บันทึกธรรม - หน้า 10
- จิตติดภพ เพราะ 1 ไม่รู้ทัน 2 มีความพอใจในภพ - ภพ คือ การทำงานของใจ - ไม่มีใครสามารถเจริญวิปัสนา ได้ตลอดเวลา - อยากรู้ชัด อยากรู้ตลอดเวลา อยากรู้ไม่ให้คลาดสายตา เลยกลายเป็นจ้องเอาไว้ - ฉันทะ เป็นความสุข พอใจ ที่จะได้รู้กายรู้ใจ (ไม่หวังผล) - เห็นแป๊บเดียว ของจริง เห็นนานๆ ไม่ใช่ - ทำ ถ้าไม่หวังผลจะไปเร็ว ถ้าหวังผลจะไม่ไปไหน - กุศลหรืออกุศลใหญ่ๆ เกิดจาก กุศลหรืออกุศลเล็กๆ ให้รู้ทันอกุศลเล็กๆน้อยๆ - ให้รู้ทัน ไม่ให้ละ - มีสติรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยความเป็นกลาง - น้ำนิ่งน้ำจะเน่า จิตนิ่งจิตก็จะเน่า - ไม่ได้ฝึกเอาดี ไม่ได้ฝึกเอาสงบ ไม่ได้ฝึกเอานิ่งเอาว่าง ไม่ได้ฝึกเอาแก้ ไม่ได้ฝึกเอาให้หาย (แต่)ฝึกเอาความจริง - ดูได้ก็ดู ดูไม่ได้ก็ดู - เวลาทำงานที่ต้องใช้ความคิดให้ตั้งใจทำงาน(ไม่ใช่เวลาเจริญสติ) พอกิเลสเกิดจึงค่อยรู้ - ถ้าเราไม่ปล่อย ใตรลักษณ์จะไม่แสดงตัวออกมา - เวลาหนาว กายหนาว กายไม่บ่น จิตไม่หนาว แต่จิตบ่น จิตยุ่งกับเค้าไปทุกเรื่อง - ไตรลักษณ์ ไม่ได้เอาไว้คิด - กิเลส ไม่กลัวคนฉลาด (แต่) กลัวคนรู้ตัว รู้ซื่อๆ - สภาวะทั้งหลายเท่าเทียมกันโดยความเป็นใตรลักษณ์ - ทำความสงบ(สมถะ) ไม่ยาก แค่รู้สบายๆ ทำอะไรแล้วมีความสุข สงบ ก็ทำอันนั้น - สภาวะอะไร เกิดซ้ำซากนานๆ ต้องมีอะไรผิดปกติ - รู้จิต ต้องไม่ทัน ถ้าจะให้ทันจะกลายเป็นเพ่ง - จิตที่มัวๆ ไปบังคับจิตมากเกินไป ไม่ต้องไปแก้ ให้รู้ไป - การเพ่งจนดับ ไม่ใช่เห็นเกิดดับ - การเห็นว่า กายนี้ใจนี้ เป็นทุกข์บ้างสุขบ้าง ยังไม่เป็นการเห็นทุกข์ - ตรงที่รู้โดยไม่จงใจ เป็นมหาสติ - กายกับจิต เหมือนเหรียญคนละหน้า ถ้าดูถูกต้อง หยิบอันหนึ่งจะติดอีกอันหนึ่ง - ถ้าเห็นกายแตกดับ ให้รู้ทันใจตัวเองต่อ - จิตเพิ่มเวทนามากกว่าของจริง เวทนาที่กายไม่มาก แต่จิตไปเพิ่มจนรู้สึกว่ามีเวทนามาก - ไม่มีเวทนาที่ไม่หาย - จิตไม่ถึงฐาน ติดความว่าง อยู่นอกๆ โล่งๆ ดูไม่ถึงจิต ไม่ทวนเข้าหาใจตนเอง เหมือนติดอะไรสักอย่าง คือจิตที่ไม่ตั้งมั่น - หลายๆวัน จิตเป็นเหมือนเดิม แสดงว่าติดอะไร ให้ค่อยๆสังเกต - เวลาดูจิต ดูอะไรที่มาปรุงจิต ไม่ถลำเข้าไปดู ดูที่เครื่องฉายหนัง ไม่ใช่จอหนัง
Create Date : 21 เมษายน 2554 | | |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2554 21:24:18 น. |
Counter : 523 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บันทึกธรรม - หน้า 9
