น ก ก ร ะ จิ บ เ ล่ า เ รื่ อ ง
ธรรมะเป็นคำตอบของคนหนุ่มสาว
Group Blog
 
All Blogs
 

เวลาที่ผ่านไป

ไม่ได้เขียน blog ซะนาน

กลับมาเช็คอีเมล มีคนเขียนจดหมายมาทักทายมากมาย รู้สึกละอายแก่ใจ
ไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐานมากเท่าที่ควร และไม่ได้มุ่งตรงสู่ทางธรรมสักเท่าไหร่

ตอนนี้ กำลังเรียนกฎหมาย
และตั้งใจเรียน

หลวงปู่เคยบอกว่า สมาธิ คือ การตั้งใจมั่น
การเพ่งกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็เป็นสมาธิ
เกิดเป็นฌาน แต่จะเกิดปัญญาหรือไม่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับวิธีการปฏิบัติว่า เป็นสัมมาสมาธิ หรือ มิจฉาสมาธิ

สัมมาสมาธิ ทำให้เกิดปัญญา คือ ความรู้ทั่ว
มีลักษณะ 4 ประการ คือ นิ่ง เบา กว้าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ที่กายที่จิต

การอ่านหนังสือ การท่องตัวบทกฎหมาย ก็เป็นสมาธิได้เหมือนกัน
และทุกวันนี้ เรามีเป้าหมายในแต่ละครั้งว่า ถ้ายังอ่านหนังสือไม่ได้ดังเป้าหมาย เราจะไม่เข้าอินเตอร์เน็ต

นานๆ จึงได้เช็คเมลสักที


อดละอายแก่ใจไม่ได้จริงๆ ... บางทีกลับเข้ามาอ่านเรื่องราวของตัวเอง รู้สึกหน้าชาๆ เหมือนกับว่า เรากำลังลวงตัวเอง และ ลวงคนอื่นยังไงก็ไม่รู้

เพราะในปัจจุบันนี้ เราเพียงแต่ปฏิบัติกรรมฐานในชีวิตประจำวันแบบธรรมดาๆ ไม่ได้ตั้งใจเอาจริงเอาจัง และไม่มุ่งตรงเท่าที่ควร ไม่เหมือนเมื่อสมัยเพิ่งฝึกใหม่ๆ เราจะไฟแรงมาก และมีผลงานเขียนออกมาในบล็อกอย่างที่ใครๆ ได้อ่านกัน

ทุกวันนี้ ... สมาธิอาจจะแนบเป็นส่วนหนึ่งไป
จนแทบจะไม่รู้ว่า จะเอาอะไรมาเขียน มาถ่ายทอด
ไม่รู้สึกว่า ตัวเองกำลังปฏิบัติกรรมฐาน
แต่ก็ยังฝึกอยู่เนืองๆ

ไม่รู้สึกว่า ตัวเองมีความรู้ทางธรรมสักเท่าไหร่นัก
ไม่มีความคิดเห็นใดๆ จะนำมาสร้างสรรค์เป็นถ้อยคำได้เหมือนเมื่อก่อน


บางที รู้สึกผิดที่ทำให้ใครๆ หลงศรัทธาในถ้อยคำที่เราเขียนลงไปในที่นี่
เพราะชีวิตจริงๆ แล้วนั้น เราไม่ได้ต้องการให้ใครมาเชื่อถือ นับถือ อย่างที่เรากำลังได้รับอยู่นี้เลย ... อยากอยู่อย่างสงบ สบาย ไม่อยากให้ใครคาดหวังว่า เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมด้วยซ้ำ

ครั้นจะลบผลงานในนี้ทิ้งไปเสียให้หมด ก็รู้สึกเสียดาย เพราะพอเป็นประโยชน์ให้กับใครๆ ได้บ้าง แม้บางส่วนอาจจะมีส่วนทำให้คนหลงก็ตาม

เป็นความรู้สึกผิดบาปที่เกิดขึ้นในใจจริงๆ ที่เคยคิดจะเผยแพร่พระศาสนา แต่มาทบทวนในวันนี้แล้ว ก็เข้าใจว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราผิดพลาด ซึ่งเกิดจากความหลงของเรา แล้วถ่ายทอดออกมาในรูปแบบที่ปรุงแต่งให้ดูสวยงาม แต่ไม่ได้เป็นทางทำให้ใครได้พบกับความสงบที่แท้จริง จริงๆ

แก่นแท้จริงๆ อยู่ที่ ความสงบสุขที่เกิดขึ้นจากใจเรา ซึ่งเราคิดว่า เราเองก็ยังไม่ได้พบจริงๆ หรอก แต่เราก็หลงอาจหาญนำความสงบที่เราไม่เคยได้พบจริงๆ นั้น มาถ่ายทอดให้คนอื่นๆ รับรู้ซะแล้ว ...

เหมือนคนไม่เคยกินผลไม้บางชนิด ได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้มาว่า ผลไม้นั้นวิเศษ มีรสชาติแบบใด แล้วก็จินตนาการออกมาว่า ผลไม้นั้นดีอย่างนั้น อย่างนี้ กระทั่งถ่ายทอดให้คนอื่นคิดเห็นตามความรู้สึกของเราเองว่า ผลไม้นั้นรสชาติวิเศษ ทั้งที่ตัวเองก็ได้แค่ได้ยินได้ฟังมา ... ใช้ความสามารถในการถ่ายทอดจนผู้คนเชื่อถือ และ ศรัทธา อยากจะลิ้มรสผลไม้ลูกนั้น อาจจะเป็นประโยชน์ แต่ก็ยังอดรู้สึกเป็นบาปมหันต์ไม่ได้


นี่คือ เหตุผลที่ไม่ค่อยได้เขียนบันทึกลงในบล็อก และห่างหายไปเนิ่นนาน
เป็นเหตุผลรองลงมาจากที่ กำลังศึกษาวิชากฎหมายอยู่

ขอให้ทุกท่าน ค้นพบธรรมะด้วยตัวเอง อย่าได้เชื่อตามที่ได้ยินได้ฟังจากเรา หรือจากความศรัทธา ที่คิดตามถ้อยคำของเราว่า เป็นความจริง โดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์

ขอให้ทุกท่าน ค้นพบความสงบด้วยใจของตัวเอง โดยไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่งด้วยความคิด ...


ขออนุโมทนาบุญทุกท่าน และขอขมา หากมีถ้อยคำใดๆ ที่ทำให้ท่านหลงผิดในด้านการปฏิบัติ ...



ถ้ามีโอกาส และ มีเรื่องราวใดๆ ที่พอเป็นประโยชน์ได้
เราจะเอามาเขียนถ่ายทอดให้อ่านกันอีก


คงไม่ได้เข้ามาสำรวจบ้านตัวเองบ่อยนัก ... ขอขอบคุณทุกท่านที่สนใจและติดตามเรื่องราวของเรา


ขอไปทำภาระกิจ จุดหมายปลายทางในด้านการศึกษาให้สำเร็จลุล่วงไปก่อน แล้วพบกันอีกครั้งในวันที่ถึงเป้าหมายนั้นๆ แล้ว


ต้องไปอ่านหนังสือ ท่องตัวบทกฎหมายแล้วละ
อีกสองปี รับพระราชทานปริญญาบัตร
แล้วจะสอบเนติบัณฑิต ต่อ
แล้วก็จะเดินไปในเส้นทางนี้ให้สุดทาง ... ถ้าบารมีเปี่ยมพอ คงได้เป็นผู้พิพากษา อยู่ภายใต้พระปรมาภิไธยของในหลวง ด้วยใจที่เที่ยงและเป็นธรรม


ขอขอบพระคุณค่ะ




 

Create Date : 17 มกราคม 2551    
Last Update : 17 มกราคม 2551 10:58:41 น.
Counter : 498 Pageviews.  

