Group Blog All Blog
|
การตื่น(มหาสติ)
การตื่น(มหาสติ) จากหัวข้อต่างๆที่นำมาเสนอ เป็นลำดับขั้นตอนที่จะฝึกการละวางการยึดมั่นระหว่างจิตกับกาย ที่เกิดเป็นความรู้สึกต่างๆที่ทำให้เราเกิดการยึดมั่น ถือมั่น เพราะการน้อมเข้าไปในความรู้สึกต่างๆเหมือนกับการที่เราเข้าไปเยือนภพภูมิต่างมิตินั่นเอง เราจึงจะรู้จักภพภูมิในมิติที่แตกต่างได้เห็นว่าในแต่ละภพภูมิมีความเป็นเหตุผลแตกต่างกัน คือความแตกต่างในมุมมองโลกนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับมิติหรือภพภูมิที่เราเป็นอยู่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าภพภูมิที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน มีความรู้สึกที่เกิดเป็น ตัวเราหรืออัตตา ซึ่งเป็นอาการยึดมั่นทางความรู้สึกและการยึดมั่นในความเป็น อัตตานั่นเองที่เป็นที่เป็นเหตุให้เกิดการยึดมั่นในสิ่งต่างๆตามมา ปรุงแต่งให้เกิดเป็นความรู้สึก ที่เป็นเหตุผลของตนตามภพภูมิของตนเองอยู่ เราไม่รู้เหตุของมันเราจึงเหมือนตกอยู่ในการครอบงำของความเป็นธรรมชาติ. การตื่นทางความรู้สึก มันจะไล่ความรู้สึกต่างๆของเราออกไปจากกายหรือจากการยึดมั่นที่เกิดอยู่ เราจึงรู้สึกหลุดออกไปจากอาการทางความรู้สึกที่เคยเป็นอยู่เราจึงเห็นความรู้สึกเดิมที่เคยเป็นว่าเป็นความหลงคือเห็นอาการยึดมั่นเหมือนเราอยู่ภาพมายาของความรู้สึกอยู่เท่านั้น เพราะเราไม่เข้าใจสาเหตุของมันเราจึงแก้ไขมันไม่ได้ ถ้าเราไม่เคยเห็น(รู้สึก)อาการหลุดออกจากการยึดมั่นเราจะไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร อาการนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้ ถ้าเรามีความเพียรที่จะเอาชนะความเป็นธรรมชาติของตนเองอยู่ เหมือนกับเราป้อนคำถามให้กับจิตใต้สำนึก วันดีคืนดีมันก็ตอบเป็นอาการออกมา เราจึงจะเห็นอาการยึดมั่นทางความรู้สึกนั้นได้และเห็นอีกโลกหนึ่ง(มิติ)ที่แตกต่าง ซึ่งจะเกิดเป็นอาการทางความรู้สึก หรืออีกแง่หนึ่งเพราะเราฝึกอยู่ มันจึงมีความชำนาญเกิดขึ้น ทีละน้อย เช่นเดียวกับเราหัดขี่จักรยานนั่นเองมันจะพัฒนาทักษะให้เกิดเป็นความชำนาญจนสามารถใช้งานได้จริง ถ้ามองดูแล้วเหมือนกับว่าจักรยานมันไม่น่าขี่ได้จริง แต่การเห็นคนอื่นทำได้เราจึงคิดว่าตนเองก็น่าจะทำได้ แต่อาการทางความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันเห็นไม่ได้ อาการที่เกิดขึ้นจึงเห็นได้เฉพาะตน ดังนั้นถ้ามันไม่เคยเกิดขึ้นให้เห็น เราจึงต้องปฏิบัติขัดเกลาอาการยึดมั่นของตนให้คลายออกโดยการมีความรู้สึกที่ตื่นอยู่เสมอ ซึ่งมันจะคลายออกได้ทีละน้อย เมื่อการยึดมั่นคลายออกได้หมดจด หรืออ่อนลงมันจะหลุดออกไป เราจึงเห็นอาการยึดมั่นนั้นได้ จึงเห็นความจริง เห็นโลกแห่งการยึดมั่นที่เป็นอยู่ จึงเป็นการตื่นจากอาการหลง มีสติ มีความรู้สึกตัวเกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ เป็นมหาสติมีความรู้สึกตัวตื่นอยู่ ทำให้เห็นความเป็นไปของสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็นเพราะเราไม่เข้าไปร่วมอยู่นั่นเอง มันจึงมีแต่ ความว่าง