มิถุนายน 2562

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
[Together Go Farther:] ไปด้วยกัน ไปได้ไกล "เชียงราย-เชียงใหม่ หน้าฝนกับเราสองคน 4วัน 3 คืน PART 1"

 
สวัสดีค่า ตั้งใจอยากจะทำ  blog บันทึกการเดินทางของลัล (โดยส่วนใหญ่ที่บ้านไม่ค่อยชอบเที่ยว พ่อกับแม่จะบ่นว่าเหนื่อย 555 
จะมีทริปได้ก็นานๆที เนื่องจากลัลไม่ได้อาศัยอยู่ในจังหวัดเดียวกับครอบครัวด้วย ทริปส่วนใหญ่ก็จะชวนแฟนไปกันเป็นหลักค่ะ )
แต่เราก็อยากทำเป็นรีวิว ในแต่ละทริปมาแบ่งปันกัน ... ดังนั้น blog นี้ขอเป็นรีวิวแบบรวบยอด
ทริปประจำปีกับแฟนแบบ เชียงราย และเชียงใหม่ 2 ปีซ้อนมาฝากกันค่ะ สถานที่เที่ยวอาจไม่ได้ครอบคลุมทั้งจังหวัดเนื่องจากมีเวลาเก็บน้อย 






เริ่มด้วยปี 2560 : มีเวลาวันหยุดยาวช่วงหน้าฝน ก.ค.  ลางานไปประมาณ 3 วันแต่ได้หยุดเที่ยว ถึง 5 วัน
เอาล่ะ งั้นต้องเที่ยวให้คุ้มสักหน่อย ด้วยการรวมทริป เชียงราย-เชียงใหม่ เมื่อได้มติของเรา 2 คน
ดังนั้น ก็เริ่มวางแผนเที่ยวในครั้งนี้ หารีวิวแหล่งท่องเที่ยว ตามเว็บไซต์เป็นหลักค่ะ แผนเที่ยวของเราในครั้งนี้ คือ 




132 วันที่ 1 :  132

เดินทางออกจากท่าอากาศยานดอนเมือง ด้วยสายการบิน สิงโต (Thai Lion Air) ไฟลท์ 10 โมง มาลงที่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
สภาพอากาศวันนั้นฝนกำลังตกโปรยปรายเลยค่ะ เราจ้างรถเเทคซี่ให้มาส่งเพื่อเอา ของเก็บไว้ที่พัก ตรง ถ.พยาบาล
ใกล้ๆกับเชียงรายไนซ์บาร์ซา 

Le Terrarium Bed & Sleep Chiang Rai  มีที่จอดรถนะคะทั้งรถยนต์และมอเตอไซต์ ราคาคืนละ 890฿
ในวันที่ลัลจอง คือพอไปเห็นสถานที่จริง คุ้มมาก ราคาเท่านี้คือสุด สำหรับความรู้สึก หลับสบายไม่มีเสียงรบกวน
บริเวณรอบๆที่พักก็สะอาดสบายตาแถมมี มุมสวยๆไว้ให้เราถ่ายรูปเพียบ 


 
     

ช่วงบ่ายๆก็ออกไป หารถเช่ากัน แถวๆบริเวณที่เราพัก มีร้านให้เช่ารถค่อนข้างเยอะค่ะ
ตอนแรกกะจะเช่าแค่มอเตอร์ไซต์แต่วันนั้นฝนตกหนักมาก
และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สุดท้ายก็ต้องต้องเลือกเป็นเจ้า Vios สนนราคาอยู่ที่วันละ 900฿ ค่ะ
ทางร้านรับค่าประกันเป็นเงินสดไว้ 1,000 บาทเท่านั้น+บัตรประชาชน เจ้าของเป็นพี่ผู้ชายหน้าตาใจดีหน่อย ท้วมๆ

จุดหมายที่เราจะไปต่อจากการเช่ารถคือ การแวะสักการะพ่อเมืองเชียงราย (อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช) ก่อน
เพื่อเป็นการแสดงซึ่งความเคารพที่เราได้มาเยือนถึงบ้านเมืองท่าน
และขับรถตรงไปตาม ถ.พหลโยธิน มุ่งหน้าสู่ที่หมายแรก คือ "พิพิธภัณฑ์บ้านดำ" ค่ะ
 
