โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑๐ ภ.ม. ภาคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๑๐ ภ.ม. ภาคิโน


ตอนที่ฉันนั่งรถยีเอ็มซีไปยังสนามม้าหนองฮ่อ จุดรวมพลสำหรับการกระจายกำลังพลทหารใหม่ของผลัดนี้ไปยังหน่วยทหารต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ก็เป็นเวลาเกือบจะแปดโมงเช้าแล้ว ชุดแรก มีหมู่เมธ ปิ๊ก ชัย และฉัน ส่วนชุดที่สองจะตามมาถึงประมาณสิบโมงเช้า เราวางแผนกันไว้ว่า จะพยายามเร่งให้เสร็จและนำพลทหารใหม่กลับถึงค่ายให้ได้ก่อนเที่ยง

ช่วงสาย ขบวนพลทหารจากที่ต่าง ๆ เริ่มทยอยเข้ามา พร้อมด้วยรถของครอบครัว ญาติพี่น้องที่ขนกันมาส่งชนิดที่ว่า กะจะให้ถึงโรงนอนกันเลยทีเดียว เป็นเหตุการณ์ที่ฉันเคยเจอมาแล้วตั้งแต่สมัยที่ฉันเข้าประจำการพลทหารวันแรก บรรยากาศเก่า ๆ เมื่อเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา ยังคงทำให้ฉันอดนึกถึงไม่ได้อยู่เลย ตอนนั้น จ่ากอง หรือจ่าสิบเอกอานนท์ เป็นผู้สัมภาษณ์ฉันด้วยตนเอง และเป็นที่แรกที่ได้เจอกับน้ำ และไอ้เยิ้ม ก่อนจะกลายเป็นความผูกพันในฐานะเพื่อนร่วมรุ่นพลทหารชั้นเดียวกันในที่สุด

ทว่าวันนี้ จ่ากองไม่ได้เป็นจ่ากองประจำ ร้อย.บก. รพศ.๕ พัน.๓ แต่มีนายสิบอีกท่านหนึ่งมาดำรงตำแหน่งทำการแทนชั่วคราว ซึ่งก็คือ จ่าสิบเอกสายัณห์ หรือจ่าแหลม จ่าที่พวกเราชาว ร้อย.บก. รพศ.๕ พัน.๓ รักและเคารพมากที่สุดอีกนายหนึ่ง

จ่ากองจากแต่ละกองพันต้องมาสัมภาษณ์พลทหารใหม่ด้วยตนเอง ฉันพิมพ์รายชื่อทหารใหม่แยกไปตามแต่ละกองพันของ รพศ.๕ อีกชุดหนึ่ง นอกเหนือจากรายชื่อรวมไว้ แล้วแจกให้หมู่เมธ ปิ๊ก และชัย เพื่อจะได้คอยประสานกับจ่ากองที่นั่งโต๊ะอยู่ในโรงขนาดใหญ่ ส่วนฉันไปคอยรับพลทหารใหม่ที่จุดรายงานตัว

นายทหาร นายสิบ และพลทหารจากหน่วยทหารต่าง ๆ เดินกันให้พล่านไปหมด บางครั้งต้องดูยศที่บ่าเพื่อทำความเคารพด้วย โชคดีที่ทหารรบพิเศษสวมหมวกแดง จึงไม่ต้องกลัวหลงทาง เพราะตามหากันง่าย แถมยังมีสง่าราศีกว่าทหารหมวกสีดำธรรมดาทั่วไป อันนี้เป็นขอเล่าเป็นความภาคภูมิใจหน่อยว่า พอฉันเดินผ่านกลุ่มพลทหารซึ่งคาดว่าเป็นผู้ช่วยครูฝึกฯ จากค่ายอื่น ก็ถูกมองด้วยสายตาแบบอิจฉานิด ๆ ได้ยินเสียงคุยแว่วมาจากกลุ่มนั้นว่า พวกรบพิเศษนี่หว่า เฮ้ย! แม่ง เจ๋งวะ!... อะไรทำนองนี้ ทำให้อดยิ้มออกมาไม่ได้

