jimkong
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




jimkong อ่านว่า จิ้มก้อง
เป็นชื่อ [อดีต] ป้าหมาแก่ที่บ้าน
ไทยหลังอาน ใจโหด หน้าเหี้ยม
ฉลาด ดื้อ และน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
26 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jimkong's blog to your web]
Links
 

 

2007BkkFilm : 07-25 : Havana, The New Art of Making Ruins

ดูหนังไป 3 เรื่อง
Havana: The New Art of Making Ruins / Black Gold /Okinawa Animation


Havana: The New Art of Making Ruins :
สารคดีเกี่ยวกับฮาวาน่า ที่พาเราไปดูเมืองและความเป็นอยู่ของฮาวาน่าในวันนี้ผ่านสายตาชาวฮาวาน่าเอง วันที่ทั้งเมืองเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง เหมือนเพียงแค่อยู่ไปวันๆ รอวันที่จะถล่มลงมา ในขณะที่วันวานของฮาวาน่าเต็มไปด้วยความรุ่งเรือง ปัจจุบันความรุ่งเรืองงดงามดังกล่าวยังปรากฏร่องรอยอยู่ทั่วไป...สถาปัตยกรรมแบบยุโรป (บาโร้ก?) ที่สวยจนแทบลืมหายใจ สีสันสดใสของเมือง...จุดเริ่มต้นของความเสื่อมโทรมคือเมื่อทหารเข้ามาคุมประเทศ ฟิเดล คาสโตร ขึ้นเป็นใหญ่

เราได้เห็นชีวิตของผู้คนที่อาศัย “อยู่ใน” ซากปรักหักเหล่านั้น ชายวัยกลางคนที่อาศัยอยู่ในโรงละครร้างสุดอลังการในอดีต ที่ปัจจุบันเหลือแต่โครง, สาวอดีตนักเต้นซึ่งเคยเป็นภรรยาของเศรษฐี ที่อาศัยอยู่ในห้องโทรมๆ ผนังสีน้ำเงินโทรมๆ สวยสด, โตติโก้ ชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมบรรดาสาธารณูปโภค-สาธารณูปการของตึกทีตัวเองพักอาศัย, ชายชราขาพิการอันเป็นผลมาจากสงครามครั้งนั้น กับบ้าน ครอบครัว และชีวิตที่เปลี่ยนไป, นักเขียนฝีปากกล้าที่พูดได้ตรงประเด็นเสียจนเราเป็นห่วงความปลอดภัย

เมืองที่เป็นสุดยอดแห่งซากปรักหักพังคือกรุงโรม แต่ชีวิตของชาวโรม่าไม่ได้ต่อเนื่องกับอดีต เพียงอาศัยร่วมกันเท่านั้น แต่ที่นี่...ฮาวาน่า...ทุกคนยังอาศัยอยู่ในอดีตที่นับวันจะผุพังสลายไป ไม่มีการบูรณะซ่อมแซมแม้ว่ามันจะเป็นมรดกโลกก็ตาม ทุกคนเพิกเฉยกับการปรับปรุง รัฐไม่ใส่ใจ คิดว่าการซ่อมจุดเล็กๆ ไม่ได้มีผลอะไร แต่นี่แหละคือจุดสำคัญเพราะหากเริ่มจากจุดเล็กใกล้ตัวแล้ว ในที่สุดก็จะถึงภาพรวมของระบบได้

หนังใช้ภาพและเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ภาพสวยบาดตา ภาษาภาพก็สุดแสนจะสะเทือนใจ ฮาวาน่าเป็นหนังเรื่องแรกของเทศกาลปีนี้ที่ทำเราร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย (อันนี้ส่วนตัวนิดนึง เพราะหนังประกอบด้วยของที่จี๊ดใจเราทั้งนั้น ทั้งภาพ เสียง เพลง และเรื่องราวแบบนี้ เรียกว่าโดนกันถึงตายเลยทีเดียว)

ตอนจบมี Q&A ผู้กำกับ คุณ Florian Borchmeyer ซึ่งเป็นชาวเยอรมันแต่เคยไปอยู่ที่ฮาวาน่าจนผูกพันพอที่จะรู้สึกอยากเล่าเรื่องนี้ออกมา

