|
ตอนที่๓
ตอนที่๓ ภวาวดีที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์อ่านพบข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ประสบความสำเร็จและกำลังเป็นที่สนใจของผู้คนในวงสังคม
นักข่าวคนหนึ่งทราบข่าวจากผู้ไม่ประสงค์จะออกนามว่าพบเห็นโจนาธาน ทายาทหนุ่มของตระกูลแลนด์ดอล์ฟเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากตกบันไดเพราะเกิดอาการ 'วูบ' และคนในบ้านต่างก็ช่วยกันปิดข่าวเงียบ
หล่อนมองรูปของแหล่งข่าวที่ลงประกอบเนื้อข่าว โจนาธานสวมชุดสูทอย่างดีและเป็นภาพที่พบเห็นได้จากสื่อสิ่งพิมพ์ชนิดอื่น หล่อนคาดเดาว่านักข่าวคงไม่ทันเก็บรูปของเขาเพราะแหล่งข่าวที่อาจเป็นคนทำงานในโรงพยาบาลบอกอย่างกะทันหัน ข่าวของเขาจึงปรากฏอยู่ในมุมหนึ่งที่คนระดับ 'ไฮโซ' มักปรากฏพร้อมเนื้อข่าวสั้นๆ หากนักข่าวตามเก็บภาพทันก็คงจะตามสัมภาษณ์ชนิดเกาะติดไม่ยอมปล่อยเป็นแน่และคงจะเป็นความยุ่งยากที่น่าหนักใจสำหรับเขา หญิงสาวอดทอดถอนใจไม่ได้ ต่อให้เป็นตัวหล่อนที่ต้องเผชิญหน้ากับนักข่าว หล่อนก็ต้องรู้สึกอย่างเดียวกัน
สณาจิณห์ที่เพิ่งเดินออกจากห้องครัวหลังนำภาชนะเปล่าสองใบที่เคยมีอาหารมื้อกลางวันไปแช่ในอ่างสำหรับล้างก็แลเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นของเพื่อนสาว หล่อนก็เอ่ยปากถาม
"เป็นไรน่ะวดี คิ้วผูกเกือบเป็นโบว์"
"ข่าวของนักธุรกิจชื่อดังทำให้ฉันลองวาดภาพตัวเองถูกนักข่าวล้อมหน้าล้อมหลัง แค่นึกก็เกินบรรยาย"
"จะนึกทำไม ใช่ตัวเธอที่ไหนเล่า" คนพูดยิ้มอย่างขบขัน
"ว่าแต่ใครที่เป็นข่าว" สณาจิณห์ถามต่อ
ยังไม่ทันที่เพื่อนสนิทจะยื่นส่งหนังสือพิมพ์ให้คนถาม ลูกค้าสาวสามคนก็เดินเข้ามาในร้าน 'แม่หมอ' จดจำได้ก็เปิดยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับลูกค้าของหล่อน
"เรามาให้คุณซันทำนายค่ะ" หนึ่งในสามสาวบอกกล่าว
สณาจิณห์ยังคงยุ่งอยู่กับการพยากรณ์ให้ลูกค้าที่มีมาตลอดช่วงบ่ายจนลืมเรื่องภาพข่าวของนักธุรกิจหนุ่มที่ภวาวดีคิดจะหยิบยื่นให้หล่อนดูเสียสนิทและไม่อาจทราบได้ว่าเหตุในอนาคตจะเป็นเช่นไร
คนที่ตกเป็นข่าวโดยไม่รู้ตัวกระทั่งอาของเขานำสื่อสิ่งพิมพ์เข้ามาในห้องทำงานก็อ่านข่าวของตนด้วยสีหน้าเรียบเฉยเพราะคนอย่างเขาไม่คิดที่จะเต้นตามข่าวแม้แต่น้อย ตราบใดที่สื่อมวลชนไม่ทำให้เขาเดือดร้อน หรือได้รับผลกระทบอื่นใด และพอโจนาธานอ่านข่าวจบ เอริคก็พูดขรึมๆ
"มีคนบางคนเปิดเผยเรื่องของหลาน"
"เป็นธรรมดาครับคุณอาเพราะผมนามสกุลแลนด์ดอล์ฟ อีกอย่างผมก็รู้สึกชินกับการต้องตกเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ทั้งข่าวเล็กข่าวใหญ่ ถ้าจะให้ผมมัวใส่ใจกับข่าว วันๆก็ไม่ต้องทำอะไรพอดี" โจนาธานยักไหล่อย่างไร้ความกังวล
