เพราะหยุดตรงจุดเริ่มต้น
เ พ ร า ะ ห ยุ ด ต ร ง จุ ด เ ริ่ ม ต้ น
ภ. ม. ภาคิโน

ศรุตชัย ชายหนุ่มรูปร่างล่ำสัน อายุราว ๓๗ ปี เดินทางมายังไร่ของเขาในเขตอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่เกือบยี่สิบไร่เชิงเขามีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน ต้นไทรต้นใหญ่สูงเด่นแผ่กิ่งก้านสาขาเขียวขจีกลางไร่ ที่ดินผืนนี้เป็นมรดกของพ่อและแม่ซึ่งทิ้งไว้ให้ก่อนที่จะถึงแก่กรรมไปเมื่อห้าปีก่อน เขานำเงินเก็บที่ได้จากการทำงานตลอดระยะเวลาสิบปี มาลงทุนปลูกผลไม้ ซึ่งได้รับการส่งเสริมมาจากบริษัทเอกชนที่รับซื้อไปบรรจุกระป๋องจำหน่ายยังต่างประเทศ ทำให้มีรายได้ต่อเนื่องพอเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับปีต่อไป
ปัญหาใหญ่ของที่นี่ไม่ใช่เรื่องเงิน หรือการเพาะปลูก แต่หากเป็นเรื่องคน ประสบการณ์จากการทำงานในรัฐวิสาหกิจ ทำให้ศรุตชัยทราบดีว่า การจัดการเรื่องคนเป็นศิลปะที่ไม่มีแขนงวิชาใดเสมอเหมือน และเป็นงานที่ยุ่งยากวุ่นวายไม่ต่างอะไรจากการจัดกองทัพเพื่อเตรียมทำสงคราม เมื่อคืนนี้ หัวหน้าคนงานที่นี่โทรศัพท์ไปหาเขาที่กรุงเทพ ฯ รายงานว่า เขาสามารถจับพนักงานคนหนึ่งที่แอบขโมยผลไม้ไปขายได้ ศรุตชัยถึงต้องขับรถจากเมืองหลวงมาถึงกาญจนบุรีอย่างเร่งด่วนในตอนสายของวัน
ชายหนุ่มยืนกอดอกฟังหัวหน้างานเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง หัวหน้างานรับผิดชอบดูแลการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การซื้อขาย และแรงงานทั้งหมดในไร่ ถือเป็นตำแหน่งที่เขาต้องอาศัยคนที่มีความสามารถพอตัว ที่สำคัญต้องมีความซื่อสัตย์จนสามารถมอบความไว้วางใจกันได้ หัวหน้างานคนนี้เขารับสมัครด้วยตัวเองตั้งแต่เริ่มทำไร่ที่นี่ ตลอดระยะเวลาทำงานที่ผ่านมา เขาไม่เคยทำเรื่องเสียหาย แถมดูทุกคนในไร่จะเกรงอกเกรงใจต่อเขากันดี ทว่าพักหลัง ผลผลิตในไร่หายไปบ่อยครั้ง จึงเกิดการสงสัยว่าน่าจะมีการขโมยกันเกิดขึ้น ดังนั้น จึงต้องมีการสืบหาตัวคนร้าย ก่อนที่จะมาจับได้เมื่อคืนนี้
ส่วนพนักงานที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยนั้น ศรุตชัยรู้จักดีเช่นกัน เป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งจบ ปวส. มาหมาด ๆ มีความกระตือรือร้นในการทำงาน มีความรับผิดชอบงานสูง จึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ช่วยหัวหน้างานในไร่ แต่ด้วยความไม่ค่อยพูด และไม่ชอบสุงสิงกับใคร ถ้ามีเวลาว่างก็จะอ่านหนังสือ หรือไม่ก็ไม่ทำงานที่วัดใกล้กับไร่ ซึ่งแตกต่างจากพนักงานส่วนใหญ่ของที่นี่ ที่มักจะสังสรรค์วงเหล้ากันเป็นประจำเกือบทุกเย็น ทำให้จักรินทร์ถูกมองว่าเป็นคนแปลก
เมื่อฟังหัวหน้างานเล่าจบแล้ว เจ้าของไร่จึงให้ตามจักรินทร์ไปพบที่สำนักงานเพียงลำพัง
. . . . . . . . . . .