เพราะการเข้าไปยึดมั่นเป็นความหลงความรู้สึกของเราจึงว่างอยู่ ลำดับขั้นของการเกิดจากการยึดมั่นไปสู่การปล่อยวาง เป็นอาการตื่นทางความรู้สึกนี้ การปฏิบัติในแต่ละขั้นตอนก็จะใช้ความเป็นเหตุผลต่างกัน บางครั้งเราจึงอาจจะวนเวียนอยู่ เพราะเราไม่รู้ว่าต่อไปจะต้องใช้เครื่องมือชนิดใดนั่นเองมันจึงเป็นความลับในความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ในการแก้ไขการยึดมั่นทางความรู้สึกของตนเองเราจึงมีความรู้สึกไม่พอ เพราะไม่เข้าใจว่ามันสร้างอุปาทานอยู่เท่านั้นเหมือนการสร้างภาพมายาทางความรู้สึกให้เกิดอยู่ บางครั้งเราจึงเกิดความรู้สึกสับสนไม่เข้าใจตนเอง การจะเห็นความจริงนี้ได้จึงต้องมีวิธีการหรือเครื่องมือ การสร้างความรู้สึกตัวนั่นเองคือเครื่องมือที่จะทำให้เราเห็นความไม่ถูกต้องที่เกิดอยู่ การเริ่มต้นจึงต้องเกิดขึ้นคือการสร้างความรู้สึกตัวอยู่เสมอ สติ-ความรู้สึกตัวจะเป็นเสมือนเครื่องมือในการสังเกตตนเอง ศึกษาทำความเข้าใจตนเองเหมือนการที่เราศึกษาทำความเข้าใจสิ่งอื่นๆเราก็ใช้สติเช่นกัน สติจึงเป็นความพร้อมในการที่จะทำความเข้าใจสิ่งที่เรากำลังศึกษามันนั่นเอง เราจึงต้องมีสติ-ความรู้สึกตัวอยู่ในอาการของกาย ของจิต ของเราอยู่เสมอ เพราะเราจะศึกษามันนั่นเอง เพื่อให้เห็นข้อบกพร่องของมัน เห็นความไม่ปกติของตนเอง คือการหลับอยู่ในความเป็นธรรมชาติ การเห็นอาการนี้ได้จึงจะนำไปสู่การแก้ไข เราจึงสามารถแก้ไขความเป็นธรรมชาติของตนเองได้ เพราะการมีความรู้สึกตัวอยู่ตื่นอยู่ มันจะเข้าไปแก้ไขอาการยึดมั่นที่เกิดอยู่ โดยการคลายอาการยึดมั่นที่เกิดอยู่นั่นเองเมื่อมีผลเกิดขึ้นมันจึงเกิดผลทางความรู้สึกของเรา มันจึงมีความเป็นเหตุเป็นผลในตัวมันเอง ไม่ใช่การสะกดจิตตัวเอง แต่มันเป็นไปตามอาการทางธรรมชาติของมัน เพราะจิตมันปรุงแต่งตัวมันเองอยู่นั่นเอง มันจึงถูกครอบงำอยู่ มันจึงเกิดเป็นภาพมายาทางความรู้สึกของเรา เกิดเป็นตัวเรา เราจึงไม่เข้าใจเพราะมันคือตัวเรานั่นเองเราจึงมองข้ามจุดนี้ไปจึงเป็นการมองไม่เห็นความเป็นตัวเอง เราจึงจะเห็นได้ว่าอาการปรุงแต่งทางความรู้สึก เป็นเสมือนการไม่รู้สาเหตุของมัน เราจึงแก้ไขมันไม่ได้ จึงวนเวียนอยู่ในการปรุงแต่งทางความรู้สึกอยู่เท่านั้น เราจึงเกิดเป็นความสับสนในความเป็นชีวิต เพราะไม่รู้ในการทำงานทางธรรมชาติของมันนั่นเอง เพราะเราไหลไปตามธรรมชาติอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง จึงถึงเวลาที่เราจะต้องหยุดและตื่นจากการหลับใหลนี้ เพื่อสร้างชีวิตใหม่ มีจุดหมายปลายทางที่แน่นอนชัดเจน คือการรู้มันอยู่เสมอ จึงจะเห็นความจริงของตนเอง เห็นความลุ่มหลงที่เกิดอยู่ เราจึงจะออกไปจากการครอบงำของความเป็นธรรมชาติได้ การค้นพบนี้จึงเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่(พระพุทธเจ้า)เพราะการปรุงแต่งความรู้สึกเป็นการยึดมั่นนั่นเองเราจึงหลงอยู่ในภพภูมิของตนเอง เป็นความหลงที่เกิดจากความไม่รู้ เพราะมันแสดงเป็น ตัวเราอยู่การเห็นการทำงานของมันจึงทำให้เราเข้าใจความเป็นตัวเราได้ จึงเหมือนได้พบแสงสว่างออกไปจากความมืด..
