยกับฉันพอใช้

“เห็นครูปิ๊กบอกว่า ที่ฝึก ๆ กันนี้ จะมีการสอบตอนก่อนปิดการฝึกฯ หรือครับ?”

“ใช่แล้ว” ฉันพยักหน้า “มีตัวแทนจากหน่วยทหารข้างนอกที่ดูแลด้านการฝึกทหารใหม่ มาจัดสอบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน อย่างที่เราออกกำลังกายกันช่วงเย็น ก็เพราะมีทดสอบด้วยนี่แหละ”

“ผมนึกว่า เราฝึกกันเฉย ๆ ซะอีก” เจ๋ง เสริม ส่วนพลทหารใหม่นายอื่น ๆ เริ่มจะเขยิบกันเข้ามาฟังบ้างแล้ว

“ฝึกเฉย ๆ ไม่ได้หรอก มันมีแบบแผนของเขากำหนดมา” ฉันอธิบาย “อย่างการทดสอบ PT นี่ ก็มีให้ออกกำลังกายธรรมดาด้วย และทดสอบตามมาตรฐานอีก ๔ อย่าง มีวิดพื้น หรือภาษาทางการเขาเรียก ดันพื้น ต้องทำให้ได้ ๕๐ ครั้งขึ้นไป ภายใน ๒ นาที”

“๒ นาที!” พลทหารใหม่หลายนายอุทานขึ้นพร้อมกัน

“มันจะเป็นไปได้ยังไงครับ ทุกวันนี้ แค่ ๓๐ ทีก็เหนื่อยจนแทบลุกไม่ขึ้นแล้ว” วิชา ครวญ

“ค่อย ๆ ฝึกไป เดี๋ยวก็ได้เองแหละน่า” ฉันปลอบมัน “วิ่ง ๒ กิโลเมตร รอบสนามโดดร่มให้ได้ภายใน ๑๑ นาที ดันพื้น ๔๓ ครั้ง ภายใน ๒ นาทีเหมือนกัน สุดท้ายก็ดึงข้อ ๗ ครั้ง ไม่กำหนดเวลา แต่ส่วนใหญ่ โหนบาร์ขึ้นไปแล้วก็ต้องรีบทำแหละ... ไม่งั้นก็ตกลงมาจนได้”

“โอย... ไม่ไหว ๆ ครับครู พวกผมทำไม่ได้แน่” ถังแก๊ส เจ้าของร่างอ้วนท้วมสูงใหญ่ส่ายหัว

“ตอนแรก ๆ ครูก็คิดอย่างนั้นแหละ แต่พอฝึกไปเรื่อย ๆ จนเกือบครบ ๒ เดือน ร่างกายมันก็เข้าที่เข้าทาง มันก็สอบผ่านอยู่นะ” ฉันมองหน้าพลทหารใหม่ที่ล้อมวงฟังแต่ละนาย “เรื่องสำคัญคือ พวกนายคงต้องต้องใจฝึก อย่าทำเป็นเล่นไป มีความพยายาม ตั้งใจ อดทน ช่วยเหลือกัน เดี๋ยวก็ดีเองแหละ”

พลทหารใหม่ทั้งหลายเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด พอล ซึ่งเงียบฟังมาตั้งแต่ต้น เอ่ยถามขึ้น

“แล้วถ้าสอบตกละครับครู”

“ก็สอบใหม่ จนกว่าจะผ่าน” ฉันตอบยิ้ม ๆ ความจริงแล้ว ทางหน่วยงานที่เข้ามาจัดสอบ จะคิดคะแนนเป็นเปอร์เซ็นของผู้ที่ผ่าน แต่ถ้าขืนบอกอย่างนั้นไป น้องใหม่ก็คงอืดกันหมดอะดิ...!?!?

“เอ้า! พักพอแล้ว ได้เวลาลงสนามแล้ว” ฉันเป่านกหวีดเรียกรวมพลเพื่อฝึกบุคคลท่าอาวุธต่อไป จ่ากอง กวักมือเรียกฉันไหว ๆ อยู่ตรงข้างสนาม

“มีอะไรเหรอครับ?”