ม้าพยศ

อิติปิโส ภะคะวา - พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
อะระหังสัมมาสัมพุทโธ - เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
วิชชาจะระณะสัมปันโน - เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
สุคะโต - เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
โลกะวิทู - เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ้มแจ้ง
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ - เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งกว่า
สัตถา เทวะมะนุสสานัง - เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พุทโธ ภะคะวาติ - เป็นผุ้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรมะ เป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนปวงชน


ฉันระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าแล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างประหลาด
ในเช้านี้ ... ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังควบม้าพยศสักตัว เพื่อออกรบ เพื่อช่วยกิจทางพระพุทธศาสนา


อันที่จริง ... ฉันอยู่เพียงสงบสุข แล้วเจริญกรรมฐานเพียงลำพังก็ยังทำได้ ไม่ต้องวุ่นวายกับผู้คนมากมายนัก ไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับกิเลสของคน แล้วขัดเกลากิเลสของคน เพื่อให้คนรู้แจ้งความจริง คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ฉันคงใช้ชีวิตได้อย่างมีความสงบใจ และปฏิบัติธรรมต่อไปได้ถึงระดับสูงยิ่งๆ ขึ้น เพื่อถึงความสิ้นทุกข์ในเร็ววัน

ฉันจะเอาเพียงตัวเองเพื่อให้เข้าถึงความสุขแท้ ฉันก็ยังทำได้ แต่ทำไมฉันไม่ทำ!!!

ทำไมฉันต้องมาเคี่ยวเข็ญบุคคลบางคนที่ฉันเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการเกื้อกูลพระศาสนาต่อไป ทำไมฉันต้องมาควบคุมดูแลเขา ฉันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย นอกเสียจากว่า เขาจะดื้อดึงใส่ฉัน และพยายามทำในอีกอย่างที่ฉันไม่ได้บอกให้เขาทำ

ฉันจะฝึกเขาให้เป็นอย่างหนึ่ง เขากลับไม่ทำตามฉันเลย แถมยังมีอาการ "พยศ" ออกมาให้เห็นๆ

ถ้าเขาไม่รักดี แล้วไม่มีปัญญาพอ ฉันคงหน่ายแล้วหลีกหนีไม่สนใจเขาก็ยังได้ ทำไมฉันต้องมาเสียเวลา

อาจเป็นเพราะความตั้งใจที่จะสนองคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ฉันจึงมีกำลังใจที่จะฝึกคนต่อไป ฝึกให้เขาปฏิบัติกรรมฐานได้ ฝึกให้เขารู้เห็นกิเลสตัวเอง และฝึกให้เขาเป็นหลักพึ่งพาตัวเองได้

แม้จักต้องเสียสละเพียงใดก็ตาม เพื่อที่เมื่อเขาสามารถทำได้ ทำถึงแล้ว เขาจะเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนา

เมื่อคืน ... ฉันแทบจะหลั่งน้ำตา รู้สึกหน่ายและเหนื่อยเกินไปแล้ว ที่ฉันต้องมาใส่ความตั้งใจลงไปเพื่อฝึกใครสักคน ฝึกให้เขาฝึกตนเองได้ ฝึกให้เขามั่นคงและเข้มแข็ง

เขาอาจจะบอกฉันว่า ฉันเคี่ยวเข็ญเขามากจนตัดกำลังปฏิบัติของเขา ... เขาจะไม่ปฏิบัตินั่นก็เป็นผลได้ผลเสียของเขาเอง เขาไม่อาจจะสิ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าฉันไม่ฝึก เขาอีกนั่นแหละที่จะต้องลำบาก เขาคงต้องค้นหาคนที่จะฝึกเขาได้ คนที่จะช่วยเหลือเขาได้ เพื่อไปถึงฝั่งแห่งการสิ้นทุกข์

สรุปแล้ว ... ฉันอาจจะไม่ได้อะไรเลย หากแต่เป็นการอุทิศแรงกาย แรงใจของตัวเอง เพื่อช่วยกิจพระศาสนาให้ลุล่วง ซึ่งเมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว ทำให้ฉันรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอีกมากมาย

ฉันนึกถึงสมัยที่ฉันถูกหลวงปู่ดุ จนฉันน้อยใจ กระทั่งเคยเปล่งวาจาปรามาสท่าน
แล้วเมื่อรู้ตัว ก็ขอขมาท่าน ร้องไห้กับท่านตั้งหลายหน
บางที ถึงขนาดคิดว่า จะไม่ไปหาท่านอีกแล้ว ไม่ฝึกกรรมฐานอีกแล้ว ด้วยความประชดประชัน
แต่มานึกอีกทีก็รู้ว่า สิ่งที่ฉันคิดนั้นเป็นโทษต่อตัวเอง เนื่องจากว่า ถึงแม้ฉันจะไม่ปฏิบัติกรรมฐาน สิ่งที่ฉันได้รับก็คือฉันคงต้องเวียนตายเวียนเกิด ไม่สามารถทำกิเลสหรือกองทุกข์ให้สิ้นไปได้ หลวงปู่ท่านกลับสบาย ไม่ต้องมาเคี่ยวเข็ญฉัน ถ้าฉันปฏิบัติกรรมฐาน หลวงปู่ก็ต้องอดทนเพื่อที่จะทำให้ฉันสำเร็จ ผลประโยชน์ทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนเกิดที่ตัวฉัน หาใช่กับท่านเองไม่


ท่านแทบไม่ได้อะไรเลย นอกเสียจากว่า ท่านเล็งเห็นว่า ถ้าฉันปฏิบัติได้ จะเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา และช่วยกิจพระพุทธศาสนาได้ จึงอุทิศแรงกาย แรงใจ เพื่อฝึกให้ฉันปฏิบัติได้

บางที ฉันเถียงหลวงปู่ไม่ได้ คิดว่า ท่านไม่เข้าใจฉันเลย ท่านไม่รับฟังเราเลย
แท้ที่จริงแล้ว ท่านเข้าใจเรายิ่งกว่าตัวเราเองเสียอีก
อย่างน้อยก็เข้าใจความคิดเข้าข้างกิเลสของเรา


ที่เขียนอะไรมามากมายอย่างนี้ เพื่อเป็นบันทึกบอกกับตัวเองว่า
ฉันควรสนองคุณพระพุทธศาสนาที่ทำให้ฉันพบความสุขจากการปฏิบัติ
ด้วยการฝึกบุคคลที่ควรฝึก
และระลึกถึงบูชาครูบาอาจารย์
ด้วยเข้าใจเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านเองก็รู้สึกหน่าย เหนื่อย ท้อแท้ และอดทนหนักยิ่งเพียงใดกว่าแต่ละคนที่ท่านฝึกจะฝึกได้สำเร็จตามที่ประสงค์


กิเลส แนบชิดสนิทเป็นมิตรของเรา จนเราอดเข้าข้างมันไม่ได้
ทำให้เราปฏิบัติไปได้ไม่ไกล
แถมเรายังไม่รู้จักมันเลยสักนิดเดียว


ถึง ... ม้าพยศ ของฉัน
ฉันอยากให้รับรู้ว่า ฉันเองเพียรจะควบม้าพยศให้ได้ เพื่อที่จะฝึกให้เป็นม้าที่สง่างาม และนำทางปวงชนไปสู่การสิ้นทุกข์ มิใช่ผลประโยชน์ใดๆ ของฉันเลยสักนิดเดียว


อย่างน้อย ... ฉันก็รู้ว่า เป็นกระจกสะท้อนตัวฉัน ไม่แตกต่างจากฉันเลยสักนิดกับอาการที่ม้าพยศทำกับฉัน
เหมือนกับฉันเคยดื้อรั้นกับครูบาอาจารย์อย่างไร ฉันก็ต้องมาฝึกคนที่ดื้อรั้นมีอาการไม่ต่างกันเลยสักนิดหนึ่ง


ถ้าไม่นึกถึงพระพุทธองค์ ไม่นึกถึงหลวงปู่ ฉันอาจจะหลบเลี่ยงไม่รับเวรกรรมในการฝึกคนเหล่านี้ก็ได้ หนีไปทำความเพียรเพียงลำพังก็ได้ เขาจะทำได้หรือไม่ได้ ฉันไม่ได้ผลประโยชน์อะไรด้วยสักนิดน้อย

แต่นี่ ... ฉันจำเป็นต้องรับภาระตรงนี้ ถ้าฉันไม่ช่วยฝึกเขา หลวงปู่ย่อมเหนื่อยหนักกับเขาอีกไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่จะมีคนพอจะช่วยฝึกให้ท่านเบาแรงลงไปได้บ้าง

และคาดหวังว่า สักวันเขาจะเป็นม้าที่แข็งแกร่งพอที่จะฝึกผู้คนต่อไปได้ แล้วนำพาผู้คนไปถึงฝั่งฟากแห่งความสุขอันเป็นนิรันดร์

ขอให้เป็นเช่นนั้น ... ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์

น้อมระลึกถึงครูบาอาจารย์ด้วยการเขียนบันทึกบทนี้ ...