(เนื้อหาบางส่วนจาก ทางวิเวกฯ ภาค3 : จักรวาลภายใน(ความว่าง))
....ชีวิตเราเหมือนความฝัน เพราะมันเป็นการรวมกันของธาตุธรรมชาติ และทำปฏิกิริยากันอยู่ ก็คือความรู้สึกของเราอย่างที่เป็นอยู่นั่นเอง. ไม่ใช่ปรัชญาแต่มันเป็นความจริง เราจะเห็นความจริงของมันเมื่อมันสลายไปนั่นเอง สิ่งที่เกิดอยู่คือปฏิกิริยาของมัน ดังนั้นความเป็น "ตัวเรา"คือการเกิดปฏิกิริยาทางธรรมชาติเท่านั้น การที่เราจะคิดว่าความเป็น "ตัวเรา" มีอยู่หรือไม่มีอยู่ ก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง . โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 4 มิถุนายน 2555 เวลา:20:28:34 น.
.....จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรม ต้องทำความเข้าใจเรื่อง สักกายทิฐิ คือพิจารณากาย ให้เข้าใจว่ามันเป็นสภาพธรรม คือเกิดขึ้นแล้วดับไป มันเป็นการรวมกันอยู่ของธาตุธรรมชาติ หรือธาตุทั้งสี่ หรืออนุภาค ตามการอธิบายทางฟิสกส์ เมื่อเข้าใจในความเป็นเหตุผลของมันเราจึงจะเข้าใจความเป็นตัวเราว่ามันมีความเป็นมาอย่างไร ถ้าความรู้สึกของเราเข้าใจได้ การยึดมั่นจะหลุดออกไป แต่ถ้าความรู้สึกของเรายังเข้าใจไม่ได้ แต่เข้าใจในเชิงเหตุผลได้ เหตุเพราะเรายังมีการยึดมั่นอยู่มากนั่นเอง ดังนั้นเราจึงต้องทบทวนทำความเข้าใจมันอยู่ การปฏิบัติธรรมจึงเริ่งที่ตรงนี้ คือละวางการยึดมั่นต่างๆที่ท่านเรียกว่าความเป็นอุปทาน กิเลส ตัณหา ต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆจนกว่าจะสามารถเข้าใจได้ทางความรู้สึก คือการเห็นได้ว่ามันจริง ความเข้าใจได้แบบนี้มันเกิดขึ้นทางความรู้สึก คือความรุ้สึกของเราสัมผัสความเป็นเหตุผลนั้นได้จึงจะจบลง เช่นเดียวกับการเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆนั่นเอง ถ้าเราเข้าใจเราก็จะเห็นความเป็นเหตุผลของมัน วิเคราะห์ได้ ย่อได้ ขยายได้ เหมือนเราเข้าใจคณิตศาสตร์ ดังนี้. 2+2 =4 2 x 2=4 1+1+1+1=4 2ยกกำลังสอง=4 คำตอบ ที่ถูกต้องคือ 4 แต่วิธีการได้มาต่างกัน .........จากประสบการณ์ของผม การไม่เข้าใจ จึงเหมือนการคลำทางอยู่ เพราะไม่มีเป้าหมายนั่นเอง เป้าหมายคือการทำความเข้าใจตนเองนั่นเอง เข้าใจความเป็นกาย หรือความเป็นเรา ตัวเรา ถ้าเข้าใจได้มันจบ แต่การไม่เข้าใจกายของตน การปฏิบัติจึงเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร์ การงมเข็มก็ยังมีเป้าหมาย คือถ้าหาเข็มเจอก็จบ แต่ที่เป็นอยู่คือการดำน้ำ แล้วมันจะจบได้อย่างไร. ดังนั้นการปฏิบัติธรรม จึงเป็นการเข้าใจตนเองนั่นเอง มันจึงเป็นภาระของมนุษย์ ที่จะต้องทำความเข้าใจตนเอง เพิ่อจะได้เกิดความกระจ่าง ว่ามันเป็นเพียงการเกิดอยู่ของธรรมชาติเท่านั้น การยึดมั่นจึงเป็นความหลงอยู่ในความเป็นธรรมชาติ. โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.42.130 วันที่: 8 มิถุนายน 2555 เวลา:6:47:48 น.