เก็บความมาแบบพอประมาณละกัน...ภาษาอังกฤษอิฉันไม่ค่อยแข็งแรงจ้ะ

Q: คุณนักเขียนคนนั้น ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง (เพราะพี่แกช่างกล้าพูดเหลือเกิน)
A: ก็ยังอยู่ที่คิวบา (เราว่าในหนังเขาออกเสียงคล้ายๆ กูบา นะ) นั่นแหละ เขาตีพิมพ์งานที่คิวบาไม่ได้แต่มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ (มั้ง) เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงคนนึงเลย งานของเขาได้รางวัลหลายรางวัลจากต่างประเทศ แต่ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศไปรับรางวัลได้

Q: หลังจากถ่ายทำหนังเรื่องนี้แล้วได้กลับไปคิวบาอีกมั้ย
A: ไปไม่ได้ครับ คือ...ผมถูกขึ้น Black List ไว้ คงอีกนานกว่าจะกลับไปได้อีก

Q: ได้เจอ/ติดต่อกับบรรดาคนในเรื่องอีกมั้ย
A: ไม่ครับ ผมพยายามที่จะไม่สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพวกเขา (กลัวว่าจะ bias มั้ง ฟังไม่ถนัดแฮะ) ผมแค่ถ่ายหนัง แต่ล่าสุดเมื่อวานผมเพิ่งได้เมล์จากเพื่อนว่า ตึกที่ไปถ่ายน่ะถูกปิดไปแล้ว (หนังออกฉายเมื่อเดือนมีนาคม 2007 ช่วงถ่ายทำคงไม่เกินปีก่อนหน้านั้น – อิฉันเดาเอง) เพราะบางส่วนมันถล่มลงมา ส่วนคนที่อยู่ในตึกก็ไม่รู้ย้ายไปอยู่ที่ไหน ติดต่อไม่ได้ครับ

Q: คนที่ถูกถ่ายทำในเรื่องเนี่ย ไปหามาจากไหน รู้จักกันได้ยังไง
A: ก็มีคนรู้จักช่วยแนะนำมาครับ แต่คุณผู้ชายสูงอายุนั่นรู้จักกันอยู่แล้ว เป็นคนรู้จักของคนรู้จักผมอีกทีครับ พอดีกับว่าเขามีลักษณะและเรื่องราวที่น่าสนใจ มีบ้านเดี่ยวเป็นส่วนตัวด้วย คือบางสถานที่เนี่ย เราก็ขออนุญาตถ่ายทำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นบ้านพักส่วนตัวนี่ก็มีอิสระได้เต็มที่ ส่วนคุณผู้หญิงอดีตนักเต้นนั่นได้มาโดยบังเอิญ เพราะว่าตอนนั้นผมต้องการภาพโรงละครจากมุมสูง ซึ่งต้องถ่ายจากสักชั้น 8-9 ของตึก แล้วมันก็มีตึกที่ใช้ได้จำกัดเพราะตึกจำนวนหนึ่งมันพังจนขึ้นไปไม่ได้แล้ว บางตึกก็เป็นสถานที่ที่เขาไม่อนุญาตให้ใช้ พอดีว่าตรงห้องนี้ มุมนี้มันได้พอดี แล้วพอได้คุยกับคุณผู้หญิงเจ้าของห้องก็พบว่าเธอน่าสนใจ