“รอผู้กองตรงนี้หน่อย ท่านกำลังมา มีเรื่องจะคุยกับเรา” แกเรียกผู้ฝึกฯ ว่าผู้กอง

ฉัน กับ จ่ากองยืนรออยู่ข้างสนามสักพัก ก็เห็นผู้ฝึกฯ ปั่นจักรยานสีแดงมาแต่ไกล จักรยานคันนี้ บางวันท่านปั่นมาจากบ้านที่อยู่หน้าค่าย เพื่อมาทำงานในกรมฯ และใช้เดินทางไป ๆ มา ๆ เพื่อติดต่องานระหว่างหน่วยฝึกฯ กับ บก.พัน ๑ ที่ซึ่งผู้กองเป็นผู้บังคับบัญชาอีกหน่วยงานหนึ่ง จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวท่านไปด้วย จ่าหวัดเคยแอบแซวลับหลังว่า ถ้าไม่ดีดกระดิ่งปุ๊ป ก็นึกว่าคนขายไอติม!

“จ่านนท์ ไอ้พัท” แกกระโดดลงจากจักรยานคู่ใจ แล้วทักทาย “เป็นไงบ้าง? อ้าว! วันนี้เวรฯ ไอ้พัทเองหรอกหรือ?”

“ใช่แล้วครับ”

“มีเรื่องจะรบกวนหน่อย ไม่ได้เครียดอะไรมากหรอก” แกเข้าเรื่องโดยไม่รอให้เสียเวลา “เสธ. ท่านอยากให้เขียนรายงานความก้าวหน้าการฝึกฯ ของ ภูหิน ส่งให้ท่านหน่อย สัปดาห์ละครั้งก็ได้ เริ่มสัปดาห์นี้เลยนะ เอาเป็นว่า วันจันทร์หน้าตอนเช้า ก็เอามาวางบนโต๊ะผู้กองในห้องนั่นแหละ ให้จ่านนท์แกอ่านตรวจทานดูด้วย ช่วยกันเขียนกับครูฝึกฯ หมู่เมธ นั่นแหละ”

ฉันทำตาปริบ ๆ แอบชำเลืองไปทางจ่ากอง ซึ่งทำสีหน้าปั้นยากเช่นกัน




“อะไรวะ? ส่งรายงาน แล้วทำไมไม่มาดูเองให้เห็นกับตาละวะ?” จริงดังคาด หมู่เมธ เปิดฉากโจมตี เมื่อฉันถ่ายทอดคำสั่งของผู้ฝึกฯ ให้ฟัง

“คงไม่สะดวกละมั้ง” ฉันเดา “เกรงจะเอิกเกริกไปแน่เลยครับ”

“รู้ไว้ด้วยนะ กูเกลี๊ยดเกลียดการเขียนรายงานเป็นที่สุดเลยวะ ตอนออกหน่วย ไอ้พวกยศสูง ๆ ก็ชอบมาสั่งให้เขียนรายงาน กูก็เลยจัดให้หนักเลยวะ”

“ยังไงครับ?” ฉันอยากรู้

“ไม่มีอะไรมาหรอก กูก็เขียนไปว่า ...กินอิ่มนอนหลับ ลุกนั่งสบาย ถ่ายคล่อง สถานการณ์เรียบร้อย แต่เบี้ยเลี้ยงน้อยไปหน่อย... ก็แค่นั้นวะ”

ฉันขำก๊าก “เฮ้ย! หมู่เขียนจริง ๆ หรือครับ?”

มันพยักหน้า “แต่ดีที่หัวหน้าชุดมาเห็นก่อนเลยริบไป โดนสั่งวิ่งรอบหน่วยซะ ๑๐ รอบเลยวะ”

เออ... มันก็มีวีรกรรมประหลาด ๆ ดีแหะ

กำลังคุยอยู่เพลิน ๆ ก็เผอิญเงยหน้าหันไปมองทางสนามฝึกฯ ดวงตาคู่หนึ่งมองจ้องฉันอย่างจงใจ พอฉันจ้องตอบ มันก็หลบแต่โดยดี ดวงตาคู่นั้นไม่ใช่ของใครที่ไหน ...ไอ้โบ๊ต พลทหารทินวัฒน์ มันคงสังเกตฉันกับหมู่เมธอยู่ตั้งแต่ต้นแล้วละ... แต่ช่างเถอะ ฉันไม่สนใจ+
ฉันดูนาฬิกา จวนจะใกล้เที่ยงแล้ว จึงเป่านกหวีดเรียกรวมพล