ฉันตรวจรายชื่อกับนายทหารที่ประจำอยู่ตรงโต๊ะรายงานตัวสักพัก หมู่เมธ และปิ๊ก ก็ตามมาสมทบ เพื่อทยอยนำพลทหารใหม่ไปยังโต๊ะสัมภาษณ์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว ๕๐ เมตร

“มาหรือยัง?” ไอ้หน้าหล่อกระซิบถาม ฉันรู้เลยว่าแกหมายถึงใคร

“ยังเลยครับ ตอนนี้ที่มาถึง เป็นพลทหารจากอำเภอพร้าวและสันกำแพง ส่วนลำพูนยังมาไม่ถึง”

“กูก็อยากเห็นเหมือนกัน”

“อ้าว! เมื่อวานหมู่พูดราวเหมือนกับว่า หมู่เคยเห็นมาแล้ว”

“เห็นที่ไหนละ ไอ้พัทเซ่อ! กูก็ได้ยินคนอื่นเขาเล่ามาเหมือนกัน”

ฉันสะดุ้งกับประโยคนั้น ไม่ใช่เพราะความประหลาดใจว่าแกไม่เคยเห็นหลานชาย เสธ. มาก่อนเหมือนกัน แต่ไอ้การที่แกเรียกฉันว่า “ไอ้พัทเซ่อ” เป็นครั้งแรก แทนการเรียก “อีตุ๊ด” ตลอดระยะเวลาฝึกที่ผ่านมา

“คนนี้ พัน.๓ นี่!” ปิ๊ก ชี้ไปที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม รูปร่างท้วมใหญ่ ชื่อ พลทหารธรณินทร์ หมู่เมธกวักมือเรียกเด็กหนุ่มให้เดินตาม ปิ๊ก ไปรออีกจุดหนึ่งซึ่งห่างไปไม่ไกล จนกระทั่งครบ ๑๐ นาย ก็พากันเดินแถวไปที่โต๊ะสัมภาษณ์ต่อไป

ยิ่งสาย พลทหารใหม่ก็ยิ่งเดินทางมาถึงมากขึ้น ฉันส่งต่อพลทหารให้หมู่เมธอีก ๕ นาย แสงแดดเริ่มร้อนจัด เหงื่อแตกเต็มหลังเสื้อ แต่ฉันก็ทำงานเป็นระวิง จนกระทั่งฉันนับพลทหารใหม่ได้ประมาณ ๓๕ นายแล้ว หมู่เมธก็ทำหน้าตาตื่นมาตามตัวฉันที่บริเวณจุดรายงานตัว

“จ่ากองโทรฯมา ให้หมู่พาพวกชุดแรกไปก่อน ส่วนชุดที่สองค่อยให้ จ่าวิทย์ พาไป”

“ไปก่อนเลยก็ได้ครับ แล้วจ่าวิทย์มาถึงแล้วเหรอครับ?”

“มาแล้ว เดี๋ยวหมู่จะให้ไอ้หนอนน้อยมาช่วยมึงนะ ไอ้พัทเซ่อ หมู่ไปก่อนละ ดูแลเจ้านั่นดี ๆ ด้วย”

ฉันพยักหน้ารับคำ เจ้านั่น ก็คือ หลานชาย เสธ. ที่ยังมาไม่ถึง

พลทหารจากค่ายกาวิละ ซึ่งสวมหมวกดำ คงจะเริ่มกระวนกระวายแล้วเหมือนกัน เลยหันมาชวนคุย “ของมึงเหลืออีกเยอะไหมวะ?”

“๒๑ นายได้”

“ของเราเหลือตรึมเลย” มันทำหน้าเซ็ง ๆ “ได้ยินพวกจ่าพูดกันเมื่อกี้ว่า พวกลำพูนจะมาถึงช้าหน่อยเพราะรถกำลังออก”

รถกำลังออก! โอ้พระเจ้า! ฉันเหลือบดูนาฬิกาข้อมือตนเอง เกือบสิบโมงครึ่งแล้ว ...นี่ฉันต้องรออีกกี่โมงกันเนี่ย!?!?

