โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๒๑ ภ.ม. ภาิคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๒๑ ภ.ม.ภาคิโน

ฉันตัดสินใจเก็บเรื่องที่ได้ยินพลทหารใหม่ทั้ง ๓ นายพูดถึงภูหินไว้กับตัว ไม่ได้เล่าให้คนอื่นฟัง แม้แต่หมู่เมธ เพราะฉันคิดว่า เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครช่วยได้ และเหตุการณ์ที่ จอน วิชา และวิทวัส ตั้งใจจะทำนั้น มันก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น จะกลายเป็นเรื่องตื่นตูมกันเกินกว่าเหตุ เรื่องบางเรื่องมันก็มีทางออกของมันเองโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปจัดการ

ช่วงบ่าย จ่ากอง ให้เบิกอาวุธปืนเอ็ม ๑๖ เอ.๑ จากคลังอาวุธของ ร้อย.บกฯ รพศ.๕ พัน.๑ ที่อยู่ติดกัน เพื่อแจกจ่ายให้กับพลทหารใหม่ทุกนาย ใช้ฝึกบุคคลท่าอาวุธ พลทหารหลายนายตื่นเต้นที่ได้จับอาวุธปืนจริง ๆ ปืนแต่ละกระบอกจะมีหมายเลขติดอยู่ พลทหารต้องจำหมายเลขไว้ให้ดี เพราะถือเป็นอาวุธประจำกายตลอดกาลฝึกนี้ ต้องดูแลรักษา และคอยระวังไม่ให้ชำรุดเสียหาย ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบของใครของมันเลยทีเดียว

“เหมือนปืนที่เขาใช้ยิงตอนงานฤดูหนาวหรือเปล่าวะ?” ที พลิกกระบอกปืนไปมา ซุป หัวเราะ

“ไอ้โง่! อันนี้มันของจริงนะวะ... มันจะไปเหมือนกันได้ไงวะ”

ไอ้พงศ์ ตั้งท่ายิงใส่กลุ่มพลทหารที่กำลังเข้าแถวรอรับกระบอกปืน แล้วตะโกนเสียงดังลั่น

“กูจะไปออกรบแล้วละโว้ย!”

มันโดน หล่ออิท สั่งวิดพื้น ๓๐ ที “ใครใช้ให้มึงเอามาเล่นกันอย่างนี้วะ!”

จ่ากอง ในฐานะผู้ช่วยผู้ฝึกฯ น้ำ กับยุทธ ออกมาสาธิตการใช้อาวุธปืนที่ถูกต้อง และท่าบุคคลประกอบอาวุธที่ถูกต้อง

“อัตราการยิงสูงสุดแบบอัตโนมัติ อยู่ที่ ๑๕๐ – ๒๐๐ นัดต่อนาที ระยะยิงไกลสูงสุด ๒,๖๕๓ เมตร ระยะยิงหวังผล ๔๖๐ เมตรลงมา”

“ปืน เอ็ม ๑๖ เอ.๑ มีส่วนประกอบที่สำคัญ ๓ ส่วน ได้แก่ ชุดโครงนำลูกเลื่อน ชุดโครงปืนส่วนบน และชุดโครงปืนส่วนล่าง”

จ่ากอง ก็ให้ น้ำ กับ ยุทธ สาธิตการถอดประกอบปืน โดยรอบแรก ให้ถอดออกมาทีละชิ้นส่วน และใส่กลับเข้าไปใหม่แบบปกติ เพื่อให้พลทหารใหม่ได้รู้จักวิธีการอย่างขึ้นใจ ส่วนรอบที่สอง เป็นการถอดชิ้นส่วนออกมาวาง แล้วจับเวลาแข่งกันว่า ใครจะใส่กลับเข้าไปได้ครบทุกชิ้นส่วนเสร็จสิ้นก่อนกัน เรียกเสียงฮือฮาจากพลทหารใหม่ เมื่อ น้ำ ทำเวลารวมได้ไม่ถึง ๓๐ วินาที ในขณะที่ ยุทธ ใช้เวลาเสร็จล่าช้าไปเล็กน้อย

จากนั้น จึงแยกย้ายกันไปฝึกบุคคลท่าอาวุธกลางสนามฝึก ท่ามกลางแดดจัดจ้า พลทหารเฉียงอาวุธเดินแถวอย่างเป็นระเบียบ

“วางปืนแนบขาขวา จากนั้น ออกแรงยกปืนขึ้น ให้ปลายกระบอกปืนอยู่ตรงระดับระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง ยกมือซ้ายขึ้นจับคอกระบอกปืน แล้วลดมือขวาลงแตะพานท้ายกระบอกปืน หันหลังฝ่ามือออกเหยียดตรง” ฉันสาธิตวิธีการวันทยาวุธที่ถูกต้อง โดยมี หมู่เมธ คอยชี้แนะพลทหารลูกหมู่ฉัน และหมู่ของปิ๊ก อีกทีหนึ่ง

ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการสอนตรงหน้า พลางปาดเหงื่อไคลไปด้วยนั้น ปิ๊ก ก็เดินมาสะกิดฉันเบา ๆ

“ซุป ออกมาสั่งแถวแทนครูหน่อย” ฉันร้องบอกหัวหน้าหมู่ แล้วเดินตามบัดดี้เก่าห่างออกจากที่เดิมมาเล็กน้อย

“มีอะไรหรือ?”

“วันนี้เลิกเร็วหน่อย ไอ้กร จะพาวิ่ง”

“แล้วไง?” ฉันถามเพราะสงสัยว่า กะอีแค่วิ่งรอบสนามโดดร่มธรรมดา ๆ ทำไมต้องเลิกฝึกเช้ากว่าปกติ

“อุวะ! ก็มันไม่ได้วิ่งแถวนี้สักหน่อย” ไอ้ปิ๊ก โวย “จ่าคม สั่งไอ้กรมา แกเลิกประชุมเสร็จจะพาวิ่งไปเที่ยว...”

“พระเจ้าช่วยกล้วยทอด!” ฉันเผลอทำเสียงดังจน ไอ้ปิ๊ก จุ๊ปาก! “อย่าบอกนะว่า...”

“เออ... จ่าคมจะพาไปวิ่งอ่างแม่เย็น!”