- กิเลสจะมีอยู่ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้มีอิทธิพลเหนือจิตผู้รู้ - การรู้ของจิต กับการรู้ของเรา เป็นคนละเรื่องกันทีเดียว - ความรู้ของจิต เกิดขึ้นได้เพราะจิตเขารู้ของเขาเอง - จิตเขาจะรู้ได้ เราก็ต้องเป็นพี่เลี้ยง ป้อนจิตด้วยศีล สมาธิ และปัญญา พาให้จิตรู้จักการเป็นผู้สังเกตการณ์สภาวธรรมที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้า - ให้จิตได้เรียนรู้ ด้วยการเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ - เมื่อจิตสังเกตการณ์จนแน่ใจแล้ว จิตเขาจะตัดสินความรู้ด้วยตัวของเขาเอง - เมื่อจิตตัดสินความรู้แล้ว บริบูรณ์ด้วยความรู้ในอริยสัจจ์แล้ว จิตจะไม่กลับกลายวกวนเข้ามายึดถือของสกปรกคือขันธ์อีก - ชาวพุทธอย่าไปเล่นเรื่องกรรมเก่านะ ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรของชาวพุทธนี่ชื่อว่า ชนกกรรม (ชะ-นก-กำ) คือ กรรมที่บันดาลให้เรามีกายมีใจอันนี้มา นี่แหละ คือเจ้ากรรมนายเวรของเราตัวจริง - กรรมที่ทำแล้วแก้ไขไม่ได้นะ แต่มัน(เรา)แก้กรรมใหม่ได้ - จิตฟุ้งซ่าน เพราะจิตวิ่งหาความสุข จับอารมณ์หนึ่งไม่สุขก็ไปหาอารมณ์อื่นต่อไป - เรามีหน้าที่รู้ทัน การปล่อยวางเป็นหน้าที่ของปัญญาไม่ใช่หน้าที่เรา - ตรงที่สักว่ารู้ว่าเห็นจริงๆเกิดได้ยาก เรามีหน้าที่รู้ตามความเป็นจริง - ตัวเราเป็นแค่ความคิด ไม่มี(ตัวเรา)จริงๆ ในความคิดมีตัวเราตัวเบ้อเร้อเลย - ใจเราภาวนาเหมือนไม้สดๆเหนียวๆ ติดไฟยาก - ถ้าเราอยากได้ผล จะภาวนาแบบมีความทุกข์ ไม่ได้ผล, ให้รู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบัน จะมีความสุข อย่าตะกายหา - ตรงที่กำลังเผลอแล้วรู้สึก ดีที่สุด - รู้กับปัจจุบัน ไม่รักษาอะไรเลย - ไม่ได้ฝึกให้ไม่โกรธ แต่ โกรธแล้วรู้ โกรธแล้วรู้ - กาย รู้เป็นปัจจุบันได้ เพราะกายอายุยืน ดูเป็นปัจจุบันขณะ - จิตเกิดดับเร็ว รู้ได้ทีละอารมณ์ ให้รู้ตามหลัง เป็นปัจจุบันสันตติ - ไม่เป็นกลาง รู้ว่าไม่เป็นกลาง ได้คะแนนแล้ว - ลืมคำว่าถูกว่าผิดเสีย อย่ากลัวถูกผิด เพราะทำอะไรก็ผิดหมด ไม่ต้องทำอะไร รู้สึกเอา - ไม่ดีก็ได้ แต่ห้ามชั่ว ห้ามผิดศีล 5 - การที่เห็นสภาวะหมุนเวียนเปลี่ยนไป เป็นวิปัสสนาแล้ว - จิตที่อยู่นอกๆ ถ้าจงใจย้อนเข้ามาจะแน่น ถ้าเค้าเข้ามาเองจะสบาย - ดูจิต รอให้กิเลสเกิดก่อน ค่อยดู - ไม่ต้องรู้ตลอดเวลา รู้เล่นๆ รู้บ่อยๆ - ไม่เลือกว่า เค้า(จิต) เป็นแบบไหน เป็นแบบไหนก็รู้ - การส่งจิตไปดู ไม่ใช่การดูจิต จิตไม่ตั้งมั่น - ธรรมะ คือ ธรรมดา อย่าทำให้ผิดธรรมดา ดูไปธรรมดาๆเท่านั้น - รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง สมุทัยจะละอัตโนมัติ และเห็นนิพพาน ทั้งหมดนี้เรียกว่ามรรค - พระอรหันต์ ไม่ได้รู้นิพพานตลอดเวลา ฉะนั้นถ้าไปรู้อะไรนิ่งๆตลอดเวลา ไม่ใช่นิพพาน - ตรงที่ไม่ได้บังคับ จะเห็นความจริง (สำหรับคนติดบังคับ)