"โจน่ามีความคิดเป็นของตัวเองสมกับเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ใจกว้าง"
"คุณอาเล่นยอผม ผมก็เหลิงสิครับ"
"คนที่คิดจะเลียแข้งเลียขาหลานคงต้องคิดใหม่"
"ครับ ผมเน้นที่คุณภาพของคนทำงาน" เขายอมรับง่ายๆ
"พนักงานบางคนในบริษัทถึงไม่ค่อยชอบหลาน" อาของเขาพูดเข้าประเด็น
"ผมทราบ ผมมองว่าเป็นเรื่องหยุมหยิมครับคุณอา ถ้าเขาอยากอยู่ก็อยู่ ไม่พอใจอยู่ก็ออก ผมไม่เคยบังคับใคร แต่อย่าให้เสียเรื่องงาน เมื่อไหร่ที่กระทบถึงงานผมก็ให้ออก" ชายหนุ่มบอกด้วยสุ้มเสียงเรียบเรื่อย
"เธอจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานเกินไปหรือเปล่า"
"งานกับจิลเป็นชีวิตของผม" ท่าทางของคนพูดบ่งบอกอย่างจริงจัง
"อย่าลืมเรื่องแฟน หลานต้องมีทายาทสืบสกุล"
"ผู้หญิงที่ผมเจอก็มักจะสนใจแต่นามสกุลของผม พวกเธอหวังจับผมเต็มที่"
"คำสอนของอาทำให้หลานกลายเป็นผู้ชายที่มองผู้หญิงในแง่ร้ายหรือ"
"เปล่าครับ ผมวัดจากประสบการณ์"
"โจน่า ผู้หญิงที่ดีก็มี หลานต้องพยายามตัดอคติออก"
"ผมว่าอคติทำให้ผมรอบคอบและฉลาดทันพวกเธอ"
"หลานอาก็เลยทำตัวเฉยชาใส่" ผู้มีวัยมากกว่าพูดเป็นเชิงถาม
"ครับ และคนที่จะตัดสินจริงๆก็คือจิล ถ้าเขายอมรับใคร ผมก็ยอมรับคนนั้น คนที่จะเป็นภรรยาผมต้องรักจิลเหมือนที่ผมรัก"
"เข้าทำนอง LoveMeLoveMyBrother"
"ผมห่วงน้อง"
"อาเข้าใจ และอาก็เคารพความคิดและการตัดสินใจของหลาน แต่
จงจำไว้ว่าบางทีการมองพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้ผู้หญิงดีๆหลุดมืออย่างน่าเสียใจ
คนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือหลาน ฉะนั้น หลานต้องมองให้ลึกซึ้งและตรองให้ดี"
"ผมจะจำไว้ครับ"
"อาไปทำงานต่อล่ะ"
ชายหนุ่มเพียงยิ้มรับน้อยๆ อาของเขาพร่ำบอกเสมอเรื่องการคบหาเพศตรงข้าม เพราะใครจะรู้ว่าพวกผู้หญิงต้องการสิ่งใดจากเขา โดยเฉพาะเขาผู้เป็นทายาทของตระกูล โจนาธานจึงสร้างเกราะป้องกันแต่เนิ่นๆเพื่อปกป้องตนและน้องชาย เขามักจะทำตัวเย็นชากับผู้หญิงที่เข้ามาติดพัน ถ้าเจ้าหล่อนคิดหวังสิ่งอื่น ต่อให้หล่อนทนตามติดเขานานขนาดไหนก็ต้องเกิดความย่อท้อ สุดท้ายก็จะเป็นฝ่ายถอยหนี เจอร์ราล์ดมีส่วนกับการเลือกว่าที่ภรรยาในอนาคตอย่างมาก และผู้หญิงคนนั้นต้องยอมรับน้องชายของเขาอย่างปราศจากความคิดรังเกียจเดียดฉันท์ แม้เจ้าหล่อนจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นเห็นใจระคนเอ็นดูเจอร์ราล์ด จะอย่างไรคนเราก็ต้องแสดงธาตุแท้ออกมาในสักวัน ยิ่งเจอพายุอารมณ์ของน้องชายเขา หล่อนก็ย่อมจะเปิดเผยตัวตนออกมาได้ง่ายขึ้น และเท่าที่มีผู้หญิงมากหน้าหลายตามาติดพัน โจนาธานก็ยังมองไม่เห็น 'ตัวจริง' ที่คู่ควรกับการใช้นามสกุลของเขาแม้สักคน