อ่างแม่เย็น หรืออ่างเก็บน้ำแม่เย็น เป็นอ่างเก็บน้ำที่มีสันเขื่อนขนาดใหญ่กั้นลำน้ำแม่เย็น ซึ่งไหลผ่านค่ายกรมรบพิเศษที่ ๕ หากนึกภาพไม่ออก ให้ลองจินตนาการถึงภาพ “อ่างแก้ว” ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำในสถาบัน ผิดกันตรงที่ทิวทัศน์ของอ่างเก็บน้ำแม่เย็นจะสวยงามกว่ามาก มีความร่มรื่นตลอดปีเนื่องจากตั้งอยู่ในเขตทหารลึกเข้าไปด้านใน จึงปราศจากการรบกวนจากบุคคลภายนอก ความกว้างใหญ่ของผืนน้ำนั้น อ้อมภูเขาที่กั้นระหว่างกรมรบพิเศษส่วนตำบลดอนแก้ว หรือเขตกองบัญชาการส่วนกลาง ไปจรดที่ตั้งของหน่วยขึ้นตรง รพศ.๕ พัน.๓ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตตำบลแม่สา ทำให้ฉันสามารถมองเห็นอ่างแม่เย็นได้อยู่ไกลลิบ ๆ จากระเบียงชั้นสองด้านหน้า บก.ร้อยฯ รพศ.๕ พัน.๓ ที่ฉันทำงานอยู่

ส่วนบริเวณริมสันเขื่อนเป็นหาดดินกว้าง ทำเป็นบ้านพักตากอากาศนายทหารชั้นสูง และลานตั้งค่ายพักแรม มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม ถนนที่ตัดผ่านจะเริ่มจากสี่แยกถนนที่เชื่อมระหว่างหน่วยบังคับบัญชาของกรมฯ และพื้นที่ส่วนกลางของค่าย กับกองพันต่าง ๆ ใกล้กับหอกระโดดสูง ๓๐ ฟุต ลัดเลาะผ่านเนินเขาไปจนถึงอ่างแม่เย็น หลังจากนั้น จะตัดอ้อมผ่านสวนดำรงชีพ หรือสวนสาธิตการเกษตรของกรมรบพิเศษที่ ๕ บ้านพักนายทหาร และนายสิบ ออกมาพบกับถนนที่เชื่อมระหว่างหน่วยบังคับบัญชาของกรมฯ และพื้นที่ส่วนกลางของค่าย กับกองพันต่าง ๆ อีกครั้งห่างจากจุดแรกประมาณ ๑ กิโลเมตร รวมระยะทางทั้งสิ้นเกือบ ๔ กิโลเมตร ถ้ารวมกับการที่พลทหารใหม่ต้องวิ่งรอบสนามโดดร่ม แล้วค่อยวิ่งเข้าเส้นทางอ่างแม่เย็น ก็น่าจะราว ๆ ๗ – ๘ กิโลเมตรพอดี

ด้วยระยะทางยาวประมาณนี้ และพลทหารใหม่ที่ยัง “ใหม่ถอดด้าม” ขนาดนี้ จึงทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ ฉันมองดูแถวตอนพลทหารใหม่ที่กำลังวิ่งตรงไปยังอ่างแม่เย็นด้วยความเป็นห่วง หลายนายเริ่มกระหืดกระหอบ ภูหินเองหน้าแดงจัด เกรงว่ามันจะเป็นลมไปอีกครั้ง แต่เจ้าตัวก็ยังฮึดสู้ และพยายามอ้าปากหายใจเอาลมเข้าไปอย่างที่ฉันเคยแนะนำ

“นี่ไงละ... ความบันเทิงตามแบบฉบับของจ่า ตามที่ผู้ฝึกฯ สั่งมาไงละ” จ่าคม วิ่งมาเทียบข้างฉัน แล้วยักคิ้วให้ ฉันอดส่ายศีรษะไม่ได้ ก่อนจะยิ้มให้น้อย ๆ

“ถ้าไม่ติดว่า ต้องวิ่งไปด้วยดูน้องใหม่ไปด้วย ผมก็ชอบวิ่งเส้นทางนี้อยู่แล้วครับ” ฉันแลดูสองข้างทางที่เป็นป่าครึ้มเขียวขจี ขณะที่ขบวนพลทหารเริ่มไต่เนินเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ “ตอนอยู่หน่วยฝึกฯ หลังฝึกจบ พวกผมต้องอยู่ต่ออีกเป็นเดือนเพื่อรอคำสั่งเข้ากองพัน ผมก็ชวนเพื่อนมาวิ่งเส้นทางนี้ตอนเย็นบ่อย ๆ ครับ ได้กำลังดี แถมอากาศก็ดี”

กร ซึ่งวิ่งนำหน้าพลทหารใหม่อยู่ ชะลอฝีเท้าลงเพื่อรอปรึกษาจ่าคม “เอาไงดีครับ? เริ่มจะเหนื่อยกันแล้ว”

“อะไรวะ? แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วหรือ?” จ่าคม บ่น “เอ็งสั่งเดินสลับวิ่งบ้างก็ได้ พอถึงอ่างแม่เย็น ก็ให้หยุดพักสัก ๑๐ นาทีแล้วกัน แล้วค่อยวิ่งต่อ”

เชฟน้อย ซึ่งวิ่งอยู่ข้างหลังฉัน พูดขึ้นเมื่อเห็นจ่าคม ออกตัววิ่งนำหน้าไปสั่งขบวนพลทหารใหม่ให้หยุดวิ่งแล้วเดิน “น่าจะคิดก่อนพามาวิ่งแล้วนะ ว่าน้องใหม่มันจะไปไหวได้ยังไงกัน กล้ามเนื้อยังไม่ทันเข้าที่ด้วยซ้ำมั้ง?”

“จริง ๆ มันก็แค่วิ่ง ๆ เฉยแหละน่า... ออกแรงหนัก ๆ บ้าง เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเหมือนกัน มันจะได้แข็งแรงไว ๆ” น้ำ ซึ่งวิ่งตามมาสมทบแก้ให้

อันที่จริง ฉันแอบเห็นด้วยกับ เชฟน้อย โชคดีที่จ่าคมสั่งให้พลทหารใหม่เก็บปืนไว้ในคลังเรียบร้อย ไม่อย่างนั้น ถ้าขืนวิ่งด้วยเฉียงอาวุธไปด้วย เฉพาะน้ำหนักของปืน เอ็ม ๑๖ เอ.๑ ไม่รวมซองปืนกับสายสะพาย ก็เกือบ ๓ กิโลกรัม เข้าไปแล้ว งานนี้ต้องมีคนเป็นลมบ้างไม่มากก็น้อย!

“แฟนมึงไม่ได้มาวิ่งหรอกหรือวะ?” คราวนี้ ยุทธ เดินชะลอจากข้างแถวมาร่วมวงด้วย ฉันทำตาเขียวใส่

“อย่าพูดอย่างนั้นอีกนะเว้ย!” ฉันมีน้ำโห “ใครมาได้ยินเข้ามันจะไม่ดี”

“ไม่ดีตรงไหนวะ... เขาก็รู้กันไปทั่วอยู่แล้วนี่หว่า”

ฉันขี้คร้านจะเถียงมัน เลยตอบสะบัด ๆ “มันออกไปเอาชุดฝึก เมื่อวานมันยังแก้ไม่ครบ เห็นว่าตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป จะให้ใส่ชุดฝึกกันแล้ว”

จ่าคม สั่งให้ทั้งหมดวิ่งอีกครั้งหนึ่ง ฉันจำช่องเขาเล็ก ๆ นั้นได้ ขณะกำลังวิ่งลงเนินลูกสุดท้าย ตรงปลายถนนตรงช่องเขา ปรากฏสันเขื่อนยาว ผืนน้ำสีครามขนาดมหึมาตั้งคลื่นระลอกเล็ก ๆ ล้อกับลมเย็นที่พัดโชยลิ่วไปมา อีกด้านหนึ่งของสันเขื่อน คือ ภาพของหมู่ไม้ที่ขึ้นแออัดไปจรดบ้านพักนายสิบและนายทหาร กองบัญชาการอยู่ไกลลิบออกไป แดดร่มยามเย็นทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อจ่าคมสั่งให้ทั้งขบวนหยุดพักตรงกลางของสันเขื่อนนั้น ภาพแห่งความงดงามก็ฉายชัดเต็มตาพลทหารใหม่ทุกนาย แม้กระทั่งตัวฉันซึ่งเห็นมาหลายครั้งก่อนหน้านี้ ก็ยังอดชื่นชมในความสวยงามนี้ไม่ได้