การสร้างความรู้สึกตัว จะเป็นการแยกความรู้สึกหรือจิต ออกไปจากกาย ให้รู้อาการทางร่างกายอย่างนี้ ถ้ามีความชำนาญพอ คือมันแยกได้นานขึ้น จะเป็นอาการตื่นหรือความรุ้สึกที่ว่าง
...........มันมีลำดับการทำงานของมัน และในแต่ละลำดับมันส่งผลทางความรู้สึก แรกๆมันจะมีอาการต่อต้าน ก็จะเกิดเป็นความเครียดได้ ต้องอนุโลมปฏิโลม จิตกับกายมันสร้างให้เป็นตัวเรา และสร้างความรู้สึกต่างๆให้เกิดขึ้น ถ้าไม่เรียนรู้มันก่อนก็จะไม่เข้าใจความเป็นเหตุผล ดังนั้นการอ่านก็คือการเรียนทางทฤษฎีนั่นเอง เหมือนหมอต้องท่องหลักอนาโตมี่ให้ขึ้นใจก่อนนั่นเองจึงจะเรียนเรื่องโรคต่างๆได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการคลำทางอยู่ เพียงแต่แจ้งไปทางอีเมล์เท่านั้นเอง ท่านก็จะได้รับ จงทำตัวให้เป็นเสมือนน้ำครึ่งแก้ว โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 9 มิถุนายน 2555 เวลา:10:35:54 น.
การเข้าใจธรรมะวิถีเซ็น จะใช้ถ้อยคำง่ายๆที่กระทบความรุ้สึก เราจะเกิดความรู้สึกเหมือนได้บรรลุธรรม คือพบความจริง ที่อธิบายให้เห็นความเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ........... เช่น จงทำตัวให้เป็นเหมือนน้ำครึ่งแก้ว อยาทำตัวเหมือนน้ำเต็มแก้ว ..........คงไม่อธิบายแต่ให้รู้สึกเอาเอง ถ้าเข้าใจได้คือกระทบจิตใจ ก็ถือว่าได้ผล แต่ถ้าอธิบายถึงเข้าใจ ก็ไม่เกิดผล.............นี่คือวิถีเซ็น เราต้องหาคำตอบเอาเอง โดย: ไพรสณฑ์ IP: 101.108.97.239 วันที่: 9 มิถุนายน 2555 เวลา:20:18:33 น.
แนวทางของหลวงพ่อเทียน ก็เหมือนวิถีเซ็น.... "มีความรู้สึกตัว ในความรู้สึกของตัวเอง" คือรู้ว่าอาการของความรู้สึกของเราเป็นอย่างไรในขณะนี้ โดย: ไพรสณฑ์ IP: 101.108.97.239 วันที่: 9 มิถุนายน 2555 เวลา:22:21:38 น.
แนะนำการมองโลกตามจริง.... สมมุติเรากำลังดูทีวี ก็ให้มองว่าทีวีมันทำงานอย่างไร ที่มันมองดูสมจริง แท้จริงมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น ภาพที่เราเห็นว่ามันเคลื่อนไหวนั้น แท้จริงมันเป็นหลายภาพปรากฏต่อเนื่องกันอยู่ ช่วงที่มันเปลี่ยนภาพนั้นจอจะว่างแต่เรามีความรู้สึกที่หยาบกว่าเราจึงเห็นมันต่อเนื่องกลายเป็นภาพเคลื่อนไหว และเสียงที่เราได้ยินนั้น มันดังออกมาจากลำโพง ไม่ได้ดังออกมาจากภาพ และความเป็นภาพนั้นมันเป็นเส้น และเป็นสีที่แตกต่างกัน ทำให้เราเห็นเป็นภาพ ........ถ้ามองตามความเป็นจริง มันจึงเป็นสิ่งที่ประกอบกันอยู่เท่านั้น เหมือนมันหลอกเรานั่นเอง แต่เราต้องมองที่ความรู้สึกของเรา ว่าเห็นความเป็นภาพมายาจากธรรมชาติ และเราก็คล้อยตามมัน ถ้ามองมันตามจริงเราจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะมันเป็นภาพหลอกอยู่เท่านั้น และเราก็สร้างภาพมายาขึ้นมาหลอกตนเอง .............กลับมามองที่ตัวเรา ถ้ามองตามจริง เราก็จะเห็นความเป็นภาพมายาเหมือนกัน มันเป็นการรวมกันอยู่ของกลุ่มเลือดเนื้อหนังกระดูก หรือโดยละเอียดก็คือความเป็นธาตุทั้งสี่ รวมตัวกันอยู่ มีความรู้สึกที่เป็นธาตุรู้ เราจึงรู้สิ่งต่างๆได้ โดยรวมมันก็เหมือนการรวมกันอยู่เช่นกัน แต่เรามองว่ามันเป็น "ตัวเรา" ถ้ามองตามจริงคือมันเป็นการทำงานของมวลสารกับพลังงาน ที่ทำให้เกิดเป็นตัวเรา และทำให้เราเหมือนรู้สิ่งต่างๆได้ความจริงเราสิ่งที่มากระทบเท่านั้น นอกนั้นเราคิดเอาเอง ซึ่งก็เหมือนกับเราหลงอยู่ในความเป็นมายาของธรรมชาติ ถ้าควาสมจริงนี้สัมผัสขึ้นที่ความรุ้สึก เราจึงจะเห็นการทำงานทางธรรมชาติของความเป็นตัวเรา ทำให้เรารู้สิ่งต่างๆได้ เราจะเห็นได้ว่ามันเป็นเพียงปรากฏการณ์ของธรรมชาติเท่านั้น โดย: ไพรสณฑ์ IP: 101.108.116.11 วันที่: 20 มิถุนายน 2555 เวลา:7:29:58 น.
....การปฏิบัตินี้ เพื่อให้เข้าใจได้ว่า ตัวเรา ความรู้สึกของเราเป้นเพียงธรรมชาติเท่านั้น ดังนั้นการหลงยึดมั่นในความเป็นธรรมชาติจึงเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผล จึงปล่อยวางให้มันเป็นเพียงธรรมชาติเท่านั้น.......... โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.16.36 วันที่: 2 กรกฎาคม 2555 เวลา:6:45:09 น.
.........ว่าง สงบ คือความเป็นธรรมชาติ การดิ้นรนอยู่จึงเป็นทุกข์ คือบทสรุป ของการแสวงหา ........ โดย: อยุ่ในปัจจุบันเสมอ IP: 125.25.28.195 วันที่: 6 กรกฎาคม 2555 เวลา:6:08:34 น.
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 10 กรกฎาคม 2555 เวลา:7:07:17 น.
ไม่ได้มาเยียมนานมากแล้ว บ้านนี้ยังคงสงบร่มเย็นเหมือนเคย คุณไพรสณฑ์สบายดีนะคะ
โดย: เกศสุริยง วันที่: 22 กรกฎาคม 2555 เวลา:16:51:00 น.
....สบายดีครับ อยู่ในความสงบเย็น เหมือนอยู่วิมานส่วนตัว ใกล้เข้าพรรษาแล้ว ทำชีวิตให้มีความสงบเย็น ครับ
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 24 กรกฎาคม 2555 เวลา:19:07:46 น.
ได้รับ Email จาก praisin2493@gmail.com จึงตามหาแหล่งต้นตอ และมาเจอที่นี่ทีๆผมแปลกใจมาก
ผมอ่านข้อความของท่านไพรสณฑ์แล้วมีความรู้สึกถึงธรรมชาติที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ความลับของธรรมชาติที่คงยืนหยัดแสดงตัวให้เห็นอยู่ตลอดเวลา แต่หลายชีวิตบนโลกใบนี้(รวมถึงตัวผมเอง)ยังต้องดิ้นรนอยู๋ด้วยเพราะเหตุเพียงว่านี "คือฉัน,ของฉัน" ยังไงก็แล้วแต่ฉันก็ยังคงมีอยู่จริงบนโลกใบนี้แต่สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงก็คือ "มันคือฉันและเป็นของฉัน" เหลือไว้เพียงหน้าที่ของความเป็นคนที่ยังต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเป็นไปตามกฏของเหตุและผล ทำทุกสิ่งที่ควรทำด้วยแนวทางของมรรคองค์ 8 เพราะนั่นคือแนวทางที่เหมาะสมและดีที่สุดทำมันจนกว่าธรรมชาติจะคืนสภาพของตัวมันเอง การปล่อยวางอย่างพอดีและเหมาะสมจะพาชีวิตไปสู่ความสงบเย็นเป็นสิ่งที่ผมเรียกว่า"บุญ" ขอสาธุครับ khamthone@yahoo.com โดย: ปลาซิว(ชีวิตกับธรรมชาติ) IP: 180.180.145.24 วันที่: 26 กรกฎาคม 2555 เวลา:19:50:36 น.
ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจ ความจริงในอีเมล์นั้นมีอีเมล์ให้ติดต่อกลับได้อยู่แล้วครับสำหรับผู้ที่สนใจ...
***สิ่งที่ผมพยายามที่จะอธิบายก็คือการเห็นความจริงทางธรรมชาติ ตัวเราคือการปรุงแต่งกันของธรรมชาตินั่นเองที่แสดงเป็นตัวเราอยู่ เราอยู่ในภพมนุษย์ที่ต้องมีภาระน้าที่ตามสิ่งที่ผูกพันกัน คือภาระต่อชีวิต ภาระต่อครอบครัวและสังคมนั่นคือความเป็นมิติในภพของมนุษย์ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในภพใดๆ มันก็คือการทำงานของธรรมชาติอยู่นั่นเอง มีความผูกพันในภพที่ตนอยู่ ซึ่งมันมีลักษณะของการยึดมั่น ..........การรู้ความจริงทางธรรมชาติ ทำให้เราละคลายการยึดมั่นเพราะมันเป็นการทำงานของธรรมชาติเท่านั้น การหลงใหลอยู่จึงเหมือนหลงอยู่ในความเ็็ป็นธรรมชาตินั่นเอง ความรู้นี้จึงเป็นการรู้ความจริงทางธรรมชาตินั่นเอง มันจึงนำไปสู่แนวทางการปฏิบัติในการดำเนินชีวิตว่าควรจะเป็นไปตามทางสายกลาง รู้ประโยชน์ตน รู้ประโยชน์ท่าน ทำตนเองให้มีค่าสมควรแก่การมาอยู่ในโลกนี้ แต่การเข้าใจความจริงมันเป็นความรู้ คือรู้ความจริงของตนเองเองนั่นเอง ว่ามันเ็ป็นการทำงานของปรมัตถธรรมธาตุเท่านั้น แต่การยึดมั่นทำให้เรามีภพเกิดขึ้น การรู้ความจริงนี้จึงมีความเป็นเหตุผลเกิดขึ้น....มันจึงทำให้เราหมดความสงสัยนั่นเอง เหมือนการที่เรารู้การทำงานของเครื่องบินหรือรถยนตร์นั่นเอง ก็ทำให้เราหมดความสงสัย การที่เรารู้ความเป็นธรรมชาติของตนเองก็ทำให้เราหมดความสงสัยเหมือนกัน เราจึงต้องระวังการปรุงแต่งนี้ไม่ให้ความเป็นธรรมชาติมันครอบงำ นั่นคือสิ่งที่ผมนำเสนอ ในความเป็นศาสตร์ทางธรรมชาติที่เกิดเป็นตัวเรา หรือพวกเราว่ามันเป็นมาอย่างไร ..........ซึ่งความจริงท่านอธิบายไว้ในอภิธรรมแล้ว. ขอบคุณที่ให้ความสนใจครับ ผมก็กำลังหาผู้ร่วมอภิปรายอยู่ครับ โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 1 สิงหาคม 2555 เวลา:20:58:59 น.