บ้านดำ หรือ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ตั้งอยู่ที่ ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย สร้างขึ้นโดย อ.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ
ที่มีฝีมือทางด้าน จิตรกรรม ปฏิมากรรม ได้สร้างงานด้านศิลปะไว้มากมาย ทั้งทางด้านภาพเขียนและด้านปฏิมากรรมหลายชิ้น
ลักษณะ ของ บ้านดำจะเป็นกลุ่มบ้าน ศิลปะแบบล้านนา ทุกหลังทาด้วยสีดำ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “บ้านดำ”
และยังเป็นสีที่ อ. ถวัลย์โปรดปราน อีกด้วย ในบ้านแต่ละหลังจะประดับด้วยไม้แกะสลักที่มีลวดลายงดงาม
นอกจากไม้แกะสลักแล้วยังประดับด้วยเขาสัตว์ เช่น เขาควาย เขากวาง และยังมีกระดูกสัตว์ เช่น กระดูกช้าง เป็นต้น
เปิดให้เข้าชมเข้าชมฟรี ทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น.
 
 








 




























ออกจากบ้านดำ เราก็ไปต่อกันที่ "ไร่ชาฉุยฟง อ.แม่จัน" ค่ะ 
เป็นแหล่งปลูกชาชั้นดีของ บริษัท ฉุยฟงที จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตใบชารายใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงรายมากว่า 40 ปีแล้ว
แน่นอนว่าใครอยากได้ชิมชาคุณภาพดีล่ะก็ต้องมาที่นี่เลย ตามจริง ไร่ชาฉุยฟงนี้เค้ามีด้วยกัน 2 แห่ง
แห่งแรก คือที่ ต.แม่จัน อ.เเม่จัน แห่งนี้ ส่วนแห่งที่ 2 คือตรงบริเวณ บ้านพญาไพร ต.เทอดไทย อ.แม่ฟ้าหลวง

วันนั้นต้องขอบอกว่าช่างเป็นวันที่ฟ้าหม่นจริงๆค่ะ คือพายุฝนฟ้าคะนอง พร้อมจะตั้งเค้าได้ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นสีของท้องฟ้าก็จะไม่ค่อยสวยหน่อย ไร่ชาฉุยฟง นี้พื้นที่กว้างขวางมาก มีขนาดถึง 1,000 ไร่ 
ตั้งอยู่บนเนินเขาปลูกลดหลั่นกันเป็นขั้นบันได แล้วที่นี่ยังมีร้านอาหาร และเครื่องดื่ม เบเกอรี่ ไว้บริการอีกด้วยค่ะ
ซึ่งครั้งนี้ลัลไม่ได้แวะเข้าไปที่คาเฟ่ เพราะไม่ได้เอาร่มมาเลยได้แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการถ่ายรูปบริเวณไร่ชาเป็นหลัก

















 






 
เกือบสี่โมงเย็น ซึ่งเวลานั้นฟ้าค่อนข้างจะมืดเร็วกว่าปกติ จะให้ไปเที่ยวที่ไหนต่อคงได้แค่พวก ตลาดกลางคืน เลยคุยกับแฟนว่า ...
งั้น เราไปหาอะไรกินที่ตลาดโต้รุ่งแม่สายเลยแล้วกัน (นางเป็นคนถึงไหนถึงกันคะ 555 ถ้าคนนึงชวน นางไม่มีคำว่าห้าม )
ได้แนวคิดอย่างงั้นแล้วเราก็ขับรถขึ้นตรงไปตาม ถ.พหลโยธิน มุ่งหน้าสู่ ดินแดนเหนือสุดแห่งสยาม ก่อนเข้าตลาดโต้รุ่ง
แวะสักการะ หลวงพ่อสายรุ้งและพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ที่ "วัดถ้ำผาจม"  กันสักหน่อย 

วัดนี้เป็นวัดที่ได้ฉายาว่าอยู่เหนือสุดแห่งสยามและมีชื่อเสียงในด้านการปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน
เนื่องจากมีการจัดโครงการอบรมธรรมะอยู่เสมอ และด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บนเทือกเขานางนอนที่แวดล้อมด้วยหุบเขา
เมื่อมองลงไปจากวัดนี้จะเห็นวิวภูเขาทอดตัวเป็นรูปโค้งโอบรอบวัดและบ้านเรือนใกล้เคียงเป็นรูปมังกร
ซึ่งถือว่าเป็นทำเลที่ยอดเยี่ยมมากตามหลักฮวงจุ้ย จัดเป็นวัดสมถะ สงบเงียบ
ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ ให้วุ่นวาย และชื่อวัดผาจมนั้นเป็นชื่อของถ้ำที่มีพื้นที่บางส่วนจมอยู่ใต้น้ำแม่สาย 



(รูปภาพจาก https://www.thainorthtour.com/place_detail.php?id=31)

เสน่ห์ ของตลาดแม่สายในยามค่ำคืนคือ ตลาดโต้รุ่งที่ไม่วุ่นวาย ... มีพ่อค้าแม่ขายมาขายของกันหนาตา
ผู้คนค่อนข้างเบาบางแต่ก็แวะเวียนมาไม่ขาดสายค่ะ





132   วันที่ 2 :  132

เช้าวันรุ่งขึ้น แผนของเราในวันนี้คือจะไป วัดร่องขุ่น และตามด้วยไร่ สิงห์ปาร์ค
แต่ก็ต้องสะดุดกับทุกอย่างเพราะฝนตกหนักมากค่ะ ไปได้แค่วัดร่องขุน แต่ไม่สามารถถ่ายรูปได้เลย สุดท้ายเลยต้องกลับมาที่พัก
และเก็บข้าวของ check-out ก่อนที่จะไปขึ้นรถต่อไปยัง เมืองเชียงใหม่ ที่สถานีขนส่ง (ท่าเก่า) ค่ะ

เลือกเดินทางด้วย รถ กรีนบัส รอบ 14.15 น. ชั้น ป.1 ในราคาคนละ 180฿ 
ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 3.30 ชม. ตามเส้นทาง เวียงป่าเป้า-ดอยสะเก็ด เป็นรถโดยสารชั้นเดียวค่ะ

เราสองคนหลับตลอดทาง 555 ตื่นมาอีกทีก็มาถึงยัง สถานีขนส่งอาเขตต์ จ.เชียงใหม่แล้วค่ะ


เช่ามอเตอร์ไซต์ จากร้านแถวๆสถานีขนส่ง เดินทางเข้าที่พักที่เราจองไว้ สำหรับคืนนี้ นั่นคือ
โรงแรม B2 Santitham Wat Jed Yod Boutique & Budget Hotel
เป็นโรงแรมในเครือ B2 ที่ราคาย่อมเยาว์อีกแห่งหนึ่งค่ะ อยู่ตรง ถ. ศิริธร ไม่ใกล้ไม่ไกลจากขนส่ง
แต่ก็ไกลสำหรับใจกลางเมือง เป็นตึกเดี่ยวๆมีทั้งหมด 4 ชั้น ที่จอดรถกว้างขวาง ล๊อบบี้ สะอาด
มีที่นั่งพักคอยสำหรับแขกไว้ได้ค่อนข้างเยอะ พนักงานน่ารักค่ะ อยู่ในช่วงราคาที่เหมาะสม ความปลอดภัยสูง


ตอนนั้นที่ลัลจองไว้ได้ราคามา 438฿ เป็นประเภทห้อง  Deluxe Premier การตกแต่งห้องเป็นสไตล์ LOFT ปูนเปลือย
ตัดกับสีส้ม สัญลักษณ์แห่ง  B2 เค้าค่ะ และวัสดุไม้ที่ผสมผสานได้อย่างลงตัว แต่ลัลไม่ชอบตรงแสงในห้อง
มีแต่ไฟสีส้ม ยิ่งห้องตกแต่งโทนส้มอยู่แล้วยิ่งทำให้ความรู้สึกไม่โล่ง มีความรู้สึกว่าอับและอึมครึมซะงั้น 146 


 


132  วันที่ 3:  132

เช้านี้เรามีแพลนจะขึ้น "วัดพระธาตุดอยสุเทพ "กันก่อน
เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องจากเป็นพระธาตุประจำปีเกิดด้วยความตั้งใจเลยมากเป็นพิเศษ ออกจาก B2 สันติธรรม
 โดยมอเตอร์ไซต์ช่วงเช้าในขณะที่แดดกำลังจ้า (คิดในใจวันนี้อากาศดีมาก ช่างเหมาะแก่การขึ้นดอยเสียจริง)
ขับมาได้สักครู่หนึ่ง ช่วงเวลาที่ผ่านหน้าสวนสัตว์เชียงใหม่กำลังจะขึ้นดอย
 สายฝนกลับโปรยปรายลงมาอีกแล้วค่ะ ความรู้สึกตอนเเว๊นขึ้นดอยสุเทพนั้นแบบ ... ทั้งหนาว ทั้งชุ่มไปด้วยฝน
สุดมากเรา 2 คนเป็นคนใต้ที่ไม่ชอบความหนาวเอาเสียเลย 555+

