โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๒๕ ภ.ม. ภาิคิโน
โรงเรียนวิชารบ ตอนที่ ๒๕ ภ.ม.ภาคิโน

ไอ้หน้าหล่อ เก็บหน้าหล่อ ๆ ของมันหายไปช่วงที่เราชุลมุนกันตอนเช้า เพราะช่วงสิบโมงวันนั้น มันต้องสอนวิชาปฐมพยาบาล

“อย่าลืมนะว่า มึงต้องมาช่วยกูสอนนะเว้ย!” มันยื่นกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่ง ที่มีลายมือขยุกขยิกเขียนไว้ เป็นหัวข้อที่มันจะสอนในเวลาสองชั่วโมงนั้นให้เสร็จ ในขณะที่ ชัย กับ กร ไปช่วยมันขนอุปกรณ์ออกมา ซึ่งประกอบไปด้วย ผ้าสามเหลี่ยม ผ้าพันแผล เปลสนาม และกระเป๋ายา

ผู้ช่วยครูฝึกฯ ที่เหลือออกไปช่วยกันขนผ้าเต็นท์ที่จะใช้สำหรับช่วงบ่ายไปจนถึงกลางคืน ซึ่งเบิกออกมาจากคลัง รพศ.๕ พัน.๑ ถ้าไม่นับรวม จ่ากอง และจ่าวิทย์ ที่เฝ้าหน่วยฝึกฯ อยู่ ในห้องเรียนก็เหลือแค่ฉันอยู่กับมัน เชฟน้อย อดแซวไม่ได้

“อย่าหวานกันเกินละ สงสารน้องใหม่บ้าง มันจะเลี่ยน”

ฉันเตะก้นเชฟน้อยดัง ป้าป! ไปหนึ่งที

อันที่จริง หมู่เมธก็สอนใช้ได้เลยทีเดียว การพูดจาของมันลื่นไหลไม่ติดขัด และยังมีคำถามคำตอบเป็นช่วง ๆ เพื่อเสริมความเข้าใจ อาจเป็นวิชาถนัดตามที่เรียนมา แถมยังแผ่อานิสงส์นั้นมาถึงฉันด้วย

“อ้าว ครูพัทซี่ลองเขียนบนกระดานให้เราดูสิว่า วิธีการช่วยเหลือชีวิต มีอะไรบ้าง?”

ฉันจำใจเขียนบานกระดานเพื่อตอบคำถามนั้น

วิธีการช่วยเหลือชีวิต
A Airway ทางเดินหายใจ
B Bleeding การห้ามเลือด
C Control Shock ป้องกันการช็อค
D Dressing การตกแต่งบาดแผล
E Evacuation การส่งกลับ

ไอ้หน้าหล่อสอนไล่ไปทีละหัวข้อ จนกระทั่งถึงขั้นตอนการส่งกลับ เราให้พลทหารใหม่จับกลุ่มกันลองฝึกการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบต่าง ๆ จนกระทั่งในช่วงท้าย ๆ ก็เข้าสู่การสอนวิธีการเป่าปากและปั้มป์หัวใจ

ฉันขอแรงพลทหารใหม่ที่นั่งโต๊ะเรียนแถวหน้า ขยับโต๊ะออกมาวางต่อกันหน้าชั้นเรียน คล้ายกับเป็นเตียงนอน

“เอาละ ต่อไปจะเป็นการสาธิต” หมู่เมธ เว้นจังหวะเล็กน้อย “ขออาสาสมัคร ๑ นาย”

เอก หรือเอกวัฒน์ ซึ่งนั่งอยู่หน้าสุดพอดียกมือขึ้น หมู่เมธ ให้มันยืนรออยู่หน้าชั้น

“ขออาสาสมัครเป็นคนป่วย ๑ คน”

คราวนี้ เสียง ไอ้พงศ์ ลูกหมู่ฉันดังกว่าเพื่อน “ภูหิน ได้ไหมครับ? มันเป็นลมบ่อยกว่าเพื่อน”

คนถูกเสนอชื่อ หันขวับมาตามเสียง แต่ยังช้ากว่าฉัน “สิบครั้ง ไอ้พงศ์ ใครอนุญาตให้พูด”

เจ้าพงศ์ออกมาดันพื้นตรงที่ว่างข้างโต๊ะ ภูหิน บอกกับฉัน “ผมไปก็ได้ครับ ไม่เป็นไรหรอก”

แล้วร่างผอมบางนั่นก็ไปนอนอยู่บนโต๊ะไม้!

“ใช้มือบีบจมูก ยกคอขึ้นเล็กน้อย” เอก ทำตามที่ หมู่เมธ สอนอย่างคล่องแคล่ว “ไม่ใช่กดตรงนั้น ต้องนับจากลิ้นปี่ขึ้นมา ๑ คืบ เอาฝ่ามือเราวางเพื่อวัดระยะก็ได้ อย่างนั้นแหละ เออ.. มึงนี่หัวไววะ”

เอก อยู่ในท่าเตรียมพร้อมกดหน้าอกของ ภูหิน หมู่เมธ ให้มันลองทำใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง

“ไหน ๆ ดูเด๊ะ... ขั้นตอนที่หนึ่ง ใช้มือบีบจมูก ยกคอขึ้น... แล้วก็เป่าปาก เป่าสิวะ...”