เจอร์ราล์ดนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องนอนของเขา เขารู้ว่าพี่ชายหวังดีเรื่องการศึกษา และเกริ่นเรื่องการจ้างครูสอนพิเศษที่บ้าน แต่เขาเป็นฝ่ายปฏิเสธ ในเมื่อตระหนักรู้ว่าตนต้องใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในกรงทอง ก็ย่อมจะไม่มีความจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ให้มาก ข้ออ้างอีกประการคือการเรียนที่เคร่งเครียดจะทำให้เขาเกิดอาการปวดศีรษะทั้งที่หัวสมองของเขาก็จัดอยู่ในเกณฑ์ดี พี่ชายเพียงบ่นเสียดาย หากก็ยินยอมตามใจเขาขนาดทุ่มเทเวลาว่างสอนหนังสือแบบสบายๆด้วยตัวเองให้จนเขาอ่านออกเขียนได้
ส่วนเรื่องเพศตรงข้ามที่อยากเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเขา เขาก็รู้และเต็มใจช่วยพี่ชายคัดเลือกหญิงสาวผู้โชคดีด้วยเขาเป็นคนที่ไวต่อความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นซึ่งอาจเป็นสิ่งชดเชยสำหรับความพิการทางร่างกายท่อนล่างที่เป็นแต่กำเนิด
บางทีชีวิตก็เป็นอะไรที่เข้าใจยาก ทว่าเขาก็รู้ถึงความต้องการของตนเป็นอย่างดี เด็กหนุ่มระบายยิ้มอ่อนๆด้วยดวงตาเป็นประกายประหลาดล้ำลึกขณะสายตาของเขาจดจ้องอยู่กับหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนจะขยับเมาส์แล้วค่อยๆกดคลิคเป้าหมายด้วยจิตใจที่เย็นเยือกเพื่อให้ตัวจอมเวทในเกมฆ่าสัตว์ประหลาดทีละตัวๆ
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นช่วงบ่ายแก่ๆ เจ้าของห้องเพียงเหลือบตามองก็เห็นคนรับใช้ชายที่มีอายุไล่เลี่ยกับพี่ชายของเขาเดินเข้ามาพร้อมถาดใส่จานของว่างในมือข้างหนึ่ง
"วางไว้บนโต๊ะ เดี๋ยวผมทานเอง" สุ้มเสียงเรียบเรื่อยบอก ไม่เชิงว่าเห็นแก่ความมีอาวุโสของอีกฝ่ายเท่าใดนัก หากรักษาไว้ซึ่งมารยาทอย่างที่พี่ชายเคยสอนเสียมากกว่า และใครๆต่างก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่เอาใจยาก ยกเว้นพี่ชายคนเดียวที่เขาจะยอมอ่อนข้อให้ในบางกรณี
"ครับคุณจิล" ชายหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย ใครก็ตามที่ขึ้นมารับใช้ทายาทคนเล็กของตระกูลก็ย่อมจะรู้สึกร้อนๆหนาวๆทั้งเกรงทั้งหวาดเพราะเกิดทำอะไรไม่ถูกใจคุณเจอร์ราล์ดก็มีหวังโดนเล่นงานอย่างสาหัสสากรรจ์ ฉะนั้น พอเขาจัดวางจานของว่างลงบนโต๊ะเสร็จก็ตั้งท่าจะผละหนีจากเด็กหนุ่ม แต่เจ้าของห้องรั้งตัวคนรับใช้ชายไว้ทันด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดผิดวัย
"อย่าเพิ่งไป!"
