โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑๒ ภ.ม.ภาคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑๒ ภ.ม. ภาคิโน


ผู้ช่วยครูฝึกฯ ทั้งหลายช่วยกันแจกอุปกรณ์และของใช้ส่วนตัว จากนั้น จึงพาพลทหารใหม่สังกัดหมู่ของตน ขึ้นไปบนโรงนอน เพื่อเก็บของและจัดเตียงว่าใครจะนอนตรงไหนอย่างไร? เตียงที่อยู่ใกล้ฉันมากที่สุด คือ เตียงของ พลทหารใหม่ภูหิน ส่วนสมาชิกที่เหลือของหมู่ก็นอนเรียงกันลึกเข้าไปข้างใน ฉันแจกปากกาเคมีให้เขียนชื่อของ พลทหารใหม่ลงบนผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้า จะได้ไม่สลับกันเวลาไปซักตาก

“ครูพัทครับ? ผมจะใส่ไอ้นี่ได้ไหมครับ”

พลทหารใหม่ทวีกิจ หนึ่งในสมาชิกหมู่ ๔ หมวด ๒ ของฉันชูกางเกงในสีดำขึ้น

“ได้ดิ แต่กางเกงกับเสื้อผ้าจากบ้านเอาเก็บไปหมดแล้วใช่ไหม?”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

ทางหน่วยฝึกฯ จะให้พลทหารใหม่เปลี่ยนชุดจากบ้านเป็นชุดทหารทั้งหมด แล้วเก็บเสื้อผ้าเหล่านั้นพร้อมอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็น เช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ หรือของใช้อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฝึก ใส่ถุงพลาสติก เขียนชื่อพลทหารใหม่นายนั้นแล้วมัดเก็บไว้ในห้องเก็บของอีกห้องหนึ่งซึ่งลั่นกุญแจดาลไว้ ลูกกุญแจนั้น มีอยู่ที่ผู้ฝึกฯ และผู้ช่วยผู้ฝึกฯ เท่านั้น พวกเราจะเปิดห้องนี้อีกครั้งก็ต่อเมื่อถึงวันทำพิธีปิดหน่วยฝึกทหารใหม่ ยกเว้น กางเกงในที่สามารถเตรียมมาจากบ้านได้ แต่ขอเป็นสีสุภาพ เพราะกางเกงในที่ทาง ทบ. แจกให้นั้น มีจำนวนจำกัด และขนาดไม่พอดี

ภายหลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปก็คือการนำปลอกหมอนที่ได้รับแจกไปยัดไส้เอง ซึ่งจ่าสิบเอกสถาพรซื้อใยโพลีเอสเตอร์เตรียมไว้หลายกระสอบ ตั้งไว้ด้านข้างห้อง บก.หน่วยฝึกฯ พวกเราปล่อยพลทหารใหม่ทีละ๒ หมู่ ให้เวลาครั้งละ ๕ นาที ซึ่งกว่าจะยัดและเย็บกันได้ ก็ล้วนแล้วแต่ทุลักทุเล ตามความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละนาย พอถึงหมู่ ๔ หมวด ๒ ฉันก็ไปยืนคุมอยู่ห่าง ๆ ก็เห็นว่าผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย

บ่ายสี่โมงเย็น ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะไปทานอาหารเย็นที่โรงสูทกรรม จ่ากองนำพลทหารเข้ามานั่ง ในห้องเรียน แล้วแนะนำหน่วยฝึกทหารใหม่อีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ชื่อผู้บังคับการกรมฯ รองผู้บังคับการกรมฯ เสนาธิการฯ และผู้บังคับกองพันต่าง ๆ รายชื่อครูฝึกฯ กับผู้ช่วยครูฝึกฯ ทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้พลทหารใหม่ทุกนายจดลงในสมุดของตน จากนั้น ก็ให้แต่ละหมู่นั่งล้อมวงทำความรู้จักกัน ให้เวลาราว ๑๕ นาที