ฉันมองคนออกคำสั่งเช่นเดียวกับ เอก ที่หันมามองไอ้หน้าหล่อแบบไม่แน่ใจ “เอาจริงเลยหรือครับ?”

“จริงสิวะ ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่สมจริง”

ฉันขยับปากจะห้าม แต่ไม่ทัน... เสียงฮือฮาจากเพื่อน ๆ ดังขึ้น เมื่อ เอก เอาปากสัมผัสกับริมฝีปากของ ภูหิน ที่นอนตัวแข็งอยู่บนโต๊ะนั้น !?!?



“จริงหรือวะ?” หล่ออิท อุทานเมื่อฉันเล่าจบ

“แล้วไอ้ตุ๊ดนั่น มันทำหน้ายังไงวะ?” ยุทธ ถาม

“ตุ๊ดไหนวะ มันมีสองคน... กูก็เป็นตุ๊ด” ฉันยวนคนถาม ยุทธ เกาหัวแกรก ๆ

“ขอโทษ ๆ กูนึกมาตลอดว่ามึงเป็นผู้ชาย!”

“ก็ทำหน้าแดง ๆ แต่น้องใหม่เขาก็แซวกันตลอดแหละ จะไม่ให้เขินก็แปลกละ” ฉันยิ้มเล็กน้อย

“ไอ้เอก มันทำได้ไงวะ? เดี๋ยวกูจะไปสัมภาษณ์มันซักหน่อย” กร ตั้งท่าจะไปคั้นความจริงกับลูกหมู่ของตนเอง น้ำ เอามือแตะแขนมันไว้

“หรือมันชอบอย่างนั้นวะ?”

ทุกคนหัวเราะ ยกเว้นฉันที่ส่ายหัวเพราะความเอือมในมุขแบบนี้ “มันไม่ได้ชอบหรอก... มันก็ทำหน้าเฉย ๆ ไร้อารมณ์ตามนิสัยมันอยู่แล้ว แต่คนสั่งนะมันชอบ!”

ใครจะไปรู้ว่า คำพูดนี้ทำให้หลายคนชะงัก และเป็นช่องที่ทำให้เกิดความใคร่รู้ขึ้นมา

“มึงรู้ได้ไงว่าไอ้หมู่เมธมันชอบ...” ปิ๊ก กลั้นหัวเราะ “หรือว่า... มึงกับมันเคยจูจุ๊บกันมาแล้ววะ?”

“เชี่ย!” ฉันอุทานด้วยความตกใจ “ว่าไปเรื่อย ไม่เคยนะ ๆ ไม่เคยจริง ที่พูดนะ หมายถึงไอ้หมู่เมธมันชอบแกล้งคนอื่นอยู่แล้วไงวะ”

“อย่ามาทำไก๋เลยน่า...” ชัย แซว

“ขอร้องเถอะ มันไม่ได้มีอะไรอย่างที่คิดหรอกน่า...”

ฉันปฏิเสธพัลวัน ทำเอาเพื่อน ๆ พากันครื้นเครง

ผ้าเต็นท์ที่พวกเราเบิกมาจากคลัง คือ การฝึกการสอนกางเต็นท์ทหารให้พลทหารใหม่ โดยใช้พื้นที่บริเวณลานใต้ต้นสัก ข้างสนามหน่วยฝึกฯ โดยบัดดี้หนึ่งคู่ จะได้รับแจกเต็นท์หนึ่งหลัง อุปกรณ์ประกอบเต็นท์อยู่ในชุดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่มีหลายชุดที่มีอุปกรณ์ไม่ครบ เช่น ขาดสมอบก ขาดเสาค้ำยัน เป็นต้น จ่ากอง ให้ผู้ช่วยครูฝึกฯ ทั้งหลายกระจายกันช่วยกางเต็นท์เป็นตัวอย่างให้แก่พลทหารใหม่ บรรดาครูฝึก คือ จ่าคม จ่าหวัด จ่าแหลม และหมู่เมธ ก็พลอยนึกสนุกมาช่วยกันกางด้วย

“ไม่ได้เล่นแบบนี้นานแล้ว” จ่าวิทย์ เล่าให้พลทหารใหม่ที่ยืนรุมดูการสาธิตกางเต็นท์ฟัง “เดี๋ยวนี้ถ้าไปราชการสนาม ไม่ต้องกางเต็นท์แล้ว เสียเวลา... กางผ้าใบเป็นหลังคาระหว่างต้นไม้ แล้วเอาเปลผูกนอนได้เลย เร็วกว่าเยอะ ใหญ่กว่า สะดวกกว่าด้วย... ขืนนอนเต็นท์ผ้าใบ ข้าศึกมา มุดออกมาไม่ทันก็โดนมันยิงถล่มตายคาเต็นท์พอดี”