ชายหนุ่มชะงักงันด้วยใบหน้าถอดสี
ล้อเข็นของเจอร์ราล์ดเคลื่อนหยุดอยู่ข้างโต๊ะอีกตัวที่วางอยู่ข้างเตียง ก่อนใช้มีดตัดแบ่งครึ่งขนมทรงลูกบาศก์ชิ้นเล็กๆที่สอดไส้ครีมเหมือนพนักงานตรวจสอบ และทุกชิ้นก็ผ่าน ทว่ายังเหลืออยู่อีกชิ้นหนึ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มโวยวายเสียงดังลั่นห้อง
"ไส้กาแฟของพี่โจน่าปนได้ยังไง ดูดีหรือเปล่า"
"ผะ
ผม
มีหน้าที่ยกขึ้นมา
เท่านั้นครับคุณจิล" คนรับใช้ชายละล่ำละลักตอบ
"เรียกคนจัดของว่างมา" สุ้มเสียงกระด้างออกคำสั่ง
คนรับคำสั่งก็ลนลานปฏิบัติตาม
ครู่เดียวหญิงวัยกลางคนที่มีสีหน้าซีดเผือดก็ยืนอยู่หน้าห้อง หล่อนมองเห็นสีหน้าบึ้งตึงของคุณเจอร์ราล์ดที่ทำให้หล่อนยิ่งรู้สึกใจเสีย ฤทธิ์เดชของทายาทคนเล็กเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนมาแล้วจึงไม่มีใครอยากตกเป็นที่รองรับอารมณ์ของเด็กหนุ่ม หล่อนเดินเข่าและนั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย
"ดิฉัน
ขอโทษค่ะคุณจิล ดิฉัน
สะเพร่า
ไปหน่อย" หล่อนแก้ตัวอย่างอึกอัก แม้เรื่องเล็กน้อย คุณเจอร์ราล์ดก็สามารถระเบิดอารมณ์อย่างง่ายดาย
"ไม่ต้องแก้ตัว งานแค่นี้ยังสะเพร่า งานอื่นจะขนาดไหน" เด็กหนุ่มกล่าวหา มือข้างหนึ่งปัดจานใส่ขนมโดยแรง จานก็กระเด็นและตกแตกต่อหน้าต่อตา
เพล้ง!
"ว้าย!" หล่อนส่งเสียงร้องด้วยความตระหนกอย่างคนขวัญอ่อนระคนประสาทเสีย
"เปลี่ยนให้ผมเร็วๆ" เขาเร่งเร้าเสียงห้วน
"ค่ะๆ" หล่อนบอกด้วยน้ำตาคลอเบ้า
ของว่างชุดใหม่ถูกนำมาวางบนโต๊ะให้เจ้าของห้องเป็นรอบที่สองโดยคนรับใช้หญิงคนเดิม
"ตัดดูไส้ข้างในให้ผมด้วย"
มือที่สั่นเทาของหล่อนค่อยๆตัดผ่ากลางชิ้นขนม คนมองนึกรำคาญก็ตวาดใส่
"อย่าชักช้า!"