Q: มีเมืองไทยนี่ก็มีเหตุการณ์คล้ายๆ กันเกิดขึ้น (หมายถึงกรณีแฟลตดินแดง) คุณน่าจะลองทำหนังเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง
A: ผมแทบไม่รู้จักเมืองไทยเลย แน่นอนผมเห็นว่ากรุงเทพเป็นเมืองที่น่ารัก และอาจได้กลับมาอีกในสักสิบปี แต่ที่ผมเลือกทำหนังเกี่ยวกับฮาวาน่าเพราะผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานพอดูด้วยครับ คือผมรู้จักที่นั่นน่ะ
(อันนี้อิฉันนึกอยู่ในใจว่า เอาแฟลตดินแดงไปเปรียบเทียบกะฮาวาน่ามันดูคนละประเด็น คนละชั้นยังไงไม่รู้ คือเราคิดว่าที่ฮาวาน่า แม้มันจะผุพังเสื่อมโทรมใกล้ตาย แต่มันคือสถาปัตยกรรมและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์นะฮะ มันมีคุณค่าน่ะ แฟลตดินแดงอาจได้เรื่องประวัติศาสตร์ แต่ด้านคุณค่าทางสถาปัตยกรรมนี่ยังน่าสงสัยอยู่ มันไม่มีประเด็นชัดเจนเข้มข้นขนาดนั้น)

Q: หนังของคุณทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมั้ย อยากจะบอกใครว่าอะไรมั้ย (ประมาณนี้ ฟังไม่ถนัด เสียงเบามาก)
A: ไม่ละครับ คือผมแค่ทำหนัง ไม่ได้มาเพื่อให้การศึกษาใคร หรือจะสามารถไปบอกให้ใครทำอะไรได้ อีกอย่างรัฐไม่คิดจะทำอะไรอยู่แล้วด้วย มันเป็นอย่างที่คุณนักเขียนพูด/เขียนไว้นั่นแหละ แต่อาจจะพูดได้ว่ามันไม่ได้มีผลกระทบกับคน 99% ของประเทศเลย เพราะเขาไม่อ่านหนังสือกันไงครับ (เลยไม่รับรู้ อยู่ไปเรื่อยๆ – อิฉันสรุปเอาเอง)

Q: โรงละคร Campoamor ในเรื่องนี้เป็นโรงละครเดียวกับในเรื่อง Before Night Fall หรือเปล่า
A: ไม่ใช่โรงเดียวกันครับ ในฮาวาน่ามีโรงละครหลายแห่งครับ

ได้เท่านี้เองล่ะ จำได้แค่นี้ แต่มีเกร็ดแถมอีกนิด เพราะดันนั่งติดกับคนที่คาดว่าน่าจะเป็นทีมงานของเรื่องนี้ คือเขาคุยกันตอนหนังฉายน่ะ (คุณผู้หญิงข้างหน้าหันมาส่งสายตาด่าอยู่หลายที) เล่าให้คุณผู้หญิงที่มาด้วยฟังว่าตอนนี้ๆๆๆ มันเป็นยังไง (เปิดเผยเนื้อหานะจ๊ะ) อย่างเช่น

โตติโก้ชอบเลี้ยงสัตว์มาก มีสัตว์สารพัดชนิดอยู่ในห้อง ทั้งนกพิราบ งู จระเข้ เหยี่ยว นกฮูก ฯลฯ วันๆ ขลุกอยู่แต่กับสัตว์พวกนี้ กลับถึงบ้านปุ๊บก็ขึ้นดาดฟ้าไปตั้งแต่เวลาเลิกงานคือบ่ายสามยันสองทุ่ม เมียของโตติโก้ทนไม่ได้เลยยื่นคำขาดด้วยความมั่นใจว่า จะเลือกสัตว์พวกนั้นหรือเลือกฉัน?!? ปรากฏว่าคำตอบทำให้เธอเสีย self อย่างแรงเพราะโตติโก้บอกว่า animals 5555 ทีนี้พอถึงฉากหนึ่งที่เป็น โตติโก้ เมีย และลูกชาย คุณผู้หญิงที่นั่งข้างๆ เราก็ถามว่าตกลงความสัมพันธ์ของคู่นี้โอเคมั้ยเนี่ย คำตอบคือโอเค เค้ารักกันจะตาย เมียเค้ากัดๆ ไปอย่างงั้นแหละ

โตติโก้แบกของหน้าตาคล้ายยางรถยนต์เดินไป เราก็สงสัยอยู่ว่าอะไรวะ แล้วพอฉากถัดไปมันก็ไปลอยอยู่ในทะเลแล้ว ยังขำอยู่ว่า เออ...เขาใช้ยางรถยนต์เล่นน้ำเหมือนบ้านเราเลยแฮะ ก็พอดีว่าได้ยินจากข้างๆ ว่าเขาไป fishing กันตะหากไม่ใช่เล่นน้ำหรอก แล้วฉากถัดมามันก็กำลังตกปลาจริงๆ เจ๋งว่ะ ตกปลาได้กิ๊บเก๋มากๆ