ฉันพาพลทหารใหม่หมู่ฉันนั่งกับพื้นเป็นกลุ่มตรงข้างหลังห้องเรียน นอกจากจะประกอบด้วย พลทหารใหม่ภูหิน และ พลทหารใหม่พลวัตแล้ว ยังมี พลทหารใหม่ทวีกิจ หรือ ที ซึ่งประจำการแค่เพียง ๖ เดือนเท่านั้น เช่นเดียวกับ ภูหิน เนื่องจากจบ ปวส. สาขาเทคนิคอุตสาหกรรม ส่วน พลทหารใหม่พิพัฒน์พงศ์ หรือ พงศ์ เคยบวชเรียนอยู่ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา จนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ก่อนจะจบออกมาช่วยที่บ้านขายของอยู่ในตลาดแถวอำเภอดอยสะเก็ด ถือเป็นตัวตลกประจำรุ่นเลยก็ว่าได้ เพราะ พงศ์ พูดมาก พูดเยอะ พูดฝอยเสียจนบางครั้ง ฉันก็ยังอดรำคาญไม่ได้

นายต่อไป คือ พลทหารใหม่มาวิน หรือ วิน เป็นชาวไทยภูเขา บ้านอยู่อำเภอพร้าว แม้ว่าจะพูดไม่ค่อยชัด แต่ก็สนทนากับเพื่อน ๆ พลทหารได้อย่างสนุกสนาน ถัดมา คือ พลทหารใหม่ขจร หรือ จอน อยู่บ้านที่อำเภอฝาง หน้าตาพอใช้ได้ ดูมีมาดดี อย่างอื่นก็ดูไม่ค่อยมีพิษมีภัยอะไร ส่วนนายสุดท้าย คือ พลทหารศุภนนท์ หรือ ซุป อายุมากที่สุดในกลุ่ม เพื่อน ๆ เลยตั้งชื่อให้ใหม่ว่า เฒ่า ซุปผ่อนผันอยู่หลายปี จนเรียนจบปริญญาตรี ทำให้กว่าจะเข้ามาเป็นทหารก็อายุเกือบเบญจเพสแล้ว แต่ก็ได้เป็น ๑ ปี เพราะจับฉลากได้

ในบรรดาพลทหารใหม่หมู่ฉันนี้ มีเพียง ๒ นายเท่านั้นที่จะได้ไปอยู่ รพศ.๕ พัน.๓ ในฐานะรุ่นน้องฉัน คือ ภูหิน กับ พอล นอกนั้นกระจายกันไปอยู่ตามกองพันที่เหลือ

อันที่จริง จ่ากองมาแจ้งพวกเราไว้ว่า จะทำการเลือกหัวหน้าตอน หัวหน้าหมวด และหัวหน้าหมู่ กันก่อนไปทานอาหารที่โรงสูทกรรม แต่ทว่า แกเปลี่ยนกำหนดการกับจ่าหวัด เพราะแกอยากให้พลทหารใหม่แต่ละนายละลายพฤติกรรมกันก่อน และได้รู้จักกันดียิ่งขึ้น เพื่อจะได้เลือกผู้ที่จะมารับหน้าที่ทั้ง ๓ ได้อย่างเหมาะสม

จ่าหวัด ถนัดงานด้านมวลชนอยู่แล้ว จึงดูแลการสร้างสนิทสนมระหว่างพลทหารใหม่ได้อย่างครื้นเครง ใช้เวลาไปพอสมควรแล้ว จ่ากอง ก็กลับมาสอนเรื่องการใช้คำพูดกับผู้บังคับบัญชาสำหรับพลทหารใหม่ โดยให้เรียก ร้อยเอกดำรง ว่า ผู้ฝึกฯ ตั้งแต่ผู้ช่วยผู้ฝึกฯ ลงไปให้เรียกว่า ครู และแทนตัวเองว่า กระผมฯ