“พักตามสบาย” กร ร้องสั่ง พลทหารใหม่บางนายถอนหายใจเฮือกใหญ่ บางนายล้มตัวลงนอนกับพื้น บางนายนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ฉันเอ่ยถามพลทหารบรรจบ ซึ่งกำลังนั่งอยู่ยอง ๆ อยู่ตรงพื้นข้างฉันพอดี

“เป็นไงบ้าง เจ๋ง? นี่แหละ... เรียกว่า อ่างแม่เย็น แหละ”

“สวยจริง ๆ ครับครู ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยครับ”

ฉันเหลือบหา ภูหิน มันกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่กับพื้น ใบหน้ายังคงแดงก่ำ หายใจหอบหนัก ๆ

“เหนื่อยไหม?”

มันกลืนน้ำลายก่อนตอบตะกุกตะกัก “มีบ้างครับ แต่ก็สนุกดี ไม่คิดว่าจะมีที่สวย ๆ อย่างนี้ในค่ายทหาร”

“ถ้าไม่ไหวก็บอกครูเน้อ” ฉันอดเป็นห่วงมันไม่ได้

“ผมต้องไหวสิครับ!” ภูหิน บอกฉัน และบอกตัวเองด้วยมั้ง!? ไม่รู้ฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่า... จอน ซึ่งเข้าแถวอยู่ถัดจาก ภูหิน หันมามองแว่บหนึ่ง

จ่าคม เป่านกหวีดให้พลทหารใหม่พักอยู่ในแถวอย่างเป็นระเบียบ แกเท้าสะเอวตามเอกลักษณ์

“ไงวะ... ไอ้ก้าน เป็นไงบ้าง?” แกถามหัวหน้าหมวด ๑ ซึ่งเป็นลูกหมู่แกพอดี พันวิชญ์ ตอบขึ้น “สนุกดีครับ”

“แล้วมึงละ ไอ้วิทวัส หายเหนื่อยหรือยัง?”

“หายแล้วครับ”

“ครูว่า งานนี้หนักสุดเหนื่อยสุด ต้องยกให้ ไอ้บะหนุน” แกหันไปพูดกับ บะหนุน ซึ่งเชิญธงหน่วยฝึกฯ ตั้งแต่วิ่งออกจากสนามฝึก จนกระทั่งมาถึงอ่างแม่เย็นอย่างไม่ย่อท้อ “ไหวอยู่ไหมวะ?”

“ไหวครับ” บะหนุน ตอบเสียงดังขึงขัง

“ดี” จ่าคม มองหน้าพลทหารใหม่แต่ละนาย แล้วอธิบายประวัติความเป็นมาของอ่างแม่เย็น ว่าเป็นลำน้ำที่ไหลเลี้ยงชีวิตทหารในค่ายกรมรบพิเศษที่ ๕ มาช้านาน ทหารทุกนายจึงให้ความสำคัญกับสถานที่แห่งนี้มาก

“ใครยังเหนื่อยอยู่บ้าง ยกมือ?”

พลทหารใหม่ทุกนายนิ่งเงียบ แกยิ้มชอบใจ “ดี... ดีมาก”

“เห็นไหมว่า ผลของความอดทนอดกลั้น จากความพยายามของพวกเราก็ทำให้มาถึงจุดนี้ได้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ก็ตาม... สิ่งไหนที่เราตั้งใจทำ หากเรามีความพยายามก็ย่อมจะประสบผลสำเร็จ แล้วมันก็จะทำให้เรารู้สึกภาคภูมิ อิ่มเอิบใจเมื่อได้ชื่นชมผลของความสำเร็จนั้น เหมือนที่เราเป็นอยู่ในตอนนี้”

“ครูอยากให้พวกเราจำวันนี้เอาไว้... แน่นอนว่า ในช่วงฝึก พวกเราต้องวิ่งมาตรงจุดนี้อีกหลายครั้ง แต่วันนี้เป็นวันที่สำคัญที่สุด เป็นวันแรกที่พวกเราฝ่าด่านทรหดต่าง ๆ มาพอสมควรกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ดังนั้น เมื่อเราเรียนรู้ว่า เราจะวิ่งอย่างไรให้มาถึงจุดนี้ได้ มันก็เหมือนกับการสอนตัวเองให้เรียนรู้ที่จะทำอย่างไรถึงจะเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ นั้นได้ อย่ายอมแพ้ แล้วเราก็จะประสบความสำเร็จ”

แกเป่านกหวีด ให้สัญญาณยืนตั้งแถว “ใครมีอะไรจะถามอีกไหม?”

หล่ออิท สั่งให้ เอกวัฒน์ หัวหน้าหมวด ๒ ไปเปลี่ยนเชิญธงหน่วยฝึกฯ แทนหัวหน้าตอน ส่วน ไอ้พงศ์ ยกมือขึ้น ชัย เห็นเข้าพอดี

“อ้าว ไอ้พงศ์ มีอะไรวะ?”

“ผมขออนุญาตอย่างหนึ่งได้ไหมครับ ครู” พงศ์ พูดแบบกล้า ๆ กลัว ๆ จ่าคมได้ยินเข้า เลยอดถามไม่ได้

“ขออนุญาตเรื่องอะไรวะ?”

“ผมขอกระโดดลงน้ำหน่อยได้ไหมครับ? คือ ผมร้อนมากเลยครับ วิ่งมาตั้งไกล จะได้สดชื่น” มันพูดติดตลก ทำให้บรรยากาศที่เหน็ดเหนื่อยดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง

จ่าคม นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้ม แกเป่านกหวีดให้สัญญาณ

“ให้เวลา ๑๐ วินาที ใครอยากกระโดดลงเล่นน้ำ เชิญ!”

