Group Blog All Blog
|
ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันขณะ จิตเดิมเป็นประภัสสร เราอาจจะคุ้นเคยกับคำนี้ จนอาจจะไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของมันว่าคืออะไร โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สนใจเรื่องการปฏิบัติธรรมอาจจะไม่สนใจความหมายของมันด้วยซ้ำ แต่สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมหรือผู้เห็นทุกข์ในห้วงมหรรณพ ถ้าสนใจที่จะค้นหาความหมายจะพบว่าความเป็นประเด็นของเรื่องอยู่ที่ตรงนี้ เพราะแท้จริงความทุกข์มันไม่ได้เกิดขึ้นเองนั่นเอง แต่เกิดจากการไปแสวงหาสิ่งมายึดมั่นถือมั่นจึงเกิดเป็นทุกข์ถ้าเราลองหยุดการค้นหาและทำความรู้สึกให้เป็นปกติอยู่ ไม่ต้องไปวิตกกังวลกับสิ่งใดเราจะพบว่าที่จุดนี้เองคือจุดปลอดความทุกข์ การดิ้นรนอยู่ต่างหากที่ทำให้เกิดเป็นทุกข์ มีแต่ต้องเข้าใจสภาวะนี้ให้เกิดความแจ่มแจ้งจึงจะเห็นว่าเป็นจุดที่ปลอดจากความทุกข์ คือความรู้สึกที่อยู่กับปัจจุบันขณะนั่นเอง ให้เรากักขังตัวเองให้อยู่ในปัจจุบันขณะให้เป็นปกติอยู่เสมอเราจะรู้สึกว่ามันเป็นเสมือนหลุมหลบความทุกข์ แต่ปกติเรามีความวิตกกังวลอยู่นั่นเองเราจึงไม่สามารถที่จะอยู่ในปัจจุบันได้ แต่จิตจรไปอย่างคนพเนจรจึงเป็นวณิพกเร่ร่อนอยู่ไม่มีแม้แต่ที่พักพิงที่เป็นหลักแหล่งของตนเอง อยู่ในปัจจุบันขณะให้เป็นดั่งการอยู่ในบ้านของตนเอง อยู่ให้สุขสบายเพราะมันเป็นบ้านของเรานั่นเองไม่มีใครมาไล่แน่นอน ยกเว้นแต่เราจะทำตัวเป็นคนพเนจรเสียเอง จิตเดิมเป็นประภัสสร ทำความรู้สึกให้เป็นปัจจุบันขณะเราจึงจะมีแหล่งพักพิงเป็นของตนเอง อย่าทำตัวเป็นคนพเนจรเร่ร่อนไป จงหยุดพักให้สบายในบ้านของเราเอง. โดย: deco_mom วันที่: 17 พฤษภาคม 2555 เวลา:10:47:30 น.
มีสติในกาย พิจารณากายเป็นอารมณ์ ทำให้เกิดเป็นปกติจะมีความรู้สึกเดียวกับความเป็นปัจจุบันขณะ โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.20.157 วันที่: 18 พฤษภาคม 2555 เวลา:9:05:01 น.
ปัจจุบันขณะคือการมีความรู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบัน ทำให้มากจะเป็นอาการที่ตื่นอยู่ การตื่นอยู่เสมอ จะเป็นความว่าง โดย: ไพรสณฑ์ IP: 101.108.107.198 วันที่: 21 พฤษภาคม 2555 เวลา:11:08:31 น.
.....สติ ความรู้สึกตัว การตื่นทางความรู้สึก ปัจจุบันขณะ ความว่าง ........... ถ้าเชื่อมโยงกันได้มันคืออันเดียวกัน. ทำให้มาก ทำอยู่ทุกขณะเมื่อถึงจุดหนึ่งจะเกิดอาการหยุดการปรุงแต่งทางความรู้สึก จิตตั้งมั่นไม่เขวหรือฟุ้งไปตามสิ่งที่มากระทบ .........มันจึงจะมากพอแก่การงาน จึงเป็นสิ่งที่เราต้องฝึก ทำให้มีเป็นคุณสมบัติของตนเอง............. โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.40.187 วันที่: 24 พฤษภาคม 2555 เวลา:17:01:29 น.