“ก่อนจะไปกินข้าวเย็นวันนี้ เราจะมาท่องจำคำปฏิญาณที่ต้องพูดทุกครั้งก่อนกินข้าวตลอดระยะเวลาฝึกทหารใหม่นี้ เชิญผู้ช่วยครูฯ สักนายมาเขียนคำปฏิญาณลงบนกระดานหน่อยครับ”

ชัย กับ เชฟน้อย มองหน้าฉัน แต่คงไม่แรงเท่า ยุทธ ที่ใช้ "ปลายเท้า" สะกิดขาฉันเบา ๆ พอฉันหันกลับไปมองมัน ยุทธกลับถลึงตาใส่ ครั้นเหลียวไปมองหน้า จ่ากอง แกก็พยักรับ ฉันเลยทำใจเดินออกไปหยิบชอล์คขึ้นมาเขียน “คำปฏิญาณก่อนรับประทานอาหาร” โดยปราศจากโพยใด ๆ ...

...ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง
อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า
ผู้คนอดอยาก มีมากหนักหนา
สงสารมารดา เด็กตาดำ ๆ
ขอขอบคุณ ชาวนาทุกคน
ที่ปลูกข้าว ให้พวกเรากิน
เราจะกินไม่ให้เหลือ แม้แต่เม็ดเดียว
ขอขอบคุณ พ่อครัวทุกคน
ที่ทำอาหาร ให้เรากิน
เราจะกิน ไม่ให้เหลือ
แม้แต่น้ำแกง...




ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว น้ำ สวมปลอกแขนเป็นผู้ช่วยครูเวรฯ เป็นวันแรก สั่งแถวพลทหารใหม่ที่กว่าจะตั้งแถวตอนได้อย่างเป็นระเบียบก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง มีจ่ากองยืนมองหน้าเหี้ยมอยู่ห่าง ๆ

บุญเท่าไหร่แล้วที่เย็นวันนี้ แกตัดสินใจยกเลิกสอนขัดฉากกินข้าว โดยปล่อยให้กินตามสบายแบบธรรมดาแทน เพราะแค่รอพลทหารใหม่ท่อง คำปฏิญาณก่อนกินข้าวที่ฉันจดบนกระดานไว้ จนครบถ้วนถูกต้องทุกถ้อยคำนั้น ก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ท้องไส้ฉันกิ่วพอดี

“หน้าเดิน”

น้ำ ออกคำสั่ง แล้วเดินขนาบข้างไปกับแถวตอนด้านหน้าของพลทหารใหม่ ส่วนผู้ช่วยครูฝึกฯ ที่เหลือรวมทั้งฉัน เดินตามไปอยู่ห่าง ๆ จ่าวิทย์สวมปลอกแขนครูเวรฯ เดินนำหน้าไปลิ่วเพื่อรอดูแถวพลทหารใหม่ จ่าสิบเอก คมกฤช หรือ จ่าคม โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ชวนฉันคุย

“ตกลงก็รู้แล้วใช่ไหมว่า หลานชาย เสธ. เป็นเหมือนเอ็ง?”

“ผมรู้โดยไม่มีใครต้องบอกอ่ะครับ” ฉันกลั้วหัวเราะ

“จ่าก็เพิ่งมารู้ก่อนหน้าเอ็งไม่กี่วันนี้หรอก... ถ้าเกิดเป็นลมเป็นแล้งไปก็ช่วย ๆ กันดูหน่อยละกัน” แกแซว อย่างอารมณ์ดี “วันนี้จ่าวิทย์เข้าเวรฯ แถมเป็นวันแรกด้วยคงสบาย ๆ ไม่มีอะไร แต่พรุ่งนี้จ่าเข้าเวรฯ รับรองเดี๋ยวหาของสนุก ๆ มาให้เล่นเพียบ!”

จ่ากองสั่งให้แถวหยุดลงตรงถนนหน้าอาคารหน่วยฝึกทหารใหม่พอดี หนังท้องของแต่ละนายจึงเต่งตึงกำลังดี

“อิ่มกันหรือเปล่าครับ?”