Create Date : 19 เมษายน 2554 | | |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2554 21:24:35 น. |
Counter : 488 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บันทึกธรรม - หน้า 8
- ถ้ารู้สึกว่ารู้ตัวอยู่ตลอด เป็นการเพ่งไว้ - Gap (ช่องว่าง) เล็กน้อย ไม่เป็นไร แต่ถ้าห่างมากไม่ดี มันจะไปพรหมโลก เป็นอรูป - โมหะ คือ ความไม่รู้ 8 อย่าง 1-ไม่รู้ทุกข์ รูปนามกายใจเป็นทุกข์ 2-ไม่รู้สมุทัย ไม่รู้จักตัณหา 3-ไม่รู้จักนิโรธ คือ นิพพาน 4-ไม่รู้จักอริยมรรค 5-ไม่รู้ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ที่เป็นอดีต คิดว่าเราเกิดขึ้นลอยๆ ไม่มีเหตุให้เกิด โดยเฉพาะพวกพรหมลูกฟัก 6-ไม่รู้ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ที่เป็นอนาคต คิดว่าอะไรๆ ก็ไม่มี 7-ไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต เห็นชีวิตเคลื่อนไปเรื่อย ปฏิเสธเรื่องกรรม 8-อัตตะทิฐิ ไม่เห็นตัวตน (ทำให้ไม่มีโอกาสเห็นว่าตัวตนเป็นไตรลักษณ์) - โมหะ ทำหน้าที่ปิดบังสภาวะ ไม่รู้ความจริง, อโยนิโสนมัสสิการ เป็นเหตุให้เกิดโมหะ - พระอรหันต์มีแต่ทุกข์ของรูปนาม ไม่มีทุกข์จากตัณหา - สติ รู้ความจริง ปัญญา เข้าใจความจริง - ค่อยๆ สังเกต เราดัดแปลงหรือเปล่า เราเพ่งหรือเปล่า หรือพอรู้สภาวะเราไปแทรกแซง หรือจิตไปเกยตื้น ไปนิ่งอยู่ที่ใดที่หนึ่งไม่ยอมเดินปัญญา หรือช่วงนี้จิตฟุ้งซ่านไม่ยอมดูอะไร ฟุ้งลูกเดียว - ถ้าฟุ้งซ่าน ทำความสงบเข้ามา, ถ้ามันไม่ยอมเดินปัญญา ให้น้อมใจออกไปรู้กายไม่ให้ใจนิ่ง - จิตไม่ถึงฐาน มีข้อเสียคือ ไม่เกิดสัมมาสมาธิ ไม่เกิดปัญญาที่แท้จริง เห็นสิ่งภายนอกเป็นไตรลักษณ์ แต่ไม่ย้อนมาดูจิตตัวเอง มันสงวนรักษาตัวมันนิ่งๆ ว่างๆ อยู่ - การทำในรูปแบบมีประโยชน์คือทำให้จิตตั้งมั่น แต่มีข้อเสียคือมันจะไปเพ่ง - อย่าคิดว่ามีทางลัด ถ้าคิดว่ามีทางลัดโลภะจะนำหน้า แล้วเกิดการกระทำ - ถ้าพักอยู่ เพลินตามกิเลสของโลก จะจมลง ถ้าเพียรอยู่ บังคับกายบังคับใจ จะลอยขึ้น หน้าที่ของเราคือเดินสายกลาง รู้กายรู้ใจไป - พวกทำไม่เป็น ดี, พวกทำเป็น ทำไม่ได้ - จะสภาวะอะไร ไม่มีนัยยะ - ปุถุชนทุกคน เป็น มิจฉาทิฐิ - วิธีฝึกสมาธิสำหรับนักดูจิต คือ รู้ทันนิวรณ์ 5 ( กามฉันทะ ความรักใคร่พอใจในอารมณ์ พยาบาท ความขัดเคืองขุ่นข้อง วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย อุททัจจะกุกุกจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ถีนมิททะ อาการจิตอ่อนกำลัง ใจเฉื่อยชาซึมเซา)หรือ ให้รู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น จิตจะตั้งมั่นขึ้นมา - ดูสภาวะ เพื่อทำความรู้จักมัน - จิตตั้งมั่น ไม่ใช่จิตนิ่ง ประกอบด้วยองค์ธรรมฝ่ายกุศลจำนวนมาก - เวลาเพ่ง จิตจะเคลื่อนไป นิ่งๆแน่นๆ - ทวนกระแสโลก โลกดึงจิตออกนอก เราต้องคอยรู้กายรู้ใจ โลกดึงไปอดีตไปอนาคต เราต้องอยู่กับปัจจุบัน - ตรงที่จงใจรู้ละเอียด (รู้รายละเอียด) ปัญญาจะล้ำหน้า รู้มากเกินไป ให้ดูภาพรวม ดูคู่เดียวก็ได้ - รากเหง้า คือ มีตัวเรา แล้วก็ไปสร้างอะไรขึ้นมา แล้วก็ติตอยู่ตรงนั้น หน้าที่เราต้องค่อย ๆ สังเกต - จิตไม่มีที่ตั้ง เกิดที่ไหน ก็ดับตรงนั้น ดับอย่างรวดเร็ว จิตตั้งอยู่กับปัจจุบัน รู้แล้วก็วาง - จิตไม่มีใน ไม่มีนอก ไม่มีเข้า ไม่มีออก - เวลาเจริญสติ เห็นปรากฏการณ์ ทีละอัน ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนบรรลุธรรม เห็นภาพรวมรวบยอด - ใจเรายังไม่มีที่พึ่งที่แท้จริง มันจะวิ่งหาที่พึ่ง
Create Date : 17 เมษายน 2554 | | |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2554 21:24:52 น. |
Counter : 464 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บันทึกธรรม - หน้า 7
- สุดโต่งที่ละเอียดดูยาก เช่น พวกชอบวุ่นวายกับอาการของจิต พวกรู้เฉยๆติดสุข พวกปัดทิ้งไม่เอาอะไรเลย(คือไปยึดว่าไม่ยึดอะไร) ที่จริงควรจะไม่เอาอะไรเลยนอกจากรู้ - คลื่นของความปรุงแต่ง ซัดอยู่เรื่อย ชาติแล้วชาติเล่า ใครไม่เห็นก็ไม่รู้ว่าทุกข์ - ความสุขไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ตัวปัญหา - ในหนึ่งขณะ มีสภาวธรรมมหาศาลเกิดพร้อมกัน - จิตของคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เค้นใจตัวเองตลอดเวลา - ให้รู้สภาวะ ถ้ากิเลสแทรกให้ รู้กิเลส - กุศลหรืออกุศล ที่เกิดขึ้นเองไม่ต้องโน้มน้าวให้เกิดไม่ประกอบด้วยโลภะเจตนา จะเป็นกุศลหรืออกุศลที่มีกำลังกล้า - จิตที่รู้โลก(นาม-รูป) จะเหนือโลก ไม่ถูกโลกดึงดูด และไม่ดึงดูดโลก (เข้าไปยึดอารมณ์) - กายหิวอาหาร ใจหิวอารมณ์ - นิพพาน ไม่ใช่ว่างแบบมีขอบเขตเป็นจุดเป็นดวง - ตอนกราบ ถ้าจิตแนบ จะเห็นเรากราบ ถ้าจิตเป็นคนรู้คนดูจะเห็นเป็นกายกราบ ไม่ใช่เรา - ฝึกจนเห็นกายเห็นใจ เหมือนกายใจคนอื่นๆ แล้วฝึกต่อไปจนเห็นว่าไม่ใช่คน - เราเป็นของโลก แต่คิดผิดว่าโลกเป็นของเรา - กายดูห่างๆ, แต่จิตไม่ดูห่างๆ ให้ดูการเกิดดับ เปลี่ยนแปลง - โสดาปฏิมรรค เกิดจากทัศนะ มรรคเบื้องสูงเกิดจากภาวนา - ตัวจิตเป็นธาตุรู้ ไม่มีตัวตน ดูยาก ให้ดูจิตสังขาร เห็นมันเกิดขึ้นมาก็รู้ หายไปก็รู้ จะเห็นจิตแท้ๆ ตอนบรรลุมรรคผล จิตจะยิ้มเพื่อแสดงความมีอยู่ของจิต - ตามสถิติ ครูบาอาจารย์หลายองค์ ใช้เวลา 16 ปี - ถ้าประคองไว้ จิตจะนิ่ง ไม่เห็นไตรลักษณ์, ถ้าแทรกแซงจิตจะฟุ้งซ่าน ไม่เห็นไตรลักษณ์ - ดูจิตได้หลายมุม มุมเกิดดับ เกิดมาแล้วก็หายไป, มุมอนัตตา บังคับไม่ได้, มุมบีบคั้น ถูกตัณหาบีบคั้นจิต - สำหรับคนที่มีสติ ความเพียร เร่งไม่ได้, สติเกิดได้เท่าที่มันเกิด ทำให้มากกว่านี้ไม่ได้ - รู้ตัวทั่วพร้อม คือ ไม่เผลอไม่เพ่ง สักว่ารู้ ไม่ต้องรู้ทั้งตัว - ไม่ต้องกังวลทำจิตให้เป็นหนึ่ง ให้เรียนรู้จิตคู่ไป จิตหนึ่งเป็นจิตของพระอรหันต์ - อยู่กับโลก ต้องเล่นกับโลกให้เป็น ไม่อย่างนั้น โลกจะกัดเรา อนุโลมตามโลกโดยไม่ผิดศีลธรรม - รู้แล้วไม่รู้อะไร ( รู้แล้วไม่รู้ว่ามันคืออะไร ) เป็นสุดยอดกรรมฐาน เป็นวิปัสสนา ไม่มีสมมุติบัญญัติ - จิตไม่เป็นกลาง ให้รู้ว่าไม่เป็นกลาง ไม่ต้องทำให้เป็นกลาง - โลกว่างเปล่า แต่จิตมี น.น. เพราะ เราไปหยิบฉวยจิตไว้ - เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าให้ใจเสีย - จิตจะลงภวังค์เสมอๆ ขึ้นแล้วลงๆ แต่เราไม่เห็น - มีตัณหา เกิดการทำงานทางใจเรียกว่าภพ, เห็นว่ามีตัวเราเรียกว่าชาติ - ถ้าฟุ้งซ่าน ให้ย้อนศรฟุ้งลงในกาย ค้นคว้าลงที่กาย อย่าให้เกินกาย จะเป็นสมถะให้ได้พักผ่อน - พวกที่ยึดความว่าง ยังยึดจิตอยู่
Create Date : 16 เมษายน 2554 | | |
Last Update : 16 เมษายน 2554 4:56:24 น. |
Counter : 450 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บันทึกธรรม - หน้า 6
- สติ รู้การเคลื่อนไหวของจิต รู้การหยุดนิ่งของจิต - รู้กิเลสที่กำลังมีอิทธิพลเหนือเรา - ไม่ต่อต้าน ไม่คล้อยตาม รู้ตามเป็นจริง - เป็นกลาง ไม่ใช่อยู่ตรงกลาง จิตอยู่นอกๆ รู้ว่าอยู่นอกๆ ก็เป็นกลางตรงนั้น - จิตมีหน้าที่คิด ไม่ใช่จิตพระอรหันต์ไม่คิด แต่ท่านไม่ยึดถือ - กายมีอยู่รู้ว่ามีอยู่ จิตมีอยู่รู้ว่ามีอยู่ - รู้อย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อยากให้มันดี - ทำมากไป