หล่อนอยากไปให้พ้นจากเด็กหนุ่ม แต่จำต้องทำหน้าที่ของตนจนกว่าจะเป็นที่พอใจของเขา และคราวนี้เป็นขนมไส้ครีมทั้งหมด เจอร์ราล์ดสั่งให้หล่อนทำความสะอาดห้องให้เขาก่อนไล่ส่ง
"ออกไปไป๊"
ไม่ต้องรอให้เขาไล่ซ้ำสอง คนรับใช้หญิงพลันถลันออกจากห้องของอีกฝ่ายอย่างรีบเร่งโดยมีดวงตาฉายแววดุดันมองอยู่เบื้องหลัง โจนาธานรับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากคุณแม่บ้านที่นั่งกับพื้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม อันที่จริงเขารับรู้เรื่องพวกนี้จนเบื่อจะฟัง ในฐานะของผู้ปกครองบ้าน ควรอยู่หรือที่เขาจะหลีกเลี่ยงหรือเพิกเฉยต่อการรับฟังเสียงร้องทุกข์ของลูกบ้าน
"ดีที่เป็นคนเก่าแก่อยู่กับเรามาแต่รุ่นพ่อแม่เขา และเขาก็ทนอยู่กับเราต่อไปได้ ถ้าเป็นคนอื่นคงออกไปแล้วล่ะค่ะคุณโจน่า"
"ป้าก็รู้ ผมเคยเตือนเรื่องอารมณ์ของจิลออกบ่อย จะเปลี่ยนกันคงยากเพราะเขาเป็นของเขามาตั้งนาน อย่างเดียวที่ผมต้องพูดซ้ำซากคือเราควรให้ความเข้าใจเขา"
"ขนาดจิตแพทย์ยังขยาดจิล เธอก็น่าจะปลงๆ" เอริคพูดติดตลก
"พวกเราทนกันมานานเหมือนกัน ความอดทนของคนเราก็มีขีดจำกัดค่ะ ป้าอยากแค่ให้คุณโจน่าลองพูดกับคุณจิลดู เผื่อคุณจิลจะลดอารมณ์ที่รุนแรงลงบ้าง"
"ผมไม่รับรองผล" โจนาธานบอกขรึมๆ
"ก็ยังดีค่ะ ดีกว่าปล่อยให้คุณจิลฟาดหัวฟาดหางกับคนใช้" คุณแม่บ้านพูดประชด
ค่ำวันเดียวกันเอริคก็ปล่อยให้สองพี่น้องพูดจากันตามประสาภายในห้องนั่งเล่น ตัวเขาเอาใจช่วยหลานชายคนโตอยู่ที่บ้านเพราะเรื่องทำนองนี้ต้องให้สองพี่น้องพูดคุยกันเองจึงจะได้ผลมากกว่า
"จิล คุณแม่บ้านบอกพี่เรื่องที่นายอาละวาดใส่คนใช้อื่น" โจนาธานเอ่ยเข้าประเด็น
"เขาเรียกฟ้องครับ" เจอร์ราล์ดแย้ง
"พี่อยากขอร้องนาย ขอให้พยายามเก็บอารมณ์เหมือนตอนที่อารมณ์ของนายปรกติ"
คนฟังมีสีหน้าปั้นยาก
"พี่ก็รู้ว่ามันเป็นธรรมชาติของผม" น้องชายแก้ตัว
"พี่เข้าใจว่าตัวนายเป็นยังไง แต่
พี่อยากให้นายมองข้ามเรื่องไม่เป็นเรื่อง อภัยได้ก็อภัย ลดดีกรีอารมณ์"
"ผมจะพยายาม" น้องชายทอดถอนใจ
พี่ชายก็บีบไหล่ทั้งสองข้างของเจอร์ราล์ดเป็นเชิงให้กำลังใจ
"พี่ไม่เคยหวังให้นายทำได้ พี่หวังให้นายพยายาม" น้ำเสียงอ่อนโยนบอกชัดเจน
"ครับพี่" เขารับคำด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