เชฟน้อยตามมารับพลทหารใหม่ไปอีก ๑๒ นาย มีอยู่นายหนึ่งที่หน้าตาดีสะดุดตาฉันมาก ชื่อ พลทหาร ทินวัฒน์ บ้านอยู่อำเภอสันทราย เชียงใหม่นี่เอง หุ่นดี สูงขาว ออกตี๋ ๆ ทำผมทรงเกาหลี แอบเห็นเอามือลูบผมป้อย ๆ สัสดีอำเภอคงลืมแจ้งให้ตัดผมมาก่อนด้วย หรือบอกแล้ว พลทหารใหม่คงจะลืม ถึงกระนั้น ที่หน่วยฝึกฯ ตัดปัญหาด้วยการตัดผมโกนหัวใหม่ให้ทุกนายเหมือนกัน โดยช่างผมที่ชื่อจ่าสิบเอกคมกฤช กับไอ้ยุทธ!

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง พวกลำพูนที่เหลือทยอยมาแล้ว ๓ นาย รวมกับที่ยืนรออยู่ตรงนั้นกับเชฟน้อย เป็น ๖ นาย สรุปเหลือแค่ ๓ นายสุดท้าย ท้องเริ่มร้องหิวข้าวแล้ว!

และแล้ว... ฉันก็สังเกตเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เดินพ้นจากตัวตึกข้างจุดรายงานตัว รูปร่างสูงพอ ๆ กับฉัน ผอมกว่าเล็กน้อย และอาจจะเตี้ยกว่านิดหน่อยด้วยซ้ำ ผมตัดสั้นรองทรงสูง ดวงหน้าขาวลออราวกับผัดแป้งไว้ ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองตอบมาที่ฉันเหมือนกัน

“ใครชื่อ ภูหิน?”

เด็กหนุ่มคนเดียวกันนี้แหละ ที่ยกแขนขวาขึ้นประมาณอก มือกรีดกรายเล็กน้อย แล้วเดินห่อไหล่ตรงไปยังโต๊ะรายงานตัว

“คนนี้หรือเปล่า? ที่เป็นหลาน เสธ. ของเรา?”

เชฟน้อยคงรู้เรื่องมาจาก ชัย ตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว เปรยขึ้นมาถามฉัน...

“อืม...” ฉันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความลำบาก จะตอบยังไงดี ในเมื่อทุกท่วงท่าจากบุคลิกของเด็กหนุ่มตรงหน้า ทำให้ฉันกระอักกระอ่วนใจอย่างไรพิกล เพราะฉันสามารถอ่านและแปลความหมายได้ทุกจริตกิริยาว่า...

เจ้านี่...มันเป็นกะเทยนี่หว่า!!!!

หลานชายของ เสธ. กรมฯ เราเนี่ยนะ...!

พัสดุที่จ่ากองพูดถึงเนี่ยนะ...!

สิ่งที่หมู่เมธบอกฉันไว้ตั้งแต่เมื่อวานเนี่ยนะ...!

...ช่วยสอนเขาให้เป็นได้สักครึ่งหนึ่งของพัทก็ดีนะ... คำพูดของผู้ฝึกฯ สะท้อนก้องอยู่ในหัว

มิน่าละ... ถึงให้มาอยู่หมู่ที่ฉันเป็นผู้ช่วยครูฝึกฯ นั่นเอง!!!!

ฉันบรรลุเองโดยชอบแล้วในที่สุด




ฉันอยากจะกรี๊ดดังสนั่นตรงจุดรายงานตัว แต่ทำได้ดังที่สุดอย่างไรก็ต้องเก็บไว้ในใจ เชฟน้อยเหลียวมองเด็กหนุ่มที่กำลังลงทะเบียนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เรายืนอยู่ แล้วเหลียวสลับมามองที่ฉันหลายครั้ง จนกระทั่งแน่ใจแล้ว จึงขยับปากพูดขึ้นว่า...