พันโท พระยาสงครามวิชิต เดินทางมาถึงเนินเขาที่หน่วยเหนือคาดว่าจะเป็นจุดที่มีการปะทะกันระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพของสัมพันธมิตรซึ่งฝ่ายการข่าวรายงานว่า จะโดดร่มมาลงบริเวณนี้ เพื่อรวมตัวกันจัดตั้งกองพลยกประชิดก่อนจะหาทางตีเข้ามาสู่เส้นทางลำเลียงของทหารญี่ปุ่น ท่ามกลางแสงแดดจ้ายามเที่ยงนั้น เขาสั่งให้ทหารทั้งสองกองร้อย ขุดคูเพื่อใช้เป็นสนามเพลาะ ตั้งปืนกลและจัดกำลังทหารให้เรียงซ้อนกันยาวไปจนตลอดแนว อาศัยพงหญ้าที่เริ่มออกสีเหลืองเพราะเหี่ยวแห้ง กำบังกายเร้นตัวเพื่อรอเป้าหมายที่อาจจะมาถึงในตอนดึกของคืนนี้
ผู้บังคับกองร้อยที่สอง ชื่อว่า ร้อยโทพระบดินทรภักดี เป็นนายทหารที่มีความสามารถมาก เป็นที่ชื่นชอบของผู้บังคับบัญชา จึงได้เลื่อนขั้นเร็วกว่าเพื่อนที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน เพราะฉะนั้น จึงทำให้มีนายทหารบางส่วนอิจฉาริษยาในความสำเร็จนั้นอยู่บ้าง แต่คุณพระเองก็ไม่เคยจะสนใจ ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างดีที่สุด เช่นเดียวกับการนำกองร้อยเข้าสู่สนามรบอย่างเวลานี้
. . . . . . . . . . .