ตู้ม!!!! ไอ้พงศ์ กระโดดลงเป็นรายแรก ตามมาด้วยพลทหารใหม่อีก ๓ – ๔ นาย ที่เหลือยืนหัวร่ออยู่บนฝั่ง ช่างเป็นความบันเทิงตามที่จ่าคมบอกจริง ๆ




เช้าวันอาทิตย์ ฉันนั่งพิมพ์กำหนดการฝึกประจำวัน เพื่อติดไว้ที่บอร์ดหน้าห้อง บก.หน่วยฝึกฯ พลทหารใหม่จะได้ทราบช่วงเวลาฝึกในแต่ละวันคร่าว ๆ เผื่อจะได้วางแผนทำธุระส่วนตัวได้ถูกต้อง

๐๕๓๐ น. ตื่นนอน เปลี่ยนชุดเป็นชุดกีฬาขาสั้นสวมรองเท้าผ้าใบ ออกกำลังกาย วิ่ง ดึงข้อ

๐๖๔๐ น. เวรทำความสะอาดประจำวัน ทำธุระส่วนตัวตอนเช้า
เปลี่ยนชุดเป็นชุดฝึกสีเขียว รองเท้าคอมแบท

๐๗๒๐ น. รับประทานอาหารที่โรงสูทกรรม

๐๗๔๕ น. เบิกอาวุธปืน เอ็ม. ๑๖ เอ. ๑

๐๘๐๐ น. เข้าแถว ณ ลานรวมพล เคารพธงชาติ สวดมนต์
ฟังโอวาทจากผู้ฝึก ฯ หรือผู้ช่วยผู้ฝึก ฯ รายงานกำลังพลประจำวัน
ผลัดเปลี่ยนครูเวรฯ และผู้ช่วยครูเวรฯ
ตรวจความสะอาดร่างกายประจำวัน

๐๘๓๐ น. การฝึกช่วงเช้า

๑๒๐๐ น. รับประทานอาหารที่โรงสูทกรรม

๑๓๐๐ น. การฝึกช่วงบ่าย

๑๖๐๐ น. ออกกำลังกาย ลุกนั่ง วิ่ง ดึงข้อ

๑๗๓๐ น. รับประทานอาหารที่โรงสูทกรรม เก็บอาวุธปืน เอ็ม. ๑๖ เอ. ๑

๑๘๐๐ น. เข้าแถว ณ ลานรวมพล เคารพธงชาติ

๑๘๑๐ น. อาบน้ำรวม เปลี่ยนเป็นชุดครึ่งท่อน กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ

๑๘.๓๐ น. กิจกรรมตามอัธยาศัย

๑๙.๐๐ น. วิชาจริยธรรมทหาร

๒๐.๓๐ น. รับประทานของว่าง สวดมนต์

๒๑.๐๐ น. เข้านอน

หมู่เมธโผล่มาถึงหน่วยฝึกฯ แต่เช้า ยังทันเห็นฉันติดประกาศฉบับนี้อยู่พอดี พลทหารใหม่กำลังทำความสะอาดตามบริเวณต่าง ๆ เนื่องจากแกสลับเวรฯ กับจ่าวิทย์ ซึ่งติดงานที่บ้านคืนวันจันทร์ ทำให้ไอ้หน้าหล่อต้องมาเข้าเวรฯ วันนี้แทน

“เฮ้ย! เพื่อนพัท...ใครเข้าผู้ช่วยครูเวรฯ วะ?” มันถามทั้ง ๆ ที่ตามันอ่านประกาศอยู่

ฉันแทบจะล้มกองหงายคว่ำ ...เพื่อนพัท... เลยหรือ????

“หมู่กินยาอะไรมาหรือเปล่าเนี่ย?”

“ทำไม หมู่เรียกเอ็งว่า เพื่อนพัท ไม่ได้เหรอ...?”

ฉันยังไม่ทันจะอ้าปากถาม มันก็ดันสวนขึ้นมาก่อนอย่างรู้ทัน จึงทำได้แต่แบะปากแล้วก็ยักไหล่

“ก็แล้วแต่ครับ... ผมงงชื่อที่หมู่ตั้งให้ผมเฉย ๆ ครับ... มันมีมากเหลือเกิน”

“มีมากขนาดไหนวะ? หมู่จำไม่ได้วะ”

“ไอ้ตุ๊ด... ไอ้พัทเซ่อ... เพื่อนพัท...”

มันนับนิ้วให้ฉันดูด้วย ประมาณว่าฉันคงคิดเลขไม่เป็น “สามเองนี่หว่า ไม่เห็นเยอะเลย!”

ขี้คร้านจะต่อปากต่อคำ ไม่อย่างนั้นอาจจะมวนท้องแล้ว แล้วบ้วนออกมาเป็นน้ำอมฤตได้ จึงหุบปากแล้วตอบคำถามอันแรกที่ค้างไว้

“ปิ๊ก ครับ ปิ๊กเข้าเวรฯ ผู้ช่วยครูเวรฯ วันนี้”

“มีใครยังดึงข้อไม่ขึ้นบ้าง?” ไอ้หน้าหล่อใคร่รู้

การดึงข้อ คือการโหนบาร์เดี่ยว แล้วใช้กำลังแขนยกตัวเอง ให้ลำคอพ้นจากบาร์ ฉันเข้าใจดีว่า ที่หมู่เมธถาม เนื่องจากพลทหารใหม่มีกล้ามเนื้อที่ยังไม่แข็งแรง ดังนั้น อาจจะดึงข้อไม่ได้ แต่ที่ต้องฝึกให้พลทหารใหม่ดึงข้อ เพราะในแบบทดสอบของการฝึกทหารใหม่ที่ใช้เป็นมาตรฐาน หนึ่งในนั้น ระบุว่า พลทหารใหม่ต้องดึงข้อให้ได้อย่างน้อย ๗ ครั้ง ซึ่งฉันดึงได้อย่างเก่ง ๓ ครั้งก็ร่วงแล้ว !?!?

“หลายคนอยู่อ่ะ หมู่” ฉันเดินนำมันเข้าไปนั่งในห้อง บก.หน่วยฝึกฯ “ถ้าเปลี่ยนเป็นถามว่า มีใครดึงข้อขึ้นบ้างจะนับได้ง่ายกว่า ไม่ถึง ๑๐ คนเองมั้ง”

“อะไรวะ? อ่อนกันชิบ!” มันสบถออกมา “แล้วเมื่อวานไอ้ภูหินเป็นลมไหมวะ? เห็นว่าวิ่งไปถึงอ่างแม่เย็น”

ขนาดมันเอาชุดมาส่งที่หน่วยฝึกฯ แล้วหายไปตั้งแต่ตอนค่ำ ยังทันได้ข่าวไวขนาดนี้ “ไม่เป็นอะไรมากครับ แต่พอมาถึงหน่วยฝึกฯ มันก็รีบเข้ามาขอแอมโมเนียเลย ไม่เป็น...ก็คงเกือบละ”

“แสดงว่า มันชักมีน้ำอดน้ำทนสูงขึ้นแล้วละวะ”

“เขาเรียกว่ามีพัฒนาการไงครับ” ฉันต่อเข้าให้

“แล้ววันนี้ จะให้ทำอะไรบ้าง? จ่านนท์สั่งอะไรไว้ไหม?”