“เอ้อ... พัทซี่ เราว่าหลานชาย เสธ. นั่นนะ เหมือนจะเป็น...”

“ฉันรู้แล้ว” ฉันสะกดเสียงตัวเองไว้ไม่ให้สั่น อันเกิดจากความพยายามระงับความตื่นเต้นของการบรรลุเองโดยชอบ

“จริงหรือแก?”

“ก็เห็นโต้ง ๆ กันอยู่แล้วนี่นา”

“งั้นก็... จริงสินะ ที่เขาชอบพูดกันว่า คนอย่างพวกแกเขามักจะมองกันออกนะ แบบผีเห็นผีใช่หรือเปล่า?” เชฟน้อยใคร่รู้

ฉันหันมามองเพื่อนพลทหารอย่างเต็มตา “เออ...ใช่ แต่ตอนนี้ขอร้องเถอะว่า อย่าเพิ่งถามอะไรฉันอีก ฉันเริ่มเซ็งวะ!”

เชฟน้อยหัวเราะร่วน แล้วเดินไปเรียกพลทหารใหม่ภูหิน ให้มายืนรอข้าง ๆ ฉัน เจ้านี่ก็มารยาทดีเกินชายเสียเหลือเกิน มาถึงปุ๊ป! ก็ยกมือไหว้ฉันปลก ๆ ราวเป็นศาลพระภูมิ เล่นเอาฉันกับเชฟน้อยตกใจ พลทหารใหม่ที่ยืนรออยู่ตรงนั้นก็เช่นกัน

“ไม่ต้องไหว้ เราเป็นทหารใหม่แล้ว จะทำความเคารพมือเปล่า มีแค่ยืนตรงชิดเท้ากับวันยาหัตถ์เท่านั้น” ฉันบอกเสียงเรียบ ๆ

อีกฝ่ายยิ้มชม้อยแก้เก้อ ใบหน้าอันนวลลออนั้น สะท้อนแสงราวกับใช้แป้งผสมประกายมุกอย่างดี ดวงตากลมโตนั้นลอบชำเลืองมาทางฉัน เชฟน้อย และพลทหารใหม่ทั้งหลายด้วยความเคอะเขิน เป็นจริตกิริยาที่ถึงแม้ฉันจะเป็นเหมือนมัน แต่ก็ไม่ใช่แนว! ช่างประดิษฐ์เกินจริง ๆ ...เซ็งรอบสอง ฉันเพลีย!

พลทหารใหม่นายสุดท้ายมาถึงพอดี ฉันจึงทำความเคารพนายทหารที่จุดรายงานตัว แล้วพาพลทหารใหม่ ที่เหลือไปยังโต๊ะสัมภาษณ์ทันที เชฟน้อยหิวน้ำจัดเลยขอตัวออกไปซื้ออะไรมาดับกระหายตัวเองเสียหน่อย

“จ่าแหลม พลทหารใหม่นายสุดท้ายของ พัน.๓ ครับ”

“ไหน ๆ ดูสิ” จ่าแหลมหยิบแว่นตาขึ้นมาสวม เปิดสมุดบันทึกไล่ไปทีละหน้า ก่อนจะอ่านเสียงดัง

“ชื่อ ภูหิน แม่นในรบ ภูมิลำเนาเดิม ลำพูน เลขประจำตัวพลทหาร... ใช่ไหม?”

“ใช่ครับ” เสียงเด็กหนุ่มรับคำค่อยมาก จนฉันอดไม่ได้

“พูดดัง ๆ หน่อยครับน้อง”

จ่าแหลมเหลือบดูฉันแว่บนึง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจรดปากกาลงบนสมุดบันทึก

“ชื่อเล่นละ?”

“หิน ครับ”

“เรียนจบ ม.ปลายที่ไหน?”

ภูหินบอกชื่อโรงเรียนมัธยมชื่อดังประจำจังหวัดลำพูน

“อ้อ จบโรงเรียนเก่งเสียด้วย ...ผมจบปริญญาตรีสาขาอะไรนะ?”