จักรินทร์ เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาคมเข้ม แววตาอันเด็ดเดี่ยวคู่นั้น ไม่เคยหลบต่ำลงเลยขณะที่ผู้เป็นนายกำลังเพ่งพิจารณาจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่มีโต๊ะคั่น ภายในสำนักงานเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ช่วยให้ศรุตชัยพอข่มอารมณ์เดือนพล่านนั้นลงได้บ้าง เขายังมีแก่ใจถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของลูกน้อง แม้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน
“อาการปวดหัวนายเป็นไงบ้าง” คนถามรู้ดีว่า จักรินทร์ผู้นี้เป็นโรคไมเกรน ต้องทานยาและไปตรวจที่โรงพยาบาลอยู่เสมอ
“ดีขึ้นครับ ช่วงนี้ไม่ค่อยปวดเหมือนเมื่อก่อน”
“ดีแล้วล่ะ งั้นเข้าเรื่องเลยละกัน ไม่อยากเสียเวลา” ศรุตชัยจ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง “นายขโมยผลไม้ออกไปขายข้างนอกหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
“แปลว่านายปฏิเสธ”
“ครับ” เขาพูดน้อยจริง ๆ
“ตกลง นายไม่ได้ขโมยใช่ไหม”
“ครับ ผมบอกหัวหน้าไปแล้ว ว่าผมโดนใส่ความ ถ้านายไม่เชื่อผมอีกผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง”
ศรุตชัยถอนหายใจ “แต่ว่า.. มีพยานเห็นว่านายเอาใส่กระบะขนออกไปทางประตูด้านข้าง”
“พวกนั้นเขาแกล้งผม” คำพูดสั้นห้าว
“แกล้งยังไง”
“เขาเก็บผลไม้ใส่กระบะมาวางเตรียมไว้ตรงประตูด้านข้างตั้งแต่บ่าย ตอนค่ำผมเดินตรวจตราตามปกติ มีคนขับปิคอัพมาตะโกนเรียกตรงประตูนั้น ให้ผมช่วยยกกระบะขึ้น ผมถามเขาว่า ของใคร เขาบอกว่าของเขา เขาจ่ายเงินที่หัวหน้างานแล้ว ผมเลยช่วยเขายก มีคนเดินออกมาเห็นพอดี เขาก็เลยเอามาฟ้อง”
“อืม.. แต่ผมถามหัวหน้างานแล้วนะ เขาไม่บอกว่า ไม่เคยมีการซื้อขายแบบนั้นเลย”
“ว่าแล้ว” จักรินทร์ถอนหายใจ ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วบ่นพึมพำ “นายเข้าข้างเขา”
“ไม่ได้เข้าข้าง ก็ผมกำลังจัดให้เรื่องมันมีความยุติธรรมอยู่นี่ไงล่ะ” ศรุตชัยชักมีโมโห ซึ่งเจ้าตัวต้องนับหนึ่งถึงสิบก่อนจะเย็นลงบ้าง “จริงหรือเปล่า คือ เผอิญผมได้ยินมาน่ะ ว่านายเข้ากับใครไม่ได้”
“ที่ผมเข้ากับใครไม่ได้นี่ มันจะทำให้ผมถึงกับต้องขโมยของด้วยหรือเปล่าครับ” ประโยคนี้ย้อนราวกับคำคมบาดลึก
ผู้เป็นนายนิ่งเงียบ เขารู้ดีว่า จักรินทร์ทำงานดีมาก ขยันขันแข็ง เป็นที่รักใคร่ของหัวหน้างาน แต่เขามักจะเข้ากับเพื่อนพนักงานที่เหลือไม่ได้ ก็เนื่องมาจากอุปนิสัยที่เคร่งขรึม พูดน้อย รักสันโดษ เวลาพักมักจะปลีกวิเวกไปอ่านหนังสือ นั่นแหละ.. ผลการทำงานอยู่ในเกณฑ์ดีมากจึงได้เลื่อนขั้นเร็ว ดังนั้น ความอิจฉาริษยาของกลุ่มเพื่อน ๆ มักทำให้เขาโดนจับผิดประจำ แม้ช่วงแรกหัวหน้างานจะไม่ค่อยสนใจเรื่องราวเหล่านี้เท่าไหร่ แต่เหมือนคำที่ว่า น้ำหยดลงบนหินทุกวัน หินมันยังกร่อนได้ นานเข้า หัวหน้างานก็เริ่มจับสังเกตและหมดความไว้วางใจไปทีละน้อย ศรุตชัยตัดสินใจทันทีเพื่อยุติเหตุการณ์ที่อาจจะบานปลายได้ ถ้าเขาไม่เด็ดขาดพอ
“ผมคงต้องขอให้นายออกจากที่นี่ดีกว่า จะจ่ายค่าชดเชยให้ ไม่แจ้งความ นายจะได้ไม่ต้องมีคดีติดตัว”
. . . . . . . . . . .

ขณะที่ร้อยโทพระบดินทรภักดี กำลังยืนคุมกองร้อยของตนเองขุดคูและถมคันดินอยู่นั้น พลทหารคนหนึ่งทำความเคารพแล้วแจ้งว่า ท่านเจ้าคุณให้หา
ใต้ต้นไทรที่แผ่กิ่งก้านสาขาใหญ่อยู่เชิงป่านั้น เป็นที่ตั้งของกองบัญชาการ พันโทพระยาสงครามวิชิตรอเขาอยู่ในเต๊นท์เพียงลำพัง
“ทางฝ่ายการข่าวมีหนังสือด่วนที่สุดและลับที่สุดแจ้งมาว่า เรามีสายของทางฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่ในกองทัพของเรา”
ร้อยโทพระบดินทรภักดี สะดุ้งกับประโยคนั้น อุปนิสัยของท่านเจ้าคุณที่มักเป็นคนพูดตรง ไม่อ้อมค้อม ทำให้ดูเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด
“เขาแจ้งมาไหมครับท่าน.. ว่าเป็นใคร”
“ไม่ได้แจ้ง แต่เขารู้ว่ามี เพราะฝ่ายโน้นรู้ความเคลื่อนไหวของเราตลอด” คนพูดจ้องเขม็งมายังผู้มียศต่ำกว่า “เราคงต้องจับตาดูอย่างละเอียด และพยายามจับตัวให้ได้ก่อนที่ฝ่ายโน้นจะโดดร่มลงคืนนี้”
. . . . . . . . . . .