เรารักหนังเรื่องนี้จัง
ดูแล้วสัมผัสได้ด้วยว่าคนทำ เขาทำเรื่องนี้ด้วยหัวใจนะฮะ
ดูแล้วอยากไปเห็นฮาวาน่าด้วยตาตัวเอง : )




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2550
5 comments
Last Update : 26 กรกฎาคม 2550 1:19:21 น.
Counter : 1263 Pageviews.

 

อยากไปดูเรื่องนี้จัง แต่ว่าวันเสาร์เวลามันตรงกับ dream อยากดู ดรีมมากมายเลยอะครับ

 

โดย: MelmO IP: 125.27.29.236 26 กรกฎาคม 2550 2:29:34 น.  

 

ตามสำเนียงแบบสเปน Cuba ต้องอ่านว่า "กูบา" ครับ
และกรุง Havana ก็จะออกเสียงว่า "อาบ๊าน่า" (คือเน้นเสียงที่พยางค์ va)
(ซึ่งในภาษาสเปนก็เรียกซิการ์ว่า Habana ซะด้วยสิ เจ๋งซะไม่มี)

ผมอ่านแล้วก็นึกถึงรัฐบาลตาลีบันในอัฟกานิสถาน ที่เขาทำลายพระพุทธรูปยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปเมื่อ 5-6 ปีก่อน นะครับ
ตรรกะของผู้นำสองประเทศนี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่แฮะ...


ปล. ใครช่างกล้าเอาแฟลตดินแดงมาเทียบ... คือผมยังไม่เห็นตึกในหนังหรอกนะครับ แต่ผมว่าแฟลตดินแดงน่ะทุบๆไปเถอะครับ เหล็กโครงตึกสนิมกัดจนมันจะขาดจากกันอยู่แล้ว T T

 

โดย: nanoguy 26 กรกฎาคม 2550 4:44:47 น.  

 

เพิ่งรู้ตัวอีกทีว่ามันมีเทศกาลหนัง...มัวเเต่ทำงานอยู่เช้าจรดเย็นไม่มีวันหยุดเลย
มันใกล้จะหมดเเล้วรึยังคะ เผื่อจะเก็บตกดูช่วงท้ายๆ

 

โดย: This road is mine 26 กรกฎาคม 2550 5:02:58 น.  

 

--- แงๆ อดดู

 

โดย: เหมียวหล่อ IP: 125.25.202.29 26 กรกฎาคม 2550 10:39:57 น.  

 

คุณ nanoguy : เรารู้สึกว่านอกจากรัฐจะไม่ใส่ใจแล้ว คนของเขาก็ชาชินกับสภาพแบบนั้นด้วย อย่างแฟลตมันมีนู่น นี่ นั่น พังเต็มไปหมด ก็ไม่มีใคร (นอกจากโตติโก้) จะคิดซ่อมหรือทำอะไร เหมือนธุระไม่ใช่น่ะ ท่อน้ำทิ้งไหลนอง ท่อส้วมแตกไม่มีที่ระบาย ฯลฯ แต่อย่าว่าแต่แฟลตเลย...ห้องพักของแต่ละคนเขายังแทบไม่ทำอะไรกันเลยล่ะ ดูแล้วเราเสียดายจริงๆ คืออาคารมันสวยไปทุกองค์ประกอบ สวยทุกตึกเลยนะ อย่างนึงที่คุณนักเขียนพูดในเรื่องคือ "เขา" ไม่ซ่อมหรอก ปล่อยให้พังแหละดี จะได้สร้างโรงแรมหรูๆ แพงๆ แทนไง T_T

คุณ This road is mine เทศกาลยังมีฉายหนังถึงวันเสาร์ค่ะ ยังทันๆๆๆๆ

 

โดย: jimkong 26 กรกฎาคม 2550 10:48:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.