 

Create Date : 23 มกราคม 2549    
Last Update : 23 มกราคม 2549 12:50:43 น.
Counter : 367 Pageviews.  

บันทึกวันใสใส

ฤดูหนาวปีนี้มาพร้อมกับความเหน็บหนาวแห้งแล้ง ..
เหมือนที่ฉันเคยเปรียบเทียบไว้ว่า ฤดูหนาวไม่ต่างอะไรจากวัยชรา เย็นชา เงียบงัน
ไม่ต่างอะไรจากแดดยามเย็น จวนพลบค่ำ รอรับราตรีกาลอันมืดมิดและไม่รู้ว่าในความสลัวมืดมิดนั้นซุกซ่อนอะไรอยู่บ้าง

อาก๋ง มาอยู่บ้านฉันหลายเดือนแล้ว
ฤดูหนาว อาก๋งมักจะพูดเกือบทุกเย็นว่า คืนนี้จะหนาวแล้วนะ เตรียมตัวเอาไว้ กินอะไรอุ่นๆ อาบน้ำที่ขุดจากบ่อ จะได้ไล่กระไอร้อนออกจากตัว ร่างกายจะได้ไม่หนาวมาก

จับเลี้ยง ... เป็นเครื่องดื่มที่อาก๋งมักจะดื่มเป็นประจำ อาก๋งบอกว่า ดื่มแล้วเย็น
เมื่อร่างกายเย็นแล้ว ก็จะปรับรับกับความเย็นภายนอกได้พอดิบพอดี ทำให้อบอุ่นขึ้นมาได้

เมื่อเช้า .. ฉันได้มีโอกาสสนทนากับอาก๋ง
เนื่องจากเป็นวันไหว้ขนมอี๋ อาก๋งบอกว่า อี๋ แปลว่า กลม ไหว้ขนมอี๋รับปีใหม่ ครอบครัวจะได้มีความกลมเกลียวกัน ให้กินขนมอี๋ซะ ปีหนึ่งมีเพียงครั้งเดียว

อาก๋งบอกว่า คนจีนกับคนไทย ทำบุญไม่เหมือนกัน
คนจีนฉลาดกว่าคนไทย เพราะไหว้เจ้า ไหว้แล้วได้กินเลย คนไทยไปทำบุญที่วัดแล้วกลับมากินข้าวบ้าน
ฉันนึกค้านในใจ ... แต่นิ่งฟังแล้วคิดใคร่ครวญว่า จะตอบอาก๋งยังไงให้อาก๋งเข้าใจดี

อาก๋งกลัวว่า จะกระทบจิตของฉัน จึงบอกว่า ก๋งก็แค่พูดให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้ว่าอะไร ก๋งเองก็ทำบุญที่วัดทุกปี นิมนต์วัดแล้วเชิญชาวบ้านมาร่วมทำบุญด้วยกัน ก๋งไม่ได้ปฏิเสธเรื่องทำบุญ แต่เปรียบเทียบให้ฟังเกี่ยวกับการไหว้เจ้า และทำบุญ คนจีนจึงรวยกว่าคนไทย

ฉันจึงบอกว่า แต่คนจีนก็โลภมากกว่าคนไทย เพราะว่า คนจีนหวังร่ำรวย ทำให้กิเลสหมักหมมในใจมากขึ้น ไหว้เจ้า เจ้าก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ ยังไม่หลุดจากกิเลส แต่การทำบุญทำเพื่อสิ้นจากทุกข์ จากกิเลสนะก๋ง

ยิ่งรวย บางคนยิ่งไม่พอ ...
บางคน ทำบุญไหว้เจ้าอยากได้เงินสักแสน แต่พอได้แสน ก็อยากได้สักล้าน ได้ล้าน ก็อยากได้สิบล้าน ได้สิบล้าน ก็อยากได้ร้อยล้าน ได้ร้อยล้าน ก็อยากได้พันล้าน มันสะสมกิเลสนะก๋ง

ก๋งก็บอกว่า ก็จริงอย่างที่ฉันว่า ไหว้เจ้ายิ่งทำให้เกิดกิเลส ยิ่งได้ยิ่งไม่พอ
แต่คนไทยทำบุญ ทำแล้วใจสบาย ไม่ต้องร่ำรวยแต่มีความสุข

ยิ่งได้ทำบุญกับพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบด้วย ก็ยิ่งได้บุญใหญ่ยิ่งขึ้น
บุญ คือ ความสุขในใจ ผลแห่งความดี
ถ้าเราทำบุญเพื่อผลแห่งการสิ้นไปแห่งกองทุกข์ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เราได้รับบุญใหญ่ที่สุด คือการเข้าถึงอริยมรรค อริยผล อันเป็นความสุขอันยิ่งยวด ที่เราไม่เคยได้รับมาเลยตลอดนับภพนับชาติไม่ถ้วนที่เราเวียนตายเวียนเกิด ...

ก๋งเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฉันฟังหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตอนที่ก๋งไปเป็นทหาร คุมทหารคนอื่นๆ ก๋งไม่ต้องจับสลากเหมือนใครๆ เลย เพราะก๋งรูปร่างดี แข็งแรง เขาเห็นแล้วก็เลือกเข้าไปเป็นทหารได้เลย

ก๋งจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้วเงินเดือนขึ้น แต่ก๋งไม่เอา ก๋งบอกว่า เงินเดือนขนาดไหน ตำแหน่งแค่ไหน ก็ไม่ต้องการ ขอให้ได้กลับบ้าน

หน้าหนาวที่เชียงตุง ต้มน้ำเดือดแต่ไม่ร้อนสักที ต้มหมูก็ไม่สุก ก๋งจึงไปตรวจดูว่า ทำไมหมูจึงไม่สุก กับข้าวเสบียงทำไมไม่เสร็จสักที น้ำก็เดือด แต่ไม่ร้อน ก๋งเอามือควานลงไปในน้ำเดือดนั้นๆ ถึงก้นหม้อ ก็ยังไม่ร้อน

อากาศที่นั่นเย็นจริงๆ ...

พักหลัง ... ฉันไม่ค่อยอยากคุยธรรมะกับใครนัก ยกเว้นกลุ่มผู้ที่ปฏิบัติด้วยกันจริงๆ
เนื่องจากว่า รู้สึกว่า ธรรมะเป็นเรื่องพื้นๆ ที่คนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ
เพราะคนมัวแต่คิดในสิ่งยากๆ กับธรรมะเหลือเกิน ต้องอธิบายกันยาว

สิ่งที่ฉันชอบทำที่สุดในทุกๆ วันและเมื่อมีโอกาส นั่นก็คือ การดูกายภายในของตัวเองให้ทั่วๆ แล้วนึกแสงของท้องฟ้าสว่างๆ สาดมาที่กาย ลมหายใจทะลุผ่านทุกส่วนของร่างกายภายในนั้น ฉันก็รู้สึกว่า ทุกส่วนของฉันโปร่งใส เป็นประกายสวยงาม แล้วฉันก็จะดูกายภายนอกตัวเอง รับรู้ความรู้สึกภายนอกทั่วพร้อมด้วย แสงเรืองๆ ก็เปล่งออกมาที่กายภายนอก

ฉันรู้สึกว่า การทำกรรมฐานแบบนี้ ทำให้ฉันกายโปร่งเบา กายโล่งสบาย สุขภาพของฉันก็ดีด้วย
เวลากินอาหารแต่ละมื้อ ถ้ากระเพาะอาหารเต็มแล้ว ฉันก็จะหยุดเองทุกที ไม่ว่าอาหารที่จะมาอยู่ตรงหน้าน่ากินสักแค่ไหน ฉันก็จะกินต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะว่า กระเพาะอาหารเต็มพอดีแล้ว

เป็นการทำให้ฉันประมาณตนได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ...