“มีครับ” ฉันชี้ให้ดูบนกระดานไวท์บอร์ดสีขาว ที่ติดอยู่ข้างฝา “ตอนเช้าให้เบิกอาวุธปืนมาฝึกบุคคลท่าอาวุธอีกครั้ง ช่วงบ่าย จ่ากอง บก.กรมฯ ขอแรงพลทหารไปช่วยทำความสะอาดรอบสนามโดดร่ม ตัดหญ้า พรวนดิน เก็บขยะ แล้วเลยไปทำความสะอาดตรงอาคารสโมสรนายทหารด้วยเลย เพราะสัปดาห์หน้ารู้สึกว่า จะมีแขกมาเยี่ยม แล้วหน่วยฝึกฯ ก็ต้องไปทำพิธีประกาศตนเองเป็นพุทธมามกะ วันศุกร์หน้า จ่ากอง เอ้อ... จ่านนท์ ฝากบอกว่า เผื่อเวลาให้พลทหารซักผ้าหรือทำธุระส่วนตัวให้มากหน่อย อาจจะเป็นช่วงเช้านี้ก็ได้ครับ”

พิธีประกาศตนเป็นพุทธมามกะนั้น รู้สึกจะเป็นหลักสูตรบังคับที่ทาง กรมฯ กำหนดให้มีขึ้น เพื่อให้พลทหารใหม่ได้ประกาศตนว่า เป็นผู้มีศาสนาพุทธยึดเหนี่ยวจิตใจ และได้เชิญอนุศาสนาจารย์มาอบรมจริยธรรมเป็นเวลาสั้น ๆ อีกด้วย

“จ่านนท์ จะเข้ามาไหมวะ?”

ฉันยิ้มแหย ๆ เพราะเมื่อคืน จ่าหวัด จ่าคม และจ่าวิทย์ พร้อมใจกันบอกฉัน และเพื่อนผู้ช่วยครูฝึกฯ ว่า วันนี้ขอตัวหนึ่งวัน และเต็มใจยกให้เป็นวันของหมู่เมธ ทว่า จ่ากอง จะแวะมาช่วงเย็น ในชั่วโมงอบรมจริยธรรมแทนผู้ฝึกฯ

“แล้วจะว่างเมื่อไหร่วะ?”

“ว่างอะไร? ใคร...ทำไมครับ?” ฉันงุนงง

“มึงนั่นแหละ จะว่างเมื่อไหร่บ้างวะ?”

“ก็มีงานอยู่เรื่อย ๆ นะครับ” ฉันตอบกว้าง ๆ เพราะยังไม่แน่ใจถึงจุดประสงค์ที่ไอ้หน้าหล่อมันถามมา “จ่าสถาพรยังไม่ได้มาทำงาน บก. เลย เห็นว่า วันพุธโน่น ถึงจะเข้ามาได้ ผมเลยต้องทำหนังสือ ตอบเอกสาร เขียนรายงานอะไรต่อมิอะไรแทนไปหมด วันนี้ก็กะว่าจะขอหมู่อยู่ บก. หน่วยฝึกฯ ทั้งวัน งานกองเบ้อเริ่ม!”

ฉันชี้ไปที่โต๊ะวางเอกสาร หนังสือราชการ สมุดรายงาน วางสุม ๆ กันอยู่กองโต!!!!

ไอ้หน้าหล่อส่ายศีรษะ

“ก็นั่นแหละ... ถึงได้ถามว่า มึงมีเวลาว่างบ้างไหม? กูจะชวนมึงออกไปเที่ยว”

“หือ!!!!” ฉันทำตาโต เพราะประหลาดใจที่จู่ ๆ คนอย่างมันก็มาชวนไปโน่นไปนี่ “อย่างผมนี่ ออกไปข้างนอกได้ด้วยหรือครับ?”

“ก็ออกไปกับหมู่ไง ...ถ้ามีนายสิบไปด้วย เขาก็ให้ผ่านป้อมออกไปได้อยู่แล้ว”

อืม... จริง ๆ ฉันก็ไม่น่าถาม เพราะตอนอยู่ รพศ.๕ พัน.๓ วันไหนที่ไปทำงาน บก.พันฯ ก็มักมีนายสิบ หรือนายทหารพาออกไปกินข้าวข้างนอกช่วงพักเที่ยงอยู่หลายครั้ง แถมช่วงไหนตรงกับวันหยุดราชการต่อเนื่อง นายสิบที่เข้าเวรฯ บก.ร้อยฯ รพศ.๕ พัน.๓ เช่น หมู่เอ็ม หรือจ่าแหลม เป็นต้น ก็มักใช้ให้ฉันหารถมอเตอร์ไซค์สักคันออกไปซื้อกับข้าวมากินตอนเที่ยง โดยผ่านเส้นทางป้อมหลังค่าย ซึ่งเป็นป้อมในความรับผิดชอบของ รพศ.๕ พัน.๓ อยู่แล้ว พลทหารที่เข้าเวรฯ อยู่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ พลทหารสังกัดเดียวกันเนี่ยแหละ... แต่กรณีอย่างหลังนี้ ถ้านายทหารชั้นผู้บังคับบัญชาทราบเรื่องเข้า อาจจะโดนตักเตือนได้ เพราะถือเป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบของทหาร

แต่ที่ประหลาดใจ เพราะจู่ ๆ ไอ้หน้าหล่อดันมาชวนฉัน แล้วจะชวนฉันไปทำไม? ไปที่ไหนก็ไม่รู้?

ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นหญิงที่มีอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง เลยจำยอมปฏิเสธ

“อย่าดีกว่าครับ ใครรู้เข้ามันจะไม่ดี”

“มันจะไม่ดีตรงไหนวะ... มึงก็เป็นเหมือนกูนี่หว่า”

ฉันสะดุ้งกับคำพูดประโยคนี้ เพราะคำว่า “เป็นเหมือนกู” นี่... หมายถึง เป็นผู้ชาย... เป็นทหาร... หรือเป็นตุ๊ด เหมือนกันหว่า !?!?

“ผมหมายถึงถ้าผู้ฝึกฯ หรือครูฝึกฯ ท่านอื่นรู้เข้า อาจจะโดนติเตือนเอาได้ว่ามันไม่เหมาะสม ผมก็เป็นถึงผู้ช่วยครูฝึกฯ ก็ควรทำตัวอย่างที่ดีให้แก่พลทหารใหม่ หรือรุ่นน้องนะครับ”

หมู่เมธ โบกมือเป็นสัญญาณให้ฉันสงบปาก “เอาเป็นว่า... กูจะพามึงออกไปเที่ยวเองแล้วกัน แล้วกูจะบอกเองเมื่อถึงเวลา”

ไอ้หน้าหล่อสวมหมวกแดงเดินออกจาก บก.หน่วยฝึกฯ ไป ทิ้งให้ฉันพะอืดพะอมกับการถูกมัดมือชกอยู่โดยดุษณี!




ช่วงเที่ยง ฉันเดินไปรอทานข้าวที่โรงสูทกรรม ปรากฏว่า พลทหารใหม่มาช้ากว่าปกติ ฉันเลยนั่งทานอยู่หลังโรงสูทกรรมร่วมกับ ย้ง และเพื่อน ๆ มันอีก ๒ – ๓ นาย ตอนบ่าย เห็นพลทหารใหม่วางปืนเป็นกระโจมไว้ตรงสนามฝึก แล้วออกทำความสะอาดรอบสนามโดดร่ม สักพัก ฉันได้ยินเสียงเฮลั่นดังมาแต่ไกล ผ่านไปราวห้านาทีรถกระบะของหน่วยฝึกฯ ที่มี ยุทธ ขับมาอย่างรวดเร็วจอดลงตรงถนนหน้าอาคาร เชฟน้อย ซึ่งนั่งมาด้วย เปิดประตูรถวิ่งถลาเข้ามาใน บก.หน่วยฝึกฯ อย่างเร็วจี๋ จนฉันตกใจ

“มีอะไรกันหรือ?”

