" มีความเสี่ยงที่ไม่เคยพบมาก่อนเกิดขึ้น"
วงสัมมนาเปิดประเด็นหัวด้วยโต้โผใหญ่ในการจัดงาน นายสุรงค์ บุลกุล ประธานชมรมบริหารความเสี่ยง สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ. ปตท. ซึ่งกล่าวให้ความเห็นอย่างน่าสนใจว่า ความจริงเรื่องของความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้จัก และคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพียงแต่ในระยะหลังที่ผ่านมามีความเสี่ยงที่ไม่คุ้นเคย และไม่เคยพบมาก่อนเกิดขึ้น ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบจึงมีความจำเป็นอย่างมากในการช่วยพิจารณาในการกำหนดทิศทางในการดำเนินงาน ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงนี้เศรษฐกิจยุโรปมีปัญหาที่ค่อนข้างมีนัยที่สำคัญมาก ซึ่งแต่ละองค์กรจะต้องมองแนวโน้ม รวมถึงการฟื้นตัวว่าจะเป็นอย่างไร
สุรงค์ชี้ว่าวิกฤติยูโรส่งผลต่อการทำธุรกิจในประเทศไทย เพราะระบบการเงินการธนาคารของโลกเป็นระบบที่เชื่อมต่อกัน เพราะฉะนั้นการไม่ฟื้นตัว(เศรษฐกิจ) หรือการทรงตัวของยุโรปจะมีผลกระทบทางด้านการเงินการคลังของภูมิภาคเอเชียด้วย เนื่องจากประเทศไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออก
"หากจะพูดง่ายๆก็คงเปรียบเสมือนว่าบริษัทคือรถยนต์ โดยระบบบัญชีการเงินเป็นระบบที่จะตรวจสอบสภาพของรถ ความสามารถสมรรถนะของรถ ซึ่งดูพื้นฐานจากข้อมูลในอดีต ส่วนเรื่องการพยากรณ์หรือการทำยุทธศาสตร์ และเรื่องการวางแผน เป็นหน้าที่ของสายกลยุทธ์ที่จะต้องดำเนินการ ขณะที่การบริหารความเสี่ยงก็คือเครื่องกำหนดว่า อัตราเร่งหรืออัตราความเร็วที่ธุรกิจจะเดินต่อไปมีอะไรบ้าง เพราะฉะนั้น การบริหารความเสี่ยงก็จะมีความจำเป็นในการดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคต และจะมีมากยิ่งขึ้นเนื่องจากความเสี่ยงจะเกิดขึ้นจากหลากหลายมิติ" สุรงค์กล่าวตอนหนึ่ง
- "ยึดติดมากเกินไปก็เป็นความเสี่ยง "
ด้านทางฝั่งขององค์กรที่มีหน้าที่สำคัญในการกำหนดนโยบายการเงินของประเทศอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)โดยนายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า การประเมินความเสี่ยงที่รัดกุมรอบคอบจำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของความตระหนัก ที่นับวันความเสี่ยงและวิกฤติเศรษฐกิจจะมีบ่อยขึ้นและรุนแรงมากขึ้น มีความซับซ้อนของปัญหาในหลายมิติที่เชื่อมโยงถึงกัน โดยในบางครั้งมองว่าเรายึดติดกับโมเดลในอดีตมากเกินไป ทำให้มีการคาดการณ์ที่ไม่ตรงนัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช่ว่าสิ่งดังกล่าวเหล่านั้นจะไม่จำเป็น เพียงแต่อย่าให้หลงงมงายในสูตรคณิตศาสตร์หรือสถิติที่ผ่านมามากเกินไปเท่านั้น เพราะทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วตามยุคสมัย สำหรับการดำเนินนโยบายในโลกที่มีความผันผวน และเชื่อมโยงกันสูงเช่นนี้ เรื่องของหลักการทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Model) ก็สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสามัญสำนึก
"การที่เราหวังพึ่งหลักการทางคณิตศาสตร์มากเกินไป หรือยึดติดมากจนเกินไปก็เป็นความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากสูตรไม่สามารถครอบคลุมความเสี่ยงทุกอย่างได้หมด" ผู้บริหารจากแบงก์ชาติระบุและกล่าวต่อว่า ในยุคโลกาภิวัตน์ที่มีคอมพิวเตอร์ที่สามารถคำนวณสูตรต่างๆที่ซับซ้อนได้นั้น ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าจะสามารถพยากรณ์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตได้ แต่ผลเสียที่ตามมาก็คือความเชื่อมั่นที่มากเกินไป คิดว่ามีระบบที่ดีแล้วจนทำให้วางใจในการจัดการความเสี่ยง ซึ่งหากไม่ใช้สามัญสำนึกก็จะกลายเป็นความเสี่ยงที่อันตรายอย่างยิ่ง
บทเรียนที่สำคัญที่สุดของวิกฤติที่ผ่านมา(วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์และวิกฤติยูโร) ก็คืออย่าไปเชื่อโมเดลมากนัก เพราะโลกไม่ใช่สิ่งที่คาดเดาง่ายอีกต่อไป พยายามอย่าว่าจ้างผู้อื่นทำการบริหารความเสี่ยงให้
ประเด็นที่สำคัญก็คือต้องไม่ลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้ไม่มีความชำนาญ อย่าหวังพึ่งพิงทางการมากเกินไป ซึ่งภาคธุรกิจจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับวิกฤติ พร้อมรับเหตุการณที่ไม่คาดคิดด้วยตนเอง "เวลาที่อันตรายมากที่สุดก็คือเวลาที่ภาครัฐบอกว่าเอาอยู่ ดังนั้นขอให้ท่านรีบกลับไปทำการบ้านของท่านเองว่าท่านต้องเอาอยู่ด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่าให้คนอื่นเอาอยู่ให้ท่าน หรือจะกล่าวโดยสรุปก็คือจะต้องช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด" นายไพบูลย์กล่าว