แต่ใจสู้ค่ะ มีแอบพักระหว่างทางบ้าง ตอนนั้นรู้สึกแค่ว่าระยะทาง 8 กิโลเมตร
จากตีนดอย ถึงวัดพระธาตุนั้น ช่างยาวนานมาก แต่แล้วก็มาถึงจนได้ 

วัดพระธาตุดอยสุเทพ นั้นเป็นหนึ่งในวัดที่มีความสำคัญมากที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1927
 ในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งอาณาจักรล้านนา ตามแบบศิลปะล้านนา มีเจดีย์ทรงเชียงแสน
ฐานสูงย่อมุมระฆังทรงแปดเหลี่ยมปิดด้วยทองจังโก 2 ชั้น ลานเจดีย์เป็นจุดชมทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่
ทางขึ้นเป็นบันไดนาคเจ็ดเศียรก่อปูน เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันคือ พระธรรมเสนาบดี (ธงชัย สุวณณสิริ)




รูปภาพจาก (https://th.wikipedia.org)



อิ่มบุญอิ่มใจกันไป และใครที่ได้มาสักการะพระธาตุดอยสุเทพแล้ว จะไม่เข้าไปเยี่ยมชม

 “พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์” หน่อย ก็คงรู้สึกเหมือนมาไม่ถึง 
พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ใช้เป็นที่ประทับในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับแรม ที่จังหวัดเชียงใหม่
เพื่อทรงงาน และเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตภาคเหนือ รวมทั้งเพื่อรับรองพระราชอาคันตุกะที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยในโอกาสต่างๆ
การที่ทรงเลือกสร้างที่จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากมีอากาศเย็นสบาย ภูมิประเทศสวยงาม
ตัวเรือนมีลักษณะเป็นแผนผังแบบเรือนไทยภาคกลางที่เรียกว่า “เรือนหมู่”
 มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นไทยประเพณีประยุกต์ ก่ออิฐถือปูน ยกพื้นสูงหลังคาทรงไทย ภายในประกอบไปด้วยท้องพระโรง
ห้องเสวย ห้องบรรทม และห้องสรง สำหรับพระราชอาคันตุกะ ตั้งอยู่คนละด้าน มีเฉลียงใหญ่
และพลับพลาหอนกเป็นที่ประทับทอดพระเนตรทัศนียภาพของเมืองเชียงใหม่
และไฮไลท์ที่สำคัญอีกอย่างของที่นี่ คือ หมู่แมกไม้นานาพรรณ ที่พร้อมกันผลิดอกต้อนรับฤดูกาลต่างๆที่ หมุนเปลี่ยนแวะเวียนมา 




















 
ลงจากดอยเรียบร้อยแล้ว นัดกับเจ้าของรถยนต์เช่าไว้ ที่ตรงบริเวณหน้ากาดสวนแก้ว ปรึกษากับทางเจ้าของรถว่า ถ้าเป็นคันเล็กๆจะขึ้น

"ดอยอินทนนท์"  ไหวมั้ย ?
พี่เค้าคอนเฟิร์มว่า ไต่ไปได้สบาย เราเลยตกลงเลือกเป็นน้อง Toyota Yaris ตัวถัง 1.2 ลิตรค่ะ 
ราคาเช่าวันละ 900 บาท ค่าประกันวางเป็นเงินสดไว้ 3,000 บาท+บัตรประชาชน 

ต้องบอกเลยว่าทริปครั้งนี้เหมือนมาหาฝนและลมโดยแท้ ฝนตกหนักตลอดทาง แบบเดินทางมาได้ครึ่งทาง เหมือนจะถอดใจ
เพราะอากาศหนาวมาก ทั้งลมทั้งฝน อีกทั้งยังมีหมอกอีกเพียบ เอาง่ายๆ คือขับรถมาแบบมองไม่เห็นทาง ดีนะวันนั้นไม่ค่อยมีรถสวนเลย 555
ก็แน่ล่ะใครมันจะอยากออกมาเที่ยว เราก็ขับไต่ไปเรื่อยๆแบบ ผลักเกียร์ขึ้นไป D-3 เลย 