“อิ่มครับ” เสียงพึมพำดังขึ้นหึ่ง ๆ ...คงจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก ก่อนที่พลทหารใหม่จะรู้จักวิธีการตอบคำถามหรือขานรับครูฝึกฯ ทั้งหลายสิ่ง

“เอาละ เห็นต้นลำไยที่อยู่ตรงสุดปลายถนนนี้ไหม?” ฉันชะเง้อหาต้นลำไยที่ว่านั่น มันอยู่ไกลออกไปราว ๑๐๐ เมตร เห็นจะได้

“เห็นต้นลำไยไหมครับ?” จ่ากองย้ำคำถามเดิมอีกหน

“เห็นครับ” คราวนี้ เสียงพึมพำเริ่มดังขึ้นกว่าเก่า แต่ก็ยังไม่พร้อมกันอยู่ดี ทว่า... จ่ากองกลับไม่ถือสา

“เอาละ ฟังให้ดี ...ครูขอสั่งให้ทุกคนวิ่งไปเก็บใบต้นลำไยคนละใบ ถือไว้ในมือ แล้วกลับมาเข้าแถวตรงนี้ตามเดิม ให้ด่วน ให้ไว ให้เร็วที่สุด ทราบ?”

“ทราบ!” ในน้ำเสียงของพลทหารใหม่เหมือนจะแฝงด้วยแววตื่นตะลึง แม้แต่ฉันยังอ้าปากค้าง ...กำลังกินข้าวมาใหม่ ๆ เนี่ยนะ !!!!

“ฟังสัญญาณ ...ปฏิบัติ!”

เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น พลทหารใหม่ทั้ง ๕๖ นาย รีบวิ่งกรูเป็นระยะทางกว่า ๑๐๐ เมตร เพื่อไปเด็ดใบต้นลำไยคนละใบตามคำสั่งของจ่ากอง บ้างก็ชน บ้างก็กระแทกกัน เวลาผ่านไปชั่วขณะเดียวเท่านั้น พลทหารใหม่กลับมาเข้าแถวตามเดิม ยกเว้น ดาวดวงใหม่ ดวงหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นตรงปลายถนนนั่นเอง...

ภูหิน ฉวยได้ใบต้นลำไย แล้ววิ่งเหยาะ ๆ ราวกับร่างทั้งร่างจะปลิวไหวไปตามแรงย่ำลงกับพื้น รั้งท้ายทิ้งห่างเพื่อนที่เหลือ ใบหน้านั้นซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด...

หมู่เมธซึ่งวันนี้ฉันเห็นเงียบมาตั้งแต่เย็น สงสัยคงจะหมดแรงหิวข้าว พอได้เติมเต็มท้องขึ้นมาหน่อย รีบก้าวขึ้นมายืนคู่กับฉัน ดวงตาอันคมกริบนั้น มีแววลุ้นระทึกอยู่จาง ๆ ฉันอดหัวเราะ หึ ๆ ไม่ได้

“มึงเป็นอะไร? ไอ้พัทเซ่อ หัวเราะหาเชี่ยไรวะ?”

“เป็นห่วงมันซะเว่อร์เลยนะหมู่” ฉันพูดลอย ๆ โดยไม่มองหน้าอันหล่อเหลานั้น

“แค่นี้ไม่ตายหรอก ไอ้อ้วนนั้นน่าเป็นห่วงมากกว่า”

ฉันพูดยังไม่ทันขาดคำ พลทหารธรณินทร์ ซึ่งฉันมารู้ชื่อเล่นทีหลังว่า ถังแก๊ส ...ก้มลงเอาหุ่นอันท้วมใหญ่โต อ้วกลงกับพื้น อึ๋ย!!!!......

“มึงไม่เคยโดนอย่างนี้ละสิ เลยไม่รู้”

“แล้วหมู่เคยหรือครับ?”

เงียบ...