อากาศหนาวๆ ... ลมหายใจเข้าออกทั่วกายเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เพราะจะช่วยทำให้ไม่ปวดเมื่อยร่างกาย
ฉันทำกรรมฐานได้ตลอดเวลาแม้เวลาอากาศหนาวๆ หายใจเข้าลมออกทั่วทุกรูขุมขน หายใจออกลมเข้าทั่วทุกรูขุมขน ทำให้ร่างกายได้รับความอบอุ่นทั่วพร้อม เจริญสติทั่วกาย

การดูกายภายใน พระพุทธองค์สรรเสริญว่า เป็นดอกไม้ของพระอริยะ เป็นเกมกีฬาของพระอริยะ ... ฉันเพิ่งได้ยินหลวงปู่แสดงธรรมเรื่องนี้ เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง แต่ฉันเจริญกรรมฐานเช่นนี้มาเป็นเดือนแล้ว คือ การดูกายภายใน

ฉันสนุกกับการทรงสมาธิมากมาย เพราะทำให้ฉันเกิดปัญญามหาศาล ...

ขอให้ทุกท่านเจริญกรรมฐาน ดำรงสติในกายให้ทั่วพร้อม เพื่อที่จะได้เข้าถึงธรรมะอันเป็นสิ่งธรรมชาติธรรมดาที่พระพุทธองค์ทรงสอน และชี้แนวทางให้เราเห็นธรรมชาติเหล่านั้นด้วยตัวเราเอง

การปฏิบัติกรรมฐานตามแนวพระพุทธองค์ โดยเฉพาะการเจริญสติ เป็นการสนองคุณของพระพุทธองค์ที่พระองค์บำเพ็ญบารมีมาหลายอสงไขยกัลป์ เพื่อนำธรรมะและแนวทางเหล่านี้มาให้เราได้รู้ เรารู้แล้วควรหรือที่จะละเลยสิ่งอันทรงคุณค่าที่สุดเช่นนี้ อันจะนำพาเราไปสู่การสิ้นไปแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นทั้งปวงในโลก แล้วเข้าถึงสันติสุขภายในใจของเราได้

ขอให้ทุกท่านพบสันติสุขภายในใจค่ะ : )




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2548    
Last Update : 22 ธันวาคม 2548 17:50:04 น.
Counter : 274 Pageviews.  

กลับบ้าน - กินบุญเก่า สร้างบุญใหม่

กลับมาอยู่ที่บ้านเดือนกว่าๆ แล้ว
ยังไม่ได้เขียนไดอารี่ธรรมะมาให้อ่านกันอีกสักเท่าไหร่เลย

มีความรู้สึกแตกต่างจากเมื่อก่อนขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง นั่นก็คือ ความสงบใจที่เกิดขึ้นภายใน
ทำให้รู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องเขียนเล่าอะไร
และทำให้รู้สึกว่า แม้จะมีเรื่องเขียนเล่ามากมาย ก็ควรจะเขียนเล่าเพื่อให้สำเร็จประโยชน์

ร่ำๆ จะเขียนหลายครั้งหลายหน
ความคิดก็ยังไม่เป็นผลึก ไม่ผนึกเป็นประเด็น
จึงว่างเว้นเอาไว้ก่อน

วันนี้ ... ครุ่นคิด ทบทวน
จึงอยากจะเขียนเล่าอะไรให้ผู้อ่านฟังสักหน่อย

เรื่องดีๆ ของตัวเอง เกรงว่าใครอ่านแล้วจะรู้สึกกระทบจิต กระทบใจ
ไม่ได้ตั้งใจข่มจิตผู้ใดเลย
แต่อยากจะให้ซาบซึ้ง และ พิสูจน์ให้เห็นจริงว่า การปฏิบัติกรรมฐาน มีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ ทำให้บังเกิดสิ่งดีงามตามมามากมายได้เพียงใด

กลับมาถึงบ้าน ...
ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะติดต่อญาติธรรมคนใด
ไม่มีเวลาไปกราบหลวงปู่เนิ่นนาน
แต่ฉันก็ยังจำคำสอนของหลวงปู่ไว้ติดจิตตรึงใจ
"ทำงานไม่ละเอียด กรรมฐานก็ไม่ละเอียด"
"กายคงที่ จิตคงที่ กายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอย่างไร ก็รู้ตามเห็นตาม ดูให้รู้เห็นอย่างแจ่มแจ้ง"
"อย่าลืมกาย"

ฉันหอบเอาเทปที่หลวงปู่แสดงธรรมให้ญาติโยมฟังกลับมาฟังที่บ้านด้วย
ฟังกลับไปกลับมา ซ้ำไปซ้ำมา หลายรอบ
ฟังด้วยความเคารพ แล้วฉันรู้สึกนิ่ง เบา สบาย
ฉันเห็นกายตัวเองแจ่มชัด
กระแสจิตวาบออกไปสู่ภายนอก
สว่างโร่ขึ้นมา แจ่มแจ้ง และเบาโหวง

ความคิดฟุ้งๆ ของฉันหายไป
ฉันคิดอะไรมากมาย แต่ฉันไม่สับสน ไม่เรรวน
ฉันควบคุมความคิดของฉันได้
ไม่ไหลไปกับความนึกคิด

ภารกิจสำคัญของฉันที่ต้องทำก็คือ ฉันจะต้องออกไปซื้อของ ซื้อกับข้าว และหุงข้าว ทำกับข้าว
อัศจรรย์ใจเหลือเกินที่คนอย่างฉัน ซึ่งเคยเป็นคนทำอะไรไม่เรียบร้อย ไม่ละเอียด
ฉันกลับหุงข้าวได้เรียงเม็ดและแม่บอกว่า ฉันหุงข้าวอร่อยมาก
ตำน้ำพริกให้พ่อกับแม่กินทุกวัน
รวมทั้งหาผักจิ้มน้ำพริกด้วย

พ่อบอกว่า อาหารที่ฉันจัดเตรียมไว้ให้ เป็นอาหารที่ดี
ทั้งที่ไม่มีอะไรเลย มีเพียงผักสารพัดอย่าง
น้ำพริก ปลาทอด
แต่กลับทำให้ข้าวที่หุงไว้ไม่ค่อยพอกิน

ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายภายในบ้านของฉัน
ฉันทำหน้าที่ไหว้พระ ไหว้เจ้าที่ ไหว้บรรพบุรุษแทนพ่อในทุกวันพระใหญ่
และอัศจรรย์ใจอีกเหมือนกันที่ พระธาตุ เสด็จมาอีกจำนวนหนึ่ง

ฉันเคยอธิษฐานไว้ว่า บางทีฉันอาจจะไม่อาจรู้ได้ว่า การปฏิบัติธรรมของฉันถึงระดับใดแล้ว
ถ้าฉันถึงมรรคผลเมื่อไร ขอให้พระธาตุเสด็จมาเพิ่มเติมจากของเดิม
เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงระดับธรรมที่ฉันได้บรรลุแจ่มแจ้งแล้ว

บัดนี้ ... ฉันยังไม่อาจสรุปได้ว่า ฉันถึงมรรคผล พ้นอบายแล้วหรือยัง
ฉันเชื่อว่า ฉันบูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นอย่างดี ด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน
ดำรงกายคงที่ จิตคงที่ สติไม่เคลื่อนไปจากกาย
เพื่อสนองคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
พระธาตุ จึงเสด็จมาเพื่อความเป็นสิริมงคลและเพื่อให้ฉันได้น้อมระลึกบูชา

ปัญญามากมายที่ฉันเคยคิดว่า ฉันมี ฉันฉลาดหนักหนา
ดูเหมือนจางๆ เบาๆ ไป
โล่งๆ โปร่งๆ
แต่แปลกใจว่า ทำไมถึงวาระในกาลที่ฉันควรรู้ ควรได้คำตอบ กลับมีคำตอบผุดขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้สมองคิด
ผุดขึ้นมาจากสมาธิของฉัน และละเอียดประณีตยิ่งนัก