สองอาทิตย์ที่ผ่านพ้นไปธัชรัตน์พงศ์ยังคงระลึกนึกถึงแผนการอันแยบยลที่จะหลอกล่อให้โจนาธานไปพบ 'แม่หมอ' อยู่เสมอ ทว่าโอกาสที่จะพบตัวเพื่อนสนิทกลับเป็นเรื่องยาก เพราะจากการสอบถามหาเวลาว่างเป็นส่วนตัวโดยใช้ข้ออ้างว่าอยากพาไปรู้จักกับคู่หมั้นก็ดูเหมือนฝ่ายหลังจะเป็นคนที่งานรัดตัวเหลือเกิน และเวลาอีกส่วนก็ใช้ไปกับการดูแลน้องชาย วันหยุดโจนาธานก็ยังทำงานบางส่วนอยู่กับบ้านพร้อมๆกับการใช้เวลาใกล้ชิดกับเจอร์ราล์ด
แต่คนอย่างธัชรัตน์พงศ์ลองคิดจะทำอะไรก็ต้องทำให้ถึงที่สุด เขาตัดสินใจใช้โทรศัพท์ของบริษัทติดต่อกับเจ้าตัวโดยตรง
"อาทิตย์นี้หรือ ขอดูตารางงานก่อน" พูดจบปลายสายก็เงียบเป็นครู่
"ว่างวันพุธ"
"ค่อยยังชั่วที่นายมีเวลาหายใจหายคอกับเขา" ธัชรัตน์พงศ์เย้าแหย่
"ปรกตินายเห็นฉันหายใจเข้าออกเป็นอะไร"
"งานกับจิลไง" คนตอบไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ
"ต่อให้ฉันว่างอย่างที่บอก ฉันก็ต้องรีบกลับไปอยู่กับจิล"
"ฉันรู้น่าว่านายติดน้อง ฉันไม่ถ่วงนายแน่ พอรู้จักกับวดีละนายจะกลับก็ตามใจ"
เสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีราวกับอยู่ใกล้ๆ
"ฉันจะทำน่าเกลียดอย่างที่นายพูดก็กระไรอยู่ เอาเป็นว่าฉันจะอยู่สักพักนึง เห็นสมควรฉันก็จะกลับ"
"ตกลงตามนั้น ห้าโมงเย็นวันพุธเจอกันที่ห้าง
" คนพูดเอ่ยชื่อห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งตามด้วยชื่อร้านอาหารที่คนรักของเขาเป็นเจ้าของ
"โอเค"
"ห้ามเบี้ยว" ธัชรัตน์พงศ์กำชับ
"เออ" ปลายสายรับคำเสียงหนักๆ
คนที่วางหูโทรศัพท์กับแป้นก็ยิ้มพรายที่โจนาธานยอมเดินลงหลุมพรางของเขา
"หึๆ ขอเซอร์ไพร้ส์ทั้งโจน่าทั้งวดีกับแม่หมอสักที" เขาปรารภอย่างนึกสนุก
ธัชรัตน์พงศ์เป็นฝ่ายรอเพื่อนสนิทอยู่ก่อน เขาบอกภวาวดีว่านัดแขกพิเศษและอยากให้หล่อนเตรียมอาหารที่ขึ้นชื่อของร้านเพื่อต้อนรับแขกคนที่ว่า สณาจิณห์ก็มองเขาด้วยสายตามีคำถามพอๆกับเพื่อนสาว
"เจอตัวก็รู้" เขาบอกสองสาวง่ายๆ
โจนาธานเป็นคนที่ตรงต่อเวลานัดหมาย เขาปรากฏตัวที่หน้าร้านและคนรอก็ลุกยืนพร้อมกับโบกมือให้ ผู้มาใหม่ก้าวย่างเข้ามาภายในร้านด้วยมาดของนักธุรกิจเต็มตัว ภวาวดีลุกขึ้นพลางสะกิดคนเป็นเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ พอหล่อนเหลียวมองก็เห็นสณาจิณห์ที่ผุดลุกจ้องมองชายหนุ่มลูกครึ่งด้วยอาการตกตะลึง