“อ้าวทำไมไม่ตอบละครับ ผมสงสัยว่า หมู่เคยมีช่วงเวลาอย่างนี้ด้วยหรือครับ?”

เงียบ... หรือว่าฉันแซวไอ้หน้าหล่อแรงเกินไปวะ... โธ่ แล้วทีมันว่าให้ฉันละ !?!? แต่ที่แน่ ๆ หน้าตามันบึ้ง ๆ บอกไม่ถูก!

“มึงไม่รู้อะไร...” มันตอบห้วน ๆ จับอารมณ์ไม่ดีในปลายเสียงนั้นได้

“ผมเคยนะ” ฉันเป็นฝ่ายคลี่คลายสถานการณ์นั้นเอง “วันแรกผมก็โดนคล้าย ๆ แบบนี้แหละครับ แต่ผมกลับมาถึงพร้อม ๆ กันกับเพื่อน ๆ คนอื่น”

คราวนี้ไอ้หน้าหล่อ เจ้าของจมูกโด่งเป็นสัน เอามือกอดอก ดวงตาอันคมกริบนั้นบาดลึกเข้าไปในใจฉัน เมื่อมันหันมาสบตาตรง ๆ

“เออ... มึงเก่ง!!!!”

ฉันกำลังจะอ้าปากต่อล้อต่อคำ พอดีจ่ากองประกาศก้องขึ้นมาก่อน

“ครูขอให้พวกเธอจำวันนี้ไว้ จำความรู้สึกนี้ไว้ ใครที่มาถึงแรก ๆ ก็ขอให้รู้จักเอาตัวรอดไปให้ได้ตลอด ใครที่ไม่ไหว หรือมาท้าย ๆ ก็ขอให้ปรับปรุงตัวขึ้น พวกเธอยังต้องเจออะไรอีกมาก หนักกว่านี้เยอะ ถ้าแค่นี้อดทนกันไม่ได้ ก็ไม่ต้องเกิดมาเป็นคนกันแล้ว”

จ่ากองยิ้มเหี้ยม ๆ แกแปลงร่างเป็นเพชฌฆาตหน้าหยกอีกครั้ง “เอาละ ต่อจากนี้ไป ให้เวลา ๑ นาทีเข้าห้องเรียนแล้วนั่งที่ให้เรียบร้อย จะได้ทำอย่างอื่นต่อสักที”

“ทำอะไรอ่ะ?” ฉันสงสัยเลยเอ่ยกับ กร ที่ยืนอยู่คู่ฉัน แต่ไม่ทันปากไอ้หน้าหล่อที่คราวนี้ มันดันไม่เงียบเหมือนเมื่อครู่ที่ผ่านมา...

“อ้าว!” มันยักไหล่แบบคิดว่าตัวเองเท่ซะเต็มประดา “ก็ถึงเวลาที่จะรู้แล้วไง ไอ้พัทเซ่อ! ว่ามึงหรือกู... ใครจะได้ดมกลิ่นตีนใครก่อนกันแน่ ตลอดเวลา ๑ สัปดาห์นะสิวะ!”



ชัย ยืนเอามือกุมท้องหัวเราะงอหาย เมื่อเห็นฉันกำลังซักถุงเท้าให้หมู่เมธในตอนดึกของคืนวันแรกของการฝึกทหารใหม่ ภายหลังจากที่พลทหารใหม่เข้านอนตอนสามทุ่มไปแล้ว

“มึงจะขำไปถึงไหนเนี่ย?” ฉันขยี้ถุงเท้าในถังพลาสติกอย่างอารมณ์เสีย

“สัญชาตญาณแรง สายตาเธอมันบอก...” คราวนี้ ยุทธ ฮัมเพลงพลางนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเข้ามาในห้องน้ำ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของอดีตคู่บัดดี้ของฉัน ที่นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเหมือนกับ ยุทธ

