สารคดีสัปดาห์นี้ไทยรัฐออนไลน์พาไปพบกับ แอนตาร์กติกา ชีวิตความตาย ประสบการณ์สุดระทึกที่ต้องอ่าน...!
มอว์สันได้ยินเสียงเห่าหอนของสุนัขดังแว่วมาทางด้านหลัง เขาคิดว่าต้องเป็นหนึ่งในสุนัขลากเลื่อน 6 ตัวที่ตามหลังมา แต่เมื่อแมร์ตซ์ซึ่งเดินทางล่วงหน้าไปก่อนด้วยสกีตลอดทั้งเช้านั้น หยุดและสกีกลับมาตามรอยสกีของเขา มอว์สันเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของเพื่อนร่วมทีม จึงเหลียวหลังกลับไปมอง ที่ราบเวิ้งว้างซึ่งปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งนั้นทอดยาวสุดสายตา มีเพียงรอยเลื่อนของมอว์สันปรากฏให้เห็น แล้วเลื่อนอีกคันอยู่ที่ไหนกันเล่า มอว์สันรุดเดินเท้ากลับไปตามรอยเลื่อน ทันใดนั้นเขาก็มาถึงปากหลุมกว้าง 3.5 เมตรเหนือพื้นน้ำแข็ง ปากหลุมฝั่งตรงข้ามมีรอยเลื่อนสองรอยแยกกันมุ่งหน้าสู่ปากหลุม แต่ปากหลุมฝั่งนี้กลับมีรอยเลื่อนเพียงรอยเดียวที่เดินหน้าต่อไป
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ปี 1921 ดักลาส มอว์สัน นักสำรวจผู้ช่ำชองด้วยวัยเพียง 30 ปี เป็นหัวหน้าคณะสำรวจออสเตรเลเชียนแอนตาร์กติกหรือเอเออี (Australasian Antarctic Expedition : AAE) ซึ่งประกอบด้วยลูกทีม 31 คน ปฏิบัติภารกิจการสำรวจที่ทะเยอทะยานที่สุด ณ ทวีปใต้สุดของโลก มอว์สันมุ่งมั่น ที่จะศึกษาทุกสิ่งเท่าที่ทำได้เกี่ยวกับพื้นที่ยาว 3,000 กิโลเมตรในแอนตาร์กติกาซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก หลังจากสร้างกระท่อมเหนือชายฝั่งเว้าแหว่งที่พวกเขาตั้งชื่อให้ว่า อ่าวคอมมอนเวลท์ (Commonwealth Bay) คณะสำรวจเอเออีก็ใช้เวลาช่วงฤดูหนาวในพื้นที่ซึ่งต่อมาได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีลมกระโชกแรงที่สุดในโลก (อย่างน้อยที่ระดับทะเล) โดยกระแสลมอาจพัดแรงถึง 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ทีมเลื่อนหิมะของมอว์สันซึ่งออกเดินทางในเดือนพฤศจิกายน ปี 1912 ประกอบด้วยทีมลากเลื่อนทีมละ 3 คน จำนวน 8 ทีม ออกเดินทางไปยังทุกทิศทุกทางเท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับทีมตะวันออกไกลของเขาเอง มอว์สัน เลือกซาเวียร์ แมร์ตซ์ แชมป์สกีชาวสวิส และเบลเกรฟ นินนิส หนุ่มอังกฤษผู้กระตือรือร้น ทั้งคู่อยู่ในวัย 29 และ 25 ปีตามลำดับ
พอถึงเช้าวันที่ 14 ธันวาคม หลังออกเดินทางมาได้ 35 วัน ทั้งสามก็เดินทางมาถึงจุดที่อยู่ห่างจากกระท่อมราว 480 กิโลเมตร พวกเขาข้ามธารน้ำแข็งใหญ่ 2 แห่งและเหวน้ำแข็งอีกมากมาย หลังเที่ยงในวันเดียวกันนั้น แมร์ตซ์ซึ่งนำหน้าไปก่อนยกไม้สกีขึ้นสูงเพื่อเป็นสัญญาณว่าพบเหวน้ำแข็งอีกแห่ง มอว์สันคิดว่า นั่นคงเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย เพราะเลื่อนของเขาสามารถเคลื่อนผ่านสะพานหิมะไปได้อย่างราบรื่น เขาตะโกนเตือนนินนิสเหมือนอย่างเคย และเมื่อเหลียวหลังกลับมามองครั้งสุดท้าย เขาก็เห็นเพื่อนร่วมทีมปรับเส้นทาง ข้ามเหวน้ำแข็งเป็นแนวตรงแทนแนวทแยง