“หาไม้แถวนี้สิวะ” ฉันสั่ง พอล พลางโยนมีดสปาร์ตาให้ ซึ่งพกมาด้วยจากหน่วยฝึกฯ “เอาไม้แข็ง ๆ หน่อย จะได้เอาตอกลงดินได้”

“ครูครับ ดินแข็งจังเลยครับ” ที เอาหินขุด ๆ ดินบริเวณที่มันจะกางเต็นท์ “ขนาดเหล็กยังตอกไม่เข้าเลย”

“ก็เอาพลั่วสนามช่วยสิจ๊ะ” ฉันแนะ พวกเราเบิกพลั่วสนามออกมาให้พลทหารใหม่อีกรอบ “เสร็จแล้วก็ขุดรางน้ำรอบเต็นท์ด้วย ให้เป็นทางน้ำไหลเวลาฝนตก”

“แต่หน้านี้มันเป็นหน้าหนาว ฝนมันคงไม่ตกหรอกครับ”

“ยี่สิบสิ ไอ้พงศ์” ฉันสั่งโดยไม่ลังเล “วันนี้ มึงกวนบาทาครูดีจังเลยวะ”

มันบ่นอุบอิบขณะตั้งท่าดันพื้น ทำนองว่า มันพูดเรื่องจริง...

เวลาผ่านไปชั่วโมงเศษ ๆ เต็นท์ผ้าใบสีเขียวกลางเก่ากลางใหม่ ก็เรียงรายอยู่ใต้ต้นสัก ฉันเดินตรวจดูความเรียบร้อย หลายเต็นท์ขุดร่องระบายน้ำแบบขอไปที จนสั่งลงโทษแล้วให้ขุดใหม่ เอ็ด ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนั้น

“เรากางไว้เฉย ๆ นี่ครับ ครูพัทซี่ ไม่ได้มานอนจริงซักหน่อย”

“ใครบอกว่าไม่ได้นอน...” ฉันขมวดคิ้ว “ครูน้ำไม่ได้บอกเธอเหรอว่า คืนนี้ต้องมานอนที่นี่กันนะ”

“หา!” เอ็ด อุทาน พร้อมกันกับพลทหารใหม่อีกหลายนาย
ผู้ฝึกฯ และจ่ากอง เห็นพ้องต้องกันว่า ต้องฝึกให้พลทหารใหม่ลองนอนเต็นท์สัก ๑ – ๒ ครั้ง ก่อนจะไปเข้าค่ายพักแรมจริง ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนปิดหน่วยฝึกฯ ซึ่งต้องเลือกช่วงเวลาที่อากาศค่อนข้างดี แม้ว่าจะเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูหนาว แต่ฝนหลงฤดูเนื่องจากการปะทะกันของความกดอากาศยังคงมีบ้าง ตามข่าวพยากรณ์อากาศ ระบุว่าสัปดาห์หน้าฝนอาจจะตก ดังนั้น จ่ากอง จึงเลื่อนการฝึกกางเต็นท์และเข้าค่ายพักแรมตอนกลางคืน มาเป็นวันนี้ทันที
ไม่น่าเชื่อว่า ผู้ฝึกฯ และจ่ากอง ก็คิดถึงหัวอกพวกผู้ช่วยครูฝึกฯ อย่างเราเหมือนกัน จึงอนุญาตให้สลับเวรฯ กันลงมานอนเฝ้าพลทหารใหม่ได้ แต่เพื่อนย่อมไม่ทิ้งเพื่อน...

“ไม่เป็นไรครับ... พวกผมนอนได้ไม่ต้องเป็นห่วงครับ” น้ำ ยืนยันหนักแน่นกับผู้ฝึกฯ

“สนุกดีออกครับ” เชฟน้อย เสริม “พวกผมมันลุย ๆ อยู่แล้ว ใช่ไหมพัทซี่?”
ฉันพยักหน้า จ่ากอง พูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“แต่เต็นท์เบิกออกมาเผื่อให้พวกเอ็ง แค่ ๒ หลังเท่านั้นนะ... ถ้าจะนอน ก็คงต้องไปขอนอนกับน้อง ๆ เขาก็แล้วกัน”

ปรากฏว่า ฉันคงทำบุญมาเยอะ... เลยโชคดีที่เพื่อน ๆ สละเต็นท์ให้ฉันนอนเพียงนายเดียว ส่วนที่เหลือ ขอไปเบียดเสียดยัดเยียดกับพลทหารใหม่

“ก็กางเต็นท์ใหม่อีกสักหลังไม่ดีกว่าเหรอ?” ฉันเสนอ เพราะเป็นห่วงความไม่สะดวกสบายของเพื่อน ๆ

“กางแล้วก็เก็บ ขี้เกียจวะ” ยุทธ ตัวแสบโบกมือไม่เห็นด้วย

“แล้วมึงก็ไปเบียดกับน้อง ๆ เขาเนี่ยะนะ?” ฉันเหลืออด

“มึงนะใคร? ใครคือมึง?” ยุทธ ยักไหล่ “คำว่า มึง ต้องหมายถึงน้องใหม่โว้ย! ระดับนี้แล้ว เรื่องอะไรจะไปนอนเบียดให้โง่ กูก็ไล่ให้มันไปนอนเต็นท์อื่น แล้วพวกกูก็ได้นอนกันสองคนสบาย ๆ แล้วเว้ย!”