“ขอกระสอบหน่อยสิ จะเอาไปใส่ของ”

โธ่! ที่แท้นึกว่าเรื่องอะไร ตรงมุมห้องมีกระสอบเก่า ๆ อยู่ใบหนึ่ง ฉันเลยหยิบให้ เชฟน้อย ไป มันรับแล้วรีบวิ่งจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

อากาศในฤดูหนาวช่างร้อนจัด แสงแดดยามบ่ายทำเอาอบอ้าวเป็นทวีคูณ ฉันผล็อยหลับเป็นพัก ๆ จนกระทั่งได้เวลา ๔ โมงเย็น ฉันสังเกตเห็น ปิ๊ก และหมู่เมธ พาพลทหารใหม่วิ่งรอบสนามโดดร่ม ส่วนผู้ช่วยครูฝึกฯ นายอื่น ๆ ขับรถกระบะหายไปทางโรงสูทกรรม ฉันจึงปิดล็อกห้อง ถือกุญแจแล้วเดินไปโรงสูทกรรมโดยลำพัง

“อ้าว! พัทซี่มาพอดีเลย” เชฟน้อย ร้องบอกกลุ่มพลทหารที่กำลังล้อมวงอะไรสักอย่าง พอแถวแตกเท่านั้นเอง ฉันก็สังเกตเห็นหม้อขนาดกลาง และถ้วยสังกะสีหลายใบใส่แกงอะไรสักอย่างวางอยู่ พวกมันกำลังกินกันอย่างเอร็ดอร่อย

“ทำอะไรกันหรือ? ทำไมกินข้าวกันเร็วจัง ยังไม่ห้าโมงไม่ใช่หรือ?”

“มาเลย ๆ พัทซี่” ชัย เรียกฉันให้เข้าร่วมวงด้วย แกงนั้นหน้าตาเหมือนอาหารทางเหนือที่เรียกว่า ยำจิ้นไก่ (แกงชนิดหนึ่ง ที่ทำจากเนื้อไก่ฉีกเป็นเส้น ปรุงรสด้วยเครื่องเทศพื้นเมืองทางเหนือ บางทีจะใส่หัวปลีลงไปด้วย)

“ยังไม่หิวเลยอ่ะ” ฉันตอบตามตรง กร ปรี่เข้ามาดึงแขนฉัน

“มาเถอะ ลองชิมสักคำ อร่อยนา... อาหารพิเศษเชียว”

“รวมเงินกันทำหรือ?” ฉันพาซื่อ

“เปล่า...” หล่ออิท ซึ่งป้อนข้าวเหนียวจิ้มน้ำแกงเข้าปากบอก “ได้ฟรี”

“อ้าว! ใครให้มาละ?” ฉันซัก เล่นเอา ยุทธ ทำหน้าเซ็ง ๆ

“กิน ๆ ไปเหอะน่า... มามะ... ที่รัก ลองมาชิมสักคำ ฝีมือกูทำเองนะเนี่ย”

ฉันเขยิบเข้าไปใกล้ เนื้อไก่ขาว ๆ ก็จริง แต่สังเกตเห็นกระดูกคล้ายก้างใส ๆ กองอยู่บนโต๊ะรวมกับเศษอาหาร หรือจะเป็นเนื้อปลา !?!?

เมื่อชักไม่แน่ใจ จึงเปรยขึ้นว่า “งั้นขอคำเดียวพอนะ”

ฉันจะตักเอาแต่น้ำ เชฟน้อย เห็นเข้า เลยตักพร้อมเนื้อไก่ให้ด้วย “เอ้า... ลองดู”

ฉันกินเข้าไปแล้วเคี้ยว เนื้อมันนุ่มแต่เหนียวพิกล ราวกับแกงมันยังไม่เข้าเคล้า

“พัทซี่...อร่อยไหม? เหมือนเนื้อไก่ไหมวะ?”

อืม... ฉันพยักหน้าให้กับ หล่ออิท เสียงฝีเท้าหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง ตามด้วยเสียงตะโกนดังลั่นด้วยความตกใจ!

“เฮ้ย! พี่พัทซี่ กินเนื้องูเป็นกับเขาด้วยหรือ????”
ย้ง เพื่อนพลทหารรุ่นน้อง ซึ่งประจำอยู่โรงสูทกรรมร้องดังลั่น แต่ไม่ทันเสียแล้ว...

“เนื้องู????” ฉันขยับปากได้อย่างยากลำบาก

พวกเพื่อน ๆ ผู้ช่วยครูฝึกฯ หัวเราะปรบมือกันเกรียวกราว

“เฮ้ย... มึงกลืนไปหรือยังวะ?” น้ำ หัวร่องอหาย

“กลืน...แล้ว...” ฉันหน้าซีดโดยฉับพลัน เมื่อฟัง เชฟน้อย อธิบายอย่างภาคภูมิใจ

“ตอนไปตัดหญ้าไง เจองูเหลือมเข้าตัวหนึ่ง ตัวยาวเกือบสองเมตรนะพัทซี่ ก็เลยช่วยกันจับไว้ แล้วเอาใส่กระสอบที่กูไปขอมึงไงละ ไอ้ยุทธก็เลยจัดหนัก ทำยำงูให้กินซะเลย... เนื้อมันเหมือนเนื้อไก่ใช่ไหมละ... บอกแล้วว่า อร่อย!!!!”

พอแล้ว... เท่านั้นแหละ... ฉันวิ่งพรวดเข้าห้องน้ำโรงสูทกรรมแทบไม่ทันเลยทีเดียว



คืนวันอาทิตย์ มีถ่ายทอดสดฟุตบอลนัดพิเศษทางโทรทัศน์ทางช่องสัญญาณปกติตอน ๓ ทุ่ม ดังนั้น บรรดาผู้ช่วยครูฝึกฯ รวมทั้ง ครูเวรฯ อย่างหมู่เมธ จึงมาคลุกตัวอยู่ในห้อง บก.หน่วยฝึกฯ หลังส่งพลทหารใหม่ขึ้นนอนแล้ว

“บิ๊กแมตช์เว้ย เฮ้ย!” ยุทธ ผิวปากอย่างอารมณ์ดีเข้ามา พอเจอหน้าคู่กัดตลอดกาลของมันเท่านั้น มันก็ทำหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย

“ไอ้แมงชัย มึงนวดขาให้กูหน่อยสิ เมื่อกลางวันไปยืนเฝ้าพวกมึงตัดหญ้า ร้อนก็ร้อน เมื่อยขาชิบ” มันสั่งลูกน้องเก่า สมัยอยู่ ร้อยฯ บก. รพศ.๕ พัน.๒ ไอ้ชัยกระวีกระวาดเอาอกเอาใจ

“ถ้าจะดูก็อย่าเสียงดังละ” ฉันกำชับเพื่อน ๆ รวมถึงไอ้หน้าหล่อที่เอนตัวเหยียดขาบนเก้าอี้ แล้วหอบสมุดบันทึกประจำวัน กับอุปกรณ์เครื่องเขียน เลี่ยงออกไปนั่งในห้องเรียน

“อ้าว ครูพัทซี่นั่นเอง ยังไม่นอนหรอกหรือครับ?” ณัฐกฤต หรือส้ม ทักทาย ขณะยืนเวรฯ เฝ้าธงหน่วยฝึกฯ อยู่หน้าอาคาร ซึ่งฉันกำลังเดินผ่านพอดี

“ยังเลย จะมาขอยืมห้องเรียน เป็นที่ทำงานหน่อย... คู่ของเราไปไหนแล้วละ?”