“สาขาบริหารธุรกิจครับ” คราวนี้เด็กหนุ่มบอกชื่อมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังของเชียงใหม่

“ถามอะไรหน่อยสิ ทำไมผมถึงชื่อ ภูหิน ละ?”

“ลุงของผมที่เป็นเสนาธิการตั้งให้ครับ เพื่อให้คล้องจองกับลูกชายของลุงที่เกิดทีหลังผมไม่กี่เดือน มีศักดิ์เป็นน้องของผม ชื่อว่า ร่องกล้า มาจาก ภูหินร่องกล้า คุณลุงบอกว่า ท่านชอบประวัติศาสตร์สมรภูมิรบที่นี่ มากครับ”

อืม... ขุดเทือกเถาเหล่ากอมาเล่ากันขนาดนี้ งั้นก็ใช่ตัวจริงเสียงจริงแน่นอนแล้วสินะ!

จ่าแหลมสอบถามเกี่ยวกับงานอดิเรก ความสามารถคอมพิวเตอร์อีกสักพัก แกก็ปิดสมุด เชฟน้อยเดินมาถึงพอดี ในมือถือน้ำเปล่ามาหลายขวด

“ผมซื้อน้ำมาให้จ่า กับพัทซี่ด้วยครับ เอ้า... น้องใหม่เปลี่ยนชุดด้วยเน้อ” เชฟน้อยโยนเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้าคอวี ซึ่งเป็นเสื้อยืดทหารใหม่ห่อถุงพลาสติกให้แต่ละนายรับไป ต่างนายต่างถอดกันตรงนั้น มีรายเดียวที่อิดออด ก่อนจะเดินห่างออกไปเล็กน้อย แล้วค่อยถอดเสื้อเปลี่ยนชุดอย่างช้า ๆ นั่นคือ พลทหารภูหิน!

ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางพูดลอย ๆ กับเชฟน้อย “วันแรกที่ฉันเป็นทหารใหม่ ตอนฉันเปลี่ยนชุดที่นี่ ฉันก็ถอดมันตรงนี้แหละ ไม่เห็นต้องเดินไปหลบมุมอายใครเขา”

เสียงของฉันคงดังไปถึงจ่าแหลม เพราะแกกวักมือเรียกให้เข้าไปหา

“มีอะไรเหรอครับ?” ฉันก้มหน้าลงไถ่ถามจ่าซึ่งยังนั่งอยู่กับโต๊ะ

“ดีใจด้วยนะ” แกกระซิบกระซาบ แต่ก็แฝงแววทะเล้นตามนิสัย “มึงได้น้องสาวใหม่คนใหม่แล้ว!”

“จ่าอ่ะ...!!!!” ฉันค้อนขวับ แต่อดขำไม่ได้ จ่าแหลมก็เช่นกัน

“แล้วมึงจะไปแขวะเขาทำไม? พี่น้องกันนี่หว่า”

คราวนี้ทั้งฉันและจ่าดันหัวเราะพรวดพร้อมกัน

“ฝึกทหารใหม่ให้สนุกละ เดี๋ยวว่าง ๆ จ่าจะแวะเข้าไปเที่ยวหาที่หน่วยฝึกฯ บ้างละกัน”

“ขอบคุณครับ”

จ่าแหลมเก็บของ หยิบขวดน้ำเดินออกไป เชฟน้อยเรียกพลทหารใหม่ทั้งหมดตั้งแถวเดินเรียงหนึ่งไปที่รถ ที่อยู่ไกลออกไป คุณพ่อของน้องพลทหารนายหนึ่งมาสอบถามว่า ค่ายกรมรบพิเศษที่ ๕ ไปทางไหน? ฉันก็อธิบายไปว่า อยู่ติดกองพันสัตว์ต่าง ถ้ากลัวหลงก็ให้ขับรถตามกันไปได้ สังเกตหมวกแดงไว้ให้ดีละกัน