ดูตัวอย่างชายคนนี้ //www.youtube.com/watch?v=eck4KNy5wyg โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 25 พฤษภาคม 2555 เวลา:4:53:52 น.
การบรรลุธรรมคืออะไร??? คือแสวงหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จนต้องหยุดเพราะเหนื่อยแล้ว การหยุดนั่นเองจึงพบความเป็นธรรมชาติของตัวเอง และของทุกสิ่ง จึงเห็นว่าเพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง การเห็นความเป็นธรรมชาติ จึงต้องไม่เอาธรรมชาติมาเป็นตัวเอง เพราะตัวเราแท้จริงคือความเป็นธรรมชาติ การปรุงแต่งอยู่จึงเป็นความหลง เพราะมันจะไม่เป็นอย่างที่เราอยากเป็น คือบังคับมันไม่ได้ มีแต่ต้องเข้าใจธรรมชาติของมัน มันจึงจบ โดย: ไพรสณฑ์ IP: 101.108.111.63 วันที่: 25 พฤษภาคม 2555 เวลา:20:25:06 น.
***ผู้ปฏิบัติธรรมที่เห็นทุกข์มากแล้ว ควรหยุดการวนเวียน และอยู่ในวิหารแห่งความว่าง
ส่วนผู้เริ่มต้นยังเห็นทุกข์น้อย ก็ให้ฝึกการมีสติ การรู้สึกตัวให้มาก... ..........จุดหมายคือการมีเพียง ความรู้สึกรู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ คือการเป็นผู้รู้เท่านั้น ไม่เป็นผู้กระทำ คือการเกิดเป็น ตัวตนหรือ อัตตา ............................................................................................................................ ***ธรรมะกำมือเดียว*** คือวิธีปฏิบัติในการแก้ไขอาการยึดมั่นในความเป็นตัวตนซึ่งมีอยู่ไม่มากนั่นเอง ปัจจุบันขณะ https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=amarasin สติคือแสงสว่าง https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=4 ตัวเราอยู่ตรงไหน https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&month=05-2012&date=11&group=4&gblog=6 รู้สึกตัวอยู่เสมอ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=3 จิตเห็นอาการของจิต https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&month=05-2012&date=28&group=3&gblog=4 ***การพิจารณาให้เห็นความจริงของตนเองนำไปสู่การคลายการยึดมั่น การปฏิบัติเพื่อเข้าไปแทรกแทรงอาการปรุงแต่งของกายนั่นเอง การรู้จุดมุ่งหมายของการกระทำจะทำให้เห็นความเป็นเหตุผลได้ เราจะรู้ว่าเราทำเพื่ออะไร ในรายละเอียดได้อธิบายในหนังสือ "ทางวิเวกฯ" มันมีเรื่องที่ต้องท้าวความกันมากพอสมควรจึงได้เขียนเป็นหนังสือ*** โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 29 พฤษภาคม 2555 เวลา:5:15:00 น.