ตอนนี้ มอว์สันและแมร์ตซ์ช่วยกันตัดแผ่นน้ำแข็งบางๆ ที่ยื่นออกมาเหนือปากเหว ผูกเชือกรัดที่ลำตัวและผลัดกันชะโงกมองลงไปในหลุมลึก เบื้องล่างลึกลงไปราว 50 เมตร สุนัขตัวหนึ่งนอนครวญครางอยู่บนหิ้งน้ำแข็ง เห็นได้ชัดว่ามันหลังหัก สุนัขอีกตัวนอนตายแน่นิ่งอยู่ข้างๆ อุปกรณ์สองสามชิ้นกระจัดกระจายอยู่บนหิ้งน้ำแข็งเดียวกัน ไม่มีวี่แววของนินนิสหรือเลื่อนเลยแม้แต่น้อย หลังจากตะโกนเรียกอยู่นานนับชั่วโมง
ในที่สุดพวกเขาจำต้องยอมรับสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง นั่นคือนินนิสจากไปแล้ว และจากไปพร้อมอุปกรณ์สำคัญที่สุดของทีม ซึ่งรวมถึงเต็นท์ขนาด 3 คนนอน สุนัขลากเลื่อนที่ดีที่สุด 6 ตัว อาหารสุนัขทั้งหมด และอาหารคนเกือบทั้งหมด
ช่วงวันแรกๆ ของการบ่ายหน้ากลับสู่กระท่อมซึ่งเป็นแคมป์หลัก พวกเขาทำเวลาและระยะทางได้ดีโดยมีอะดรีนาลินเป็นพลังขับเคลื่อน แต่ในช่วงสองสัปดาห์ถัดมา สุนัขลากเลื่อนทยอยตายไปทีละตัว ถึงตอนนี้ มีเพียง จินเจอร์ ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสุนัขที่เหลือรอดซึ่งสามารถลากเลื่อนได้ ทั้งสองจึงจัดแจงสวมเครื่องรัดเข้าที่หน้าอกและสะโพกของตนเอง และช่วยลากเลื่อนเคียงข้างมัน หลังเดินทางไปได้ไม่กี่กิโลเมตร พวกเขาก็เริ่มหมดเรี่ยวแรง ทั้งคู่ล้มลุกคลุกคลานจนเลื่อนพลิกคว่ำหลายต่อหลายครั้ง
แล้วก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับแมร์ตซ์ เขาอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถไปต่อได้ในวันที่ 2 มกราคม เขากัดฟันเดินทางต่อได้เพียง 8 กิโลเมตรในวันรุ่งขึ้น ก่อนจะยอมแพ้ ทำให้มอว์สันต้องตั้งเต็นท์ขึ้น มอว์สันรู้ดีว่าความหวังเดียวของพวกเขาคือต้องเดินหน้าต่อไป แต่พอถึงวันที่ 5 มกราคม แมร์ตซ์ก็ปฏิเสธที่จะไปต่อโดยบอกว่ารังแต่จะฆ่าตัวตายเปล่าๆ พอถึงวันที่ 7 มกราคม ทั้งคู่เดินทางกลับไปได้กว่า 300 กิโลเมตร แต่ยังเหลืออีกกว่า 150 กิโลเมตรที่ต้องไปต่อ ทว่าขณะที่พวกเขาช่วยกันเก็บที่พักในเช้าวันนั้น มอว์สันพบว่าเพื่อนร่วมทีม ถ่ายอุจจาระรดกางเกง มอว์สันจัดแจงถอดเสื้อผ้าให้แมร์ตซ์ ทำความสะอาด และจัดให้เขานอนในถุงนอนอีกครั้ง จนเวลา 02.00 น. ของวันที่ 8 มกราคม แมร์ตซ์สิ้นใจขณะนอนหลับ
มอว์สันฝังเพื่อนทั้งถุงนอน ใต้ก้อนหิมะที่สุมรวมกันไว้เป็นเนิน ถึงตอนนี้เสบียงอาหารร่อยหรอจนเกือบหมด และสภาพร่างกายของมอว์สันก็ย่ำแย่ถึงขีดสุด ทั้งแผลเปื่อยที่จมูก ริมฝีปาก และถุงอัณฑะ เส้นผมหลุดร่วงเป็นกระจุก อีกทั้งผิวหนังบริเวณขาก็หลุดลอก และยังต้องเดินทางอีกกว่า 150 กิโลเมตร