ความเร่าร้อน ความคาดหวังในใจของฉันหายไป
มีเพียงความหงุดหงิด อึดอัด รำคาญใจในบางครั้งบางครา
แต่ก็เป็นโทษกับฉันได้ไม่มาก
เพราะทันทีที่อารมณ์เหล่านี้เข้ามากระทบ ฉันก็ต้องดูลมหายใจ แล้วดูกายตัวเองให้แจ่มชัด
อารมณ์ไม่เคยหายไปสักที
กระทบมา ก็หงุดหงิดรำคาญ ทุกที
เพียงแต่ฉันข่มไว้ข้างใน เห็นมันอย่างแจ่มชัด
ไม่หลุดหายสักที ทุกข์เหลือเกิน

แค่หงุดหงิดรำคาญ อึดอัดคับข้อง กิเลสของคนอื่นมากระทบจิต
ทำไมถึงทุกข์นักทุกข์หนาก็ไม่รู้
แต่ฉันก็ต้องทำสติให้คงที่ไว้ให้ได้
ทุกข์จนเบื่อหน่าย

ยายเสิด ... มักเอามะอึ มาให้ฉันตำน้ำพริกบ่อยๆ
ฉันตำเสร็จ ก็แบ่งให้แกไปส่วนหนึ่ง
จากที่แกเคยผอมแห้ง เหี่ยวย่น
ทุกวันนี้มีเนื้อมีหนัง มีน้ำมีนวล ขึ้นมากมาย

ฉันถามยายเสิดว่า ทำไมถึงดูอ้วนท้วนขึ้น
ยายเสิดบอกว่า น้ำพริกของฉันน่ะสิ ทำให้แกกินข้าวไม่รู้จักอิ่ม
แกชอบรสมือของฉัน แกบอกว่า น้ำพริกของฉันตำอร่อย

ยายหมวย คนข้างบ้าน แบ่งมะม่วงสามฤดูลูกเล็กๆ มาให้สองลูก
บอกว่า ไว้ตำน้ำพริก เพราะเห็นฉันชอบตำน้ำพริก
ฉันตำเสร็จ แบ่งไปให้ยายกิน
ยายเอาถ้วยจานมาคืนในวันรุ่งขึ้น สงสัยว่า ฉันเป็นคนตำน้ำพริกเองหรือ ไม่น่าเชื่อ
อร่อยดีนะ ใส่หัวหอมหรือเปล่า ทำไมละเอียดจนหาหัวหอมไม่เจอเลย
ฉันบอกว่า ฉันตำละเอียดเพราะว่า น้ำของพริก หัวหอม กะปิ น้ำตาล มะม่วง จะได้คลุกเคล้าเข้าด้วยกัน
ถ้าป่นเอา จะไม่อร่อยอย่างนี้

ทั้งหมดทั้งปวงที่น้ำพริกของฉันอร่อยขึ้นมาได้ก็เพราะเป็นน้ำพริก "ตำรับหลวงปู่"
หลวงปู่ท่านถี่ถ้วนในการแนะนำสิ่งต่างๆ
แม้กระทั่งการทำอาหาร ท่านไม่เคยลงมาทำเอง
แต่ท่านรู้วิธีทำให้อาหารแต่ละอย่างอร่อย

ท่านบอกฉันว่า ให้ตำน้ำพริกรวม กระเทียม กะปิ พริก น้ำตาล เข้าด้วยกันให้หมด
จะได้ดับกลิ่นกระเทียม
ฉันเป็นคนตำน้ำพริกรสจัด
ใส่กระเทียมเยอะ พริกเยอะ แต่ไม่เคยมีกลิ่นกระเทียมหลุดออกมา
กลมกล่อม กลมกลืนเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี

ฉันรู้ได้ว่า การตำทุกอย่างให้ละเอียดนั้นจะทำให้น้ำพริก เป็น "น้ำพริก" จริงๆ
ฉันต้องออกแรงตำอย่างตั้งใจ
เพราะการที่เครื่องปรุงทั้งหลายทั้งปวงผสมเข้าด้วยกันแล้วตำพร้อมๆ กันนั้น
ทำให้น้ำพริกละเอียดยาก

ฉันใส่มะเขือเปราะ มะเขือพวง แล้วตำให้น้ำออกมาผสมกับส่วนผสมทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นด้วย
ตำให้แหลกละเอียดพอสมควรเชียวแหละ
ซึ่งต้องออกแรงกันสักหน่อย ....
พอส่วนไหนไม่ละเอียด หลังจากฉันบีบมะนาวลงไปคลุกเคล้าแล้ว
ฉันก็ยังต้องคัดเอาส่วนที่ยังตำไม่ละเอียดมาตำใหม่
ก่อนที่จะตักไปรวมกับน้ำพริกส่วนที่อยู่ในถ้วยนั่นแล้ว
คลุกเคล้าผสมกันพอดิบพอดี

น้ำพริก จึงหอม อร่อย และทำให้เจริญอาหาร
ผักจิ้มที่ฉันมักสรรหามาให้พ่อกับแม่กิน นั่นก็คือ ใบมะระ ใบมะกอก ใบบวบ ผักกูด ยอดตำลึง แครอทหั่นเป็นท่อนๆ แล้วลวกน้ำ ถ้าพบเจอผักพื้นบ้านแปลกๆ อะไรอีก ฉันก็จะเอามาอีก

บางที มีแต่ผักเต็มบ้านไปหมดเลย
ครัวของฉันจึงกลายเป็นครัวสีเขียวไปซะแล้ว

ความงอกงามในชีวิตของฉัน
แม้ว่าจะใช้ชีวิตแบบชาวบ้านธรรมดาๆ
แต่ฉันก็รู้สึกว่า ฉันกำลังกินบุญเก่าของตัวเอง
ฉันอยู่บ้านอย่างสุขสบาย มีกิจการของตัวเองที่ต้องดูแล
ว่างก็ช่วยพ่อแม่ขายของ
และก็ดูแลงานในส่วนของตัวเอง

ฉันติดป้ายหน้าร้านทำอะไรหลายอย่าง
เป็นการช่วยเด็กนักเรียนแถวๆ นี้ด้วย
จะพิมพ์ปกรายงาน ถ่ายเอกสาร เข้าเล่ม ตกแต่งภาพ สแกนภาพ ทำนามบัตร
ฉันรับทำได้หมด
ลดราคาได้ ไม่กระทบกำไร ฉันก็ลดให้
ฉันถือว่า ฉันทำบุญ เด็กไม่ค่อยมีเงิน
ฉันจะเอาเงินของเขาเยอะๆ ทำไม

กำไรจากงานเหล่านี้ เป็นผลงาม
ลงทุนก้อนใหญ่ๆ ไปครั้งเดียว ค่อยๆ เก็บดอกเก็บผลไปทีละนิด
เหมือนน้ำซึมบ่อทราย
ถ้าพวกเขาทำเองได้ มีเครื่องมือ ก็คงไม่มาพึ่งพาฉันหรอก
แล้วฉันจะไปขูดรีดเอาค่าแรงจากพวกเขาทำไมกัน

ฉันคิดในเชิงธุรกิจอีกอย่างหนึ่งว่า ฉันซื้อใจลูกค้า
ถ้าฉันคิดราคาแพงๆ เขาคงไม่อยากจะมาหาฉัน
ถ้าฉันใจดี คิดให้ราคาถูก แถมได้เป็นแถม ทำให้ละเอียดประณีต รับผิดชอบได้ ก็ทำ
ทำให้ลูกค้าประทับใจ เป็นการสร้างบารมี
แล้วพวกเขาก็จะมาหาฉันอีก