ศรุตชัยรู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมาตะหงิด ๆ ตั้งแต่เมื่ออยู่ในสำนักงานแล้ว มือหนึ่งกำลังนวดหน้าอกตัวเองอีกมือหนึ่งต้องพยายามเหนี่ยวเก้าอี้ไว้ จักรินทร์ออกไปจากสำนักงานนานแล้ว กว่าจะตกลงกันได้ก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง หัวหน้างานซึ่งเตร่อยู่แถวนั้น เห็นเข้าพอดีจึงรีบเข้ามาประคอง
“นายเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“เจ็บหน้าอกนิดหน่อย”
“ให้ผมช่วยพาไปโรงพยาบาลไหมครับ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวคงจะค่อยยังชั่วแล้ว” อาการปวดเริ่มทุเลาลงบ้าง “จักรินทร์ล่ะ”
“ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี เอ้อ ผมจะไปธุระซักหน่อย เย็น ๆ จะกลับมาค้างที่นี่”
“ครับ” หัวหน้างานรับคำ
. . . . . . . . . . .

ร้อยโทพระบดินทรภักดี ถูกตามตัวอีกครั้งเมื่อค่อนดึก ท้องฟ้ามืดสนิท แม้แต่กองบัญชาการก็มีตะเกียงจุดให้ความสว่างเพียงดวงเดียว ตรงพื้นเบื้องหน้าท่านเจ้าคุณมีพลทหารคนหนึ่งถูกจับมัดไว้ ใบหน้ามีรอยฟกช้ำราวกับถูกซ้อมอย่างหนัก
“เราจับตัวได้แล้ว” พันโทพระยาสงครามวิชิตแจ้งให้ทราบ
“ท่าน.. จริงหรือครับ” ร้อยโทหนุ่มมึนงงกับภาพตรงหน้า “พลทหารคนนี้หรือครับท่าน”
“ใช่ ผมสอบสวนมันเองกับเมื่อเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา”
“ท่านแน่ใจได้อย่างไรครับ เอ้อ..” ผู้พูดรีบหยุดชะงักเมื่อเห็นสายตาคมกริบตวาดมา เขาลดเลียงให้เบาลง “ผมว่า พลทหารผู้นี้จะทำอะไรได้ครับ เขาเป็นแค่พลทหารคนหนึ่ง”
“เขาพูดภาษาอังกฤษได้บ้างนิดหน่อย คุณอยากจะลองคุยกับเขาดูไหมล่ะ”
ร้อยโทพระบดินทรภักดีเหลือบมองพลทหารตรงพื้นตรงหน้า ซึ่งเขามั่นใจว่า คงขยับปากได้ยากเต็มทน ดังนั้น เมื่อเห็นลูกน้องใต้บังคับบัญชานิ่งเงียบไป ท่านเจ้าคุณจึงสั่งทหารข้างนอกให้นำตัวพลทหารไปขังไว้ พร้อม ๆ กับที่เสียงเครื่องบินแว่วมาแต่ไกล
“เร็วเข้า คุณพระ เรามีงานต้องทำ” ท่านเจ้าคุณสั่งเสร็จก็รีบผลุนผลันออกไปทันที
ร้อยโทพระบดินทรภักดีเดินตามไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะชะลอฝีเท้าลงแล้วเลี้ยวหายไปยังบริเวณที่คุมขัง รอจนทหารที่กุมตัวพลทหารกลับออกไปจนหมด เขาจึงสาวเท้าตรงไปหาพลทหารผู้นั้น
“เอ็งสารภาพหมดแล้วหรือยัง”
“ขอรับ ท่าน” เสียงนั้นแผ่วเบา
“ท่านเจ้าคุณสงสัยอะไรอีก”
“ท่านคิดว่า.. มีผู้อื่นอยู่เบื้องหลังอีกขอรับท่าน”
“ดี.. อยู่ในนี้ไปก่อนจนกว่าฉันจะกลับมา”
ร้อยโทหนุ่มหมุนตัวผละจากไป
. . . . . . . . . . .