“ก็เหมาะดีแล้วนี่นา พัทซี่” ปิ๊ก ลงทุนเอามือมากอดคอฉันเพื่อปลอบอารมณ์ขุ่นมัวนั้นให้ดับลงบ้าง ส่วน น้ำ กับ หล่ออิท ที่เดินเข้ามาสมทบ ทั้งคู่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น คงจะรู้ “เรื่องพนัน” กับ “เรื่องใครจะได้ดมกลิ่นตีนใครก่อนกันแน่” กันแล้ว ถึงยืนจ้องดูฉันซักถุงเท้าอย่างเห็นอกเห็นใจ

“แต่กูไม่ได้หัวเราะแค่เรื่องที่มึงซักถุงเท้าแค่เรื่องเดียวหรอกนะวะ กูฮาชื่อใหม่มึงวะ... พัทเซ่อ เท่ฉิบหาย มันคิดได้ไงวะ” ปิ๊กหัวเราะเสียงดังไม่หยุด

“ฮาเข้าไป” ฉันบ่นกะปอดกะแปด “แต่... ไม่เคยเห็นหมู่เมธมันเรียกมึงเป็นชื่อแปลก ๆ ซักทีเลยวะ”

“ใครว่าไม่เรียก” หล่ออิท โพล่งขึ้นมา “ตอนที่ขนปืนเก็บเข้าคลังวันนั้นไง หมู่เมธจะใช้ไอ้ปิ๊ก มันเรียกไอ้ปิ๊กว่า ปิ๊กกะจู้”

“จริงอ่ะ?” ฉันทวนคำพูดนั้นพลางหัวเราะไป คนอื่น ๆ ก็พลอยหัวเราะไปด้วย ปิ๊กทำหน้าเซ็ง ๆ

“แต่ก็อยากรู้จังว่าทำไมเขาถึงเลือก ไอ้หิน เป็นหัวหน้าหมู่วะ?” ชัยถาม

“เพื่อน ๆ มันในหมู่ ๔ คิดว่า ไอ้ภูหินเนี่ย...มันจบถึงปริญญาตรี คงน่าจะพอเป็นผู้นำได้บ้าง”

“เฮ้ย! แต่เมื่อตอนเราฝึก มึงก็จบปริญญาตรีมานี่นา แล้วทำไมไม่มีใครเลือกมึงวะ?” ปิ๊กจ้วงน้ำในอ่างตักรดตัวเอง

“กูจะไปรู้เร๊อะ!” ฉันตอบแบบหัวเสีย มีผลทำให้เพื่อน ๆ หัวเราะครื้นเครง

ช่วงเวลาหลังแตรนอนเป่าทั่วทั้งค่าย หรือหลังเวลาสามทุ่มเป็นต้นไปนั้น พวกเราในฐานะผู้ช่วยครูฝึกฯ ถึงจะมีเวลาว่างพอที่จะใช้เวลาไม่เกิน ๑ ชั่วโมงจากนี้ไป ทำธุระส่วนตัว เช่น อาบน้ำ เข้าห้องน้ำ ซักผ้า ดูโทรทัศน์ใน บก.หน่วยฝึกฯ หรือแม้แต่หาอะไรกิน เป็นต้น หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันและแทบไม่มีเวลาว่างทำอย่างอื่นนอกจากฝึกทหารใหม่

“เมื่อกี้ก่อนลงมา จ่าวิทย์ให้หาพลทหารใหม่มาเข้าเวรฯ ตรงระเบียงหน่วยฝึกฯ เราก็เลยให้ ไอ้บะหนุน กับ ไอ้ก้าน มายืนยามก่อนสักสองชั่วโมง จากนั้นก็ว่างไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยเวียนตามหมวดหมู่น่าจะดีกว่า” น้ำ เล่าให้ฟัง

“บะหนุน นี่ใครวะ พลทหารนิธิพล นั่นหรือ?” ยุทธ ถาม

“ใช่แล้ว หัวหน้าตอนไง ไอ้ตัวหุ่นหนา ๆ ที่อยู่หมู่กูไงวะ” น้ำ อธิบายต่อ “ไอ้ก้าน ก็ หัวหน้าหมวด ๑ ที่อยู่หมู่เชฟน้อยไงวะ ที่ตัวดำ ๆ หน่อย”