ก็นั่นแหละ... เขาเรียกว่าเบียด... เบียดเบียนคนอื่นไงวะ ไอ้เซ่อ! ฉันนึกด่ามันในใจ




สามทุ่มตรง นกหวีดเป่านอนดังขึ้น แม้ว่าจะอาบน้ำเสร็จแล้ว แต่พลทหารใหม่ก็ยังคงใส่ชุดฝึกเหมือนเมื่อตอนกลางวัน พวกเราอนุญาตให้นำเครื่องนอน คือ หมอนและผ้าห่มลงมาจากโรงนอนได้ และยังกำหนดจุดเข้าเวรฯ ทั้งหมด ๓ จุดเพื่อความปลอดภัย คือ เวรฯ ธงหน้าแถวเต็นท์ที่กางอยู่ ด้านหลังป่าต้นสักที่ติดกับลานรวมพล ซึ่งเป็นทางผ่านไปอาคารหน่วยฝึกฯ และตรงถนนด้านข้างของป่าต้นสักซึ่งติดกับถนน โดยให้ผลัดกันเข้าเวรฯ ละ ๑ ชั่วโมง เพื่อจะได้ลองเข้าเวรฯ ในที่แปลก ๆ กันครบเกือบทุกนาย น้ำ สั่งหัวหน้าตอน คือ บะหนุน ให้กำชับพวกที่เข้าเวรฯ หมั่นเดินตรวจตรา แม้จะไม่มีข้าศึกที่ไหน แต่เป็นการป้องกันอันตรายจากสัตว์กลางคืนต่าง ๆ

หล่ออิท ยกเอาระฆังเคาะสัญญาณบอกเวลาลงมาจากหน้าโรงนอน เพื่อมาแขวนใต้ต้นไม้ใช้ตีบอกเวลา แถมยังใจดีถอดนาฬิกาข้อมือของตนเอง ให้พลทหารใหม่ใช้ดูเวลาเปลี่ยนเวรฯ กัน เนื่องจากตามปกติ จะอาศัยนาฬิกาในโรงนอน และห้องเรียน จ่าคม ซึ่งเข้าเวรฯ วันนี้ ขอตัวนอนในห้อง บก.หน่วยฝึกฯ แกเอาไฟฉายให้พวกเรามาหลายกระบอก สั่งว่า ถ้ามีอะไรเร่งด่วนก็ให้มาเรียกได้ตลอดเวลา

ฉันเดินดูรอบ ๆ บริเวณตั้งเต็นท์ ทุกเต็นท์แทบไม่เงียบเสียงลงเลย ฉันเลยกระซิบบอกพวกที่เข้าเวรฯ อยู่ให้คอยเงี่ยหูฟังว่า หากเต็นท์ไหนเสียงดังเกินไป ก็ให้สะกิด ๆ บอกกันหน่อย ไม่งั้นโดน “ซ่อม” กันระนาว สักพักเสียงที่ดังอยู่ก็ค่อย ๆ เบาลง ฉันจึงมุดเต็นท์เข้าไปนอน ถึงเวลาพักผ่อนของฉันแล้ว... แต่ทว่า หัวยังไม่ทันถึงหมอนดี ก็มีเสียงเรียกขึ้นเบา ๆ หน้าเต็นท์

“ครูครับ”

“ฮือ... ใครอ่ะ?” ฉันร้องถามออกไป

“ผมเองครับ ภูหินครับ”

ฉันลุกพรวด โผล่หน้าออกไปนอกเต็นท์ ภูหินนั่งยอง ๆ ในมือหอบผ้าห่มกับหมอนมาด้วย

“มีอะไรหรือ?”

“คือ... ครูปิ๊กเข้ามานอนในเต็นท์ผมกับ ส้ม ... มันเบียดกัน แกเลยไล่ให้ผมมานอนกับครู แกบอกว่า ครูนอนอยู่คนเดียว...”

ไอ้หยา...! ฉันนึกหงุดหงิดอดีตบัดดี้อยู่ในใจ อันที่จริง ฉันนอนในเต็นท์คนเดียวได้ ไม่มีปัญหาอะไร แถมสบายกว่านอนสองคนเสียอีก แล้วนี่! นับประสาอะไร ตัวเองไปเบียดนอนกับเขา แล้วพลอยดันมาเดือดร้อนชาวบ้านชาวช่องเขาอีก!

แต่ก็ทำไงได้ละ...