จักรินทร์ยืนหลบอยู่ตรงพุ่มไม้ข้างประตูข้าง สะพายเป้ใบเขื่องขณะที่สองเท้าเขี่ยฝุ่นดินเล่นราวกับรอใครบางคน สักพักเมื่อได้ยินเสียงรถ จึงรีบกระชับเป้และคว้าแว่นตากันแดดที่แขวนอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อขึ้นมาสวมทันควัน รถกระบะคันใหญ่เตะเบรกเบา ๆ ก่อนจะจอดรอให้เขาขึ้นรถด้านข้าง สักพักจึงออกตัวแล้วเร่งความเร็วทะยานแล่นหายลับโค้งข้างหน้าไป
“ไปไหนครับ”
“ไปวัด ท่านพระครูคงอยากพบ”
. . . . . . . . . . .

กองทัพฝ่ายไทยโรมรันต่อตีกับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างกล้าหาญ แต่ก็ไม่อาจต้านทานอาวุธยุทโธปกรณ์และการวางแผนกลยุทธ์ที่เหมือนจะรู้ทันฝ่ายไทยจึงถูกตีแตกก่อนย่ำรุ่ง สูญเสียทหารและอาวุธมากมาย ร้อยโทพระบดินทรภักดีพาทหารสองสามนายลัดเลาะหนีมาตามไล่เขา ไม่วายมีห่ากระสุนตามมาเป็นชุด กระสุนปืนยิงตัดขั้วหัวใจทหารที่มากับเขาจนล้มตายหมดสิ้น เมื่อเหลือตัวคนเดียวร้อยโทหนุ่มก็พาตัวเองมาถึงอีกฝั่งของภูเขาจนได้ในสภาพที่อิดโรยเต็มทน แต่แล้วหูของเขาก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาข้างหลัง จึงคว้าปืนพกขึ้นเล็งไปยังเป้าหมาย
“ช้าก่อน คุณพระ” เขาจำเสียงคุ้นหูนั้นได้ ท่านเจ้าคุณนั่งเอง
“ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” เขาลดปืนลงแล้วถามกลับออกไป พันโทพระยาสงครามวิชิตอยู่ในสภาพสะบักสบอมไม่ต่างอะไรจากเขามากนัก
“ผมไม่มีอาวุธติดตัวเลย คุณพระ ขอยืมปืนของคุณหน่อยได้ไหม”
“ได้ครับ”
ปืนพกในมือถูกส่งให้กับฝ่ายตรงข้าม ทันใดนั้นเอง ท่านเจ้าคุณก็ยกปืนขึ้นเล็งตรงมายังคุณพระซึ่งมีสีหน้าตื่นตะลึง
“ท่านจะทำอะไรครับ”
“คุณพระรู้ความลับของผมแล้วสิ ผมรู้นะว่าคุณพระได้รับคำสั่งจากหน่วยเหนือให้มาสืบความลับผม ผมถึงต้องระวังตัวมากขึ้น”
“ท่านพูดเรื่องอะไรครับ ผมไม่เห็นเข้าใจ”
“คุณพระแสร้งให้พลทหารคนหนึ่งทำตัวเป็นสายลับปลอมเพื่อให้ผมจับกุมตัวเขา เพื่อจะให้ผมตกหลุมพรางแล้วแสดงตัวออกมา ผมไม่ตกหลุมพรางคุณพระง่าย ๆ หรอก” ท่านเจ้าคุณเค้นเสียงหัวเราะ
“แล้วท่านจะทำอะไรผม” น้ำเสียงของอีกฝ่ายตระหนกสุดขีด
พันโทพระยาวิชิตสงครามไม่ตอบ เสียงปืนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ร้อยโทพระบดินทรภักดี รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นที่หน้าอก เมื่อก้มมองดูนั้นเขาเห็นเลือดกำลังไหลออกมาจากบริเวณนั้นเปรอะเสื้อเต็มไปหมด
นัยน์ตาที่เริ่มพร่ามัว ยังทันได้เห็นรอยยิ้มอย่างมีชัยและโหดเหี้ยมของพันโทพระยาวิชิตสงคราม เขาพึมพำออกมาเบา ๆ ก่อนลมหายใจสุดท้ายจะหมดลง
. . . . . . . . . . .