- ประเทศไทยขาดความคิด
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ลงทุนน้อย โดยเฉพาะเรื่องของการวิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนเพียงแค่ 0.2% ของจีดีพี(ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) เท่านั้นทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งเทียบไม่ได้กับประเทศเกาหลีที่มีการลงทุนด้านดังกล่าวถึง 3%ของจีดีพี โดยการที่ไทยขาดการลงทุนในเรื่อง R&D และการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบอย่างมองการณ์ไกลจะส่งผลให้ไทยหายสาบสูญไปจากตลาดได้ในที่สุด ซึ่งความแตกต่างของการพัฒนานั้น หัวใจหลักสำคัญก็คือการลงทุนที่ถูกต้องอย่างเหมาะสม
นายไพบูลย์สรุปส่งท้ายว่า ประเทศไทยไม่ได้ขาดเงิน แต่อาจจะขาดความคิด เขาติงการนำเสนอข่าวสาร เรื่องดอกเบี้ยหรือค่าเงินสูงต่ำเกินไป เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะสาระสำคัญอยู่ที่เรื่องภาคเศรษฐกิจ ภาคการเงินเป็นแค่ภาพลวงตา ใจความสำคัญอยู่ที่นักธุรกิจที่จะลงทุนเพิ่มศักยภาพของประเทศ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน หรือเพิ่มทักษะแรงงาน ส่วนรัฐบาลก็มีหน้าที่ว่าจะทำอย่างไรให้ระบบการศึกษาเจริญ เพื่อช่วยให้เยาวชนฉลาดขึ้น และคิดเองได้มากขึ้น
- "กระจายความเสี่ยงไม่ให้กระจุกตัว"
ด้านนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบาไทยแลนด์ จำกัด เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงภาพใหญ่ด้วยการชี้ว่า ปัจจุบันต้องให้ความสำคัญ R&D ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยยังอยู่ในสายตาของนักลงทุน เนื่องจากทุกวันนี้จะมีประเทศเกิดใหม่เกิดขึ้น ทั้งพม่า และเวียดนาม ซึ่งแรงงานได้รับอนิสงส์ขององค์ความรู้จากประเทศไทยไปมาก เพราะฉะนั้นเราจะต้องสร้างคนที่จะสามารถตอบโจทย์ของการเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะอยู่บนโลกนี้ให้ได้ เพราะปัญหาจะมีมามากขึ้นและถี่ขึ้น โดยภาคธุรกิจเองจะต้องตระหนักในเรื่องของการสร้างองค์กร หรือคนในองค์กรให้เก่งเท่าทันความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- "ระมัดระวังความเสี่ยงมากเกินไป ธุรกิจจะไม่เติบโต"
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การบริหารความเสี่ยงที่สำคัญของธนาคารก็คือการกระจายความเสี่ยงออกไปในหลายภาคธุรกิจ โดยไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการระมัดระวังความเสี่ยง และการดำเนินธุรกิจให้สามารถไปด้วยกันได้ ซึ่งหากระมัดระวังความเสี่ยงมากเกินไป ธุรกิจก็จะไม่เติบโต แต่ในมุมกลับกันหากให้ธุรกิจนำหน้าองค์กรก็อาจจะต้องเผชิญความเสี่ยงที่มากเกินไป
"ธุรกิจธนาคารถูกกำหนดให้มีแผนปฏิบัติการฉุกเฉินเพื่อความต่อเนื่องของธุรกิจ สำหรับรองรับเหตุการณ์วิกฤติที่อาจเกิดขึ้นอย่างทันท่วงทีโดยไม่กระทบกับการดำเนินธุรกิจ เพราะธุรกิจธนาคารมีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจมาก ซึ่งหากเกิดปัญหากับธนาคารเดียวก็อาจจะส่งผลกระทบไปทั่วประเทศได้จากการเชื่อมโยงของระบบ"
- "หัวใจของการบริหารความเสี่ยงคือการเตรียมพร้อม"
ขณะที่นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บ้านปู กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนควรที่จะมีการตั้งคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง เพื่อรับมือวิกฤติที่จะเกิดขึ้น โดยการวางแผนรับมือกับความเสี่ยงต่างๆที่จะเกิดขึ้นควรมีทั้งแผนระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งการจัดตั้งคณะกรรมการสามารถจัดตั้งได้ตามความพร้อมของบริษัทในรูปแบบใดก็ได้
หากฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาแล้ว หัวใจสำคัญของการบริหารความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือการเตรียมความพร้อมรับมือต่อสถานการณที่ไม่คาดคิด และการพัฒนาบุคลากรให้มีความเท่าทันโลกยุคโลกาภิวัตน์ นอกจากนี้การลงทุนที่มีศักยภาพของภาครัฐก็จะเป็นส่วนสำคัญให้การผลักดันประเทศให้เดินหน้าต่อไปโดยไม่ตกหล่นจากเวทีโลก
กล่าวโดยสรุปแล้วนักบริหารที่คุ้นเคยกับความเสี่ยงทั้งห้ามองว่า
กุญแจดอกสำคัญในการบริหารความเสี่ยง ต้องพร้อมทั้งข้อมูล สัญชาตญาณ เข้าใจการเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญคือไม่ยึดติดกับความสำเร็จในอดีต หากเข้าถึงในหลักการดังกล่าวความเสี่ยงจะเปลี่ยนเป็นโอกาสทันที