การออกแบบ
สำหรับ Mate 9 รุ่นที่นำมาทดสอบเป็นรุ่นเริ่มต้น สีแชมเปญโกลด์ ตัวเครื่องถูกจัดอยู่ในกลุ่มสมาร์ทโฟนเรือธงเน้นความหรูหราเหนือกว่า P9/P9+ มาพร้อมหน้าจอ IPS LCD ขนาดใหญ่ 5.9 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1080p ความละเอียดพิกเซลหน้าจออยู่ที่ 373 พิกเซลต่อตารางนิ้ว โดยกระจกจอใช้แบบ 2.5D
ส่วนอีก 2 รุ่นที่จะทำตลาดในเดือนมกราคม 2017 ได้แก่ Mate 9 Pro และ Mate 9 Porsche Design จะใช้หน้าจอ Curved Screen (ขอบจอโค้ง) ขนาด 5.5 นิ้ว AMOLED Display พร้อมความละเอียด 2K
กล้องหน้า ปรับปรุงใหม่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ออโต้โฟกัสพร้อมรูรับแสงกว้าง f1.9
ด้านขนาดตัวเครื่อง กว้าง 78.9 มิลลิเมตร สูง 156.9 มิลลิเมตร หนา 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 190 กรัม โดยในรุ่นเริ่มต้นขอบเครื่องจะใช้วัสดุเป็นโลหะ น้ำหนักถูกออกแบบให้กระจายสมดุลทุกส่วน ทำให้เวลาจับถือทำได้ถนัดมือแม้ไม่ได้ใส่เคส
ด้านหลังเป็นโลหะทั้งหมด มาพร้อมกล้องหลังเลนส์คู่ (Dual Lens) LEICA (ไลก้า) รุ่นที่ 2 พัฒนาต่อจาก P9/P9+ พร้อมเลนส์ SUMMARIT-H ระยะ 27 มิลลิเมตร รูรับแสง f2.2
ในส่วนเลนส์คู่ หัวเว่ยแบ่งหน้าที่กันทำงาน โดยเลนส์และเซ็นเซอร์รับภาพตัวแรกจะรับภาพขาว-ดำ (Monochrome) ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ส่วนเลนส์และเซ็นเซอร์ตัวที่สองความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รับภาพสี RGB เมื่อทำงานร่วมกันสามารถถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุด 20 ล้านพิกเซลได้ รวมถึงสามารถทำภาพหน้าชัดหลังเบลอและซูมภาพแบบ Hybrid Zoom ไม่สูญเสียรายละเอียดได้ถึง 2 เท่า รวมถึงรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 4K ด้วย
ถัดจากกล้องหลักไปทางขวามือจะเป็นส่วนระบบออโต้โฟกัส โดยหัวเว่ยปรับไปใช้ Phase/Contrast Detection + Laser Auto Focus และ Depth Auto Focus พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS (Optical image stablization) เรียกได้ว่าเป็นออโต้โฟกัสแบบไฮบริดที่หัวเว่ยพัฒนาใหม่เพื่อ Mate 9 โดยเฉพาะ
ส่วนด้านซ้ายเป็นไฟแฟลช Dual LED แบบทูโทน
ลงมาด้านล่างจะเป็นส่วนเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือที่ถูกปรับปรุงให้อ่านลายนิ้วมือได้รวดเร็วขึ้น
ด้านบน สังเกตจากภาพจะเห็นเป็นรูวงกลมสีดำขนาดเล็ก ส่วนนั้นคือช่องไมโครโฟนรับเสียง สำหรับงานถ่ายวิดีโอ โดยใน Mate 9 จะมาพร้อมไมโครโฟนรับเสียงรอบตัวเครื่อง 4 ตัว และผู้ใช้สามารถเลือกปรับใช้ไมโครโฟนตัวหลัง (Directional microphone) เพื่อรับเสียงสนทนาที่ชัดเจนขึ้นได้
มาถึงช่องเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านล่างของตัวเครื่อง ตรงกลางเป็นพอร์ต USB-C ซ้ายและขวาเป็นส่วนของไมโครโฟนและลำโพง
โดยลำโพงใน Mate 9 จะทำงานร่วมกับลำโพงบริเวณช่องลำโพงโทรศัพท์ ให้เสียง 2 ย่าน โดยลำโพงด้านล่างตัวเครื่องให้เสียงเบส ส่วนลำโพงบริเวณช่องฟังเสียงโทรศัพท์ให้เสียงแหลม และเมื่อใช้งานเครื่องในแนวนอนลำโพงทั้ง 2 สามารถให้เสียงสเตอริโอได้
ด้านบน เป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และพอร์ตอินฟาเรด สามารถเปลี่ยน Mate 9 เป็นรีโมทควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านได้
ด้านซ้าย เป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมและ MicroSD Card ระบบโทรศัพท์รองรับ Nano Sim แบบสองซิม โดยซิมแรกจะรองรับ 4G/3G/2G ส่วนช่องใส่ซิมที่สองรองรับ 2G/3G และต้องใช้ร่วมกับช่องใส่ MicroSD Card รองรับความจุสูงสุด 256GB
ด้านขวา เป็นที่อยู่ของปุ่มเปิดปิดเครื่องและปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง และถ้าสังเกตให้ดี บริเวณขอบเครื่องทั้งซ้ายและขวาจะเป็นที่อยู่ของเสาโทรศัพท์ด้วย
มาดูในส่วนอะแดปเตอร์ชาร์จไฟกันบ้าง ใน Mate 9 หัวเว่ยให้อะแดปเตอร์ชาร์จไฟแบบเร็ว HUAWEI SuperCharge ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 5V 4.5A เพื่อให้การชาร์จไฟเข้าแบตเตอรีขนาดใหญ่ 4,000mAh ทำได้รวดเร็วพร้อมระบบควบคุมแรงดันไฟช่วยให้ปลอดภัย
และจากการทดสอบของทีมงานได้ลองชาร์จไฟผ่านระบบ SuperCharge จาก 7% ถึง 72% จะใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น หลังจากนั้นอะแดปเตอร์จะเริ่มปล่อยไฟน้อยลง กว่าจะชาร์จไฟเต็ม 100% ก็ใช้เวลาอีกพักใหญ่
สุดท้ายในส่วนของแถมก็เป็นไปตามสไตล์หัวเว่ย คือในแพกเกจจะแถมฟิล์มกันรอยหน้าจอและเคสพลาสติกมาให้พร้อมประกัน Huawei Diamond Services ที่มีจุดเด่นในเรื่องบริการใหม่ที่หัวเว่ยจะส่งคนมารับโทรศัพท์ไปซ่อมถึงหน้าบ้านเราและบริการเปลี่ยนจอแตกให้ฟรีใน 3 เดือนแรกหลังซื้อเครื่อง