ศรุตชัยพักอยู่ต่อมาอีกสามวัน อาการปวดหน้าอกของเขาแม้จะค่อยคลายลงบ้าง แต่ยามที่เขาสะดุ้งตื่นใกล้รุ่งทีไร มักจะเจ็บแปลบขึ้นมาทุกครั้ง
“ทนอีกหน่อย” เขาร้องอูย แล้วใช้มือนวดให้ตัวเอง “อีกไม่นาน ทุกอย่างจะจบลง”
จนกระทั่งเย็นวันที่สี่ ขณะที่ศรุตชัยกำลังดูเอกสารอยู่ในห้องทำงานของเขา เสียงเคาะประตูหนัก ๆ ดังขั้นสี่ครั้ง ทำให้รู้ทันทีว่าเป็นใคร
“เข้ามา”
ผู้ที่เปิดประตูเข้ามา มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด
“มันกลับมาอีกแล้วครับ ตอนนี้เลยที่ประตูด้านข้าง”
“ดี งั้นเราไปดูกัน แค่สองคนนะ ไม่ต้องเรียกคนอื่นตามไป”
. . . . . . . . . . .

เบื้องหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีทองอร่ามที่รอยแย้มสรวลนั้นดูเยือกเย็น สงบ และประณีต พระครู พิสุทธิธรรมาจารย์ กำลังนั่งสมาธิอยู่ ขณะนั้นเองจิตของท่านนึกรู้ได้ว่า มีอุบาสกท่านหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในวิหารแห่งนี้ จึงค่อยลืมตาขึ้น
“เจริญพร โยมศรุตชัย ที่ให้ไปลองปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้าง”
“ได้ผลดีทีเดียวครับหลวงพ่อ” ชายหนุ่มกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง ก่อนจะนั่งเรียบร้อยตรงหน้าท่าน “ผมรู้สึกสงบขึ้น”
“แล้วเรื่องอดีตชาติที่โยมระลึกได้ในสมาธินั่นละ ไปถึงไหน”
“ถึงแม้ภาพที่เห็นจะไม่ค่อยปะติดปะต่อมากนัก แต่ผมพอเข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ ว่าผมต้องทำยังไง นี่ผมก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ตามที่หลวงพ่อสอน”
“โยมจะยุติ หรือว่าจะเดินต่อ”
“ผมมีแนวทางของผมแล้วครับ”
“แนวทางที่โยมว่า เป็นอย่างไรล่ะ ช่วยเล่าให้อาตมาฟังหน่อย”
ศรุตชัยเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นให้หลวงพ่อฟัง
. . . . . . . . . . .