“เข้ามาสิ”
ภูหิน รีบเข้ามาราวกับกลัวฉันจะเปลี่ยนใจ เราสองคนไม่คุยกันเลย ต่างคนต่างรู้สึกเพลียจัด เมื่อหัวถึงหมอนฉันก็ผล็อยหลับไป จนกระทั่งรู้สึกตัวเพราะมือถือที่วางไว้ข้างหมอนกำลังสั่น ใครหนอ...ช่างมาขัดขวางการนิทรารมย์เช่นนี้ ฉันหรี่ตามองหน้าจอที่สว่างจ้านั้น ราวกับจะฝันไป

ไอ้หน้าหล่อ โทรศัพท์มา !!!!!!!!!!

ฉันกดทิ้งไม่รับสาย ตูจะนอน...

คราวนี้เป็นข้อความส่งเข้ามา เครื่องจึงสั่นเตือน ฉันขยับตัวพลิกดูข้อความนั้น

“รออยู่ที่สี่แยกเลยหน่วยฝึก รีบมาด่วน วัยรุ่นใจร้อน”



นับเป็นหนที่สอง ที่ฉันแทบไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้มานั่งร้านข้าวต้มตรงตลาดโต้รุ่งอำเภอแม่ริม ในเวลาสี่ทุ่มของคืนวันอาทิตย์อีกครั้งหนึ่ง หมู่เมธอยู่ในชุดครึ่งท่อนตรงหน้าพุ้ยข้าวต้มกับพะโล้และยำอีกสองสามอย่าง ในขณะที่ฉันทำหน้าง่วงนอนจัด ขณะนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว

“เขาจะว่าเราไหมครับ?”

“คราวที่แล้วมึงก็ถามคำถามเนี่ยแหละ?”มันซดน้ำพะโล้เสียงดัง “แล้วไง... ไม่เห็นมีใครจับได้!”

“พลทหารใหม่นอนกันเต็มพรืดตรงสนามฝึกฯ ไม่เห็นเราเข้ามาก็ให้มันรู้ไป”

“เฮ้ย! มันนอนในเต็นท์ หลับเป็นตายกันไปหมดแล้วมั้ง... ไม่มีใครเห็นหรอก...”

มันพูดเองเออเอง ฉันเลยขี้คร้านจะเถียงมันว่า ก็ยังมีพลทหารที่เข้าเวรฯ อยู่รอบบริเวณกางเต็นท์อยู่ถึง ๖ นาย ดีที่ตอนหลบออกมา พวกนั้นกำลังเดินตรวจ ฉันจึงรีบเดินลัดเลาะไปตามความมืดเพื่อมาเจอไอ้หน้าหล่อตรงสี่แยกที่มันเคยรับฉันไปกินเลี้ยงผลัดปลดรุ่นครูสามเมื่อเดือนก่อน

“น้องครับ... เอาเบียร์ ๒ ขวด” คราวนี้ฉันลุยก่อนเลย มันจ้องหน้าราวกับฉันเป็นพะโล้

“รีบไปไหนวะ?” มันอ่านใจตูออกอีกแหะ

“ผมง่วง” ฉันบอกสั้น ๆ มันวางตะเกียบลง

ฉันเทเบียร์ส่งให้มัน มันยกแก้วขึ้นจิบ สีหน้าที่ผ่อนคลายเมื่อกี้ กลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันตาเห็น

“หรือว่ามึงยังโกรธกูไม่หาย?”

“เรื่องอะไรครับ?”

“เรื่องที่หมู่ไปแย่งธงที่มึงซ่อนไงละ!”

ฉันชะงัก ก่อนจะส่ายหน้า “โอย... เรื่องมันผ่านไปตั้งนานแล้วละครับ ผมจะเก็บเอามาคิดทำไม ผมง่วงจริง ๆ แต่พอจิบนี่เข้าไปหน่อยตาก็เริ่มสว่าง”

ฉันยิ้มให้ มันเริ่มหัวเราะร่า จนเห็นฟันสีขาวที่เรียงกันอย่างได้รูปชวนมอง
มันรินเบียร์ให้ฉันเรื่อย ๆ

“หมู่จะมอมผมหรือครับ?”

“วันนี้ คนละขวดแล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้มึงจะไม่ไหว” มันทำเป็นไม่ได้ยินคำถาม ช่างเถอะ...

“ผมถามหมู่เรื่องหนึ่งได้ไหมครับ?” ฉันขัดจังหวะการดื่มเบียร์ของมัน

“พูดมาเด๊ะ” มันกระดกแก้วจนหมด

“หมู่คบผมเป็นเพื่อนไว้กินเบียร์ หรือไว้ทำอย่างอื่นกันแน่ครับ?”

มันสำลักเบียร์ในแก้ว ก่อนจะค่อย ๆ เอามือเช็ดปากอย่างใจเย็น

“ใครใช้ให้มึงถามอย่างนี้วะ?”

ฉันเหลียวซ้ายแลขวา ในร้านข้าวต้มมีนั่งกินกันอยู่สองสามโต๊ะ “ก็... มีอยู่แค่นี้ หรือว่าเจ้าของร้านเป็นคนบอกให้ผมถามหรือเปล่าหว่า?”