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เราสองคนใจสู้ขนาดนี้ 555 ขับรถไปตาม map บอกเปี๊ยบเลย ปักmapไปว่าดอยอินทนนท์จ้าแม่
หนูลืมพิมพ์คำว่าอุทยานด้วยจ้า ยังรู้สึกทะแม่งๆ ว่าเมื่อไหร่จะถึงที่พักสักที
ลัลจองไว้กับทางอุทยานเป็นบ้านพัก ราคา 1200.- / คืนแบบมีเครื่องทำน้้ำอุ่นค่ะ  ขับไปจนถึงกองบังคับการบิน ของกองทัพอากาศ 5555
7

เพิ่งจะมารู้ว่าเลยบ้านพักอุทยานไปแล้ว ก็ตอนเจอพี่ทหารบอกว่ามันเลยมาแล้ว 20 กิโลนะน้อง แบบ... แม่เจ้า จะร้องไห้
ความไม่เคยมาเที่ยวที่นี่ แล้วยังดันไม่ทำการบ้านมาอีก น่าตีมั้ยเซ่อในซื่อค่ะ 555
(ในใจคือไม่ได้จะซีเรียสอะไรมากนะ คนมันเพิ่งเคยไปครั้งแรก ก็ตื่นตาตื่นใจไปหมดคิดว่าเออช่างมันไม่เป็นไร
ถือว่าได้ขึ้นมาเห็นบรรยากาศยอดดอย) 

พี่ทหารอากาศเลยให้แวะเข้าไปอบ Heater ตรงบริเวณป้อมแป๊ปนึง เราคุยกันว่าถ้าอยู่อบHeater นานฝนคงจะตกหนักกว่านี้
เลยตัดสินใจขับรถลงมาจากยอดดอย ก็เจอทางเข้าบ้านพักอุทยานอยู่ทางด้านซ้ายมือค่ะ 

รูปบ้านพัก หรือแม้แต่แม่สายกับพระธาตุดอยสุเทพก่อนหน้านี้ หายไปกับคอมเครื่องเก่า จริงๆรูปทริปพาร์ทนี้หายไปเยอะเหมือนกัน
แอบสมน้ำหน้าตัวเองไม่ยอมเขียนบล็อกให้ไว 55 เปลี่ยนคอมไปแล้วเพิ่งจะมานึกอยากเขียน ต้องขออภัยด้วยนะคะ


เราพักกันที่บ้าน 108 บุษบง ค่ะ มาถึงประมาณ 1 ทุ่ม ตอนนั้นโคตรหิวมาม่าเลยดีนะมีติดรถมาด้วย เรื่องเสบียงคือพร้อมมาก 3 ฮ่าาา
อากาศประมาณ 15 องศา แบบบรรยากาศทั้งชื้น ทั้งเปลี่ยว ขนาดเป็นบ้านพักอุทยานนะ ไม่ใช่ช่วง High Season คือ เงียบมากจ้า!!!
ลัลแปะรูปบ้านพักจาก Google มาฝากกันเผื่อใครจะเก็บไว้เป็นข้อมูลนะคะ





มาพักบ้านแบบนี้ 2 คน จริงๆเหงานะ แถมไม่อุ่นเลยด้วย 555 เพราะบ้านพักกว้างมากอะ
พื้นบ้านอย่างเย็น แนะนำควรมีรองเท้า sleeper ติดกระเป๋ามาด้วยหัวตุ๊กตาได้ยิ่งดี เพราะจะทำให้เท้าอุ่นขึ้นเยอะ

บ้านมี 2 ห้องนอนค่ะ เปิดประตูเข้าไปจะเจอกับเตียงเดี่ยว ขนาด 3.5 ฟุต+ผ้าห่ม
อยู่ในห้องโถงส่วนแรก มีห้องน้ำ+เครื่องทำอุ่นแบบหม้อต้มรุ่นเก่าในตัวนะ
อีกด้านของบ้านก็จะเป็นห้องนอนอีกห้องนึง มีเตียงไว้ให้ 2 เตียง ขนาด 3.5 ฟุตเช่นกันค่ะ







(ที่มา https://nps.dnp.go.th)





ของจริงก็ตามรูปเลย ทางอุทยานฯทำมุ้งลวดกันยุงไว้ให้ด้วย แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย 100% ค่ะ เพราะหากคุณไปพักหน้าฝนแล้ว
คุณจะได้เจอบรรดาเพื่อนๆสัตว์เลื้อนคลาน จิ้งจก ตุ๊กแกอีกจำนวนหนึ่ง 13 