แม่ฉันบอกว่า แปลกใจจัง ลูกค้าของรุ่งไม่เรื่องมากสักคน
จะให้เขาเรื่องมากได้ยังไงกัน
ในเมื่อฉันตามใจเขาทุกอย่าง
อยากได้อะไร ทำได้ก็จะทำเต็มที่
แถมถามเขาอีกว่า พอใจไหม จะเปลี่ยนอะไรอีกไหม จะทำให้
ใครๆ ก็เกรงใจ ไม่กล้าจะเรียกร้องอะไรจากฉันหรอก
เซอร์วิสด้วยหัวใจขนาดนี้แล้ว

ฉันรู้สึกว่า อะไรๆ ในชีวิตของฉันก็ดีไปเสียหมด
ใครมีปัญหามา ดูไพ่ยิปซี ตรวจดวงชะตากับฉัน
ทุกคนจะได้คำตอบกลับไป บางคนหวนกลับมาคุยกับฉันอีก
เรื่องราวของคนแถวบ้านฉันมีมากมาย

อัศจรรย์ใจอีกเรื่องหนึ่งที่ว่า ใครกำลังมีปัญหาอะไร
ฉันชวนเขาคุยไปเรื่อยๆ
เขากลับบอกว่า ฉันพูดจริงทุกคำ เป็นธรรมะหมดเลย และเอาไปใช้ได้ประโยชน์ไม่เกิดโทษด้วย
ฉันก็บอกว่า ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรมากเลยนะ พูดตามที่มันเป็น แต่เขากลับเห็นจริง
ฉันย้ำว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกที่เป็นความจริงเท่ากับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอีกแล้ว
รู้สึกว่า เขาจะฟังฉันพูดอย่างปีติสุข

ฉันแนะวิธีการรักตัวเองให้เขาฟัง
ให้เขาดูแลกาย กับ จิต ของตัวเอง
เพราะในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เราจะต้องรัก ต้องผูกพัน ต้องห่วงใย เท่ากับกาย และ จิต ของเรา
สิ่งอื่นๆ เป็นของภายนอกทั้งหมดทั้งสิ้น

เขาเห็นจริงตามฉันทุกถ้อยคำ ...
ขณะที่ฉันพูด ฉันก็ทรงสมาธิไปด้วย
ฉันรู้สึกว่า สติของฉันเบาโล่งอยู่ที่กาย
ลมหายใจเบาๆ ไหลเข้าไหลออกอยู่ที่กาย
รู้สึกสบาย และคนฟังก็รู้สึกสบาย

เขาท้องได้สองสามเดือน
ไม่ค่อยอยากกินอะไร
ฉันแนะให้แผ่กระแสจิตไปที่ลูกในท้อง ให้ลูกสบาย
แล้วนึกคุยกับลูก แสดงความรักลูก
หายใจให้ทั่วกาย แล้วจะสบาย
เขารู้สึกชอบใจ และจะเอาไปทำตาม
บอกว่า ของพื้นๆ ใกล้ตัวแค่นี้ ทำไมไม่ไปนึกถึงหนอ
ไปคิดหาเหตุผลและเสียเงินเสียทองซื้อหยูกซื้อยาหาหมอซะวุ่นวายไปหมด
ฉันบอกเขาว่า ลองพิสูจน์ดูว่า การทำเช่นนี้ จะได้ผลไหม
เอาสักสามวัน จะกินข้าวได้ไหม ลองดูนะ ...
หายใจให้ทั่วกายเลยนะ แผ่กระแสจิตออกไปทั่วท้องฟ้า ทั่วแผ่นดิน ให้กว้างไกลเข้าไว้

จบการสนทนาด้วยความรู้สึกดี เขาศรัทธาฉันมาก
สรรเสริญฉันว่า อายุจะสามสิบอยู่แล้ว ทำไมหน้าตายังดูอ่อนเยาว์
ไม่ได้พอกเครื่องสำอางราคาแพงๆ เหมือนใครๆ
แต่หน้าตาดูเป็นเด็ก คงเป็นเพราะเหตุนี้เอง
"ลมหายใจทั่วกาย ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปทางรูขุมขนทุกรู"

เห็นเขาสบาย มีความสุข ฉันก็พลอยสบายไปด้วย
ธรรมะอยู่เต็มโลกไปหมด
แต่เราไปไขว่คว้าสิ่งจอมปลอมเพื่อสนองกิเลสที่มองไม่เห็น
เพราะเราไม่ตั้งใจมอง ไม่ตั้งสติดูกายดูจิตให้คงที่
เราไปยึดสิ่งภายนอกและไขว่คว้าเอา

ฉันเขียนเรื่องดีๆ ของฉันมากพอสมควรแล้ว
ฉันรู้สึกว่า ฉันกำลัง "กินบุญเก่า"
และกำลัง "สร้างบุญใหม่" ด้วยการช่วยเหลือคนอื่นจากธุรกิจของฉันเอง
กำไรที่ฉันได้ ไม่มากมายนัก
แต่ฉันได้งาน ได้มิตรภาพ และได้ช่วยให้คนคลายทุกข์
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจีรัง

ต่อให้ฉันได้เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทองมากมาย
แต่ถ้าฉันยังคิดเพียงแต่จะ เอา เอา เอา
ฉันก็คงหาความสุขได้ยาก คงวิ่งดิ้นรนไขว่คว้าจนไม่มีเวลาได้พักผ่อน
ได้กินน้ำพริกอร่อยๆ ด้วยความตั้งใจอันละเอียด
ได้กินผักปลอดสารพิษ เพราะเป็นผักที่เก็บมาจากการปลูก
ได้ทำกับข้าวกินเอง โดยไม่ต้องใส่ผงชูรส
อาหารที่เกินความจำเป็น ฉันไม่ต้องดิ้นรนไปสรรหามากิน
เป็นความสุขที่เหนือคำบรรยาย

ได้สนองคุณบิดามารดา
ช่วยกิจของท่าน
ได้เห็นความเจริญงอกงามของต้นไม้
เพราะฉันต้องตื่นมารดน้ำต้นไม้ทุกวันให้งามดี
ต้นไม้ที่เคยขาดน้ำ ดอกใบไม่สมบูรณ์
ทุกวันนี้งามดี เพราะฉันมีเวลาดูแลมัน

ถ้าพ่อกับแม่อยู่บ้านเพียงสองคน
ท่านคงต้องทำงานหนัก
เพราะกิจการของท่านมากมาย
ต้องออกไปซื้อของเอง
ไม่มีเวลาดูแลสวนต้นไม้ข้างบ้าน
เก็บล้างถ้วยชาม ดูแลร้านขายของที่คนมักจะเข้ามาเป็นประจำ
บางทีท่านแทบไม่ได้นั่งเลย

ทุกวันนี้ ถ้ามีโอกาสฉันจะบอกให้แม่นั่ง แล้วฉันเดินหยิบของให้ลูกค้าเสียเอง
อากาศร้อน หลังของแม่คันเป็นผื่นแดง
ไม่มีใครทาแป้งที่หลังให้แม่เลย
ทุกวันนี้ ผื่นแดงของแม่จางลงไป
อาการคันน้อยลง
หลังแม่อาบน้ำเสร็จ ฉันจะเอาแป้งทาหลังให้แม่
แม่จะได้สบาย ...

เป็นบุญเป็นกุศลของฉันเสียจริง และด้วยบารมีของครูบาอาจารย์ของฉัน "หลวงปู่เจือ สุภโร"
ที่ทำให้ฉันอยู่บ้านอย่างสบาย
ไม่ต้องดิ้นรนหาเงินหาทอง
นั่งเฉยๆ ลูกค้าก็เอาเงินมาให้
อยากกินก็มีกิน อยากนอนก็มีที่นอน ไม่ต้องเช่าที่ด้วย
บ้านของฉันเอง

ฉันเชื่อว่า ...
นี่เป็นผลจากการปฏิบัติกรรมฐาน
เจริญสติรู้กายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวตลอดเวลา
รู้ลมหายใจเข้าออก
แผ่สติและแผ่กระแสจิตออกไปให้กว้างๆ เบาสบาย

จึงทำให้ฉันมีโภคทรัพย์ไม่ขาดสาย
และได้มาโดยสุจริตเช่นนี้

ด้วยอานุภาพคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ บุญกุศลใดๆ ของฉัน ฉันขออุทิศให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้ทุกท่านจงประสบความเจริญงอกงาม ความสงบใจ เห็นหนทางแห่งความสิ้นทุกข์ หลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวงด้วยปัญญาอันสว่างไสว โดยทั่วกันเทอญ สาธุๆๆ




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2548 0:05:57 น.
Counter : 1602 Pageviews.  