“กวนนะมึง” มันพูดทีเล่นทีจริง “กูเคยบอกมึงแล้วนี่นา ว่าเราคบกันเป็นเพื่อนไงวะ”

เออ... จริงแหะ มันเคยบอกอย่างนี้กับฉันครั้งหนึ่ง เมื่อตอนที่มันไปรับฉันในวันที่กลับมาจากบ้าน

... เพื่อนกูมีน้อย กูรับมึงเป็นเพื่อนอีกคนก็ได้วะ...

แต่ฉันก็จำประโยคถัดมาได้ดี ...ถ้ามึงอยากเป็นมากกว่าเพื่อนก็ได้...

เมื่อรวมกับความรู้สึก ตอนที่แผงอกของเราทั้งสองสัมผัสกันในอ้อมกอดนั้น ฉันก็อยากทวนคำถามนี้กับมันสักครั้งเข้าจริง ๆ

ไอ้หน้าหล่อคงจะสังเกตเห็นอาการเงียบของฉันเข้า เลยยกแก้วชูขึ้น

“เฮ้ย! ยกแก้วดื่มบ้างสิวะ... มึงจะมองเหม่ออะไรของมึงวะ?”

ฉันยกแก้วตัวเองดื่มจนหมด แล้วตอบหมู่เมธที่กำลังรินเติมให้ “ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเฉย ๆ ครับ”

“ไม่มีเรื่องอะไรสนุกเล่าเลยหรือวะ? เอาแบบคลายเครียดหน่อยนะ” มันยกแก้วขึ้นดื่ม “เล่าประวัติส่วนตัวของมึงก็ได้ กูอยากฟัง”

ฉันทำตาโต “ว่าไปครับ จะมาฟังเรื่องของผมทำไมละ?”

“อ้าว! เป็นเพื่อนกันไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังแล้วจะสนิทกันได้ไงวะ”

ฉันทำหน้าเบ้ เพราะคิดว่า ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องแบบนี้ เลยเฉไปเรื่องอื่น

“ผู้ช่วยครูฯ มีตั้งหลายคน ทำไมหมู่ถึงชอบชวนผมมากินเบียร์อยู่คนเดียวละครับ?”

คราวนี้ มันทำหน้าเบ้ขึ้นมาบ้าง “ไอ้พวกนั้นปากหมา เดี๋ยวกินในที่ลับคายในที่แจ้ง อย่างมึงดูเรียบร้อยดี สั่งยังไงได้อย่างงั้น”

ฉันกำลังตั้งท่าจะค้านว่า เพื่อนผู้ช่วยครูฝึกฯ หลายนายไม่ได้เป็นแบบนั้น มันก็ปิดท้ายขึ้นก่อน “ยังไงก็อยากมากับมึงอยู่ดี เพราะกูกับมึงเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ?”

“เอ้อ... ครับ” ฉันแก้เก้อ

“กูว่า... ตอนนี้ ยังไง ๆ ไอ้ภูหิน คงฝึกรอดอยู่หรอก แต่กูกำลังคิดว่า มึงจะแก้ปัญหาตอนวันพบญาติได้ยังไง?”

“แก้ปัญหาเรื่องอะไรครับ?”

“เฮ้ย!” มันอุทานจนฉันสะดุ้ง “อย่าบอกนะว่า มึงลืมไปแล้ว ก็เรื่องที่มึงเขียนจดหมายแทนไอ้ภูหิน ไปบอกพ่อกับแม่มันให้มาเยี่ยมไงวะ กูสังหรณ์ใจยังไงพิกล”

ตายละวา... ฉันลืมเรื่องนี้เสียสนิท

“คงไม่น่าจะมีอะไรมั้งครับ? ผมน่าจะพอจัดการได้อยู่” และแล้ว ฉันก็พลันนึกได้อีกเรื่องหนึ่ง “ผมมีเรื่องจะขอให้หมู่ช่วยได้ไหมครับ?”

“เรื่องอะไรวะ?”

ฉันเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง จอน กับภูหิน ให้ไอ้หน้าหล่อฟัง ก่อนจะสรุปท้ายด้วยแผนการ

“มันจะช่วยได้หรือวะ?”

“ไม่มากก็น้อยแหละครับ” ฉันยกเบียร์ขึ้นดื่มบ้าง

คราวนี้ หมู่เมธเป็นฝ่ายเงียบบ้าง ฉันสังเกตสีหน้าครุ่นคิดของมันได้ เลยถือโอกาสแหย่ซะหน่อย

“ฮั่นแน่! ยกแก้วดื่มบ้างสิครับ... คราวนี้หมู่เหม่อเองเลยนะ”

“หมู่กำลังคิดว่าจะถามมึงอะไรมึงสักอย่างหนึ่ง แต่กำลังชั่งใจว่าจะถามดีไหม?”

“จะถามว่าผมเคยมีแฟนหรือเปล่าละสิ?”