132   วันที่ 4   : 132

ผ่านค่ำคืนนั้นไปแบบทุลักทุเล ตั้งนาฬิกาปลุกไว้จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่บริเวณอ่างกา อ่าจ้าาาา !
สุดท้ายไม่ตื่น ฝนตกหนักมุดตัวอยู่แต่ใต้ผ้าห่มตลอดทั้งคืน กว่าจะลุกได้ก็เกือบ 08.00 น. แล้วก็เปลี่ยนใจไม่ได้ขึ้นไปที่จุดชมวิว
หรือเส้นทางศึกษาธรรมชาติอะไรตามที่วางแผนไว้ทั้งนั้น
เพราะไม่อยากขับรถฝ่าฝนไปอีกแล้ว 555 เลยเก็บของเช็คเอาท์ออกจากบ้านพัก
ทานข้าวเช้าตรงบริเวณร้านอาหารสวัสดิการของอุทยานฯ
กะเพราหมูสับกับข้าวสวยร้อนๆ คือ นิพพาน ณ จุดๆนี้  10


ดีหน่อยตรงเส้นทางดอยอินทนนท์ มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง ตามจริงถ้าไปช่วงที่ฝนไม่ตก
ลัลว่าคุ้มมากเลยนะ แวะอีกหลายจุดได้เพลิดเพลินเลย เวลา 9 โมงกว่า เราขับรถลงดอยมุ่งหน้ามาที่


"หมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ บ้านแม่กลางหลวง" ค่ะ 
หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง ท่ามกลางหุบเขานาขั้นบันได  
เป็นที่อยู่อาศัยของชาวไทยภูเขาชนเผ่าปกาเกอะญอ ยังคงมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย 

ไฮไลท์ของการมาเที่ยวที่นี่คือ การได้ชม บรรยากาศของแม่กลางหลวงในช่วงฤดูทำนา ทุกพื้นที่จะมีสีเขียวขจีไปด้วยนาข้าวขั้นบันได
ที่ปลูกลดหลั่นไปตามไหล่เขา มีสายหมอกเบาๆ  อากาศเย็นสบาย กลิ่นข้าวเขียวบริสุทธิ์ รู้สึกสดชื่นหายใจได้เต็มปอดมากจริงๆค่ะ



























334 ใครอยากได้บรรยากาศแบบตื่นมาเห็นท้องทุ่งนาเขียวขจี อากาศเย็นสบายแอร์บริสุทธิ์จากธรรมชาตินี่
ลัลแนะนำให้ลองมานอนพักแบบบ้านโฮมสเตย์ดูนะคะ ลัลไม่ได้ถามราคามาว่าเค้าเปิดให้บริการในเรทเท่าไหร่บ้าง
เพราะมีหลายเจ้าที่เปิดให้บริการอยู่ อาจจะลองหาข้อมูลตามเว็บไซต์
โดยเสิร์ชคำว่า โฮมสเตย์บ้านแม่กลางหลวง ดูได้เลยนะคะ  334









ดอกอะไรไม่รู้อะ 555 ชาวบ้านเค้าปลูกไว้อย่างสวย








เติมเต็มความชุ่มฉ่ำแบบจัดเต็มกันอีกหนึ่งสถานที่ นั่นคือ "น้ำตก วชิรธาร" 
เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ และมีน้ำไหลตกลงมาในปริมาณที่มาก มีความสวยงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย
น้ำตกวชิรธารอยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ เกิดจากลำห้วยแม่กลาง
ที่มีต้นกำเนิดอยู่บนยอดดอยอินทนนท์ มีหน้าผาสูง ตัวน้ำตกมี 1 ชั้น น้ำเบื้องบนไหลลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง
ด้วยความสูงของน้ำตกถึง 70 เมตร ตรงส่วนนี้คือน้ำแรงมากนะทุกคนลงไปเล่นในแอ่งไม่ได้นะคะ อันตรายมาก
ทางอุทยานฯ จึงทำเป็นสะพานเอาไว้ให้ยืนถ่ายรูป ละคือแบบละอองน้ำทำให้กล้องเปียกได้เลย
แต่เราก็พยายามถ่ายภาพมาได้สำเร็จอิ้ๆ