ฟ้าหลังฝน

ไม่ได้เขียนบันทึกมานับเดือนได้ หลังจากกลับมาอยู่ที่บ้าน

เมื่อเช้า ... ฝนตกตั้งแต่เช้ามืด
ไม่มีแม้แต่เงาแดด

ช่วงเวลา 6 โมงเช้า เป็นเวลาที่ฉันตื่นขึ้นมา ...
ภารกิจประจำวันก็คือ การตรวจดูว่า พื้นดินแห้งอยู่หรือเปล่า
ถ้าเช้าไหน พื้นดินแห้ง แสดงว่า ฝนไม่ตก
ต้องรดน้ำต้นไม้

ลากสายยางออกจากหน้าต่างหลังบ้าน เอื้อมมือไปเปิดน้ำ
แล้วฉีดน้ำไปที่สวนข้างๆ บ้าน

หลายวันมาแล้วที่ฉันนำต้นไม้มาลง ...
ยังเป็นต้นอ่อนๆ อยู่เลย

เช้านี้ ... ฟ้าร้องครืนๆ แต่เช้ามืด
ฉันหวั่นใจเหลือเกินว่า ถ้าฝนตกหนัก เม็ดฝนกระทบใบอ่อนๆ ของต้นไม้แรงๆ
ต้นไม้ของฉันจะช้ำเกินกว่าจะรับมือไหว
น้ำไหลนองดิน จะทำให้ต้นไม้รากเน่าตาย

ฉันห่วงต้นไม้ ...
แต่ฉันก็ทำใจนิ่งๆ
ดูสภาวะความเป็นไปของฝน

ฟ้ายังร้องครืนๆ แลบแปลบๆ
ฉันช่วยแม่ล้างหน้าบ้าน
เป็นโอกาสอันดีที่จะขัดพื้นหน้าบ้าน

ยามฝนตก ... ทำให้ร้านค้าเงียบ
บ้านฉันก็พลอยเงียบไปด้วย
แต่เช้านี้ มีป้าเก็บขยะมานั่งดื่มกาแฟกับขนมปังที่หน้าบ้าน

ฉันไม่รู้จักเธอหรอก ...
เห็นใส่เสื้อผ้ามอมแมม ใจลึกๆ อยากจะคุยด้วย
เพราะป้ายิ้มให้ด้วยไมตรี
แต่ฉันกลัวว่า เธอจะเป็นคนบ้า

เมื่อหลายวันก่อน มีคนบ้าคนหนึ่งมานั่งด่าเด็กที่หน้าบ้าน
เหตุเกิดเพราะว่า คนบ้าคนนี้ไปถ่ายของเสียที่ถังขยะ แล้วเด็กไปยืนดู
เธอจึงด่าปาวๆ ด่าระบายอารมณ์เสร็จแล้วก็ก้มอ่านหนังสือในมือต่อ
สักพัก พอนึกได้ อารมณ์แปรปรวนก็พลันผุดขึ้นมาอีก
ก็ด่าอีก ... ด่าไป หยุดก้มอ่านหนังสือไป นึกได้ อารมณ์ขึ้น ก็ด่าต่ออีก

เหตุการณ์นั้นฉันยังจำได้ ...
ทำให้ฉันแอบไปถามแม่ว่า ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่หน้าบ้าน เป็นใครกันแน่
ไม่ใช่คนบ้าแน่นะ ...

แม่ของฉันหัวเราะ บอกว่า เป็นคนเก็บขยะ
กลัวคนบ้าหรือ ...

ฉันค่อยเบาใจ ...
เดินออกไปหน้าร้าน ป้าคนเก็บขยะยิ้มให้ฉัน
ยิ้มของเธอหวาน กว้างขวาง เปิดเผย
มีอาการของคนเจียมเนื้อเจียมตัว
และเสื้อผ้าของเธอหม่นๆ เก่าๆ
บางแทบจะขาดแล้ว

ฉันถามป้าว่า วันนี้ ตื่นแต่เช้าเชียวนะ
เธอตอบฉันว่า เห็นว่า ฝนจะตก จึงมาแต่เช้า ทุกวันไม่มาแต่เช้าหรอก
ทักทายกันสองสามคำ ฉันก็รีบไปดูแลต้นไม้ของฉัน
เพราะฝนเริ่มจะลงเม็ด

ฉันเป็นห่วงปลาหางนกยูงในอ่างบัว
วันนี้ยังไม่ให้อาหารปลาเลย
แต่ปลาเหล่านี้ ก็แสดงอาการมีความสุขทุกที
ว่ายน้ำร่าเริงทุกครั้งที่ฉันไปพิศมองดูมัน

ฝนตกแรงอย่างที่ฉันคิดไม่มีผิดเลย ...
น้ำท่วม แต่ยังดีที่ท่อระบายน้ำไม่ตัน
จึงทำให้น้ำไหลลงท่อได้ไว

ต้นไม้ชุ่มน้ำ ใบบัวช้ำน้ำที่เกิดจากแรงกระเทาะของสายฝน
น้ำชุ่มอยู่ที่โคนต้นไม้ ฉันรู้สึกเป็นห่วงอยู่ลึกๆ

ความห่วงหา ความรัก แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย นี่ก็เป็น "ทุกข์" เหมือนกันนะ
โดยเฉพาะฉันสำคัญว่า ต้นไม้เป็นของฉัน
ฉันต้องดูแลอย่างดี
ฉันจะต้องทำให้มันเติบโตขึ้นมาให้ได้
เป็นความรักลึกๆ ที่อยู่ภายในใจ

แทนที่จิตใจจะเป็นอิสระ ...
ดูฝน ดูฟ้า เท่าที่มันกำลังเป็นไป
ดูการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ดูความเป็นธรรมดาของสถานการณ์

ฉันกลับไปคาดหวังว่า ต้นไม้จะต้องอยู่อย่างปกติ
ทั้งที่ ธรรมชาติย่อมปรับตัวของมันเองอยู่แล้ว

ไม่ว่า ต้นไม้จะอยู่อย่างปกติหรือไม่ก็ตาม
ชีวิตของฉันก็ยังดำเนินไป
ทุกข์ สุข ก็ยังอยู่อย่างนั้น
ฉันยังรับรสอารมณ์ต่างๆ ได้
ตามที่อารมณ์จะมากระทบ

เพียงแต่ ฉันยึด "เวทนา" คือ ความรับรสอารมณ์เหล่านี้ มาเป็นของฉันหนักขึ้นๆ มากเท่าไรเท่านั้นเอง
ถ้ายึดเพียงน้อยๆ ก็ทุกข์เพียงน้อยๆ
ทุกข์ว่า ต้นไม้จะต้องเติบโต
เป็นอารมณ์สุขที่มากระทบกับจิต แล้วเกิดอาการต่างๆ นานา

ถ้าฉันมองเฉยๆ
แก้ไขทุกสิ่งตามสภาพที่ฉันจะทำได้
ยามฝนตกหนักๆ ฉันห่วงต้นไม้
แต่คงไม่ถึงกับวิ่งไปปกป้องต้นไม้ให้พ้นจากลมฝนกระแทกหรอกนะ ...