พันโทพระยาสงครามวิชิต เดินโซซัดโซเซมาจนถึงลำธารแห่งหนึ่ง ซึ่งไหลเลาะผ่านที่ราบเชิงเขาอันกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา อากาศเย็นสดชื่นพัดเอื่อยจนเขาอดใจที่จะนั่งพักตรงข้างลำธารไม่ไหว อีกไม่กี่วันเขาก็จะเดินทางถึงเมืองหลวงเพื่อไปรับเงินก้อนโตที่นายทหารฝรั่งจะนำมาให้ถึงบ้าน ไม่เคยมีใครระแคะระคายเรื่องนี้และเขาก็ฉลาดพอที่จะเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง เช่นเดียวกับที่เขาจัดการไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา
ท่านเจ้าคุณก้มตัวลงล้างหน้าด้วยน้ำในลำธาร ขณะที่เงยหน้าขึ้นช่วงจังหวะเดียวกับที่น้ำหยุดกระเพื่อม เขาก็ได้เห็นเงาหนึ่งเงื้อท่อนไม้สุดแรง เขาสิ้นสติไปในทันที
พลทหารผู้ตีศีรษะท่านเจ้าคุณสุดแรงโยนไม้ทิ้งไปในลำธาร ก่อนจะใช้เท้าพลิกลำตัวขึ้นมาดู เลือดไหลอาบสองแก้มของคนที่นอนอยู่ ศีรษะด้านที่ถูกตีบุ๋มลงไป พลทหารยิ้มอย่างสะใจ
“ผมแก้แค้นให้ท่านได้แล้วครับ คุณพระบดินทรภักดี”
. . . . . . . . . . .

กระบะบรรจุผลไม้อยู่เต็มถูกขนมาไว้ริมประตูด้านข้างไร่ คนที่ยืนเฝ้าอยู่นั้น กำลังกดโทรศัพท์มือถือง่วนจึงไม่ได้ยินเสียงคนเดินมาข้างหลัง
“ถ้าจะเอาไปก็เอาไปเถิด”
หัวหน้างานสะดุ้งสุดตัวมือขวาคว้าปืนพกจากเอวขึ้นเล็งทันที จักรินทร์ซึ่งเดินตามศรุตชัยมาต้อย ๆ ก็เร็วไม่แพ้กัน ปืนพกในมือเขาเล็งกลับไปยังผู้ที่เคยเป็นหัวหน้างาน
“จักรินทร์ อย่าวู่วาม” เสียงนั้นเตือนอยู่ในที “ว่าไง หัวหน้า ถ้านายอยากจะเอาไป ฉันก็จะยอมให้เอาไป แต่ครั้งนี้อีกครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้าย เพราะฉันขอให้นายออกไปจากไร่ของฉันได้เลย”
หัวหน้างานเหลือบดูซ้ายขวาอย่างระวัง ศรุตชัยเดาท่าทางนั้นออก “ผมไม่ได้ซ่อนตำรวจหรือพรรคพวกอื่น ๆ ไว้แถวนี้หรอก ผมมากับจักรินทร์สองคน”
“ทำไมคุณถึงทำแบบนี้”
“ผมต้องถามคุณกลับมากกว่า.. คุณเอาของของผมไปขายนี่นา”
“เงินเดือนผมไม่พอใช้ ค่าใช้จ่ายผมมันสูง” คนตอบไม่ยอมลดกระบอกปืนลง
“ไม่ได้เพราะคุณหลงการพนันหรอกหรือ ที่ร้านหลังวัดสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ยินว่าคุณหมดไปเป็นแสน”
หัวหน้างานนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดกระบอกปืนลง แต่ก็ยังไม่พูดอะไร ศรุตชัยจึงเป็นฝ่ายพูดต่อ
“ผมเสียดายคุณมากเลย เมื่อสิบปีก่อนคุณไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ผมถึงไว้ใจคุณ ที่จริงผมจะกำจัดคุณตอนนี้ก็ได้ แต่ผมไม่ทำ”
“ถ้าคุณให้ผมไป ผมก็จะไป” หัวหน้างานเอ่ยวาจาขึ้นมาได้ในที่สุด
เขาเก็บปืนก่อนจะออกเดินมุ่งไปยังเรือนพักคนงาน เจ้าของไร่มองตาม ในขณะที่จักรินทร์ยังถือปืนแน่น ชั่วขณะหนึ่ง ในท่ามกลางแสงสลัวจากเสาไฟเรียงรายนั้น หัวหน้างานหันกลับมายังที่ทั้งสองยืนอยู่
“ทำไมคุณถึงไม่ทำอะไรผม”
“ชาติก่อนคุณอาจจะทำผมก่อน แต่ชาตินี้ผมไม่อยากทำกรรมอีก ใช่มันอาจฟังดูแปลก” ศรุตชัยเสริมเมื่อเห็นความสงสัยในแววตาของอีกฝ่าย “ผมไม่อยากตกอยู่ในกงกำกงเกวียนไม่สิ้นสุด ดังนั้น ผมจึงอยากให้เรายุติมันเสียตรงนี้ดีกว่า ผมอโหสิให้ทุกอย่างนะ”
จักรินทร์เก็บปืนไว้ที่เอว ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้หัวหน้างานเป็นครั้งสุดท้าย “ผมขอบคุณที่ช่วยเหลือเรื่องงานผมมาตลอด และผมก็ขอโทษ ขออโหสิด้วยเช่นกัน”
. . . . . . . . . . .