“เอาแมน ๆ เหมือนเมื่อเช้าเลยนะวะ จ่าชอบ” จ่าหวัด ขยิบตาให้ฉัน

“พัฒนรัฐ ดูน้องใหม่เหนื่อย ๆ เนือย ๆ ไปนะ” จ่าวิทย์ ครูเวรฯ ของวันนี้เปรย ๆ ฉันรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร

บะหนุน สั่งจัดแถวเรียบร้อยแล้ว ฉันกระซิบบอกเพื่อน ๆ พลทหารถึงแผนงานวันนี้ ทุกนายดูจะเข้าใจดี

ท่ามกลางแสงแดดตรงศีรษะยามเที่ยงวัน ความร้อนแผ่ออกทุกทิศทุกทาง แต่ดูเหมือนยังจะร้อนไม่เพียงพอ เมื่อเหล่าผู้ช่วยครูฝึกฯ ช่วยเสริมเชื้อไฟให้โหมเข้าไปอีก

“เฮ้ย!” เชฟน้อย ชี้ไปที่พานท้ายปืนพลทหารนายหนึ่ง “ทำไมปืนมึงเปื้อนขี้โคลนด้วยวะ?”

“อันนี้ของใครวะ?” ปิ๊ก เดินเลียบอีกข้างหนึ่งของแถว “มีหญ้าติดมาด้วยเว้ยเฮ้ย! ...ไอ้วิท มึงเอาปืนไปตัดหญ้าหรือวะ”

“เปล่าครับ” วิทวัส ตอบ

“อยู่ในแถว...ใครอนุญาตให้ตอบวะ” หล่ออิท ตะโกนจากข้างหน้าแถวบ้าง

“ตอนพัก เอาปืนไปจิ้มดินเล่นหรือเปล่าครับ? ปลายกระบอกถึงได้มีดินติดมาอย่างนั้น คงอุดลำกล้องไปแล้วมั้ง... แล้วอย่างนี้เวลายิงปืน จะยิงออกอยู่ไหมครับเนี่ย?” กร มาแนวสุภาพ

“ปืนไม่ใช่ของเล่นนะครับ” น้ำ เสริมขึ้นมาบ้าง

“เมื่อกี้ก็เห็นบางคนเอามาทำท่ายิงใส่กัน เคยมีคนโดนทำโทษแล้วยังไม่หลาบจำ มันไม่ใช่ของเล่นนะครับ” ชัย ย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนแจกอาวุธปืนให้พลทหารใหม่เป็นครั้งแรก

“ผู้ช่วยครูเวรฯ จะเอายังไงดีครับ?” ยุทธ ชงเรื่อง ฉันเป่านกหวีดขึ้นสั้น ๆ หนึ่งครั้ง

“วันแรกที่แจกปืนให้กับทุกคน ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ ท่านได้บอกไปแล้วว่า ปืนแต่ละกระบอกที่แจกให้ถือเป็นอาวุธประจำกายตลอดกาลฝึกนี้ ต้องดูแลรักษา และคอยระวังไม่ให้ชำรุดเสียหาย ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบของแต่ละคน แต่ก็ยังอุตส่าห์มีคนไม่จำ ยังเอาไปเล่น ไม่ดูแลรักษา แทนที่เห็นเพื่อนก็ควรจะห้ามปราม หรือช่วยกันดูแลสักนิด ก็ไม่มี ดังนั้น ต้องรับผิดชอบร่วมกัน”

ฉันเป่านกหวีด ปิ๊ด! “ตั้งกระโจมปืนแต่ละหมู่ แล้วไปตั้งแถวตอนกลางสนาม ให้เวลา ๑๐ วินาที ปฏิบัติ!”

พลทหารใหม่กรูกันปฏิบัติตามอย่างกับผึ้งแตกรัง แทบไม่เป็นระเบียบ ฉันเห็นแล้วอ่อนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็นับถอยหลังเพื่อเป็นการกดดัน สุดท้าย เมื่อหมดเวลา ๑๐ วินาที ก็ยังตั้งแถวไม่เสร็จ กระโจมปืนของหมู่ ๒ หมวด ๑ ก็พลันล้มลง ยุทธ ร้องอ้าว! เพราะเป็นของลูกหมู่ตนเอง

ฉันจ้องหน้า ก้าน ที่เป็นหัวหน้าหมวด ๑ มันคงจะรู้สึกตัว จึงรีบวิ่งออกมาจัดกระโจมปืนใหม่ กว่าจะเรียบร้อยใช้เวลาไปราว ๑ นาที

“ไม่พูดมากแล้วนะครับ ว่าผิดพลาดอะไรบ้าง? โต ๆ กันแล้ว” ฉันเป่านกหวีด ปิ๊ด! “แถวหน้ากระดาน กอดคอกัน”

“ลุกนั่ง ๒๐ ครั้ง”

“ลุกนั่ง ๒๐ ครั้ง!” พลทหารใหม่ทวนคำสั่ง

“เสียงยังไม่ดังเลยครับ ลุกนั่ง ๓๐ ครั้ง” ฉันเพิ่มจำนวน

“ลุกนั่ง ๓๐ ครั้ง!”

“ปฏิบัติ”

พลทหารใหม่นับจำนวนเสียงดัง แล้วค่อย ๆ แผ่วลง ๆ เช่นเดียวกับแถวหน้ากระดานที่กอดคอกันลุกนั่งแทบหาความสามัคคีไม่ได้ เพราะขึ้นลงไม่พร้อมกันบ้าง บางนายก็ลุกไม่ขึ้นบ้าง ฉันรอจนหมดสร้อยแล้วจึงเป่านกหวีดอีกครั้ง

“ขออีก ๓๐ นะครับ ต้องขอโทษด้วย แต่ไม่พร้อมกันเลย” ฉันบอกอย่างใจเย็น ““ลุกนั่ง ๓๐ ครั้ง”

“ลุกนั่ง ๓๐ ครั้ง!”

“ปฏิบัติ” ฉันตะโกนลั่น




“มึงนี่ ตุ๊ดซาดิสม์ สมชื่อจริง ๆ เลยวะ” ยุทธ แซว ระหว่างพักการฝึกช่วงบ่าย

“เมื่อกี้กูก็ได้ยินน้องใหม่มันพูดกัน ว่า มึงเข้าเวรฯ วันนี้โหดชิบ!” กร เล่าให้ฟัง จ่าคม ซึ่งเตร่ไปมาแถวนั้น เดินเข้ามาร่วมด้วย

“ทำดีแล้วละ พัทซี่” จ่าพูดให้กำลังใจ “สนใจจะพาวิ่งไปอ่างแม่เย็นไหม?”

ฉันยิ้มแหย “รอเวรฯ จ่าดีกว่าครับ ผมไม่ถนัดเท่าไร”

แกหัวเราะร่วน “ตกลง ๔ นายที่จะไปช่วยจ่าจัดฐาน มีใครบ้างนะ?”

น้ำ ชัย หล่ออิท และปิ๊ก ยกมือขึ้นแทบจะพร้อมกัน จ่าคม จึงนัดหมายแผนงานต่าง ๆ ร่วมกับครูฝึกฯ ท่านอื่น ๆ

“มีฝึกเป็นฐานด้วยหรือครับครู?” จอน ซึ่งนั่งอยู่ใกล้กับที่พวกเราสนทนากัน ถามขึ้น

“มีสิ วันพุธนะ สนุกแน่” ฉันกำลังลุกไปตักน้ำดื่ม เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลัง

“ครูครับ ผมรู้สึกเหมือนเป็นไข้ ขอพาราเซตามอลสักเม็ดได้ไหมครับ?”

ฉันเหลียวไปหาต้นเสียงที่เคยคุยกันมาก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่ง ไอ้โบ๊ต นั่นเอง!

หน้ามันแดง ๆ เหมือนความร้อนกำลังสุมอยู่ในร่างกาย ฉันเอามือแตะหน้าผากมัน ตัวมันร้อนจริง ๆ แหะ

“เป็นมานานหรือยัง?”

“น่าจะเช้าวันนี้ครับ” มันตอบ พร้อมกับมองฉันด้วยสายตาเจ้าชู้ “ครูไม่ยอมช่วยผมให้สบายนี่ครับ ผมก็เลยไม่สบาย”

ฉันถอนหายใจ แต่ก็ฝืนยิ้มออกมา “มันคงไม่เกี่ยวกันมั้ง?”

“ยังไงผมก็ถือว่า ผมก็รอคำตอบจากครูอยู่นะครับ ผมพร้อมทุกเมื่อ”

ฉันขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ไม่ได้เสียวนะ แต่ขยาด! เหมือนคุยกับคนโรคจิตชอบกล

“นั่งรอเดี๋ยวนะ” ฉันขยับตัวไปหาหมู่เมธ ซึ่งแทบจะลืมกันไปแล้วว่ามันเป็นเสนารักษ์ประจำหน่วยฝึกฯ อธิบายอาการให้มันฟัง ไอ้หน้าหล่อควานหายาในกระเป๋ายาใบใหญ่

“เหมือนมันไม่ใช่ผู้ชายเลยวะ”

“อื้อ...” ฉันประหลาดใจ “ทำไมดูออกละครับ?”

“อ้าว! จริงหรือนี่” มันกรอกยาเม็ดใส่ซองพลาสติก “กูก็เห็นตามันกรุ้มกริ่มชอบกลเวลามองมึง มันชอบมองเวลากูคุยกับมึงด้วย เห็นหลายครั้งแล้วละ ไอ้เชี่ยนี่!”

“หมู่ก็สังเหตเห็นเหมือนกันหรือครับ?” ฉันตั้งต้นด้วยคำถาม แต่ปิดท้ายการสนทนาด้วยเรื่องเล่าของคืนวันนั้น พยายามสรุปคำพูดสำคัญของไอ้โบ๊ตให้มันฟัง ไอ้หน้าหล่อขมวดคิ้ว

“มันโรคจิตนี่หว่า... แล้วมึงก็ไม่ทำอะไรต่อสักอย่างเลยเหรอวะ?”

“จะให้ทำอะไรละครับ ผมไม่ได้อยากเอามันนี่” ฉันงุนงง

“กูไม่ได้หมายความถึงเรื่องแทงกบแทงกอย” มันใช้สำนวนเดียวกับ หมู่เอ็ม เป๊ะ “กูหมายถึง มึงไม่ลงโทษมันให้มากกว่านี้ละ... มันมาดูถูกมึงเชียวนะเว้ย!”

ฉันไม่เคยตระหนักในข้อนี้มาก่อน แต่ประทับใจตรงคนที่เป็นห่วงความรู้สึกฉันอย่าง... ไอ้หน้าหล่อ ไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดจากปากมันออกมาได้!

“หมู่เอายาแก้อักเสบมาด้วยแล้วกัน” ฉันขอ

“มึงจะเอาไปทำไมวะ?”

“ถ้าเป็นเรื่องระเบียบวินัย ผมเอามันอานแน่... แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัว ผมมีวิธีของผมที่จะสั่งสอนมัน” รู้สึกได้เลยถึงความมุ่งมั่นในน้ำเสียงของฉัน “ผมจะเอาไปให้มันพร้อมกับยาพาราฯ แล้วบอกมันว่า ถ้าป่วยไข้ ก็ให้กินยาอย่างแรก แต่ถ้ายังป่วยทางใจ ก็ให้กินยาแก้อักเสบ โดยเฉพาะตอนนี้รู้สึกว่า มันจะอักเสบมากเหลือเกิน!”




สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เคยทำหลังจากเป็นผู้ช่วยครูฝึกฯ ก็คือ การเข้าไปดูพลทหารใหม่อาบน้ำในห้องน้ำ เพราะอย่างแรก ไม่อยากจะให้เกิดคำครหาว่า เป็นกะเทย แล้วไปแอบดูผู้ชายอาบน้ำ อย่างที่สอง คือ เขิน ซึ่งเป็นจริตนิสัย อย่างที่สาม คือ พวกผู้ช่วยครูฝึกฯ เพื่อนกันก็ไม่ได้เข้าไปทุกนาย ส่วนใหญ่จะปล่อยให้ผู้ที่เข้าเวรฯ ลงมือไปเลยตามสมควร

เนื่องจากพื้นที่ในส่วนของโรงอาบน้ำมีจำกัด จึงต้องแบ่งพลทหารใหม่ให้อาบทีละหมวดพร้อมกัน ระเบียบง่าย ๆ มีอยู่ว่า ต้องเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำมาให้พร้อม โดยอนุญาตให้ขึ้นไปบนโรงนอนหลังเคารพธงชาติช่วงเย็นเสร็จเพื่อนำอุปกรณ์ส่วนตัวลงมา เอาชุดมาผลัดให้เรียบร้อย ถอดหมดแม้แต่กางเกงใน ใส่แต่ผ้าขนหนู

เมื่อเข้าห้องอาบน้ำแล้ว ก็แก้ผ้าขนหนูออก ร่างกายเปลือยเปล่ามากมายก็จะเบียดกันเล็กน้อยอยู่ในโรงอาบน้ำ จากนั้น ผู้ช่วยครูฝึกฯ จะสั่งให้ตักน้ำ ๓ ขันจากอ่างขนาดใหญ่ตรงกลาง แล้วสระผมถูสบู่ไปพร้อมกัน จากนั้นก็ให้ตักอีก ๓ ขัน แล้วให้เวลา ๑๐ วินาที จ้วงน้ำมาล้างตัวตามอัธยาศัย เมื่อเป่านกหวีดก็เป็นอันเสร็จสิ้น พลทหารใหม่ก็จะพากันออกไปตากกางเกงใน เช็ดตัว และเปลี่ยนเสื้อผ้าบนโรงนอน เอารองเท้ามาวน เพื่อรอชั่วโมงอบรมจริยธรรมพลทหารต่อไป

คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า ตอนสมัยฉันรับการฝึกทหารใหม่ ได้มีเวลามอง “ขนาด” ของคนอื่นไหม? ก็คงต้องตอบได้ทันทีเลยว่า แทบไม่มีเวลา เพราะระเบียบบังคับไว้อย่างนั้น คงเห็นได้เฉพาะคนข้าง ๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยแต่อย่างไร คิดดูว่า ฝึกมาเหนื่อยทั้งวัน บางวันคลุกฝุ่นโคลน เหงื่อโชกชุ่มทั้งชุดและทั้งตัว อยากอาบน้ำมาก ๆ เคยโดนสั่งให้อาบ ๑๐ ขันก็มี ซึ่งยังไม่ทันหายร้อน ก็ต้องออกไปจากโรงอาบน้ำแล้ว ทำให้ไม่มีเวลาคิดเรื่องอย่างว่าเท่าไรนัก

แต่วันนี้พิเศษหน่อย เนื่องจากฉันได้รับคำสั่งมาให้เพิ่มการละเล่นอย่างหนึ่งเข้าไป นั่นคือ การเล่นรถไฟ

นี่คือ เกมการอาบน้ำที่สนุกสนานอย่างหนึ่ง รายละเอียดมีดังต่อไปนี้...

ฉันยืนจังก้าอยู่บนขอบอ่างซักล้าง ซึ่งตั้งอยู่ตรงทางเข้าของโรงอาบน้ำพอดี เพื่อให้อยู่สูงกว่าพลทหารใหม่ทั้งหมด ตอนนี้ หมวด ๑ อยู่ในชุดวันเกิดกันทั้งสิ้น แต่ฉันแทบไม่มีเวลาสังเกตของใครเล็กหรือใหญ่ งานก็คืองาน พลทหารใหม่ทุกนายกำลังจ้องหน้าฉัน ฉันเป่านกหวีด ปิ๊ด!

“ตักน้ำขึ้นมา ๑ ขัน”

พลทหารใหม่จ้วงขันลงไปในอ่างน้ำตรงหน้า แล้วตักขึ้นมา ในลักษณะเหยียดแขนตึง ชูขันที่มีน้ำเต็มเปี่ยมออกไปข้างหน้า

“อ้าว อาบ!”

ฉันสั่งอย่างนี้ ๓ ครั้ง เอ็ด หรือพลทหารอภิเชษฐ์ ซึ่งอยู่หมู่ ๑ หมวด ๑ อยู่ในแถวอาบน้ำใกล้กับฉัน กำลังคว้าขวดแชมพูขึ้นเช่นเดียวกับพลทหารใหม่อีกหลายนาย แต่เสียงนกหวีดเป่ายั้งไว้

“ใครสั่งวะ?” ฉันตะคอกใส่ “ทั้งหมด ตรง!”

“ขวาหัน”

พลทหารใหม่จึงเห็นแผ่นหลังของเพื่อนคนทางขวากันทุกนาย

“เมื่อสั่งให้นั่ง ให้ทุกคนนั่งกับพื้นไปเลย เอาก้นติดกับพื้นนะ...” ฉันขยายความเพื่อให้เห็นภาพ” กางขาออกทั้งสองข้าง ให้เพื่อนคนข้างหน้า อยู่ตรงกลางระหว่างหว่างขาเรา”

“เอ้า! นั่ง!”

พลทหารใหม่นั่งแปะลงกับพื้น มีบ้างที่ไม่เข้าใจ แต่ก็ช่วยกันแนะแก้ไข ซึ่งส่งเสียงดังบ้าง แต่ฉันไม่สนใจ

“จับเอวคนตรงหน้า”

คราวนี้ พลทหารใหม่มีเสียงพึมพำประมาณว่า “เอางี้เลยหรือวะ...”

“ขยับสิวะ ถ้าไม่ถึง” ฉันชี้ให้ขยับ ๆ กันเข้าไปชิด “บะหนุน อยู่หัวแถว ไม่ต้องขยับให้ติดกับคนสุดท้ายก็ได้”

ฉันมองดูภาพตรงหน้า พลทหารใหม่นั่งแหมะลงกับพื้นซ้อนหว่างขากัน ลักษณะคล้ายแถวอะไรสักอย่าง ท่ามกลางความงุนงงในความพิเรนทร์ สุดท้าย ฉันก็เฉลยออกมา

“นี่คือ รถไฟ... ต่อไป ถ้าครูเป่านกหวีดเริ่ม ให้รถไฟเคลื่อนขบวนไปรอบห้องน้ำ ครูจะคอยดูจนครบรอบ ถ้าครบแล้วค่อยหยุด รับทราบ”

“ทราบ!”

ฉันเป่านกหวีดยาวหนึ่งครั้ง ขบวนรถไฟเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ฉันร้องสั่งให้ทุกนาย ออกเสียง ฉึกฉัก! ด้วย พลทหารใหม่หลายนายหัวเราะเสียงดัง ฉันเป่านกหวีดเตือนห้ามส่งเสียง

จนกระทั่งครบรอบ ฉันก็สั่งให้หยุด แล้วบอกให้ลุกขึ้นเพื่ออาบน้ำตามปกติต่อไป

เป็นไงล่ะ...ฟังแล้วอยากเล่นรถไฟบ้างไหม?



ไอ้โบ๊ต ซึ่งอยู่หมู่ ๒ หมวด ๑ เดินออกจากห้องน้ำเกือบจะรั้งท้ายแถว มันตรงมาที่อ่างซักล้างที่ฉันยืนอยู่

“ขอโทษครับ ครู” มันบอก พลางเอาขันพลาสติกใส่อุปกรณ์อาบน้ำวางไว้ตรงขอบอ่าง รวมทั้งกางเกงในที่เปียกอยู่ด้วย

ทันใดนั้นเอง ก่อนที่ฉันจะทันตั้งตัว มันก็แก้ผ้าขนหนูออก เพื่อโชว์ “ขนาด” ของมัน! เล่นเอาฉันตัวแข็งทื่อเป็นหิน ทันสังเกตได้แว่บหนึ่ง ก่อนที่มันจะมัดผ้าขนหนูไว้ตามเดิม

“ไปละครับ” มันส่งยิ้มประหลาด ๆ มาให้ฉัน พลางเลียริมฝีปากโชว์

ไอ้เชี่ยนี่ !!!!

..............................



Create Date : 24 มิถุนายน 2555
Last Update : 24 มิถุนายน 2555 12:17:48 น.
Counter : 575 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
มิถุนายน 2555

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
 
All Blog