กว่าฝนจะหยุดได้ ...
ก็เป็นเวลาสาย
ประมาณเกือบแปดโมงเช้าเข้าไปแล้ว
ต้นไม้ยังคงสดชื่น
น้ำซึมสู่ดิน ไม่ท่วมโคนต้น
แยกหน่ออ่อนๆ ออกมาบ้าง
บางต้น ดูแข็งแรงขึ้นด้วยซ้ำ

ฉันเป็นบ้าเป็นบอพะวงอยู่กับเหตุการณ์ที่เหนือจากการควบคุมของฉันทำไมกันเนี่ยนะ ...
ที่แท้แล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงสักหน่อย
ถึงต้นไม้จะล้มตายลงไป
ก็ไม่ได้ทำให้โลกแตกสลายสักหน่อย

ถึงโลกจะแตกสลายลงในเวลานี้
พังครืนต้นไม้ของฉันหายไปในพริบตา
ความเป็นธรรมดายังดำเนินต่อไป
ฉันสิ้นลมหายใจในเวลานี้
สละร่างของฉันร่างนี้ไปสิ้นแล้ว
จิตของฉันก็ยังคงรับรู้อารมณ์ต่างๆ ได้อีก
อยู่ที่ว่า ฉันจะรู้สึกตัวได้ตลอดเวลาหรือเปล่า
มีสติรู้ว่า ฉันรับรสอารมณ์ใด รู้รสอารมณ์ใด เป็นอย่างไร ได้หรือเปล่า
สำคัญที่ตรงนี้เอง ...

ฟ้าหลังฝน ...
สดใส ... ชุ่มชื่น
ในวันนี้ แดดร่มทั้งวัน
เห็นแดดส่องได้ในยามเย็น

ผ่านฝนฟ้าครืนๆ มืดครื้ม ...
เห็นความสดใสแห่งผลของลมฝน
ไม่ว่า ดินฟ้าจะเป็นเช่นใด
เหตุปัจจัยก็ยังคงเป็นไป
และฉันก็ยังคงเป็นผู้ดู

หากฉันวิ่งเต้นไปตามลมฝน
ฉันคงทุรนขนาดหนักเพียงใด ...

ถ้าต้นไม้พูดกับฉันได้
มันคงเตือนสติให้ฉันฟัง
"ดูฉันเป็นตัวอย่างสิ ... ไม่ว่าสภาวะอากาศจะเป็นไปเช่นใด
ฉันถูกกระทบเพียงใด
ใบจะช้ำแค่ไหน ฉันก็ยังคงยืนหยัด
และสนองผลเท่าที่จะเป็นไปตามเหตุปัจจัย
ไม่ใช่เป็นไปตามอารมณ์"

ฉันนับถือต้นไม้ของฉันที่สุด ...
และขอบคุณฝนฟ้า ที่สอนบทเรียนแห่งธรรมชาติให้ฉันเข้าใจ

ฉันอาจจะมีเป้าหมาย
มีแรงอธิษฐาน มีความมุ่งหวัง
ฉันจะไม่คาดหวังสิ่งใดๆ ให้เป็นไปตามใจฉันต้องการ
แต่จะให้เป็นไปตามสภาวการณ์ที่ควรจะเป็น

ฉันไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาล
ฉันไม่ใช่ผู้ควบคุมโลก
ฉันเป็นเพียงผู้ดู ...
และผู้ใช้สติคุมบังเหียนชีวิต กาย และ จิต ของตัวฉันเอง

ฟ้าหลังฝน ในเช้านี้ เป็นคุณครูอันยิ่งใหญ่ที่สอน "ธรรมะ" ให้กับฉัน
การเข้าถึงความจริงได้ ไม่ใช่เกิดจากมันสมองและความนึกคิดฟุ้งฝัน
แต่เป็นเพียงการนิ่งมองทุกสิ่งเท่าที่เป็นไป
ยิ่งจิตหยุดคิดมากเท่าใด ยิ่งสว่างเห็นทาง และเข้าถึงความเป็นจริงได้อย่างเจิดจ้ามากเท่านั้น

ดื่มด่ำในรสแห่งความจริงเหลือเกิน ...
รสแห่งความจริง ... ไม่ได้อิงอาศัยความเป็น "ตัวฉัน"
ไม่ได้อาศัยว่า ฉันเป็นใคร เป็นคนอย่างไร
แต่อาศัยที่ว่า ฉันคลายความหลงตนลงไปได้เพียงใด
หลงว่า ตนเป็นนั่นเป็นนี่
หลงว่า ตัวเองเป็นใคร
หลงว่า ตัวเองเป็นคนอย่างไร

ความหลงตน ...
ฉันใช้วิธีแก้ไขโดยการใช้สติดูกายตัวเอง
ดูกายภายนอก กายภายใน
และแผ่ขยายดูสรรพสิ่งรอบๆ โลก

ลมหายใจกระเพื่อมเข้า กระเพื่อมออก
ฉันรู้อยู่ ฉันเห็นอยู่ ...
ฉันจึงเข้าถึงความเป็นมนุษยชาติ และเข้าถึงความเป็นชีวิต
เข้าถึงความเป็นจิตเป็นใจของตนเองได้ในขณะที่เห็นลมไหลทั่วร่าง

ร่างเล็กๆ ร่างนี้ ...
อิงอาศัยเพียงเพื่อให้จิตสถิตอยู่
และให้จิตคุมกายในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง
หาใช่เป็นร่างจริงไม่
เป็นเพียงร่างสมมุติ

เช่นเดียวกับต้นไม้ ...
ที่สมมุติว่า เป็นของฉัน
ฉันจึงมี "หน้าที่" ต้องดูแล
มิใช่มีหน้าที่ที่จะเป็น "เจ้าของ"

ฉันเขียนบันทึกนี้อย่างสงบใจเป็นที่สุดในค่ำคืนแห่งความเงียบงัน
และขอจบบันทึกนี้อย่างสงบใจ

แผ่ความสุขอันเกิดจากความสงบนี้ไปถึงท่านผู้อ่านทุกท่าน
ขอให้พบกับสันติสุขทั่วกัน ด้วยอานุภาพแห่งคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยเทอญ
สาธุๆๆ




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2548    
Last Update : 24 มิถุนายน 2548 0:28:53 น.
Counter : 252 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

แดดเช้า
Location :
พัทลุง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[จะเป็นสะพานพาคนให้พ้นทุกข์]
...........................................................
หวังเกื้อกูลพระศาสนา
จึงตั้งค่าการหยั่งรู้ สู่มรรคผล
เพื่อรู้แจ้ง แห่งสัจธรรม นำใจคน
พาหลุดพ้น เป็นคันฉ่อง ครรลองธรรม : )

เกิดตายมาหลายหนจนนับไม่ถ้วน
ชาติหน้า หน่ายแล้ว ไม่อยากเกิดอีกแล้ว )

..............................................................
นาม ฉันนั้นแดดเช้า ........... ทอทอง
รูป แจ่มสดใสมอง ................ สุขล้ำ
จุดหมาย ดั่งครรลอง ............. หวังวาด
คติ แน่นในเนื้อน้ำ .......... ดิ่งซึ้งรสธรรม

หวัง นำชนสู่เป้า ................... แดนฝัน
กิจ ที่อธิษฐานพลัน ............... หยั่งรู้
ใน ชีวิตคิดสรรค์ .................... สร้างโลก
ธรรม สถิตมั่นสู้ ........... ปราบสิ้นกิเลสมาร

สานชีวิตแดดเช้า .................... หยาดอรุณ
มองโลกเพื่อเจือจุน ................. แหล่งหล้า
อาบอุ่นประกายคุณ .............. ไตรรัตน์
เพียงนบสนองแกล้วกล้า ..... แจ่มแจ้งปัญญา

ค่าแห่งอุดมคติเน้น .............. ตรงธรรม
ประกาศศาสน์น้อมนำ ........ อริยะแจ้ง
ฉุดผองเหล่าชนถลำ ............ จมทุกข์
ชี้ฝั่งให้เห็นแห้ง ......... แห่งห้วงทะเลกรรม

จึงบำเพ็ญตบะกล้า ......... ทางใจ
เพื่อมรรคผลอำไพ ........... จิตแจ้ง
เห็นอริยสัจจ์สว่างใส...... ทุกข์ปลด
แล้วจึ่งล้างขัดแย้ง .......... เบิกฟ้าสันติธรรม

หวังนำคุณพระแพร้ว......... ชี้ทาง
สถิตจิตในสิ่งวาง ............. มั่นเข้า
แผ่คุณเมตตาถาง .............. อุปสรรค
สู่ทุกจิตค่ำเช้า ........... พบแผ้วผ่องใส.

Friends' blogs
[Add แดดเช้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.