“ไม่ใช่เรื่องพรรค์นั้นหรอกวะ” มันตัดบท “เอ้า... หมดขวดนี้ก็กลับกันดีเถอะวะ”



ในที่สุด หลังจากที่กล่อมหมู่เมธอยู่พักใหญ่ มันก็ยอมทำตามแผนการเดินทางของฉัน นั่นคือ การขี่รถอ้อมตามเส้นทางไปยังน้ำตกแม่สาสายเก่า เพื่อไปเข้าประตูอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่ รพศ.๕ พัน.๒ รับผิดชอบอยู่ จากนั้นค่อยขี่ไปตามถนนที่เชื่อมระหว่างหน่วยบังคับบัญชาของกรมฯ และพื้นที่ส่วนกลางของค่าย เพื่อแอบเข้าหน่วยฝึกฯ ทางด้านหลัง เมื่อทำอย่างนี้ ก็จะทำให้พลทหารใหม่ที่นอนอยู่บริเวณสนามด้านหน้าไม่สามารถสังเกตเห็นเราทั้งสองได้

ไอ้หน้าหล่อยื่นกุญแจให้ฉันเป็นคนขี่ ฉันรับมาเพื่อบิดสตาร์ทรถ ถนนเส้นน้ำตกแม่สาสายเก่ายามค่ำคืน แม้จะมีโคมตามเสาไฟฟ้าประปราย แต่บรรยากาศโดยทั่วไปช่างเปลี่ยวดีแท้ หมู่เมธเอี้ยวคอเพื่อจะมาคุยกับฉัน จังหวะที่ฉันกำลังเหลียวคอนั้นเอง สุนัขตัวหนึ่งก็วิ่งพรวดออกมาจากประตูบ้านใครคนหนึ่งที่เปิดทิ้งไว้ ฉันตกใจขยับมือบีบเบรกตรงแฮนด์รถเข้าพอดี แล้วรถทั้งคันก็หยุดดังกึก!

เฮ้ย!

โครม!!!!

โอ๊ย!

ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ รถจักรยานยนต์ล้มลงกองกับพื้น ไฟหน้าส่องเปะปะไปตามถนน ขาด้านหนึ่งของฉันสอดไว้ข้างใต้ตัวรถพอดี เครื่องยังติดอยู่ ไอ้หน้าหล่อปราดเข้ามาดับเครื่องแล้วยกรถตั้งขึ้นไว้ข้างถนน เสียงสุนัขละแวกนั้นเห่าดังเป็นระยะ ๆ

ฉันค่อยขยับตัวเองจะลุกขึ้น รู้สึกเจ็บแปลบตรงหัวเข่าซึ่งอยู่ต่ำกว่าปลายขากางเกงจับหมูลงไป เป็นแผลสดเลือดไหลย้อยเป็นวงใหญ่

“ซวยชิบ!” ความเมาหายเป็นปลิดทิ้ง

“เป็นไงบ้างวะ?” หมู่เมธเข้ามาช่วยพยุงฉันลุกขึ้น “เฮ้ย! แผลแหวะเลยวะ เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่าวะ?”

มันใช้คำพูดบรรยายซะจนฟังแล้วเสียวสยอง ฉันลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าไปที่รถ อวัยวะยังอยู่ครบส่วนและปราศจากอาการเคล็ดขัดบอก มีเพียงอาการเจ็บตรงบริเวณแผลที่เดียว

“เดินได้ตามปกติแหละครับ แต่แสบตรงแผลจัง”

“พรุ่งนี้มึงเขียวไปทั้งตัวแน่เลย ไป สร. ก่อนดีกว่าวะ มา... ซ้อนไหวไหม?”

ไม่ไหวก็ต้องไหว เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะกลับเข้าค่ายไปได้อย่างไร...

เราผ่านกองรักษาการณ์ตรงป้อม รพศ.๕ พัน.๒ ไปได้อย่างเรียบร้อย หมู่เมธพาฉันไปที่หมวดเสนารักษ์ หรือ สร. ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปด้านหลังอาคารกองบังคับการ รพศ.๕ พัน.๓ มีพลทหารเข้าเวรฯ อยู่หนึ่งนาย ฉันไม่คุ้นหน้าเท่าไรนัก คาดว่าน่าจะเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งจบหลักสูตรเสนารักษ์มาหมาด ๆ หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรที่ต้องเรียนเพิ่มเติมหลังจากจบการฝึกทหารใหม่ ๒ เดือนแล้ว

หมู่เมธ คงจะคุ้นเคยกับพลทหารนายนี้พอสมควร จึงสั่งให้ปล่อยเราทั้งสองอยู่ตามลำพัง เมื่อพลทหารนายนั้นจากไปแล้ว ฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง

“แล้วหมู่เป็นอะไรมากไหมครับ?”

ไอ้หน้าหล่อหัวเราะ ขณะเปิดขวดยาล้างแผล “จะเป็นไรได้ไงวะ กูเห็นหมามันตั้งท่าจะวิ่งตัดหน้ารถมาแต่ไกลแล้ว พอมึงเบรกปุ๊ป! กูก็กระโดดลงทันเวลาพอดี”

“เอาตัวรอดคนเดียวนี่นาครับ” ฉันตัดพ้อ แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมันโป๊ะยารักษาแผลสดลงไป “รถไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ?”