มอว์สันยังต้องแข่งกับเวลาและระยะทาง เรือออโรรา ซึ่งเป็นเรือกู้ภัยและสนับสนุนภารกิจสำรวจครั้งนี้มีกำหนดเดินทางถึงอ่าวคอมมอนเวลท์ในวันที่ 15 มกราคม เพื่อรับคณะกลับบ้าน แต่ขณะที่วันเวลาล่วงไป มอว์สันยังอยู่ห่างจากกระท่อมกว่า 120 กิโลเมตร และร่างกายก็อ่อนแรงลงทุกโมงยาม
มอว์สันเชื่อแน่แล้วว่าคงไม่มีโอกาสรอด กำหนดเส้นตายที่ต้องกลับถึงกระท่อมก็ผ่านไปแล้ว เท่าที่รู้เรือออโรรา คงแล่นออกจากฝั่งพร้อมลูกทีมเอเออีคนอื่นๆ สิ่งที่ผลักดันให้เขาฝ่าฟันต่อไปก็คือ ความหวังที่จะทิ้งสมุดบันทึกของตนพร้อมกับของแมร์ตซ์ไว้ในที่ที่คนอื่นๆ อาจมาพบเจอเข้าสักวัน กระนั้น ปาฏิหาริย์เล็กๆก็เกิดขึ้นในวันที่ 29 มกราคม เขาเห็นเงาอะไรตะคุ่มๆ อยู่ในสายหมอก เป็นกองหิมะคลุมด้วยผ้าสีดำ ด้านในเขาพบข้อความจากลูกทีมสำรวจสามคนที่ออกมาตามหาและเสบียงอาหารหนึ่งถุง ขอบคุณสำหรับอาหาร! จากข้อความดังกล่าว มอว์สันรู้ว่าตนเองอยู่ห่างจากกระท่อมเพียง 45 กิโลเมตรเท่านั้น
ทว่าระยะทางใกล้แค่นี้อาจต้องใช้เวลาถึง 10 วัน เพราะเขาต้องรอให้พายุหิมะที่กินเวลานานผ่านไปก่อน ในที่สุดวันที่ 8 กุมภาพันธ์ มอว์สันก็เริ่มออกเดินทางช่วงสุดท้าย ก่อนจะมองเห็นกระท่อม เขาเห็นจุดดำๆ ที่เส้นขอบฟ้า เป็นไปตามที่เขากลัว นั่นคือเรือออโรรา ที่ออกจากอ่าวคอมมอนเวลท์ จากนั้นกระท่อมก็ปรากฏให้เห็น ด้านนอกมีชายสามคนกำลังง่วนกับงานอะไรสักอย่าง
มอว์สันพลาดเรือออโรรา ไปเพียงห้าชั่วโมง เขาและชายอีกหกคนที่ได้รับมอบหมายให้อยู่ต่อเพื่อค้นหาทีมของมอว์สัน จึงต้องใช้ชีวิตต่ออีกหนึ่งปีในสถานที่ที่ลมแรงที่สุดในโลก
สิบเดือนผ่านไป ก่อนที่เรือออโรรา จะหวนกลับมาอีกครั้ง ท้ายที่สุดเมื่อมอว์สันกลับถึงออสเตรเลียในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1914 เขาได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษของชาติ และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์อัศวินจากพระเจ้าจอร์จที่ห้า เขาใช้ชีวิตการทำงานที่เหลือเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแอดิเลด แม้มอว์สันจะนำภารกิจสำรวจแอนตาร์กติกาอีกสองครั้ง
แต่ผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขากลับเป็นรายงานที่ได้รับการตีพิมพ์ทั้ง 96 ฉบับว่าด้วยการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ของคณะสำรวจเอเออี เมื่อมอว์สันจากไปในปี 1958 ชาวออสเตรเลียต่างร่วมไว้อาลัยแด่นักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา
เรื่อง เดวิด โรเบิร์ตส์ ภาพถ่าย แฟรงก์ เฮอร์ลีย์ ข้อมูลจากเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย