Little drops of water, Little grains of sand Make the mighty Ocean, and the pleasant land. Little deeds of kindness, Little words of love Help to make Earth Happy, Like the Heven above.
Group Blog
 
All Blogs
 
Heifetz as I knew him(8) ตอนจบ

จากตอนที่แล้ว ท่านผู้อ่าน อาจจะดูเหมือนว่าช่วงชีวิตของ Heifetz หลังจากเลิกสอนไวโอลิน ดูจะมีความสุขมากกับการเล่นดนตรี และการทำงาน Transcription

แต่แท้จริงแล้ว ช่วงระหว่างรอยต่อ ก่อนหน้าที่เขาจะเลิกสอนและอยู่กับบ้าน ทั้ง Agus และ Heifetz ต่างต้องประสพกับช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกัน


สาเหตุของเรื่องต่างๆก็เกิดมาจากนิสัยของ Heifetz นั่นหล่ะ ด้วยความที่เขาเป็นคนขี้หงุดหงิด และไม่เคยไว้ใจใคร เขาชอบเล่นเกมส์กับความรู้สึกของคน ชอบเฝ้าสังเกตุพฤติกรรมต่างๆของคนที่เข้ามาใกล้ชิดเขาเมื่อถูกกระทำ


ในความคิดของ Heifetz คนที่อดทนยอมรับมันได้ คนที่ตอบสนองแบบที่เขาต้องการ คนที่ไม่ถือโทษและมีความจริงใจอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะได้รับการยอมรับ และในขณะเดียวกันหากใครทำผิดพลาด เขาเหล่านั้นจะไม่เคยได้รับโอกาสครั้งที่ 2


ด้วยเหตุนี้ คนที่เป็น “เพื่อน” กับ Heifetz จึงมีน้อยมาก และเมื่อเวลาผ่านไปก็น้อยลงเรื่อยๆ และในจำนวนนั้นบางครั้ง ก็กลับกลายเป็นแค่ “คนที่เคยเป็นเพื่อน”


ในอดีต ตอนที่เขามีเพื่อนมากมาย และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก นิสัยส่วนตัวของเขา ดูจะไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ (หรือถึงจะมี เขาก็ไม่เคยสนใจ) แต่เมื่อเวลาผ่านไปนิสัยต่างๆของ Heifetz นี้เอง ที่สร้างปัญหาให้กับตัวเขาเอง



เรื่องที่บั่นทอนชีวิตของ Heifetz เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974

ในตอนนั้นชั้นเรียนของ Heifetz ถูกย้ายจาก Clark house ไปยังตึกใหม่
ตึกคอนกรีตหลังใหม่นี้ เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเย็นชา ทางเดินของที่นี่เป็นเพียงช่องแคบๆที่สามารถเดินสวนกันได้เพียงทีละ 2 คน


ประตูหน้าต่างของห้องเรียนที่นี่ไม่เคยเปิด เพราะมีการเปิดแอร์ปรับอุณหภูมิตลอดเวลา แถมมันยังส่งเสียงรบกวนต่ำๆให้รำคาญหูของ Heifetz เสียด้วย


ที่ตึกใหม่นี้มีบรรยากาศที่แตกต่างจาก Clark house โดยสิ้นเชิง ที่ Clark house Heifetz มีความรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน และไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหน ก็จะสามารถพบปะกับคนคุ้นเคยได้ตลอดเวลา ในขณะที่ตึกใหม่นี้ ทุกครั้งที่เขาเปิดประตู จะพบแต่คำทักทายจากคนที่ไม่รู้จักเขาว่า


“สวัสดีครับ/ค่ะ มีอะไรให้รับใช้?”



ที่ตึกใหม่นี้ Heifetz ได้รับห้องส่วนตัว ซึ่งติดอยู่กับห้องเรียนของเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เขามีความสุขที่นี่เลย


Heifetz พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรยากาศของห้องเรียนที่ตึกใหม่นี่ คล้ายคลึงกับห้องเรียนที่เดิม และด้วยความช่วยเหลือจาก ท่านคณบดี Beglarian จึงทำให้เขาได้รับอนุญาตให้เปิดหน้าต่างห้องเรียน เพื่อที่จะได้ยินเสียงนกร้องเพลง แถมเขายังได้ปลูกต้นไม้ที่ริมหน้าต่าง เพื่อให้มีบรรยากาศเหมือนกับห้องเรียนเดิมอีกด้วย


แต่ทว่า Heifetz ผู้น่าสงสาร เสียงที่ได้ยินจากการเปิดหน้าต่างที่ตึกใหม่นี้ กลับไม่ใช่เสียงนกร้องอย่างที่เขาอยากจะฟัง แต่กลับเป็นเสียงรบกวนจากกลุ่มนักเรียนที่อยู่ข้างล่างแทน


นอกจากนี้ที่ตึกใหม่ ยังไม่มีพื้นที่ให้นักเรียนได้พบปะสังสรรค์ ไม่มีที่ให้นั่งคุยและทานอาหารกลางวัน หรือพักผ่อนเหมือนที่ Clark house ซึ่ง Heifetz มองว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น เขาจึงเสาะหาพื้นที่ดังกล่าวด้วยตัวเขาเอง และพบว่า พื้นที่บนดาดฟ้า ดูจะเหมาะสมที่สุด และแน่นอนเขาต้องต่อสู้กับเรื่องนี้อย่างมาก เพราะถูกคัดค้านอย่างหนักจากมหาวิทยาลัย


แต่แล้วความพยายามทั้งหลายของ Heifetz ในการปรับปรุงสิ่งต่างๆเหล่านี้ ต้องหยุดชะงักลงเมื่อท่านคณบดี Beglarian เพื่อนแท้ของเขาเพียงคนเดียวในมหาลัยแห่งนี้ ลาออกไป


ตลอดเวลา ท่านคณบดี Beglarian เป็นบุคคลที่ช่วยดูแลและปกป้อง Heifetz ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อขาดเขาไป Heifetz จึงต้องรับมือกับปัญหาภายในมหาวิทยาลัยมากมาย โดยเฉพาะเรื่องความมีอภิสิทธิ์ของเขาในคณะ




อันที่จริงแล้ว ในอดีต ท่านคณบดี Baglarian เคยตั้งกองทุนขึ้นมา เพื่อให้ Heifetz และ Piatigorsky ได้เปิดชั้นเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยได้อย่างถูกต้อง


ซึ่งในกองทุนนี้ Heifetz ได้บริจาคเงินรายได้ทั้งหมดจากการแสดงคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบครั้งสุดท้ายของเขา ที่ Los Angeles Music Center ในเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 1972 เพื่อสมทบทุน ช่วยปรับปรุงรายได้ของคณะดนตรีที่ USC


แต่หลังจากนั้น Heifetz ก็ไม่เคยสนใจว่าเงินจำนวนนี้ถูกใช้จ่ายอย่างไร จนกระทั้งเมื่อมันลดลงถึงระดับที่น่าตกใจ ซึ่งเขาคิดว่าการบริหารเงินที่ผิดพลาดนี้ คงเป็นส่วนหนึ่งที่ท่านคณบดีต้องลาออกไป


Heifetz ยอมพบกับท่านคณบดีคนใหม่ ยอมจับมือต้อนรับด้วย แต่ก็เพียงเพื่อให้ชั้นเรียนของเขาคงอยู่ต่อไปเท่านั้น และรีบออกจากงานเลี้ยงต้อนรับในทันทีที่ทักทายครบแล้วทุกคน

แต่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ท่านคณบดีคนใหม่เข้ารับตำแหน่งได้ไม่นานก็เสียชีวิตลง ดังนั้นจะต้องมีการค้นหาบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ต่อไป


ในช่วงเวลานี้ Heifetz เองก็เริ่มเหนื่อยหน่ายกับการเดินทางไปสอนที่มหาวิทยาลัย แม้จะเพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้งก็ตาม จริงอยู่ว่าในตอนนั้น Heifetz อายุ 81 ปีแล้ว และแม้ว่าเขาจะเบื่อหน่ายการจราจรใน LA ที่คับคั่งขึ้นทุกวัน แต่สาเหตุที่แท้จริงนั้นน่าจะมาจากความเย็นชาของบรรยากาศในวิทยาลัยมากกว่า


แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สุดท้าย เขาจึงตัดสินใจย้ายชั้นเรียนไปที่สตูดิโอของเขาที่ Beverly Hill โดยไม่สนใจว่า การจะย้ายไปเรียนที่นั่น เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องมีการขออนุญาตและปรึกษากับมหาวิทยาลัยเป็นพิเศษเสียก่อน


หลังจากนั้น ก็มีปัญหาเรื่องตำแหน่งของ Heifetz ในมหาวิทยาลัยตามมา เขาต้องเจรจากับท่านคณบดีคนใหม่ ถึงสัญญาในการทำงานของเขาต่อไปในมหาวิืทยาลัย ซึ่งฉันคิดว่าปัญหาอย่างหนึ่งที่มีการถกเถียงกันคือเรื่องเงินเดือนของเขา

Heifetz ถูกเรียกไปพบกับท่านคณบดีคนใหม่ เพื่อเจรจาเรื่องสถานที่ ที่เขาจะใช้ในการสอนและเรื่องเงินเดือนของเขา เพราะตอนนี้เงินในกองทุนที่เคยมี ถูกใช้ไปจนเกือบหมดแล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงจากนี้ต่อไป เงินใช้จ่ายในชั้นเรียนทั้งหมดของเขา จะมาจากมหาวิทยาลัยเท่านั้น

จำนวนนักเรียนขั้นต่ำในชั้นเรียนที่ถูกกำหนดขึ้น เป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้ และไม่ยอมเจรจา

ปัญหาต่างๆของ Heifetz ถูกยกขึ้นมาเป็นหัวข้อถกเถียงกันในที่ประชุม และไม่มีใครเลยซักคนขึ้นมาโต้แย้ง


หลังจากเกือบหมดช่วงภาคเรียนที่ 2 Heifetz ได้รับจดหมายจากคณบดีคนใหม่ ซึ่งแจ้งถึงเงินค่าใช้จ่ายของกองทุนชั้นเรียนของเขา แต่เงินจำนวนนี้เพียงพอที่จะใช้จ่ายเป็นเงินเดือนของเขา ของผู้ช่วย และของฉัน เฉพาะในเทอมนี้เท่านั้น


แล้วในที่สุด Heifetz ก็ตัดสินใจลาออก ก่อนที่จะถูกไล่ออก ในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1983 นี่เอง







Jascha Heifetz Melodie จากบัลเล่ห์เรื่อง Orfeo ed Euridice
แต่งโดย Christoph Willibald von Gluck

คลิปนี้เป็นฉบับที่ Heifetz ทำ Transcribtion ขึ้นมา
Accompanist คือ Emanuel Bay



แต่อันที่จริงแล้วปัญหาที่เกิดในมหาวิทยาลัย ไม่ได้ทำร้ายความรู้สึก Heifetz มากนัก สิ่งที่ทำให้เขาเสียใจนั้นคือ การที่ไม่ได้สอนไวโอลินแบบที่ผ่านมากกว่า


Heifetz ตัดสินใจสอนไวโอลินต่อไปที่สตูดิโอส่วนตัวของเขา แต่ทว่ามันไม่ง่ายเลย
นักเรียนส่วนใหญ่สมัครเรียนกับเขาผ่านทางมหาวิทยาลัย และทราบแต่เพียงว่า Heifetz ไม่ได้สอนที่นั่นอีกแล้ว แต่ไม่มีการบอกต่อกันไปว่าเขาสอนอยู่ที่ไหน


จำนวนผู้สมัครเรียนลดจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ แต่ Heifetz ก็ยังคงไม่ยอมแพ้ และยังคนสอนต่อไปเรื่อยๆจนเวลาไปผ่านถึงปลายปี ค.ศ. 1985

มีแต่ผู้สมัครที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ก็มีแต่ผู้สมัครที่ต้องการเรียนส่วนตัวเท่านั้น


ในช่วงระหว่างปีนั้นฉันได้รับเงินเดือนจากทั้งที่มหาวิทยาลัย ในฐานะนักเปียโนประจำชั้นเรียนของ Heifetz และจากเงินเดือน จากเงินส่วนตัวของเขา ในฐานะนักเปียโนในชั้นเรียนส่วนตัวของเขา

แต่เมื่อจำนวนนักเรียนในชั้นลดน้อยลง Heifetz จึงจำเป็นต้องหาตำแหน่งใหม่ให้ฉัน เพื่อที่ฉันจะได้อยู่ได้อย่างถูกต้อง


ด้วยความบังเอิญที่ขณะนั้น เลขาของ Heifetz ซึ่งทำงานร่วมกับเขามานานถึง 15 ปี เกิดลาออกไปแต่งงาน ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก ดังนั้นเขาจึงแต่งตั้งฉันให้เป็นผู้จัดการดูแลบ้านของเขา


แต่หลังจากผ่านไป 2 -3 เดือน เมื่อเขาคิดได้ว่า ถ้าฉันอยู่ในตำแหน่ง "ผู้จัดการ" เขาก็จะต้องถูกดูแลอีก Heifetz มีความทรงจำที่ไม่ดีตั้งแต่ครั้งสมัยออกทัวร์คอนเสิร์ต ทำให้ เขาเกลียดคำว่า “ผู้จัดการ” เข้ากระดูก


ดังนั้นเขาจึงมาถามความเห็นฉันว่า เขาควรจะเรียกฉันว่าอะไรดี


ฉันตอบไปว่า จะเรียกฉันว่าอะไรก็ได้ ที่เหมาะสมกับความรับผิดชอบมากมายที่ฉันต้องทำ ตั้งแต่ เป็นแม่บ้าน,ผู้จัดการ,นักเปียโน,ผู้ร่วมงานทางดนตรี, organizer, ช่างซ่อมบำรุง บลาๆๆๆ

นอกเหนือจากนั้นฉันยังต้องทำหน้าที่เป็นฝ่ายบุคคลที่ต้องคอยหาแม่บ้าน และ เลขาคนใหม่ให้เขาทุกสัปดาห์


แล้วสุดท้าย ฉันก็ตอบว่า ชื่อตำแหน่งที่ฉันควรจะได้รับคือ

“unofficial private accompanist”

หรือแปลกันง่ายๆว่า “ผู้ร่วมงานส่วนตัวแบบไม่เป็นทางการ” นั่นเอง





เหตุการณ์ต่างๆเลวร้ายลงไปอีก เมื่อ Heifetz ตัดสินใจขายบ้านพักตากอากาศที่ Malibu


ช่วงเวลานั้นมีเหตุเกิดพายุรุนแรง ซึ่งสร้างความเสียหายแก่บ้านที่ริมหาดหลายหลังรวมทั้งบ้านของ Heifetz ด้วย

มีทรายหนาเป็นนิ้วทะลักเข้ามาในห้องนั่งเล่น ข้าวของภายในบ้านกระจัดกระจายแตกเีสียหาย และที่สำคัญคือสวนของ Heifetz ถูกพังราบเป็นหน้ากลอง


Heifetz ออกคำสั่งให้ฉันทำอะไรซักอย่าง เพื่อให้บ้านกลับสู่สภาพเดิมโดยเร็วที่สุด เขาต้องการจะซ่อมแซมทุกอย่างให้มีสภาพแหมือนก่อนโดนพายุทุกประการ


โชคร้ายที่แบบแปลนบ้านก็ถูกทำลายไปด้วย และฉันเองก็ไม่ใช่สถาปนิก แต่ Heifetz ก็ยังคงยืนกรานไม่ยอมลดละ

ฉันจำต้องวาดรูปบ้านและสวนจากความทรงจำในอดีต แล้วเอาไปให้ช่างซ่อมดู เพื่อซ่อมแซมบ้านให้เหมือนเดิมมากทีุ่สุด


แต่ในความคิดของฉันการที่เขาตัดสินใจขายบ้านที่ Malibu ไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องการเงิน และไม่ใช่เพราะบ้านถูกพายุพังทะลาย


สิ่งที่ทำให้ Heifetz ตัดสินใจขายบ้านหลังนั้น เพราะสภาพแวดล้อมรอบๆบ้านเปลี่ยนแปลงไปต่างหาก


เพื่อนบ้านคนใหม่ ซึ่งเปิดวิทยุเพลง Rock เสียงดัง ทั้งๆที่ตัวเองไม่อยู่บ้าน เสียงรบกวนจาก jet ski เครื่องเล่นทางน้ำอื่นๆ และเสียงเฮลิคอร์ปเตอร์

แล้วไหนจะยังเรื่องการย้ายเข้ามาของดาราดังๆทั้งหลาย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว และคนแปลกหน้าต่างๆให้เข้ามา


แม้ว่าเขาจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อคงสภาพแวดล้อมต่างๆให้เหมือนเดิม ทั้งการสั่งให้ฉันไปเจราจากับเพื่อนบ้าน หรือ แม้แต่พึ่งกฏหมาย Heifetz ยังคงเหมือนเดิม ทั้งที่โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว


แล้วในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ และขายบ้านอันเป็นที่รักหลังนั้นไป



รูป Heifetz กับ Jack benny ดาราตลก ผู้มีชื่อเสียง


สุดท้าย เมื่อโลกของ Heifetz เหลืออยู่แต่เพียงบ้านที่ Beverly Hill ประกอบกับการที่เขามีโอกาสได้พบปะผู้คนน้อยลงเรื่อยๆ นั่นทำให้เขาหันเหความสนใจทั้งหมดมาที่ฉัน และคอยติดตามทุกสิ่งที่ฉันทำทุกฝีก้าว


แต่ถึงกระนั้น ด้วยความที่เขาเป็นคนขี้ระแวง แม้แต่ฉันซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเขามานานก็ไม่มีข้อยกเว้น

อะไรที่ทำให้เด็กผู้หญิงคนนี้ยังคงอยู่กับฉัน เธอต้องการอะไร ทำไมเธอถึงไม่ทิ้งฉันไปแล้วไปใช้ชีวิตของตนเองแบบที่คนอื่นๆทำ


เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ทำทุกวิถีทาง เพื่อทดสอบฉัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำจัดฉันออกไปจากชีวิตของเขา


Heifetz เริ่มต้นด้วยการทดสอบความต้องการเงินของฉัน โดยแกล้งขึ้นเงินเดือนให้ แล้วต่อมา 2-3 เดือน เขาก็ลดมันลงสู่ระดับที่น่าตกใจในเดือนถัดไป จากนั้นก็รอดูปฏิกิริยาตอบสนองจากฉัน

แน่นอน ฉันประท้วงเขา และถึงแม้ว่าเขาจะมองว่า “เงิน” นั้นสามารถซื้อได้ทุกอย่าง แต่ฉันก็เถียงกลับไปว่า “เงิน” ของเขานั้นไม่สามารถซื้อ แม่บ้านดีๆ ที่สามารถทำทุกอย่างได้ถูกใจเขาได้หรอก


ต่อมาเขาก็หาเรื่องฉันอีกครั้ง โดยการตั้งข้อสงสัยว่าฉันอยากจะฆ่าเขา

บ่ายวันนึงขณะที่ Heifetz กำลังนั่งดื่มอยู่ที่บาร์ เขาจ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาเย็นชา แล้วจู่ๆก็ถามขึ้นมาว่า


“เธอใส่ยาพิษลงในเครื่องดื่มของฉันใช่ไหม มันคือยาอะไร มันคือยาเบื่อหนูใช่หรือเปล่า?”



เขาไม่ได้ถามฉันด้วยอารมณ์ขันหรือตั้งใจจะหยอกล้อ แต่ถามฉันด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง พร้อมกับสีหน้าอันเคร่งเครียดที่บ่งบอกให้รู้ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

ฉันโมโหมาก เพราะการถูกกล่าวหากันแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่คนสนิทกันควรจะทำ ฉันตัดสินใจหยิบแก้วมาจากมือของเขา แล้วค่อยๆดื่มมันช้าๆต่อหน้าเขา และบอกเขาว่ารสชาติของมันไม่ได้ผิดแปลกอะไรจากที่ควรจะเป็นเลย


เขาเฝ้าดูฉันด้วยท่าทางสงสัยอยู่พักนึง เหมือนจะรอดูว่าฉันเกิดอาการอะไรไหมหลังจากดื่มน้ำนั่นเข้าไป แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ และเดินไปที่สตูดิโอโดยที่ไม่พูดอะไรเลยซักคำ






นอกจากนี้แล้ว Heifetz ยังสร้างปัญหาน่าปวดหัวให้กับฉันมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องการหาแม่บ้าน


Heifetz เป็นคนที่ใช้แม่บ้านเปลืองมากๆ แม่บ้านบางคนทำงานอยู่ได้ไม่ถึง 1 สัปดาห์ และบางคน ก็ถูกไล่ออกตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงานด้วยซ้ำ ด้วยเหตุผลประหลาดๆเช่น เธอคนนี้มีแววตาน่ากลัว และเขาคิดว่าเธอคนนั้นจะฆ่าเขา


แต่ปัญหาในการเสาะหาแม่บ้านกลายเป็นเรื่องเล็กเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ เพราะหลังจากที่เขาขายบ้านที่ Malibu Heifetz ก็กลายเป็นคนซึมเศร้า และมีอาการหนักขึ้นเรื่อยๆทุกวัน


ตลอดเวลาในช่วงนี้ Heifetz ยังคงทดสอบเพื่อค้นหาความชั่วร้ายของฉัน

มีผู้คนมามายที่ละทิ้งเขาไป ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากตัว Heifetz เองที่เป็นคนกำจัดเขาเหล่านั้น Heifetz ไม่เคยไปเยี่ยมใคร และไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเขา และนั่นยิ่งทำให้เขาเกิดคำถามว่า ยายเด็กบ้านป่าจากอินโดนีเซียคนนี้ มัวทำอะไรอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะกำจัดเธอออกไปให้พ้นทาง


แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาตัดสินใจตัดความสัมพันธ์กับฉัน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นมนุษย์คนสุดท้ายที่ยังยอมคบกับเขาอยู่


แต่ถึงแม้ว่าเขาจะร้ายกับฉันยังไง ฉันก็ยังคงไม่จากไปอยู่ดี มีเพียงวิธีเดียวที่เขาจะกำจัดฉันไปได้ คือไล่ฉันออก ซึ่ง Heifetz ไม่เคยทำเช่นนั้น เพราะเขารู้ว่า ฉันยังจำเป็นสำหรับเขาอยู่


วันนึงเขาสั่งให้ฉันนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับเขา แล้วเริ่มร่ายยาวถึงเหตุการณ์ในอดีตเป็นชั่วโมง เขาพูดถึงแต่เรื่องเลวร้ายที่ฉันทำกับเขา และกล่าวโทษถึงสิ่งที่ฉันทำผิดพลาดในอดีต

และเมื่อฉันบอกเขาว่าไม่ต้องการจะฟังอีกต่อไป เขากลับผลักฉันไปที่เก้าอี้ และตะโกนใส่ฉัน


“เธอจะต้องฟัง จนกว่าฉันจะพูดจบ”


ในตอนนี้ฉันหมดสิ้นความอดทนทุกอย่างแล้ว ฉันโมโห และเริ่มโต้เถียงด้วยเสียงในระดับความดังเช่นเดียวกับที่เขาตะโกนใส่ฉัน


ทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน ฉันมักจะปลอบใจตัวเอง ว่านิสัยของเขานั้นมีพื้นฐานมาจากสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมา ประกอบกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญในตอนที่เป็นผู้ใหญ่ นั่นทำให้เขาเป็นแบบนั้นเอง โดยที่เขาไม่เคยคิดว่า สิ่งที่เขาทำเป็นการทำลายตัวเอง รวมทั้งทำลายฉันด้วย


แม้ว่าเราจะมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง แต่ Heifetz ยังคงควบคุมให้ฉันทำกิจวัตรทุกอย่างเหมือนเดิม โดยไม่สนใจว่าเมือ่ 2-3 นาทีที่ผ่านมานั้น มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น


ฉันต้องแกล้งทำตัวเป็นปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งอันที่จริงแล้ว แม้ว่าในตอนที่ Heifetz ป่วยไม่สบาย เขาก็ยังคงทำกิจวัตรทุกอย่างเหมือนเดิม ตื่นนอนเวลาเดิม ทานอาหารเท่าเดิม เฝ้าดูฉันซ้อมเปียโนและให้คำแนะนำเหมือนเดิม


เขายังคงทำตัวเป็นปกติ แม้แต่ในวันที่เขากล่าวหาว่าฉันจะฆ่าเขา







แต่แม้ว่าเราจะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน และไม่ว่าฉันจะโกรธเขามากแค่ไหนก็ตาม ทุกครั้งก่อนที่ฉันจะกลับบ้าน ฉันจะจูบลาเขาที่แก้มเสมอ


มีบ่อยครั้งที่ฉันขับรถกลับบ้านพร้อมกับน้ำตา และต้องวนรถไปมาอยู่หลายครั้งกว่าจะสงบสติอารมณ์และเข้าบ้านได้ เพราะฉันไม่ต้องการที่จะตอบคำถามหรือรับฟังคำแนะนำใดๆจากสามี


แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ในที่สุด Heifetz ก็ยกเลิกหน้าที่ของฉันทุกอย่างในบ้านของเขา

ฉันยอมรับการตัดสินใจของเขา และบอกว่าให้เขาโทรหาฉันได้ หากต้องการความช่วยเหลืออะไร


หลังจากผ่านไป 2 วัน Heifetz โทรหาฉันด้วยน้ำเสียงอันนอบน้อม พร้อมกับบอกเล่าถึงปัญหาอันน่ากลุ้มใจ

Heifetz บอกว่า เขาไม่สามารถเปิดเตาแก๊สได้ โดยคิดว่ามันน่าจะเสีย และอยากให้ฉันไปหาเขาที่บ้านพร้อมกับช่วยเรียกช่างซ่อมให้หน่อย


เมื่อฉันไปถึง ก็พบว่า Heifetz อยู่ในสภาพที่น่าสงสาร เขาไม่โกนหนวด และดูท่าทางอิดโรยจากการไม่ได้ทานอาหารอย่างเพียงพอ

ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Heifetz แต่ที่แน่ๆคือ เขาเป็นคนที่ไม่สามารถอยู่คนเดียวลำพัง โดยปราศจากคนดูแล เพราะเขาไม่สามารถดูแลตนเองได้เลย


วันนึงเขาถามฉันตรงๆ


"ทำไมเธอถึงไม่ลาออก?"


ในตอนนั้น ฉันได้ผจญกับความยากลำบากมากมายที่ Heifetz ก่อขึ้น และตัดสินใจได้แล้วว่าอยากจะบอกกับเขาตรงๆเหมือนกัน


“ถ้าคุณอยากจะให้ฉันจากไป ก็เพียงแต่ไล่ฉันออกก็เท่านั้น”

“ฉันไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แล้วก็ไม่ใช่คนที่จะล้มเลิกกลางคันเมื่อเจอะปัญหา ถึงแม้ว่าคุณจะทำเรื่องเลวร้ายมากมาย ที่ทำให้ฉันต้องพบกับความลำบากและทำให้ฉันไม่สามารถดูแลคุณได้อย่างเต็มที่ แต่ฉันก็ไม่เคยสิ้นหวังในตัวคุณ สิ่งเดียวที่ฉันต้องการจากคุณคือโอกาสที่จะให้ฉันได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น”


คำตอบของฉัน ดูจะได้ผล และช่วยกระตุ้นให้ Heifetz รู้สึกตัวถึงความรับผิดชอบของเขาที่ควรจะมีต่อตนเอง

เขาเงียบไป และเปลี่ยนท่าทางที่ปฏิบัติต่อฉัน เขากลับมาให้เกียรติฉัน พูดคำหวาน และทำดีต่อฉํนทุกอย่าง


แล้วในที่สุดเรา 2 คนก็ดีต่อกันดังเดิม




หลังจาก 2 ปีแห่งความทรมาณผ่านไป Heifetz ก็หายจากอาการซึมเศร้า และกลับมาเป็น Heifetz คนเดิม


เราทำงาน Transcription ด้วยกันต่อไป และ Heifetz ยังคงมีนิสัยเอาแต่ใจเหมือนเดิม


เขายังคงยืนยันที่จะให้ฉันตามหาช่างซ่อมวิทยุเครื่องเก่า ที่มีอายุตั้งแต่ปี 1920 ทั้งๆที่มันไม่มีอะไหล่จะเปลี่ยนแล้ว


นอกจากนี้เมื่อ intercom ที่บ้านของเขาเสีย เขาก็สั่งให้ฉันซ่อมมัน โดยที่ไม่มีอุปกรณ์ใดๆให้ใช้เลย แถมยังจำกัดเวลาทำงานอีกด้วย


ฉันเองซึ่งไม่รู้ว่าจะซ่อมมันยังไง จำต้องหาโทรศัพท์เก่าๆเครื่องนึงต่อสายไปหาช่างซ่อมโทรศัพท์เพื่อถามถึงวิธีซ่อมเครื่อง intercom ซึ่งในตอนนั้น Heifetz มีทีท่าไม่พอใจอย่างมาก ที่เห็นฉันสนใจโทรศัพท์มากกว่าตัวเขาที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น





คลิปนี้ช่วงท้ายๆมีอิริยาบถของ Heifetz ที่หลายๆคนคงไม่เคยเห็น
เขากำลังดีดเปียโนและเขียนเพลงด้วยหล่ะค่ะ

คลิปนี้เขาว่า Heifetz เป็นคนเล่นเปียโนเอง ในเพลง popular song ที่ชื่อว่า When You Make Love To Me (Don't Make Believe) แต่งโดย Jim Hoyl



ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิตของ Heifetz เขาเคลื่อนไหวช้าลง และซูบผอมลงไปมาก เขาจำเป็นต้องใช้ไม้เท้าช่วยในการเดิน และยังคงเก็บไม้เท้าของ Auer ไว้ข้างตัวตลอดเวลา


ในตอนนี้ เขาเริ่มตัดขาดจากโลกภายนอก เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องเราวที่เขาไม่อยากฟัง และจะตอบสนองแต่เพียงเรื่องที่เขาสนใจเท่านั้น

แต่ในทางกลับกัน เวลาที่เขาเล่นดนตรี กลับได้ยินทุกเสียง ทุกโน๊ต และสามารถเก็บรายละเอียดได้อย่างครบถ้วนเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดเพี๊ยน


ในปี ค.ศ. 1986 Heifetz ออกจากบ้านน้อยมาก เขาเพียงแต่ออกไปนั่งที่สวนบ้าง และเขียนเกี่ยวกับความต้องการของเขาโดยลำพัง ซึ่งบางครั้งก็มีทนายของเขามานั่งอยู่ด้วย


อันที่จริงแล้ว Heifetz นับว่าเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงมากสำหรับคนอายุ 80 กว่าปี เขายังความจำดี มีปวดท้อง ปวดหลัง และเวียงเวียนบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่เคยติดเชื้อหรือป่วยเป็นโรคอะไรเหมือนกับคนแก่คนอื่นๆ


และแม้ว่าเขาจะชราภาพลง แต่ความรักในดนตรีของเขาไม่เคยเสื่อมคลาย และดูเหมือนว่าดนตรีนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงให้เขายังคงมีชีวิตอยู่ได้


เขายังคงเล่นดนตรีเสมอๆ ยังคงพยายามตีความเพลงต่างๆทั้งที่เคยเล่นมาแล้วและยังไม่เคยเล่น เขายังคงค้นหาและทดลองเล่นเพลงด้วยเทคนิดแบบต่างๆอยู่ตลอดเวลา


แต่ถึงแม้ว่า Heifetz จะแข็งแรงแค่ไหน หมอก็ยังคงแนะนำว่าเขาควรจะเดินออกกำลังกายบ้างทุกวันแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี แต่ทว่า Heifetz นั้นไม่ชอบเลย เพราะเขามีความรู้สึกว่า เขาเหมือนหมาที่กำลังถูกจูงไปเดินเล่น

แล้วสุดท้าย เขาจึงไม่ยอมออกไปเดินออกกำลังอีก ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้สุขภาพของเขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ




Heifetz กับ Toscanini วาทยากรชื่อดัง


Heifetz เป็นลมล้มลงหลายครั้ง สาเหตุของการล้มนั้นเกิดจากการหมดสติ แต่ก็นับว่าโชคดีที่ส่วนใหญ่แล้วหัวเขาไม่เคยตกลงกระแทกพื้นคอนกรีตแรงๆ


ครั้งหนึ่ง เขาล้มลงโดยที่ฉันไม่ได้อยู่ด้วย และเมื่อฉันมาถึงและพบว่าเขานอนหมดสติอยู่บนพื้น ฉันตกใจมากเพราะเขาไม่ตอบสนองฉันเลย

แต่ก่อนที่ฉันจะโทรขอความช่วยเหลือ เขาก็ฟื้นคืนสติและบอกฉันว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่ครอบครัวของเขา


ฉันนัดหมอให้มาตรวจอาการของเขาในวันรุ่งขึ้น แต่หมอพบว่านอกจากอาการบาดเจ็บเล็กน้อยภายนอกที่หัว และแผลฟกช้ำที่มือและเท้าซึ่งเกิดจากการล้มแล้ว เขาไม่มีอาการผิดปกติอื่นใดๆเลย


แต่ทว่าภายใต้อาการบาดเจ็บที่ดูว่าไม่มีอะไรเนี่ยหล่ะ แท้จริงแล้วมันแฝงด้วยการบาดเจ็บที่สมองโดยที่เขาไม่รู้ตัว


วันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1987 ซึ่งเป็นวัน Yom Kipper หรือวันแห่งการไถ่บาป ซึ่งวันหยุดสำคัญของศาสนายิว

ขณะนั้น Heifetz อายุได้ 86 ปีแล้ว และจะอายุ 87 ในอีก 4 เดือนข้างหน้า แต่ยังคงปฏิบัติกิจกรรมนี้ ซึ่งนั้นทำให้วันนั้น เขามีอาการอ่อนเพลียจากการอดอาหารเป็นอย่างมาก


หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน และพิธีกรรมได้สิ้นสุดลง เขาขอให้ฉันพาเขาไปที่บ้านของเพื่อนสนิท เพื่อทานอาหารและสังสรรค์กัน สำหรับ Heifetz การดื่มไม่เคยมีผลใดๆกับเขา และไม่เคยงดเว้น แม้ว่าตอนนั้นเขาจะอายุ 86 ปีแล้วก็ตาม


หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา ฉันขับรถพาเขากลับไปส่งที่บ้าน
ในขณะที่ฉันกำลังจอดรถ ฉันหมุนกระจกลงและบอกเขาว่า อย่าพึ่งไปไหน ให้รอจนกว่าฉันจะจอดรถเสร็จเสียก่อน เพื่อที่ฉันจะได้ช่วยพยุงเขาขึ้นบรรไดเข้าบ้านได้

และแน่นอน แม้ว่าฉันจะพูดแบบนี้ทุกครั้งมาเป็นเวลาหลายปี ซึ่ง Heifetz ก็มักจะโมโหทุกครั้ง และไม่ยอมปฏิบัติตาม


ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินไปขึ้นบรรไดเอง

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

ซักนิดเกี่ยวกับ วัน Yom Kipper หรือวันแห่งการไถ่บาป
วันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนาของชาวยิว ซึ่งมีข้อบังคับหลักๆอยู่ 5 ข้อ คือ

1.ห้ามดื่มน้ำหรือทานอาหาร
2.ห้ามใส่รองเท้าที่ทำจากหนังสัตว์
3.ห้ามอาบน้ำหรือชำระล้างร่างกายทุกส่วน
4.ห้ามใช้เครื่องหอมทุกประเภท
5.ห้ามมีเพศสัมพันธ์

ในวันนี้ชาวยิวรวมทั้ง Heifetz ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับนี้เป็นเวลา 25 ชั่วโมง
---------------------------------------------------------------------------------------------------





Heifetz เดินก้าวขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วจนเกือบถึงขั้นบนสุด แต่แล้วเขาก็สูญเสียการทรงตัว และหงายหลังลงกระแทกกับกำแพงโรงรถอย่างแรง

ยังนับว่าโชคดีที่หัวเขาไม่ได้ฟาดพื้นลงไปจังๆ ศรีษะของเขาเพียงแค่กระแทกกับกำแพงด้านข้างเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เขาหมดสติ

ฉันตกใจมาก และรีบโทรไปแจ้ง 911 แต่ทว่าไม่มีคนรับสาย แล้วฉันก็นึกได้ว่าเมื่อวานนี้มีเหตุเกิดแผ่นดินไหวใกล้ๆนี้ และหน่วยฉุกเฉินคงไปที่นั่นเสียหมด


ฉันจึงรีบกลับมาเอาน้ำแข็งประคบที่ศรีษะของเขา แล้วซักพักเขาก็เริ่มรู้สึกตัว พร้อมกับร้องพึมพัมอย่างเจ็บปวด


Heifetz นอนอยู่บนพื้นราว 15- 20 นาที ก่อนที่เขาจะแข็งแรงพอที่จะพยุงให้เข้าไปในบ้าน

ฉันพาเขาไปที่เตียง และอยู่เฝ้าประคบน้ำแข็งให้เขาทั้งคืน จนในรุ่งเช้ารวยบวมก็หายไป เขารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว และยังคงกำชับกับฉันว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใครทั้งสิ้น


หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป 1 สัปดาห์ Heifetz ดูจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆเลย เขายังเป็น Heifetz คนเดิม และยังคงปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม

จนกระทั้งถึงปลายสัปดาห์ Heifetz จึงเริ่มมีอาการแปลกๆเกิดขึ้น


วันนั้น จู่ๆเขาขอให้ฉันพักค้างคืนที่บ้านของเขา แต่แล้วฉันก็ตื่นขึ้นมากลางดึก ราวตี 3 เพราะได้ยินเสียงบางอย่างจากห้องนั่งเล่น และเมื่อฉันลงไปดู ก็พบว่า Heifetz แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว และทำท่าทางเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง

แต่หลังจากที่เขาเห็นฉัน ก็กลับถามหามื้อเย็นของเขา โดยไม่สนใจที่ฉันกำลังบอกเขาว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว

แต่สุดท้ายฉันก็จัดโต๊ะอาหารให้ตามที่เขาต้องการ และยังคงพร่ำบอกเขาว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่


ฉันกังวลกับการกระทำของเขามาก แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือ หลังจากทานอาหารเสร็จ เขากลับสั่งให้ฉันไปนอน แทนที่จะชวนกันเล่นไพ่หรือปฏิบัติกิจกรรมหลังอาหารเย็นอื่นๆเหมือนทุกครั้ง



แม้ว่าบาดแผลต่างๆจะหายดีแล้ว และในยามที่เราเล่นดนตรีด้วยกัน เขายังคงเป็น Heifetz คนเดิม ที่ยังคงมีสามารถเฉียบแหลมในการฟังและเล่นดนตรีได้เหมือนเดิม ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะว่าสมองของเขาในส่วนนั้นไม่ได้รับการกระทบกระเทือน


แต่ถึงกระนั้น จากอาการแปลกๆของเขาที่เกิดขึ้น ทำให้ฉันไม่อาจนิ่งนอนใจ และเรียกคุณหมอมาตรวจโดยทันที ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำว่า เขาควรจะเข้าเครื่อง CAT scan เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของสมอง


ครั้งนี้ก็เหมือนทุกครั้งที่เขาบาดเจ็บ เขายังคงกำชับไม่ให้ฉันบอกเรื่องนี้กับใครๆ แม้แต่คนในครอบครัว แต่คราวนี้ฉันไม่อาจทำตามที่เขาบอกได้ ฉันแอบแจ้งข่าวการบาดเจ็บของเขาแก่ให้กับเพื่อนสนิทของเขา และเมื่อทุกคนทราบเรื่อง เพื่อนสนิทของ Heifetz Jay ลูกชายของเขา รวมทั้งทนายส่วนตัว ต่างพากันมาเยี่ยมเยียนเมื่อข่าวแพร่ออกไป





น่าเศร้าที่เครื่อง CAT scan ไม่ว่างจนกว่าจะถึงวันที่ 15 ตุลา ดังนั้นในระหว่างนี้ จึงต้องคอยไปก่อนและเฝ้าดูอาการ


ในช่วงนี้ Heifetz เริ่มมีอาการอื่นๆตามมา นอกจากเขาจะทานอาหารได้น้อยลงแล้ว ประสาทสัมผัสในการรับรสชาติของเขาก็ไม่รับรู้อีกต่อไป

เขาสั่งฉันเทเหล้านาๆชนิด ลงในแก้วหลายใบ ทั้งเหล้าชนิดเดียวกัน และผสมกันหลายอย่าง จากนั้นเขาก็ทดลองชิมมันทุกแก้ว แต่แล้วก็พบว่ารสชาติของมันไม่แตกต่างกันเลย


ตัวเขาเองก็เหมือนจะรู้ตัวว่า วาระสุดท้ายของเขากำลังใกล้เข้ามาแล้ว วันสุดท้ายของเขา เขานำเอาเงินที่สะสมไว้ในยามฉุกเฉิน วางไว้ใต้หมอน และบอกฉันว่า เงินนี้ให้สำหรับคนยากจน โดยเฉพาะนักเรียนที่ยากจนของเขา และนอกจากนี้ยังมีนาฬิกาพกแบบโบราณ ซึ่งเป็นทองประดับอัญมณี เขาสั่งไว้ว่าอยากให้มันอยู่อย่างปลอดภัยจนกว่าเขาจะกลับมา โดยที่ไม่ได้บอกว่าเขาจะจากไปไหน


ผลจากการ scan สมองพบว่ามีเลือดคั่งอยู่ภายใน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลจากการล้มครั้งล่าสุด และ หมอยืนยันว่าเขาต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน จากนั้นก็รีบส่งรถพยาบาลไปที่บ้าน

น่าแปลกใจที่ Heifetz ไม่แสดงอาการขัดขืนใดๆเลยเมื่อฉันบอกว่าเขาต้องไปโรงพยาบาล เขารู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังเผชิญกับอะไรอยู่


แต่ในขณะที่ฉันกำลังพาเขาไปขึ้นรถพยาบาล เขาหยุดชะงักที่ประตูนิดนึง แล้วมองฉันด้วยสายตาอันเศร้าสร้อย พร้อมกับกระซิบบอกด้วยเสียงเผาเบาว่า


“ที่รัก นี่ไม่ใช่ทางที่เราควรจะไป”






อีกครั้งที่การผ่าตัดสำเร็จไปด้วยดี แต่ผู้ป่วยไม่เคยหายเป็นปกติ


แม้ว่าแผลจากการผ่าตัดจะหายดี จนผมของเขางอกขึ้นมาใหม่แล้ว หลังจากการผ่าตัดผ่านไป 1 สัปดาห์ เขาก็ฟื้นคืนสติ และปฏิเสธการดูแลและการทดสอบต่างๆจากหมอและพยาบาลทุกอย่าง


2 สัปดาห์ผ่านไป เขากระซิบบอกฉันว่า "กลับบ้านกันเถอะ"


เขาพยายามจะบอกความรู้สึกของเขาแก่หมอและพยาบาลเช่นกัน โดยไม่สนใจว่าในขณะนี้ตัวเองจำเป็นต้องได้รับการดูแลแค่ไหน


ฉันช่วยอะไร Heifetz ไม่ได้ และทำได้เพียงแต่กุมมือเขาเอาไว้ พูดคุยกับเขา และเล่าถึงแผนการในอนาคต ว่าเราจะเล่นดนตรีด้วยกัน และทำงาน transcription ต่างๆด้วยกันอีก

บางครั้งฉันก็เปิดเทปบันทึกเสียงของเขา ซึ่งดูเหมือนมันจะทำให้เขาพอใจและช่วยให้เขาใจเย็นลงได้บ้าง


วันที่ 4 ธันวา เป็นวันที่ฉันจำได้แม่นยำ หลังจากฉันห่มผ้าให้เขา และเห็นว่าเขากำลังมองฉันและพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง

ฉันก้มลงไป เพื่อฟังเสียงกระซิบจากเขา


"ฉันรักเธอ"


แม้ว่าฉันจะเคยได้ยินเขาพยายามพูดคำนี้มาก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินจากปากของเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำ และเข้าใจถึงความหมายของมัน


นับแต่วันนั้น เขากล่าวคำนี้กับฉันทุกวันก่อนที่ฉันจูบราตรีสวัสดิ์และกลับบ้าน





Lensky's Aria form Eugene Onegin by Heifetz


แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพย่ำแย่ แต่ Heifetz ก็ยังคงเป็น Heifetz

เวลาที่เขาไม่พร้อมจะพบเจอะใคร หรือมีใครมาเยี่ยมเขาโดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า Heifetz จะส่งสายตาบอกฉัน ซึ่งแปลความได้ว่า


“ไล่พวกเขาออกไป”


เขาไม่ชอบที่จะพบกันใครๆโดยที่ไม่ได้นัดหมายไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นคนที่สนิทกันหรือคนแปลกหน้า แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะมีเจตนาดีก็ตาม


เวลาที่ฉันอยู่กับเขา เขาจะไม่ยอมพูดกับคนอื่นๆเลยไม่ว่าจะเป็นหมอหรือพยาบาล Heifetz จะพูดกับฉันเพียงคนเดียว และดูเหมือนเขาตัดขาดจากโลกภายนอกทุกอย่างในยามที่มีฉันอยู่


เช้าวันที่ 10 ธันวา Heifetz เกิดอาการเส้นเลือดอุดตันในสมอง

คณะกรรมการถูกแต่งตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาว่าจะยืดชีวิตของ Heifetz ต่อไปอีกหรือไม่

ฉันซึ่งกำลังรู้สึกสับสน และหวังว่าจะมีปาฏิหารย์ ฉันยังคงเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถหายดีและกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม ฉันจึงยืนยันที่จะให้ใช้ความพยายามเต็มที่ในการรักษาชีวิตของเขา โดยไม่สนใจคำพูดของคณะกรรมการที่บอกว่า Heifetz ได้เตรียมการล่วงหน้าในกรณีที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ไว้ก่อนแล้ว


Heifetz บอกกับเพื่อนคนอื่นๆว่า ให้จบชีวิตของเขา หากเขาไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้ เพราะเขาไม่ต้องการจะแห้งตายไปพร้อมกับเครื่องช่วยชีวิต

คณะกรรมการรับฟังฉัน และยืดเวลาการพิจารณาออกไป แต่ทว่าฉันไม่จำเป็นต้องตัดสินใจอีกต่อไปแล้ว


ตอนนั้นฉันอยู่ที่บ้าน ฉันอยู่ในสภาพหมดแรงและกำลังสับสนกับการตัดสินใจ

ฉันได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาล ข้อความในโทรศัพท์แจ้งมาว่า Heifetz สิ้นลมหายใจแล้ว



Heifetz เสียชีวิตที่โรงพยาบาล ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ.1987 เวลา 23.10 น.

เขาจากไปอย่างสงบและโดดเดี่ยวอย่างที่เขาต้องการ ไม่มีแม้นางพยาบาลซักคนอยู่กับเขาในตอนนั้น





Sarasate, Zigeunerweisen Op. 20, "Gypsy Airs" by Heifetz



Heifetz ไม่ต้องการให้มีพิธีใดๆ ไม่ต้องการดอกไม้ ไม่ต้องการคำพูด และต้องการให้ใช้จ่ายน้อยที่สุด

สิ่งเดียวที่เขาร้องขอ คือต้องการให้นำศพของเขาไปเผา ที่เดียวกับที่ Florence ภรรยาคนแรกของเขา จากนั้นให้นำเถ้าอัฐิไปโปรยลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ที่หาด Malibu ที่เขารัก


หลังจาก Heifetz จากไป ทุกคนต่างบอกฉันว่าหน้าที่ของฉันที่มีต่อ Heifetz ได้สิ้นสุดลงแล้ว และไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ไม่มีใครยอมบอกว่า พิธีศพจัดที่ไหน แต่ด้วยความบังเอิญที่ฉันรู้จักกับ Suzie ลูกสาวจากสามีคนแรก ของ Florence ภรรยาคนแรกของ Heifetz


Heifetz รักเธอมาก และเรา 2 คนก็สนิทสนมกัน Suzie จึงบอกฉันว่าแม่ของเธอถูกเผาที่ไหน ซึ่งแน่นอนตอนนี้ Heifetz ก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน

ฉันจึงโทรศัพท์ไปหาครอบครัวของ Heifetz เพื่อขออนุญาตเข้าร่วมพิธีเผาศพ และต้องการไปพบ Heifetz เพื่อบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย


เมื่อไปถึง ทุกคนมองฉันด้วยสายตาแปลกประหลาด ซึ่งฉันได้ทราบสาเหตุในภายหลังว่า เพราะประเพณีเผาศพของที่นี่ มีแต่เฉพาะญาติเท่านั้นที่มาเข้าร่วม


แม้ว่าในตอนแรก ฉันจะถูกคัดค้าน แต่แล้วฉันก็ได้รับอนุญาตให้อยู่กับเขาตามลำพัง เพื่อร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะกลายเป็นเถ้าถ่าน







มีคนมากมายที่จากโลกนี้ไป โดยที่ไม่ทิ้งอะไรไว้เลย แม้แต่เงินทอง หรือความทรงจำดีๆ

แต่สำหรับ Heifetz สิ่งที่เขาคงเหลือไว้ให้แก่โลกใบนี้ คือผลงานบันทึกเสียงอันมีค่ามากมาย และตำนานการสอนโวโอลินอันลือลั่นของเขา

ชื่อของ Heifetz กลายเป็นสัญลักษณ์ของนักดนตรี โดยเฉพาะนักไวโอลิน และมักจะถูกใช้ในการเปรียบเทียบกับความสมบูรณ์แบบอยู่เสมอ

ตลอดช่วงชีวิตที่เขาเป็นศิลปิน เขาไม่เคยพบกับการแข่งขันที่แท้จริง เพราะนักไวโอลินทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า Heifetz มีความสามารถมากแค่ไหน


แม้แต่ Fritz Kreisler เพื่อนของ Heifetz ยังเคยกล่าวยกย่องเขาต่อหน้านักไวโอลินทั้งหลาย หลังจากที่ได้ยิน Heifetz สีไวโอลินว่า

“ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย โปรดทำลายไวโอลินของพวกเราเสียเถิด”


หลังจาก Heifetz จากไปหลายปีแล้ว ฉันยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ และนึกถึงคำถามที่เขาเคยถามฉันว่า


“เธอยกโทษให้กับการตัดสินใจของฉัน ที่สั่งให้เธอต้องเลือกระหว่างการเป็นนักไวโอลินกับนักเปียโนแล้วหรือยัง?”


ฉันตอบไปว่า


" ไม่มีอะไรต้องยกโทษ และที่จริงแล้วฉันควรจะต้องขอบคุณคุณมากกว่าที่ช่วยนำทางให้ฉัน เพราะฉันเชื่อมั่นในการตัดสินใจทางดนตรีของคุณยิ่งกว่าใครๆ”


ฉันยังคงคิดถึงวันเวลาดีๆที่ฉันได้ใช้ชีวิตคุลกคลีอยู่กับเขา และไม่เคยคิดว่าเวลา 15 ปีที่ฉันได้ใช้ชีวิตอยู่กับเขานั้นไร้ค่าเลย


ในวันรำลึกครบรอบการจากไปของ Heifetz ฉันเล่นเปียโนเพลง Sweet remembrance ของ Mendelssohn เพลงเปียโนอื่นๆที่ Heifetz ชอบ และเล่น เพลง transcription ของไวโอลินกับเปียโนอีกหลายเพลง

ฉันบรรเลงเพลงร่วมกับลูกศิษย์ของ Heifetz อีกคน ที่ชื่อว่า Sherry ซึ่งเธอได้รับอนุญาตให้ใช้ ไวโอลิน Tonini ของ Heifetz ในการบรรเลง

ทั้งฉันและ Sherry ต่างไม่ได้ซ้อมกันมาก่อน และฉันหวังว่า มันคงจะทำให้ Heifetzพอใจอย่างแน่นอน


-------------------------------จบบริบูรณ์------------------------


สุดท้ายนี้ขอปิดท้ายด้วยเพลง "Sweet Remembrance" by Mendelssohn โดยฝีมือการสีไวโอลินของ Heifetz






Create Date : 26 เมษายน 2552
Last Update : 26 เมษายน 2552 22:27:46 น. 2 comments
Counter : 1028 Pageviews.

 
สวัสดีครับ ขอบคุณมากเลยสำหรับประวัตินักดนตรีคนเก่งและการแจ้งข่าวคอนเสริ์ต หวังว่าคุณคงสบายดีนะครับ ไม่ได้อัพเดตบล็อคนานเหมือนกันเลยนะ


โดย: Johann sebastian Bach วันที่: 7 มิถุนายน 2552 เวลา:11:05:20 น.  

 
เป็นเรื่องที่หน้าประทับใจจริงๆ

ขอบคุณสำหรับประวัติของอาจารย์นะค่ะ

ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณ...


โดย: ศิษย์รุ่นที่3 IP: 115.87.184.191 วันที่: 28 สิงหาคม 2553 เวลา:20:01:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Vitamin_C
Location :
Pasadena United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ อากาศดี ก็อารมณ์ดีเนอะ .......^-^

คิดถึงบ้านที่เมืองไทยเป็นที่สุด
ถ้าไม่นับห้องสมุดๆเจ๋งๆกับพิพิธภัณฑ์ดีๆ กับอาหารหลากหลายเชื้อชาติให้กินได้ไม่ซ้ำทุกวันแล้วหล่ะก็ เมืองไทยชนะขาดในทุกกรณี ว่าแต่เมื่อไหร่ ห้องสมุดกับพิพิธภัณฑ์ของบ้านเราจะพัฒนาซักทีน้อ....


ถึงแม้ว่าบล๊อกนี้จะไม่ค่อยมีสาระ แต่เนื้อหาและข้อความทั้งหมด
รวมไปถึงรูปภาพที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ถ่ายเอง ถือเป็นลิขสิทธิ์ ของสำนักพิมพ์บางกอกสาส์น จำกัด
ห้ามผู้ใดนำไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาติจากเจ้าของบล๊อก หรือ จากกองบรรณาธิการ

หากมีข้อสงสัยใดๆ กรุณาติดต่อหลังไมค์
หรือ
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์บางกอกสาส์น 966/10 ซ.พระราม6 19 ถ.เพชรบุรี เขตราชเทวี กทม 10400
โทร 02-6137140
Email vitavitac@gmail.com
Friends' blogs
[Add Vitamin_C's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.