เชฟน้อยเกณฑ์พลทหารขึ้นรถยีเอ็มซี ฉันรายงานจ่าวิทย์ว่า กำลังพลครบหมดแล้ว รถเคลื่อนตัวออกจากสนามม้าหนองฮ่ออย่างช้า ๆ จราจรติดขัดเพราะขบวนรถของบรรดาญาติพี่น้องพลทหารใหม่ที่ยังไม่ยอมกลับ เพราะอยากไปส่งลูกหลานชายชาติทหารหมาด ๆ กันให้ถึงในค่ายนั่นแหละ

ฉันทรุดตัวลงนั่งข้างพลทหารภูหิน ฉันแอบเห็นด้วยหางตาว่า เจ้านี่มันชำเลืองฉันด้วยสีหน้าแปลก ๆ เชฟน้อยเขยิบออกไปนั่งอยู่ด้านนอกสุด หน้าตาพลทหารใหม่แต่ละนายดูเป็นกังวล ฉันพยักเพยิดให้เชฟน้อยจัดรายการเอ็นเตอร์เทนสักหน่อย

“เฮ้ย! เราชื่ออะไรนะ?” เชฟน้อยชี้ไปที่พลทหารใหม่นายหนึ่งที่นั่งอยู่เยื้อง ๆ กับมัน ตัวเล็ก ๆ รูปร่างสันทัด ใบหน้าดูแก่เกินอายุจริงไปเล็กน้อย ดวงตาชั้นเดียวตามพิมพ์นิยมของชาวเหนือ

“วิทวัส ครับผม”

“ทหารพูดกันไม่มีครับผม มีแต่ครับเฉย ๆ” เชฟน้อยเริ่มออกลวดลายความเป็นครู

“ชื่อเล่นละ?”

“วิท ครับ” พลทหารวิทวัสเรียนรู้ได้เร็ว

“เราร้องเพลงได้หรือเปล่า?”

พลทหารวิทวัสก้มหน้าอมยิ้ม “ก็พอได้ครับ”

“ร้องสักเพลงให้เพื่อน ๆ ฟังหน่อย เอ้า! เร็ว!” เชฟน้อยปลุกใจเหล่าพลทหารใหม่ “พวกเราช่วยปรบมือหน่อย ปรบมือช่วยแก้หิวข้าวด้วยน๊า”
พลทหารวิทวัสตั้งท่าโก่งคอ แล้วเปล่งออกมาเป็นเพลงโหยหวน...

“...เบื้องบนเป็นแผ่นฟ้ากว้าง เบื้องล่างเป็นธารน้ำใส ตัวฉันมีกาน้ำหนึ่งใบ กับกองฟืนที่วางอยู่เรียงราย...” เสียงของพลทหารวิทวัสใช้ได้เลยทีเดียว แต่ไอ้เชฟน้อยกลับเบรกจังหวะนั้นเสียก่อน

“มึงจะร้องเพลงช้าทำไมนี่? เห็นหน้าแต่ละคนหรือเปล่า... เขาหิวข้าวกันจะตายอยู่แล้ว เดี๋ยวก็หลับตกรถกันหมดพอดีหรอก เอาเพลงเร็ว ๆ หน่อย”

ฉันขำอยู่คนเดียว ขณะที่ไอ้วิทเปลี่ยนจากคนเก็บฟืน ไปร้องเพลงคนล่าฝัน แต่ไม่ได้เกิดจากการฟังเพลงแล้วตลกหรอก ...ขำเมื่อเห็นลีลาของเพื่อนพลทหารอย่างไอ้เชฟน้อย แล้วหวนนึกถึงหน้ามันเมื่อวันที่จ่ากองประกาศว่า จะเอามันไปฝึกทหารใหม่ด้วย สีหน้าจ๋อยสนิท ผิดกับตอนนี้ที่ร่าเริงผิดกันเป็นคนละคน

พริ้วเชียวนะมึง ฮา..............!




Create Date : 07 พฤษภาคม 2555
Last Update : 7 พฤษภาคม 2555 19:31:16 น.
Counter : 488 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
พฤษภาคม 2555

 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
All Blog