“อ๋อ ชาหรือครับ? มันว่ามันปวดท้อง ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ” ส้ม ยังมีแก่ใจนึกถึงกฎระเบียบ “คงไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? ถ้าผมอยู่เฝ้าคนเดียวสักครู่หนึ่ง”

“ได้สิ ก็เขาถึงกำหนดมาให้เฝ้า ๒ คนไงละ ถ้าใครคนหนึ่งเป็นอะไร จะได้ช่วยกันได้”

“วันนี้ สงสัยแกงส้มปลาทูมื้อเย็นคงทำพิษนะครับ” ส้ม ยังชวนคุยด้วยความซื่อของมัน “เมื่อกี้ หินก็ลงมาเข้าห้องน้ำ เพราะต้องเข้าเวรฯ ผลัดต่อจากผม จอน กับ วิท ก็ลงมาเมื่อกี้ ถัดจาก หิน แป้ปเดียว ”

ฉันเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก วิชา จอน กับวิทวัสเข้าห้องน้ำตามหลัง ภูหิน เข้าไปนะเหรอ !?!?

“เอ้อ ส้ม ครูขอตัวไปทำงานก่อนนะ... จะแวะไปเก็บผ้าที่ราวด้วย”

ฉันยิ้มให้อย่างใจเย็น แต่พอพ้นรัศมีการมองเห็นของอีกฝ่ายเท่านั้นแหละ จึงรีบวางสมุดและอุปกรณ์ไว้ที่โต๊ะในห้องเรียน แล้วด่วนจ้ำอ้าวเดินลัดเลาะไปตามหลังห้องน้ำ ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับเมื่อวาน

ไฟในห้องน้ำตรงโถงอาบน้ำปิดสนิท มีแต่แสงไฟบริเวณห้องส้วมเปิดไว้ซึ่งสว่างพอใช้ ฉันหลบมุมเลือกช่องของอิฐบล็อกที่มีทำเลดี ๆ หูแว่วได้ยินเสียงคุยกัน

“ตกลง... มึงเป็นหลานเสนาธิการใช่ไหมวะ?” เสียงจอนดังห่างออกไปจากจุดที่ฉันยืนอยู่ราว ๓ เมตร ตามด้วยเสียงร้อง โอ๊ย! ของภูหิน จากรูเล็ก ๆ นั้น ฉันเห็น จอน หลักหน้าอก ภูหิน เข้าให้

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม?” ภูหิน เชิดหน้าท้าทาย น่าแปลกที่ในสถานการณ์แบบนี้ มันยังกล้าที่จะต่อสู้... แต่แล้ว วิชา ก็ปราดเข้ามาบ้าง ส่วน วิทวัส ยืนคุมเชิงอยู่ตรงสุดทางเดินห้องน้ำ

“ก็เพราะมึงเป็นหลานท่านนายพันใหญ่ไงวะ พวกกูถึงเห็นพวกครูฝึกทั้งหลายเอาอกเอาใจมึงชิบ!”

“เปล่านะ...” ภูหินส่ายหน้า “เขาก็ฝึกเราเหมือนกับคนอื่น ๆ นั่นแหละ”

“อีครูตุ๊ดนั่นก็ให้ท้ายมึง รองเท้าผ้าใบมึงก็ไม่ต้องใส่ ใส่รองเท้าแตะ... ทำไมวะ...แผลตีนมึงเจ็บมากนักหรือไงวะ?” คราวนี้ วิชา ตะคอกใส่ ภูหิน หลบสายตาพวกมัน

“เราโดนรองเท้ากัด ครูพัทอนุญาตให้เราใส่รองเท้าแตะจนกว่าจะหาย”

“เฮ้ย! รองเท้ากัดเนี่ยนะ... แค่นี้ก็สำออยแล้วหรือวะ... หา!” จอน เอามือผลักหน้าอกภูหินอีกครั้ง มีผลให้เจ้าตัวถอยกรูดไปชิดกำแพง “เมื่อไหร่มึงจะแข็งแรงเหมือนคนอื่นเขาบ้างวะ? คราวที่แล้วตอนธงหายก็ครั้งนึงละ... มึงเกือบเอาพวกกูโดนซ่อมชุดใหญ่ พวกกูโดนลงโทษแทบตาย กูเห็นมึงทำก็ไม่ครบ แล้วยังมีหน้ามาช้ากว่าคนอื่นอีก”

“มึงอยากเจ็บมากกว่านี้ไหมวะ?” วิชา ถามพลางกระชากคอเสื้อ ภูหิน “กูเล่นครูพัทของมึงไม่ได้ กูเล่นศิษย์รักของมันแทนดีกว่ามั้ง?”

“อย่าทำอะไรเราเลย... เรากลัวแล้ว” ภูหิน หลับตาปี๋ก้มหน้า กลัวโดนหมัดของ วิชา ซึ่งค้างไว้เฉย ๆ มันแค่นเสียงหัวเราะ

“อะไรวะ แค่นี้ก็กลัวแล้วหรือวะ?”

“พอเถอะ เดี๋ยวมีคนมา” วิทวัส ร้องบอกเพื่อน ๆ

“มึงปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นกว่านี้ อย่าเป็นตัวถ่วงของหน่วยฝึกฯ เข้าใจ?” จอน ทำเสียงสูงเลียนแบบจิ๋กโก๋ในละคร พวกมันผละจากไปนานแล้ว แต่ ภูหิน ยังคงยืนพิงกับกำแพง ก่อนจะค่อยทรุดตัวลง แล้วซบหน้ากับฝ่ามือร้องไห้




ฉันรีบผละจากหลังห้องน้ำอ้อมอาคารหน่วยฝึกฯ มานั่งทำหน้านิ่งในห้องเรียนได้ทันเวลาก่อนที่ทั้งสามนายจะเดินเข้ามาถึง ภูหิน เองก็ปิดปากสนิท ตอนที่ฉันนั่งอยู่ในห้องเรียนซึ่งเป็นทางลัดผ่านไปห้องน้ำ เจ้าตัวก็ก้มหน้าเดินผ่านไปโดยไม่ทักอะไร วิชา เองก็เข้าเวรฯ คู่กับ ส้ม หน้าอาคารหน่วยฝึกฯ ตามปกติเช่นกัน ดังนั้น ฉันคงไม่แตะต้อง แต่ปล่อยให้กระบวนความคิดของมันทำงานบ้าง อย่างที่บอก ...เรื่องบางเรื่องต้องค่อยเรียนรู้ไป...