.....ปกติการที่เราบอกว่าเราเห็นธรรมหรือเข้าใจธรรมนั้น อาการทางธรรมชาติคือความรู้สึกของเราเปลี่ยนไป แต่ถ้าเราไม่เข้าใจในเหตุผลของจิตและกาย ความรู้สึกนั้นก็จะหายไป เพราะมันเป็นอาการที่เกิดทางกาย ที่มีผลทางความรู้สึก ถ้าเราจะเข้าถึงสภาวะนั้นได้ต้องฝึกเท่านั้น
เริ่มต้น ต้องฝึกการมีสติ และความรู้สึกตัว เมื่อมีมากพอมันจึงจะเปลี่ยนไปเป็นอาการตื่น และเป็นความว่าง ปกติเราสามารถที่จะทำความรู้สึกของเราให้ตื่น หรือว่างได้ แต่มันจะเกิดได้ชั่วคราว การฝึกอยู่เสมอมันจึงจะเกิดขึ้นได้จริงถาวร จะเห็นว่าเราไม่เข้าใจลำดับขั้นของความรู้สึก เราจึงล้มลุกคลุกคลานอยู่ ผู้ที่นำมาสอนส่วนใหญ่เอาผลบั้นปลายมาแนะนำกัน แต่ไม่ได้แนะนำเบื้องต้น คือปัญหาที่ตนเคยพบมาก่อน พอเกิดผลได้ก็บอกว่ามันมีอยู่แล้วในตัวเรา ความจริงมันก็มีอยู่แล้ว แต่มันมีไม่มากพอที่จะนำมาใช้งาน การทำให้มันมากพอนั่นเองคือสิ่งที่เราจะต้องใช้ความพยายามให้มันเกิดขึ้นได้ คือต้องฝึกปฏิบัติให้เกิดพละอินทรีย์ เช่นเดียวกับการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มันต้องออกแรงนั่นเอง เราต้องขัดเกลาอาการยึดมั่นในตน ปกติเรามักจะบอกว่ามันเป็นความหลง แต่ที่ถูกต้องเรียกว่าการยึดมั่น เราจึงต้องขัดเกลามัน ขูดมัน ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการเข้าใจเท่านั้นแต่ต้องออกแรงด้วย.......... โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 30 พฤษภาคม 2555 เวลา:5:27:15 น.
....การสอนหรือการแนะนำการปฏิบัติธรรม ผู้สอนหรือผู้แนะนำ มักเสนอแต่ผลสุดท้ายที่เกิดขึ้น แต่ไม่แนะนำเคล็ด(ลับ)ในการปฏิบัติ สิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมต้องประสบคือความเครียดที่เกิดจากการปฏิบัติ ผู้ที่มีศรัทธาเท่านั้นที่จะฝ่าฟันจุดนี้ไปได้ คือถ้าไม่ปฏิบัติก็มีทุกข์อยู่นั่นเอง ที่สุดจึงมีพละอินทรีย์สามารถอยู่ในธรรมหรืออยุ่ในความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนได้นำมาอธิบายได้เพราะมีผลเกิดขึ้น. ซึ่งต้องฝึกและทำให้มากนั่นเอง เพื่อให้เกิดประสบการณ์ทางอารมณ์ เกิดความชำนาญมีประสบการณ์ทางอารมณ์การที่จะรอการเกิดการบรรลุธรรมแบบลัดนั้นเป็นไปได้ยาก หรือต้องผ่านการเพียรมามากต่อมากแล้วเท่านั้น แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังต้องมีความเพียร ฝึกสมาธิจนได้ฌานสมาบัติ และยังต้องบำเพ็ญทุกขกิริยา มาอีกต่างหาก.............ความเพียรนั่นเองที่ทำให้เราบรรลุผลได้ แม้แต่การมีความรู้สึกตัวให้เกิดอยู่ทุกขณะก็ยังต้องใช้ความเพียร ทั้งๆเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย และยังมีเรื่องง่ายๆหลายอย่างที่เราทำไม่ได้ เพราะเรามัวแต่หาทางลัดนั่นเอง โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.29.141 วันที่: 30 พฤษภาคม 2555 เวลา:10:28:58 น.
|
ไพรสณฑ์
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?] การปฏิบัติธรรม... คือการมีสติรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตคือความเป็นธรรมชาตินั่นเอง การมองชีวิตในมุมกลับจึงเห็นความจริงว่ามันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาตินั่นเองที่เป็นอยู่คือการยึดมั่น... ...การเห็นความจริงนี้จึงเป็นการเห็น"สัจจะธรรม"จึงพบคำตอบเกิดขึ้นว่าพวกเรามาทำธุระอะไรกันอยู่บนโลกใบนี้. แท้จริงมันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น...คือความจริงที่จะต้องทำความเข้าใจ เพราะการเข้าใจว่าเป็น "ตัวเรา"มันเป็นการหลงอยู่ในการปรุงแต่งของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น. ...การเข้าใจมันตามจริง.... จึงเห็นความเป็นเหตุผลเกิดขึ้น..."ตัวเรา"เป็นเพียงการสมมุติของธรรมชาติเท่านั้น จึง เกิดความวิเวก วังเวง เพราะมันเป็นความจริงนั่นเอง
Friends Blog
Link |