“ตัวดำเหมือน ไอ้กร นะหรือวะ?” ยุทธแหย่ ทำให้เราฮาขึ้นพร้อมกัน

“สาด..... ยุทธ พ่องแม่งดิวะ” กรซัดเข้าให้ “น้ำ หรือมึงจะเอาหัวหน้าหมวด ๒ ไปยืนเวรต่อก็ได้นะวะ เดี๋ยวกูบอกให้”

“คนที่ชื่อ เอกวัฒน์ หรือเปล่าวะ?” หล่ออิท หยุดแปรงฟันไปชั่วขณะ “มันเลี่ยม ๆ ยังไงชอบกลวะ กูว่านะ”

“เขาถึงเลือกมันเป็นหัวหน้าหมวดนะสิ” ฉันสรุปให้กับคำถามของ หล่ออิท “เห็นไหมว่า บางครั้งการเลือกคนเป็นหัวหน้าก็ตัดสินใจจากอะไรที่มันผิวเผิน อย่างหัวหน้าหมู่ของฉันเป็นต้น”

“มึงยังไม่จบอีกหรือวะ พัทซี่?” ยุทธที่กำลังถูโฟมล้างหน้าอย่างเมามันเย้าเข้าให้

“งั้นมึงก็ลองมาซักถุงเท้าแทนกูสิวะ! จะได้รู้ว่ากูรู้สึกยังไง!”

“อ๊ะ... กูไม่ซักหรอก” ยุทธถูจมูกตัวเอง “มึงกับไอ้หมู่เมธหน้าจืดนั่น เป็นผัวเป็นเมียกันอยู่แล้วนี่นา แค่ซักถุงเท้าให้กันไม่เห็นจะเป็นอะไรสัก...หน่อย เหวอ...!!!!”

ยุทธร้องลั่นพลางกระโดดหนี เมื่อฉันเขวี้ยงถุงเท้าเปียกน้ำผงซักฟอกกองเบ้อเร้อเข้าใส่ตัวมันอย่างจัง!

น้ำ รอเพื่อน ๆ หัวเราะจบลง จึงบอกกับ กร ว่า “ยังไม่ต้องหรอก วันแรกก็เบา ๆ ก่อนละกัน”

“แล้วพรุ่งนี้ใครเข้าผู้ช่วยครูเวรฯ?” ปิ๊กหันมาถามฉัน แต่ ยุทธ แซงตอบ

“ก็เรียงไปตามหมู่ไง วันนี้เป็นไอ้น้ำ พรุ่งนี้ก็ไอ้ยุทธมัน”

“ดี ๆ พรุ่งนี้ตอนอาบน้ำ กูจะลองเล่นรถไฟสักหน่อย” ยุทธตักน้ำล้างตัวใหม่อีกครั้ง

“ใครเขาจะเล่นกันตั้งแต่อาทิตย์แรก ๆ วะ! เขาก็เก็บไว้วันหลัง ๆ สิ รอพัทซี่เข้าเวรฯ ค่อยเล่นก็ได้”

“ขอบายละกัน” ฉันไล่เก็บถุงเท้าที่หล่นกระจายกับพื้นห้องอาบน้ำรวม พลางบอก กร ที่แซวเรื่องเล่นรถไฟใส่ฉัน“เรื่องพิเรนทร์ ๆ อย่างนั้นเอาไว้ให้ ยุทธ คนเดียวมันละกัน”

อ๊าก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


ฉันหยุดมือที่กำลังบิดถุงเท้า เงยหน้าขึ้นมองเพื่อน ๆ ที่ส่วนใหญ่กำลังยืนอาบน้ำกันอยู่ หน้าของ ปิ๊ก ซีดเผือก!