ใบหน้าคมสัน คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ดวงตามีสีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับเรือนผมที่ยาวประบ่า ริมฝีปากสีเรื่ออย่างคนมีสุขภาพดี ร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดสูทราคาแพง ทุกท่วงท่าบ่งบอกความเชื่อมั่นและความเป็นผู้นำอย่างเด่นชัด เป็นความประทับใจแรกพบของ 'แม่หมอ' ที่มีต่อหนุ่มลูกครึ่งผู้นี้ และสัญญาณอย่างหนึ่งที่ทำให้หล่อนมั่นใจกับคำพยากรณ์ของตนก็คือกระแสบางอย่างที่ราวกับแม่เหล็กดึงดูดระหว่างหล่อนกับเขา
โจนาธานมองภวาวดีแบบเลยผ่าน หากสายตาสะดุดหยุดลงที่หญิงสาวร่างบางอีกคน เขารู้สึกแปลกๆและเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจหาคำอธิบาย
เป้าสายตายิ้มน้อยๆติดจะขวยเขิน รอยยิ้มของหล่อนเป็นรอยยิ้มที่น่ามอง และสะกดทั้งสายตาทั้งหัวใจของผู้พบเห็นยิ่งนัก เขารำพึงกับตนเองและยิ้มตอบขณะเดินมาหยุดที่โต๊ะ
"ภวาวดีคู่หมั้นฉัน กับสณาจิณห์เพื่อนกัน สาวๆ
เพื่อนผมชื่อโจนาธาน แลนด์ดอล์ฟ"
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ" ชายหนุ่มลูกครึ่งยิ้มกว้างเห็นฟันซี่ขาวเรียงสวย
"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ" สองสาวประสานเสียง
"เชิญนั่งค่ะ" ภวาวดีพูดต่อ
"วดีเคยเห็นคุณในหน้านิตยสารกับหนังสือพิมพ์บ่อยค่ะ แต่โก้ก็ไม่เคยบอกวดีว่าเป็นเพื่อนกับคุณ"
"ถ้าผมบอก วดีอาจไม่เชื่อ ผมต้องรอให้หาโอกาสลากตัวโจน่าได้ถึงค่อยบอก" ธัชรัตน์พงศ์แก้ตัว
"นี่แน่ะสาวๆ โจน่าน่ะมุงานกับคอยเอาใจใส่น้องชายจนแทบจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น งานสังคมยังให้อาไปแทน นอกจากงานสำคัญจริงๆ ขนาดผมยังไม่ค่อยได้เจอตัว เพิ่งจะมีโอกาสลากตัวมาก็วันนี้" เขาพูดต่ออย่างเจตนาเปลี่ยนเรื่อง
โจนาธานเพียงหัวเราะน้อยๆ
"โก้เขาพูดจริงหรือคะ" สณาจิณห์หาโอกาสพูดคุยกับโจนาธาน
"จริงครับคุณสณาจิณห์"
"เรียกซันก็ได้ค่ะ"
"ครับคุณซัน คุณวดีกับคุณก็ต้องเรียกผมว่าโจน่าเหมือนโก้เพื่อความเสมอภาค"
ภวาวดีลอบสังเกตเพื่อนสาวของหล่อนที่ดวงตาเป็นประกายและยิ้มหน้าบานอย่างรู้เท่าทัน
"วดีจัดอาหารอร่อยๆหลายอย่าง ลองทานนะโจน่า" ธัชรัตน์พงศ์เอ่ย
"ผมจะทานหมดไหมครับเนี่ย" โจนาธานหัวเราะในคำ
"ลองชิมอย่างละนิดละหน่อยค่ะ" สณาจิณห์คะยั้นคะยอ
ระหว่างทานอาหารคนทั้งหมดก็สนทนาปราศรัยอย่างสนุกสนาน โดยมากภวาวดีจะเปิดโอกาสให้เพื่อนสนิทและหล่อนก็ขยิบตาให้คนรัก เขาเป็นคนหัวไวก็เข้าใจทันที
"ซัน โจน่าบ่นให้ฉันฟังว่าหมู่นี้เจอแต่เรื่องเจ็บตัว ล่าสุดก็ตกบันได เธอพอจะช่วยโจน่าได้ไหม" ธัชรัตน์พงศ์ถามด้วยความหวังดี
ชายหนุ่มลูกครึ่งหันขวับมองหน้าสณาจิณห์ ความทรงจำอย่างหนึ่งผุดขึ้นในหัว
"โก้ คุณซันเป็นหมอดูที่นายเคยบอกใช่หรือเปล่า" คนถามนิ่วหน้า
"ใช่ และฉันก็รับประกันความแม่นยำด้วยไง"
โจนาธานมองหญิงสาวอย่างประเมินแกมวิเคราะห์ อายุอานามของหล่อนยังน้อย ประสบการณ์จะมากน้อยแค่ไหน และรอยยิ้มของหล่อนกระมังที่ช่วยชักจูงใจลูกค้า
"ซันเคยทำนายให้พวกคุณหญิงและใครต่อใครหลายคน มีแต่คนบอกว่าคำทำนายของซันแม่นกันทั้งนั้นค่ะคุณโจน่า" ภวาวดีช่วยพูด
สณาจิณห์เห็นสายตาที่ราวกับสื่อถึงถ้อยคำปรามาสของเขา หล่อนก็นึกฉุนทำให้ความอยากอาหารถูกบั่นทอนกว่าครึ่งรวมทั้งความชื่นชมและความพึงพอใจกับรูปร่างหน้าตาของเขา หล่อนอยากให้ลูกค้าของหล่อนที่เป็นที่รู้จัก ใครสักคนที่จะช่วยยืนยันความแม่นยำของหล่อนปรากฏตัวอย่างบังเอิญเหมือนละครโทรทัศน์ที่หล่อนเคยดู และสิ่งที่หล่อนนึกคิดก็ปรากฏเป็นผลเมื่อภวาวดีเอ่ยขึ้นว่า
"ซัน คุณหญิงจิตรากับคุณอรจิมา"
"ขอตัวค่ะ" พูดจบสณาจิณห์ก็ลุกเดินไปหาคนทั้งสอง
"หนูซันขา ป้าทำตามที่หนูซันบอกทุกอย่าง รู้ไหมคะ สามีของป้าอาการดีวันดีคืนทันตา ป้ากับลูกๆก็เบาใจด้วย คำทำนายของหนูอย่างกับตาเห็นเชียว ป้าตั้งใจมาขอบใจหนู" หล่อนตั้งท่าจะล้วงหยิบซองสีขาวในกระเป๋าใบโต
'แม่หมอ' ก็เอ่ยขัด
"เก็บไว้ทำบุญทำทานดีกว่าค่ะคุณหญิง ซันขอรับแค่น้ำใจที่คุณหญิงตั้งใจมาหาก็พอค่ะ"
คุณหญิงจิตรามองหน้าหลานสาวอย่างขอคำปรึกษา อรจิมาก็พยักหน้าเป็นเชิงให้ป้าของหล่อนทำตามความต้องการของสณาจิณห์
"หนูซันเป็นคนดีนะคะ หมอดูบางคนเสียอีกที่เรียกร้องเงินทอง" ผู้มากวัยออกปากชมชื่น 'แม่หมอ' จากใจจริง
"ซันมีครูและยึดถือจรรยาบรรณค่ะ"
คำพูดทุกคำของคุณหญิงจิตรากับ 'แม่หมอ' รู้ถึงหูของคนอีกสามคน ภวาวดีก็รีบเรียกคะแนนให้คนเป็นเพื่อน
"เห็นไหมคะคุณโจน่าว่าซันทำนายแม่น อย่างรายนั้น
คุณหญิงจิตรา วดีว่าคุณโจน่าก็คงจะรู้จัก"
เขายอมรับว่ารู้จักชื่อเสียงเรียงนามของคุณหญิงจิตรา ทว่าสีหน้าของเขาก็ยังคงบ่งบอกความคลางแคลงใจ เพื่อนสนิทจึงเอ่ยลอยๆว่า
"ถ้ายึดหลักวิทยาศาสตร์ก็ต้องมีการพิสูจน์"
คนฟังเลิกคิ้วสูงและตกลงใจจะพิสูจน์คำพยากรณ์ของสณาจิณห์เหมือนคนที่อยากของลองโดยทั่วไป
Create Date : 13 มิถุนายน 2550 |
Last Update : 13 มิถุนายน 2550 12:45:29 น. |
|
0 comments
|
Counter : 318 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|