จะไม่มีความสุข พอมีความสุขมากไป ก็พร้อมจะหลง - ขั้นแรก รู้ตัว ขั้นสองรู้กายรู้ใจ ขั้นสามเห็นไตรลักษณ์ - สักว่ารู้ สักว่าเห็น จริงๆ ต้องขั้นสังขารุเบกขาญาน - กายเสพอาหาร, จิตเสพอารมณ์ เพื่อ Serve อัตตาตัวตน - พระอรหันต์คิด ไม่มี Image คิดจากความว่าง ไม่สร้างอะไรเกินจากความคิด ไม่มีรูปไม่มีนาม - มีสติเนื่องๆ เห็นรูปนามโดยความเป็นไตรลักษณ์ ถอดถอนความเป็นตัวตน - จิตมีธรรมชาติปรุงแต่ง แล้วเราก็ไปช่วยมันปรุงแต่ง เลยยุ่งเหยิงไม่หมด ต้องขว้างทิ้งมันไปซะไม่ต้องไปแก้ - เวลาขาด ไม่ใช่ไปขาดที่อนุสัย แต่ไปขาดที่อาสวะ อาสวะเป็นกิเลสที่ย้อมใจ ทำให้กิเลสไหลเข้าสู่จิตไม่ได้ เหมือนตัวเชื่อมต่อ Interface ระหว่างกิเลสกับจิต - เมื่อรู้โดยไม่ปรุง โลกธาตุจะราบเป็นหน้ากลอง บางคนถึงตรงนี้บรรลุอริยมรรค สัมมาสมาธิจริงๆอยู่ตรงนี้ ตรงนี้สูงสุดที่ ปุถุชนจะเข้าถึงได้ เป็นจุดแยกของพุทธภูมิกับสาวกภูมิ - ถ้าเรารู้ด้วยจิตที่เป็นกลาง ไม่ว่าจะเป็นภพนรก หรือสวรรค์ มันเท่าเทียมกันหมด - ถ้าเราหวั่นไหวกับความเสื่อม เราจะอยู่กับความเสื่อมตลอดไป - อย่า อยากบรรลุธรรม ถ้าอยาก จะไม่บรรลุ ไม่ปฏิบัติเพื่อเอาอะไร ให้ปฏิบัติเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า - ถ้ามีโมหะจะไม่รู้สภาวะ ฉะนั้นเมื่อไหร่รู้สึกไม่รู้อะไร ให้รู้ว่านั่นแหละมีโมหะ - สติบ่อยดี สติกล้าแข็งไม่ดี คมกริชไปหมด ขาดความอ่อนโยนนุ่มนวล อาจเกิดวิปัสสนูกิเลสได้ จะเกิดตรงที่จิตขึ้นวิปัสสนาอ่อนๆ - วิปัสสนาแท้ๆ เห็นได้ 2 อัน อันแรก เห็นสันตติ (ความสืบเนื่อง) ขาด, อันสองเห็นฆน (กลุ่มก้อน) แตก - ถ้าบรรลุจริง ไม่หิวธรรมะ ไม่ทุรนทุรายอยากสอน ต้องช่างสังเกต อะไรเกิดขึ้นไม่เชื่อง่ายๆ - จิตที่ตั้งมั่น เห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดู จะรู้สึกว่าสิ่งนั้นไม่ใช่เรา - ถ้ายังคิดจะเอาอยู่ เช่น จะเอาความว่าง เจออะไรก็เหวี่ยงทิ้ง ยังไม่ใช่ของจริง - ฝึกจนไม่ฝึก - ความเป็นกลางจะมาเอง ไม่จงใจให้เป็นกลาง - เมื่อเกิดกิเลสแรงๆ จิตจะหม่นๆ ตรงนี้เป็นวิบาก ไม่หาย ถ้าจิตยอมจำนนเพราะหลังชนกำแพง ไม่ใช่พยายามยอมจำนน ความทุกข์จะกระเด็นออกไป - สุขของโลก สุขสกปรก ใจจะเปียกๆ - ดูจิต ถ้าไม่นำหน้าด้วย ตัณหา มานะ ทิฐิ ทำเพราะน่าสนใจ จะได้ผลเร็ว
Create Date : 15 เมษายน 2554 | | |
Last Update : 17 เมษายน 2554 1:03:49 น. |
Counter : 433 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
MY VIP Friend
|
|
|
|