จบความเขียวขจี สถานที่ต่อไปคือตามรอยรีวิว 555+ ลัลจำไม่ได้แล้วว่าไปเห็นรีวิวใครมา
แล้วแบบ ถ่ายรูปออกมาสวยมาก อยากไปบ้าง ... ดังนั้นก่อนจะกลับกรุงเทพกันในวันนี้
ระหว่างทางเข้าเมือง จึงแวะตาม Map บอก (อีกแล้ว)



มาที่ "แกรนด์แคนยอนหางดง"
ตั้งที่อยู่ที่ ต.น้ำแพร่ อ.หางดง ความเป็นมาจากที่บริเวณนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีการขุดหน้าดินขาย มีความลึกถึง 15-20 เมตร
จนกลายเป็นบ่อดินขนาด 30 ไร่ เมื่อหมดประโยชน์จึงปล่อยให้น้ำท่วมขัง เวลาผ่านไปหลายปีกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่
สีเขียวมรกต มีคันดินสูง 20 เมตรคล้ายหน้าผา  3-4 หน้าผา ดูคล้ายกับแกรนด์ แคนยอน
ด้วยความสวยงามของสถานที่ทำให้มีนักท่องเที่ยว แนว Adventure แอบเข้ามากระโดดน้ำเล่นอยู่บ่อยๆ
ทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังไม่ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว 

เจ้าของบ่อซึ่งเป็นกำนันตำบลน้ำแพร่ (คุณฉัตรกรินทร์ ตระกูลอินสัน) ได้มีการติดประกาศห้ามเข้า ทั้งภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ
แต่ก็ยังมีคนแอบมากระโดดน้ำอยู่บ่อยๆ เลยเปลี่ยนบ่อดินให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เก็บค่าเข้าชมคนละ 50 บาทค่ะ
มีเครื่องเล่นคล้ายๆ สวนน้ำ และมีพนักงานดูแลรักษาความปลอดภัย มีเสื้อชูชีพ มีร้านกาแฟ – อาหารและห้องน้ำ
ไว้อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วยค่ะ


















ที่เที่ยวสุดท้ายของทริปครั้งนี้ค่ะ จบด้วยภาพแบบฮิปสเตอร์ (เหรอ) 555 กลับเข้ามาในตัวเมืองเรียบร้อยก่อนคืนรถ
ที่เช่ามาให้เจ้าของ แวะตลาดวโรรส ซื้อแคปหมู, กระเทียมโทนดองน้ำผึ้ง, หมูกระจกและน้ำพริกหนุ่มฝากคุณแม่
และเพื่อนที่ทำงานกันหน่อย  จากนั้นจึงเดินทางกลับกทม.ค่ะ




สำหรับปี 2560 นี้เราใช้เวลาในการเที่ยว เชียงราย-เชียงใหม่ รวม 4 วัน 3 คืน ด้วยกันค่ะ มีเวลาวันหยุด 5 วัน เลยใช้เวลาอีก 1 วันที่เหลือนอนพักผ่อนเตรียมไปทำงานวันต่อไป ลัลไม่ได้ตั้งใจมาแบบจำกัดงบเลยไม่ขอใส่รายละเอียดเรื่องงบประมาณตรงนี้นะคะ
เราเที่ยวแบบอยากไปไหนตามใจ แผนมีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดตามสถานการณ์ เดี๋ยวสำหรับทริปเชียงใหม่ (อีกครั้ง) ของปี 2561
จะมาทำเป็น Part 2 ให้นะคะ อย่าลืมติดตามกันด้วยน้าว่าจะไปที่ไหนอีก 

17



 



Create Date : 01 มิถุนายน 2562
Last Update : 14 ตุลาคม 2562 8:06:00 น.
Counter : 708 Pageviews.

0 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณnewyorknurse

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Beautyrush98
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีค่ะขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและทักทายกันนะคะ
ลัลเริ่มเขียน Blog จริงจังตอนปี 59 ส่วนมากจะเป็นรีวิวและสอนแต่งหน้าค่ะ มีท่องเที่ยวบ้างตามโอกาสที่ได้ไป
สีผิวกลางๆ undertone gold/neutral NC30
สภาพผิวผสม - ผิวมันขาดน้ำค่ะ แพ้ง่ายเป็นสิวบ่อย
อยากให้เขียนเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรหลังไมค์มาได้นะคะ จะได้เป็นข้อมูลแลกเปลี่ยนความรู้กัน

**************************
New Comments