|
ไพรสณฑ์
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?] การปฏิบัติธรรม... คือการมีสติรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตคือความเป็นธรรมชาตินั่นเอง การมองชีวิตในมุมกลับจึงเห็นความจริงว่ามันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาตินั่นเองที่เป็นอยู่คือการยึดมั่น... ...การเห็นความจริงนี้จึงเป็นการเห็น"สัจจะธรรม"จึงพบคำตอบเกิดขึ้นว่าพวกเรามาทำธุระอะไรกันอยู่บนโลกใบนี้. แท้จริงมันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น...คือความจริงที่จะต้องทำความเข้าใจ เพราะการเข้าใจว่าเป็น "ตัวเรา"มันเป็นการหลงอยู่ในการปรุงแต่งของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น. ...การเข้าใจมันตามจริง.... จึงเห็นความเป็นเหตุผลเกิดขึ้น..."ตัวเรา"เป็นเพียงการสมมุติของธรรมชาติเท่านั้น จึง เกิดความวิเวก วังเวง เพราะมันเป็นความจริงนั่นเอง
Friends Blog
Link |
ใครไม่เคยอ่าน ทางวิเวกฯ...
ความจริงชื่อมันก็อธิบายเนื้อหาหนังสือ แล้วน่ะ
อ.รักษ์มนันญา สมเทพ เป็นผู้ตั้งให้
ถ้าทำความรู้สึกให้วิเวกฯ มันก็หลุดพ้นได้ในขณะนั้น ถ้าเป็นพระที่แสวงหาจะเข้าใจง่าย แต่ฆราวาสที่อยู่ในเมือง ทำยังไงก็ไปไม่ถึง เพราะมันวิเวกฯไม่จริงนั่นเอง เพราะมันมีเรื่องอะไรต่ออะไรมากมายที่ทำให้ไม่สามารถจะวิเวกฯได้จริง จะทำได้ก็แต่สมมุติๆเอา
ถ้าจับอาการวิเวกฯให้เกิดเป็นอารมณ์ จะหลุดพ้นจริงคือรักษาอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไว้
เช่น ...
...เรามาอยู่โลกนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ในที่สุดเราก็จะจากไปและไม่กลับมาอีก วันนั้นจะมาถึงแน่นอน.........ความวิเวกฯก็จะเกิดขึ้น เพราะมันเป็นจริง วันหนึ่งเราต้องจากไปแน่นอน
...ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้าย เรามีอะไรจะสั่งเสียไหม
....มองดุ สามี ภรรยาบุตร ดูความผูกพันมันแน่นหนามาก หรืออาจจะเปราะบางก็ได้ แต่แท้จริงก็เหมือนสิ่งสมมุติ เพราะในที่สุดมันก็กลับคืนสู่ความจริง แท้จริงเราไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากธรรมชาติที่เกิดและดับอยู่เท่านั้น
....ชีวิตเหมือนความฝัน คุณคิดว่ามันเหมือนความฝันไหม ตอนนี้คุณกำลังฝันอยู่ ในที่สุดคุณก็จะตื่น คือการพบกับความจริงของมัน คือกลับคืนสู่ธรรมชาตินั่นเองคือความจริง ที่เป็นอยู่จึงเหมือนความฝันอยู่เท่านั้น
ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เกิดความวิเวกฯ เพราะมันเป็นความจริงที่เราต้องเผชิญนั่นเอง แล้วตอนนี้เรากำลังคิดอะไรอยู่
...........เป็นเนื้อหา โดยประมาณ ของหนังสือทางงิเวกฯ