เหตุผล 5 ประการว่าทำไมไม่ควรซื้อรถยนต์ไฮบริด
เป็นอีกแง่มุมหนึ่งที่ควรรับทราบไว้ โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ
เหตุผล 5 ประการว่าทำไมไม่ควรซื้อรถยนต์ไฮบริด
คุณไม่ได้อ่านชื่อเรื่องนี้ผิดหรอก :
เหตุผล 5 ประการที่ไม่ควรซื้อ รถยนต์ไฮบริด
-- คุณอาจจะคิดว่าพวกเราคงบ้าไปแล้ว?
แน่นอนคุณอาจจะคิดถูกก็ได้ เราอาจจะบ้าไปแล้วจริงๆ พวกเราไม่รู้รึว่า ดาราฮอลีวูด ลีโอนาโด ดิคาปริโอ้ (Leonardo DiCaprio) และ สาวซ่า เคมิรอน ดิเอส (Cameron Diaz)ทั้งคู่ก็ใช้รถไฮบริดท์เช่นกัน
นั้นเป็นข้อยืนยันที่ดีที่คุณจะซื้อมาใช้สักคันไม่ใช่รึ ?
อย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ว่านั้นคือเหตุผลดีพอหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ รถยนต์ไฮบริด ก็ไม่ใช่ยานพาหะสำหรับทุกคน.........
ยังไม่ใช่ในตอนนี้
แม้ว่ารถยนต์ไฮบริด จะเข้าสู่ตลาดยานยนต์ตั้งแต่ปลายปี 1990 แล้วก็ตาม แต่ก้ยังมีเหตุผลอีกหลายประการที่จะต้องคิดให้รอบครอบก่อนที่ทุกท่านจะตัดสินใจซื้อมาใช้งาน หลายท่านอาจจะให้เหตุผลในการซื้อรถไฮบริดมาใช้งานว่าเป็นเพราะมันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือทำให้ไม่ต้องแวะที่สถานีบริการเพื่อเติมน้ำมันทุกๆวัน หรือคุณได้รู้สึกดีๆที่ได้ช่วยโลก แต่เหตุผลเหล่านี้จะใช้ไม่ได้ในระยะยาว ลองอ่าน เหตุผล 5 ข้อนี้ของเรา ที่สนับสนุนว่าไม่ควรซื้อรถไฮบริดในขณะนี้ แล้วดูซิว่าคุณจะเปลี่ยนใจรึไม่ 5 : ต้นทุนครั้งแรกที่สูงมาก อุปสรรคแรกของผู้ที่สนใจที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์ไฮบริดก็คือมันมีราคาเริ่มต้นที่สูงกว่ารถยนต์ปกติมาก ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากเทคโนโลยีใหม่ของเครื่องยนต์ที่ประหยัดพลังงานนั้นเอง และแม้ว่ารถยนต์บางรุ่นจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในเรื่องภาษีแล้วก็ตาม เช่นรุ่นยอดนิยมทั้งจาก Toyota และ Honda แล้วก็ตาม แต่ราคาของมันก็ยังไม่ใช่สำหรับทุกคน 2010 Ford Escape $20,515 2010 Ford Escape Hybrid Ford Escape Hybrid 2010 $ 31,500 2009 Honda Civic Sedan Honda Civic Sedan 2009 $ 15,505 2009 Honda Civic Hybrid Honda Civic Hybrid 2009 $ 21,605 2009 Chevy Malibu Chevy Malibu 2009 $ 23,650 2009 Chevy Malibu Hybrid Chevy Malibu Hybrid 2009 $ 25,555 4 : ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ตามมา ส่วนใหญ่เจ้าของรถไฮบริด จะคิดว่าราคารถที่สูงชดเชยได้จากรายจ่ายที่น้อยลงจากการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง แต่การที่จะไปถึงจุดคุ้มทุนได้ อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่ทุกคนคิด
อาจต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าที่คิดในการเปรียบเทียบความคุ้มค่าที่ได้รับจากการประหยัดน้ำมันของรถไฮบริด เมื่อราคาน้ำมันขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการ ในปี 2008 หลายคนก็ออกมาคำนวณความคุ้มค่าของการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฮบริด แต่ในความเป็นจริงเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น รถยนต์ไฮบริดสามารถสร้างความคุ้มค่าได้ในระยะเวลาเพียงสองปี -- เช่นในกรณีของ Toyota Camry Hybrid แต่เมื่อคุณกำลังพูดถึงกรณีของ Lexus LS600h (ที่มีราคาอยู่ที่ตัวเลขหกหลัก)แล้วละก็ แม้ราคาน้ำมันจะค่อนข้างต่ำก็จะต้องใช้เวลา 102.6 ปีเพื่อให้เห็นข้อแตกต่างได้เมื่อเทียบกับ รถรุ่น LS460L ที่ใช้เครื่องยนต์ปกติ และหากราคาน้ำมันลดลงมากกว่านี้ ระยะเวลาที่ใช้ก็จะยาวนานมากขึ้นอีก
3 : ดีเซลสะอาดกับระยะทางที่ได้มากขึ้น
เครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กสไตล์ยุโรปใช้น้ำมัน ดีเซลสะอาด ในรถยนต์ขนาดเล็กได้รับความสนใจมากขึ้นในตลาดสหรัฐ ทั้งนี้มีเหตุผลมาจาก ในอดีตเครื่องยนต์ดีเซลมี ชื่อเสียงแย่ๆในเรื่องสิ่งที่เหลือจากการเผาไหม้เช่นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และเขมาที่สกปรก แต่ปัจจุบันจากการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Mercedes - Benz ได้พัฒนาระบบ BlueTec และ จากกฏหมายในเรื่องการจำกัดปริมาณอนุภาคที่เกิดจากการเผาไหม้ของ ของรัฐบาลกลาง และเมื่อคิดถึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ดีเซลที่อาจจะใกล้เคียงกับรถยนต์ไฮบริดบางรุ่นด้วยแล้ว มันย่อมเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมากกว่ารถยนต์ไฮบริด เปรียบเทียบอัตราการใช้เชื้อเพลิงของรถยนต์แต่ละแบบ ---------------------------------------------------------------------------- Toyota Prius Hybrid : 51 ไมล์/แกนลอน ในเขตเมือง/48 ไมล์/แกนลอน นอกเมือง Honda Insight Hybrid Honda Insight Hybrid : 40 ไมล์/แกนลอน ในเขตเมือง/43 ไมล์/แกนลอน นอกเมือง Volkswagen Jetta TDI diesel Jetta TDI : 30 ไมล์/แกนลอน ในเขตเมือง/41 ไมล์/แกนลอน นอกเมือง BMW 335d diesel BMW 335d ดีเซล : 23 ไมล์/แกนลอน ในเขตเมือง/36 ไมล์/แกนลอน นอกเมือง Ford Fusion Hy brid Ford Fusion Hybrid : 41 ไมล์/แกนลอน ในเขตเมือง/36 ไมล์/แกนลอน นอกเมือง Toyota Camry Hybrid Toyota Camry Hybrid : 33 ไมล์/แกนลอน ในเขตเมือง/34 ไมล์/แกนลอน นอกเมือง 2.ประหยัดน้ำมันหรือไม่ขึ้นอยู่กับรูปแบบการขับขี่ด้วย สไตล์การเดินทางประจำวันของคนเราควรจะเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งเมื่อคิดจะเป็นเจ้าของรถยนต์ไฮบริดซักคัน จากตารางเปรียบเทียบตัวเลขด้านบน จะเห็นว่ารถยนต์ไฮบริดทำระยะทางได้ดีกว่าในการขับขี่ในเขตเมือง มากกว่าบนทางหลวง ทั้งนี้เนื่องจากการใช้ความเร็วที่ต่ำกว่าปกติ (ประมาณ 40 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 64.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งรถไฮบริดสามารถวิ่งได้โดยใช้พลังงานเฉพาะจากมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้นได้ อีก ทั้งเมื่อหยุดหรือติด ไฟแดง เครื่องยนต์สามารถหยุดทำงานโดยสมบูรณ์ได้ และจะเริ่มทำงานใหม่อีกครั้งเมื่อรถต้องการกำลังเพิ่มขึ้น ถ้าการขับขี่ในเมืองด้วยความเร็วต่ำ และ ต้องจอดที่ไฟแดงบ่อยๆ เป็นส่วนสำคัญในการขับขี่ในแต่ละของวันของคุณ รถยนต์ไฮบริดอาจจะได้คะแนนไปสำหรับคุณ แต่หากการขับขี่ของคุณเป็นแบบระยะทางไกล และใช้ความเร็วสูงแบบคงที่แล้วละก็ เครื่องยนต์ น้ำมันเบนซินและ รถยนต์ดีเซลอาจ จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า 1.ระบบความสะดวกสบายที่หายไป เมื่อคุณจ่ายเงินเมพิเศษสำหรับรถยนต์ไฮบริด คุณได้จ่ายมันไปจริงๆเพื่อ เทคโนโลยี ที่ช่วยให้สามารถทำระยะทางในการขับขี่ที่มากขึ้น ในเวลาเดียวกันปล่อยฝุ่นละอองในอากาศน้อยกว่ารถมาตรฐานทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับการที่คุณจ่ายเพิ่มให้กับรถยนต์เบนซินทั่วไปคุณได้รับของแถมพิเศษกลับมาเพียบ ของแถมที่ว่านี้ได้แก่ ระบบนำทาง(GPS) , ช่องเสียบอุปกรณ์ MP3, เบาะที่นั่งแบบปรับอุณหภูมิได้ ที่นั่งเบาะหนังสุดหรู ที่ไม่ได้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานกับรถรุ่นปกติ ในขณะที่เรื่องเหล่านี้ในรถยนต์ไฮบริดจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นกว่าราคาปกติทั้งนั้น นอกจากนี้ รถยนต์ไฮบริดยังให้ความรู้สึกในการขับขี่แตกต่างไปจากรถยนต์ปกติที่เราคุ้นเคยมาหลายทศวรรษ อย่างหนึ่งที่เห็นได้คือ การที่รถยนต์ไฮบริดใช้ยาง ซึ่งมีขนาดเล็กลง ทำให้รู้สึกแปลกไปเมื่อขับขี่บนท้องถนน อีกทั้งระบบหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ (the idle-stop technology) ที่ผู้ขับขี่รู้สึกได้ยังให้สัมผัสที่แปลกๆอีกด้วย และในท้ายที่สุด รถยนต์ไฮบริด ก็ยังไม่นับว่าเป็นรถที่มีประสิทธิภาพ เพียงแค่ เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและ ปล่อยไอเสียต่ำ และเป็นรถเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยเท่านั้น หากพูดถึงการทำความเร็วและอัตราเร่งสูงสุดแล้วยังต้องพัฒนารถยนต์ไฮบริดนี้อีกหลายชั้นทีเดียว ที่มา //www.trans.rtaf.mi.th/index.php?option=com_content&view=article&id=30&Itemid=8
Create Date : 24 กรกฎาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 24 กรกฎาคม 2555 12:11:33 น. |
Counter : 1205 Pageviews. |
|
|
|