บันทึกธรรม - หน้า 5
- จิตปรุงแต่ง ไม่เป็นไร อย่าไปปรุงแต่งจิต - ไม่ฝึกให้เป็นกลาง แต่ให้รู้ทัน - เวลาเห็นจิตเกิดดับรวดเร็วมาก ให้ดูภาพรวมว่าจิตฟุ้งซ่านอยู่ - ดูจิต เหมือนดูเครื่องฉายหนัง ไม่ดูที่จอหนัง - คนที่จริตละเอียด เห็นจิต หิวอารมณ์ทั้งวัน - จิต ตั้งมั่น จะสักแต่ว่า, ไม่ใหลไปดู - การทำงานของจิต เรียกว่า ภพ - ตัวผู้รู้ อย่าเพ่งใส่มัน จะเพ่งค้างเป็นปี - การรู้เท่าทัน ไม่ใช่เท่าทันสภาวะ แต่เท่าทันจิตเราเอง - เราปรุงกิเลส แล้วก็ถูกกิเลสครอบงำ เช่น คิดถึงสาว แล้วก็ถูกราคะครอบงำ - จิตขึ้นวิถี ทำงานเสพอารมณ์เต็มที่ แล้วสะสมอารมณ์เป็นวิบาก ก่อนดับ - เริ่มจาก รู้ตัวให้เป็น จะพบว่าจิตเราเหมือนใจตอนเด็กๆ คือ แกว่งขึ้นลงเป็นอิสระ เมื่อรู้สึกบ่อยๆ เกิดสติโดยไม่เจตนา จะเกิดการตั้งมั่น เป็นสติจริงๆ ซึ่งเกิดขึ้นเอง ต่อมาเริ่มรู้สึก กายไม่ใช่เรา แยกกายออกจากจิต เป็นปัญญาขั้นแรก เรียกนามรูปปริเฉทญาณ - ขันธ์ 5 เริ่มกระจายตัวออก เมื่อกระจายตัว จะเริ่มเห็นแต่ละขันธ์ ไม่ใช่เรา เห็นสภาวธรรม แต่ละตัวมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ เป็นปัญญาขั้นสอง คือ ปัจจัยปริคคหญาณ รู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ - เมื่อรู้ไปเรื่อยๆ ปัญญาจะปราณีตขึ้น จะเกิด สัมมสนญาณ เห็นไตรลักษณ์โดยการตรึก คิด เปรียบเทียบ (ยังไม่ขึ้นวิปัสสนา) - เมื่อสติ สัมมาสมาธิ มีแรงพอ เริ่มเห็น สันตติขาด เห็นความเกิด ดับ เช่น เห็นจิตเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มีช่องว่างมาแทรก เช่นเห็นว่าจิตดวงนี้กับจิตดวงก่อน เป็นคนละดวงกัน เรียกว่าเห็นสภาวธรรมเกิดดับ - เมื่อเห็นมากเข้า เห็นตัวเราหายไปไหน บางคนรู้สึกโหวงๆ ว่างเปล่า บางคนเบื่อทุกอย่าง เบื่อสุขและทุกข์เท่าๆกัน ใจมีนิพพิทา เห็นโลกแบนๆ เห็นว่างๆ มีอยู่แต่ไม่มีอะไร ถ้าเห็นแล้วรับไม่ได้จะหวั่นไหว ตรงนี้ (นิพพิทาญาณ) ให้ปฏิบัติต่อไป - เมื่อฝึกไปเรื่อย สติจะทำงานถี่ยิบ เห็นความจริงมากขึ้นด้วยใจที่เป็นกลาง เห็นทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับ ความทุกข์เกิดขึ้นก็ไม่ไปทำอะไรมัน ใจไม่ดิ้นรนไม่ปรุงแต่ง (สังขารุเบกขาณาณ) ตรงนี้จิตจะรวมลงอัปปนาสมาธิ จิต เห็นสภาวะเกิดดับแล้วแจ้งอริยสัจจ์ สัมมาสมาธิจะรวมประชุมองค์มรรค ลงที่จิต แหวกสิ่งห่อหุ้มจิตออก - เมื่อเกิดขึ้น 4 ครั้ง จิตจะดีดตัวออก ขึ้นมาเต็มโลกธาตุ - ความกังวลไม่ใช่จิต จิตอยู่ส่วนจิต ความกังวลอยู่ส่วนความกังวล - ไม่ว่าจิตจะส่งไปภายนอก หรือส่งเข้าภายใน หรือประคองไว้เป็นกลางๆ ก็ล้วนแต่อยู่ในความหมายของคำว่า จิตส่งออกนอก - คือถ้านอกเหนือจากการรู้ไปตามปกติธรรมดา ก็จัดว่าเป็น จิตส่งออกนอก ทั้งสิ้น - หากจะกล่าวให้ตรงกับพระปริยัติธรรมแล้ว อาการที่จิตส่งออกนอกก็คืออาการของตัณหานั่นเอง - ตัณหาเป็นความโลภ เป็นความหิวอารมณ์ของจิต และเป็นความทะยานไปยึดอารมณ์ด้วยความอยากของจิต - หลงดู ตัวตนยังไม่เกิด แต่จะเกิดตัวตนตอนหลงคิด - คำว่า ทำ ทั้งหลาย คือคำว่า ภพ คือการทำโดยมีเจตนา - สมาธิ มีขณะเดียว คือ ปัจจุบัน ไม่มียาวๆ - แต่ละคนมีลิ้นชักลึกลับเก็บสะสมกิเลสไว้เต็ม วันดีคืนดีก็ล้นออกมาทางกาย วาจา
Create Date : 14 เมษายน 2554 |
Last Update : 14 เมษายน 2554 7:26:23 น. |
|
0 comments
|
Counter : 416 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
MY VIP Friend
|
|
|
|