วันต่อมา ภายหลังจากที่พระครูพิสุทธิธรรมาจารย์ฉันภัตตาหารเพลเสร็จแล้ว จึงลงจากหอฉัน ตรงไปยังกุฏิของท่าน ที่บันไดกุฏินั่นเอง ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งรออยู่ ข้าง ๆ กันมีกระเป๋าเสื้อผ้าวางอยู่
“นมัสการขอรับท่าน”
“เจริญพรเถอะโยม ไปไงมาไงล่ะ”
“ผมจะมาขออาศัยท่านนะครับ ผมมันไม่เหลืออะไรอีกแล้วครับท่าน หนี้สินล้นพ้นตัวเหลือเกิน ผีการพนันมันเข้าสิงผมแล้วขอรับ ที่ทำงานก็ไล่ผมออก ไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาใช้หนี้”
“ใจเย็นก่อนเถอะโยม” ท่านพระครูยิ้มอ่อนโยน “อาตมาก็ไม่มีเงินจะให้โยมหรอก ถ้าจะมาอยู่ก็ต้องช่วยอาตมาทำงานวัดบ้างน่ะ อยู่เปล่า ๆ ไม่ได้”
“จะให้ผมทำอะไรผมก็ยอมครับ ตอนนี้ใจผมมันร้อนไปหมด”
“อาตมาเข้าใจ” ท่านพระครูมองอย่างเอ็นดู
“ท่านครับ ตอนผมโดนไล่ออกมานี้ เจ้านายผมพูดถึงเรื่องชาตินี้ ชาติหน้า อโหสิกรรม อะไรไม่รู้ผมไม่เข้าใจเลยครับท่าน”
“แล้วอยากเข้าใจไหมล่ะ” เมื่อเห็นผู้มาใหม่พยักหน้า ท่านจึงว่าต่อ “อาตมาจะเล่าให้ฟัง ฟังแล้วเอาไปปฏิบัตินะโยม แล้ววันหนึ่งโยมจะรู้เอง”
หัวหน้างานกราบพระครูพิสุทธิธรรมาจารย์ลงกับพื้นหน้าดินหน้ากุฏิ เขารู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว ท่านพระครูรับทราบถึงอาการของเขาด้วยเช่นกัน วันนี้ผู้มาใหม่รู้จักยุติอกุศลกรรมแล้ว ถือเป็นการตั้งต้นที่ดี ผู้ใดก็ตามที่เริ่มมีดวงตาเห็นธรรม เขาผู้นั้นย่อมจะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมทั้งปวงในไม่ช้า


บ้านศรีบุญยืน
๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ๑๖๒๔ น.



Create Date : 03 กันยายน 2551
Last Update : 3 กันยายน 2551 19:12:08 น.
Counter : 510 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
กันยายน 2551

 
1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30