...อาจจะหนักหน่อยนะ... ภูหิน แต่นายก็ต้องอดทน!!! ฉันส่งใจไปให้มันอย่างเงียบ ๆ

ขณะที่กำลังปิดสมุดรายงาน แล้วบิดขี้เกียจอย่างเต็มที่อยู่นั้น ก้อนกรวดก้อนหนึ่งก็ลอยมาตกตรงพื้นในห้องเรียน ฉันจ้องมองอย่างพิศวง

ทันใดนั้น ก้อนกรวดอีกก้อนตกลงมาตรงพื้นหน้าโต๊ะฉันอย่างจัง ฉันเหลียวขวับไปทางประตูด้านข้างที่เปิดออกสู่ห้องน้ำทันที

เงาดำโบกมือไหว ๆ อยู่ตรงนั้น ใจแทบหล่นลงไปตรงตาตุ่ม! ดีที่สังเกตเห็นผิวขาวนวลของมันได้อย่างชัดเจน

ไอ้เชี่ยเมธ! ตูนึกว่าผีที่ไหน!!!!

“มีอะไรหรือครับ?” ฉันเอ่ยถาม เมื่อเดินออกไปถึงตัว มัน จุ๊! ปาก

“เบา ๆ สิวะ เอาของไปวางในห้อง แล้วตามหมู่มาเร็ว”

“จะ... ไปไหนครับ?” ฉันไพล่คิดไปถึงมันจะลากฉันไปทำมิดีมิร้าย แต่คำตอบก็หลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย

“ไปหาอะไรกินข้างนอกกัน ไปเป็นเพื่อนหมู่หน่อย หิววะ มื้อเย็นมันไม่อิ่ม”



ฉันแทบไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้มานั่งร้านข้าวต้มตรงตลาดโต้รุ่งอำเภอแม่ริม ในเวลาสี่ทุ่มของคืนวันอาทิตย์ นายสิบชุดครึ่งท่อนตรงหน้าพุ้ยข้าวราวกับตายอดตายอยาก ในขณะที่ฉันละเลียดกินอย่างไม่ค่อยรู้รส

“เขาจะว่าเราไหมครับ?”

“เขานะ... ใครวะ?”

มันยวนทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ฉันหมายถึงเรื่องอะไร เลยถอนหายใจหนัก ๆ “เอาเป็นว่า ถ้าผู้กอง หรือ จ่านนท์รู้เข้าแล้วโดนเล่นงานกัน หมู่ก็รับโทษหนักเป็นคนแรกเลยละกัน ฐานเป็นผู้ต้นคิด”

“มึงกินไปเยอะหรือยังวะ?” มันมองข้าวต้มในถ้วยของฉัน

“ก็นิดหน่อย... ไม่ค่อยหิว” ฉันนึกขอบคุณในความเป็นห่วงของมัน ที่ไหนได้...

“งั้นก็ถือว่าโทษเท่ากัน เพราะมึงก็กินเข้าไปแล้ว” มันพูดจบ ก็ก้มหน้ากินต่อไปอย่างไม่รู้ร้อน อยากเอาข้าวต้มร้อน ๆ ป้ายหน้ามันเหลือเกิน

จู่ ๆ มันก็วางช้อนกับตะเกียบ “อยากกินเบียร์ไหม?”

“อื้อ!” ฉันส่ายหัวพัลวัน

“ดัดจริตวะ มึงนะ!” มันด่าตูเข้าให้อีก “น้อง! ขอเบียร์ขวดหนึ่ง แก้วสองใส่น้ำแข็งมาด้วย”

ในที่สุด ฉันก็ต้องมาร่วมจิบเบียร์กับมันอีก ตาชักปรือ มันกุลีกุจอรินให้

“นาน ๆ ทีได้ออกมา” มันกล่อม “เย็น ๆ เลยวะ”

ฉันมองแก้วที่มีของเหลวสีอำพันบรรจุอยู่ ฟองขาวลอยปริ่มปากแก้วดูนุ่มละมุน ก่อนตัดสินใจ

“แก้วเดียวนะครับ ผมไม่อยากเมา พรุ่งนี้ก็วันจันทร์อีกต่างหาก”

“มึงอย่าพิรี้พิไรนักเลยน่า... กิน ๆ ไปเหอะ แล้วก็กลับไปนอน ไม่เห็นมีอะไรเลยวะ”

ไอ้หน้าหล่อยกแก้วขึ้น “เอ้า! ชนหน่อย”




ฉันเผลอหลับเอาหัวหนุนแผ่นหลังของคนขับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกที หมู่เมธก็เขย่าตัวปลุกฉันขึ้น

“ถึงแล้ว ๆ”

ฉันลงจากรถ ดับเครื่องและจูงผ่านกองรักษาการณ์ไป พยายามทำหน้านิ่ง ๆ เข้าไว้ ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม ใบหน้าของฉันแดงระเรื่อ เพราะเอาเข้าจริง ไอ้หน้าหล่อกับฉันก็ดวดเข้าไป ๓ ขวดจนได้

“สนุกไหมวะ?” มันสตาร์ทรถ ฉันขึ้นซ้อนอีกครั้ง

“ครับ แต่ผมง่วงเต็มทนแล้วเนี่ย”

“หัวมึงนุ่มดีวะ เวลาหนุนหลังกูแล้วไม่ค่อยรู้สึก”

“หัวคนนะครับ ไม่ใช่ตุ๊กตา!”

มันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ฉันก็พลอยหัวเราะไปด้วย ...แปลกตรงที่หมู่เมธไม่จำเป็นต้องอธิบายว่า ทำไมถึงชวนฉันออกมา ฉันคิดเอาเองว่า แกคงหิวจริง ๆ และฉันก็เป็นเพื่อนกับแกไปแล้ว ดังนั้น เพื่อนชวนเพื่อนออกมากินข้าวกันกลางดึก ก็คงไม่น่ามีอะไร!

หมู่เมธ ดับเครื่องแล้วจอดรถไว้ข้างอาคารหน่วยฝึกฯ อีกฝั่งหนึ่ง ทำให้ไม่มีใครจับพิรุธได้ ฉันกำลังโซเซไปตามทางเดินด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล และแล้ว...มันก็เข้ามาโอบรอบคอฉัน แล้วกระซิบถาม กลิ่นเบียร์ลอยปนออกมา

“สนุกไหมวะ?” มันท่าจะเมา เพราะถามคำถามนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว

“ก็ดีครับ” ฉันมองดวงตาอันคมกริบ ซึ่งมีแววกรุ้มกริ่มในนั้น เหมือนมันอยากจะทำอะไรมากกว่านั้น แต่ยั้งไว้

“ขึ้นไปนอนได้แล้ว เดินดี ๆ นะวะอย่าตกบันไดละ” มันรุนหลังฉันให้เดินไปก่อน

“ขอบคุณนะครับ” ฉันเอ่ย มันพยักหน้าในเงามืดตรงทางเดินนั้น

“ไม่เป็นไร กูก็ขอบใจมึงเหมือนกันที่ออกไปเป็นเพื่อน” มันเท้าสะเอว กำชับประโยคสุดท้ายก่อนนอน

“แล้วอย่าลืมว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันของมึงนะวะ!”

................................



Create Date : 24 มิถุนายน 2555
Last Update : 24 มิถุนายน 2555 12:09:31 น.
Counter : 1009 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
มิถุนายน 2555

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
 
All Blog