“ไม่เป็นไรวะ ยังขี่ได้ตามปกติ” มันคีบก้อนสำลีอีกก้อนชุบน้ำยาเพื่อทาซ้ำ “ที่กูกะจะถามมึงเรื่องหนึ่งเมื่อกี้ กูถามมึงตอนนี้เลยดีกว่าวะ?”

“ก็ถามมาดิครับ” ฉันเชื้อเชิญ

“ทำไมมึงถึงชอบเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าห่วงตัวเองวะ?”

“หื้อ...” ฉันไม่เข้าใจ พลางมองดูคนตรงหน้าง่วนกับการทำแผลอย่างคล่องแคล่ว

“กูสังเกตมาหลายทีละ มึงชอบเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นรอบตัวมึง เอาใจใส่ภูหิน กับลูกน้องในหมู่มึงซะเป็นอย่างดีเลย ทั้ง ๆ ที่บางเรื่องมึงอาจจะเดือดร้อนได้ มึงก็ไม่สนใจ”

“เหรอครับ?” ฉันไม่เคยรู้ตัวเองมาก่อน

“เออ สิวะ” มันตะคอกใส่ ไม่รู้ว่ายังเมาฤทธิ์เบียร์ หรือเพราะรำคาญฉันกันแน่ “อย่างเรื่อง ไอ้จอน กับไอ้ภูหินนั่น มึงก็ไม่เห็นจะไปยุ่งแทนมัน มึงก็อุตส่าห์ไปจัดการแทนจนได้”

มันกดเทปปิดผ้าก็อซแรง ๆ จนฉันชักเท้าหนีเพราะความเจ็บ

“อย่างตอนนี้ มึงเป็นแผลซะขนานี้ แทนที่มึงจะถามว่า แผลจะหายเร็วไหม? พรุ่งนี้ถ้าพวกจ่าเห็นเข้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? ไม่มีสักคำ มีแต่ถามถึงกู ถามถึงรถ... กูไม่เข้าใจวะ?”

แต่ฉันเข้าใจแล้ว “มันเป็นหน้าที่ครับ”

“หน้าที่อะไรวะ?”

“หน้าที่ของครูฝึกไงครับ” ฉันสรุปง่าย ๆ “เราก็ต้องคอยชี้แนะสิ่งดี ๆ ให้เขา คอยสอนและอบรมให้พวกเขา มีระเบียบวินัย รักเพื่อนพ้อง เชื่อฟังผู้บังคับบัญชาทั้งหลาย อดทนอดกลั้น มีความพยายามเพื่อเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ให้ได้”

“แล้วมึงเอาชนะเขาได้หรือยัง?”

“ชนะอะไรครับ?” ฉันย้อนถามผู้ที่เท้าสะเอวยืนอยู่ตรงหน้า

“ถ้ามึงชนะใจเขาไม่ได้ ไอ้ที่มึงพล่ามมาทั้งหมดเมื่อกี้นี้ ก็คงเกิดขึ้นไม่ได้หรอก” หมู่เมธ นิ่งไปสักครู่หนึ่ง “ที่มึงพูดนะ มันเป็นแค่อุดมการณ์ แต่ปฏิบัตินะ มันยาก”

ฉันตระหนักดีว่าสิ่งที่หมู่เมธพูดถึงนั้น คือเรื่องอะไร... ฉันอาจจะคิดง่าย ๆ เองว่า ถ้าเราพยายามชี้แนะสิ่งดี ๆ ให้แก่เขาด้วยการทุ่มเทมากขนาดไหนก็ตาม หากใจเขาไม่เปิดรับสิ่งที่เรามอบให้ มันก็จบลงแค่นั้น

“ผมจะพยายาม ก็คงต้องลองดูสักตั้งละครับ”

“สู้ต่อไป ใช่ไหมวะ?” มันหัวเราะออกมาจนได้ “ยังไงคืนนี้ กูต้องขอบใจมึงที่ออกไปเป็นเพื่อน แล้วก็ต้องขอโทษที่ต้องทำให้มึงเจ็บตัววะ”

“โอย เรื่องเล็กครับ อย่าซีเรียส” ฉันโบกมือห้าม

“เออ กูลืมไป ว่ามึงเก่ง!” มันดันแขวะตอบ “ทีนี้ ไอ้คนเก่งของเรา จะบอกเพื่อน ๆ น้องใหม่ และครูฝึกฯ ทั้งหลายว่าอย่างไร ถ้าเขาเห็นมึงในสภาพนี้ในวันพรุ่งนี้วะ?”

ฉันอมยิ้ม ไม่ตอบคำถามนั้น บางอย่างก็ปล่อยให้มันรอลุ้นคำตอบบ้างสิวะ... !?!?

.................................



Create Date : 29 กรกฎาคม 2555
Last Update : 29 กรกฎาคม 2555 21:00:13 น.
Counter : 1225 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
กรกฏาคม 2555

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
30
31
 
 
All Blog