“เสียงอะไรวะ?” หล่ออิท หันมามองหน้าฉัน

“เสียงดังมาจากข้างบนโรงนอนนี่หว่า...” น้ำ ชะงักไปด้วยความตระหนก

และแล้ว... ฉันก็ได้สติก่อนใครเพื่อน ที่บัดนี้แต่ละนายต่างอยู่ในสภาพซึ่งไม่สามารถจะออกจากห้องน้ำได้โดยสะดวก ฉันทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งปร๋อผ่านห้องเรียนอันมีแสงสลัว ตรงขึ้นบันไดไปยังโรงนอน ไฟเปิดสว่างพรึ่บ!

พอผ่านเข้าประตูไป ก็แว่วเสียงพึมพำ ๆ ของพลทหารใหม่ที่พากันลุกจากเตียง ชะเง้อมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางห้องนั้น พลทหารใหม่นายหนึ่งนอนบิดตัวงออยู่ตรงพื้น เชฟน้อย กับ ชัย กำลังก้มดูอาการกันอยู่ จ่าวิทย์ซึ่งอยู่ในชุดครึ่งท่อน เป่านกหวีดเสียงดังให้พลทหารใหม่อยู่ในความสงบ

“พัทซี่ ทำไงดีวะ?” เชฟน้อยตะโกนเรียกฉันอย่างตื่นกลัว

ฉันถลาเข้าไปดูอาการ จำได้ทันทีว่า พลทหารใหม่ที่นอนบิดไปบิดมาอยู่นี้ คือ จอน หรือพลทหารขจร สังกัดหมู่ ๔ ของฉันนั่นเอง

พงศ์ พลทหารใหม่หมู่ฉันซึ่งอยู่เตียงติดกัน ลงมาเขย่าตัวเพื่อน “เฮ้ย.... ไอ้จอน เป็นอะไรวะ มึงปวดท้อง หรือวะ?”

ฉันพยายามตัว จอน ให้อยู่นิ่ง ๆ ทว่าเจ้าตัวก็ดิ้นครวญครางไปมา เชฟน้อยก้มมองดูอาการตรงหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นมองดูฉันอย่างเต็มตาอีกครั้ง ฉันเห็นความเข้าใจในแววตาคู่นั้น

“หรือว่า... จะเป็น...”

“ผีเข้า! ใช่ไหมครับครูพัท?” พงศ์ตะโกนออกมาเสียงดัง จ่าวิทย์ที่เดินมาถึงบริเวณนั้นพอดี ตวาดเสียงดัง

“เหลวไหล...” แกเท้าสะเอว ราวกับกำลังตัดสินใจ “พัฒนรัฐ พาตัวมันไปข้างล่าง แล้วโทรตามหมู่เมธ ถ้าหมู่มาไม่ได้ก็ให้ปรึกษาอาการ ค่อยให้ยาแล้วกัน”

ว่าแล้ว... จ่าวิทย์ก็หันไปสั่งให้พลทหารใหม่เข้านอนตามปกติได้แล้ว

ภูหิน ก็เลิกมุ้งออกมาดูด้วยกัน ดวงตาอันกลมโตยิ่งโตด้วยความกลัวมากกว่าเดิม

ฉันจับบ่าเพื่อนพลทหารขจรที่กำลังคุกเข่าอยู่ “พงศ์ กลับไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวครูจัดการเอง”

ไวเท่าความคิด ฉันอุ้มพลทหารขจร ซึ่งตัวพอ ๆ กันกับฉันขึ้น แล้วออกเดินไปจากโรงนอน เหลือบเห็นภูหินที่ยังคงนั่งอยู่กลางเตียง ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองมาอย่างตกตะลึง แต่ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

“ภูหิน นอนได้แล้ว” ฉันสั่งเสียงดัง “เชฟน้อย ปิดไฟโรงนอน แล้วตามเราลงไปที่ข้างล่างด้วยนะ”

.............................................



Create Date : 19 พฤษภาคม 2555
Last Update : 19 พฤษภาคม 2555 8:07:28 น.
Counter : 562 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
พฤษภาคม 2555

 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
All Blog