ORAPA --- No One Else
 
 

"แต่งงาน #2" ... การเตรียมตัวของ "ว่าที่เจ้าสาว"


การเตรียมตัวแต่งงานของมิ้นมันอาจจะ “ต่าง”จากของว่าที่เจ้าบ่าวและว่าที่เจ้าสาวหลายๆคนนิดนึงนะคะ 
มิ้นบอกเลยว่า..มิ้นตื่นเต้นมากๆที่จะได้แต่งงาน 
พยายามหาข้อมูลเยอะแยะมากมาย ซื้อหนังสือเว็ดดิ้งเป็นว่าเล่นเลยค่ะ 

แต่พอวันงานใกล้เข้ามาจริงๆ กลับดูไม่ค่อยจะสนใจงานแต่งงานของตัวเองเท่าไหร่
เพราะบอกตรงๆเลยค่ะว่า 
1.งานเยอะสุดๆเลยช่วงนั้นทั้งขึ้นคลินิค ฟูลไทม์ พาร์ทไทม์งกเก็บตังค์เอามาประทังชีวิตที่เซี่ยงไฮ้นี่แหละค่ะ 
และ 2.ขี้เกียจก็เพราะว่าเราทำงานเหนื่อยแล้วง่ะ ก็เลยไม่อยากเตรียมไรมากมายให้มันวุ่นวาย (ปล.แค่หาข้อมูลก็เหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วค่ะ ครั้นจะให้วิ่งไปหานู่นหานี่ คงไม่เอา! หึหึ)



แต่ก็พอจะสรุปคร่าวๆได้...................แบบนี้ค่ะ(เผื่อจะเป็นประโยชน์กับว่าที่เจ้าบ่าวและว่าที่เจ้าสาวคนอื่นๆด้วยบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ)


อย่างแรกเลย ...ที่บ้านมิ้นรับหน้าที่ไปหาฤกษ์แต่งงาน ซึ่งมีข้อจำกัดว่าจะต้องเป็น “ก่อน”ที่มิ้นจะเดินทางมาเรียนที่เซี่ยงไฮ้ นั่นคือช่วงปลายเดือนสิงหาคม 


ปู่ของมิ้น (ซึ่งเคยเป็นเถ้าแก่ให้กับคู่แต่งงานเป็นร้อยๆคู่มาแล้วสมัยหนุ่มๆ)ก็ดูฤกษ์ให้ค่ะได้เป็นวันพฤหัสบดีที่
15 สิงหาคม 2556ขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 เป็นวันแต่งงานค่ะ......... โอย แต่เนื่องจากปู่ก็อายุมากแล้ว กว่าจะหาวันได้ก็นานอยู่เหมือนกันค่ะตอนนั้นรู้สึกกระสับกระส่ายมาก กลัวไม่มีฤกษ์ก่อนที่เราจะไปเซี่ยงไฮ้จนเกือบจะใช้ฤกษ์สะดวกแล้วแท้ๆ แถมน้าสุดที่รักก็เอาวันเดือนปีเกิดของมิ้นกับคุณแฟนไปหาฤกษ์จากท่านเลขาฯสังฆราชฯที่วัดบวรฯให้ด้วยแต่ฤกษ์ไม่ตรงกับของปู่ เด๋วแกงอน .... สุดท้ายก็เลยใช้ฤกษ์ของปู่ค่ะ




อย่างที่สอง ...พอได้ฤกษ์แล้วพี่เอกก็พาคุณแม่มาสู่ขอมิ้นกับพ่อแม่ของมิ้นที่บ้าน (บ้านมิ้นอยู่ระยองค่ะแต่บ้านพี่เอกอยู่กรุงเทพฯ) ... คุณแม่มาคนเดียวเพราะพ่อของพี่เอกเสียชีวิตแล้วผู้ใหญ่ก็คุยกันเรื่องฤกษ์แต่ง สถานที่ แล้วก็สินสอดซึ่งที่บ้านของมิ้นไม่ได้เรียกร้องค่ะ แม่บอกว่า “จัดมาตามสมควร...”

ปล.ไอ้ตามสมควรนี่แหละค่ะที่ยากเจ้าบ่าวนั่งเหงื่อตกไปหลายเดือน เหอๆ


วันที่มาสู่ขอ คือ ช่วงสงกรานต์ .....

ซึ่งถ้านับตั้งแต่วันมาขอจนถึงวันแต่งงานเราสองคนมีเวลาเตรียมตัว 4 เดือนเต็มๆ

บางคนบอกว่าน้อยมากบางคนบอกว่าเยอะแล้วนะ ...

อืมมมมมมม 

แต่เราเหวอค่ะเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง 

ก็คงได้แต่เปิดเว็บไซต์ weddingsquare ก่อนเลย แล้วมิ้นก็บ้าซื้อหนังสือเว็ดดิ้งทุกฉบับในช่วงเดือนสองเดือนนั้น

(หนังสือเว็ดดิ้งนี่โคตรแพงเลย .. นางแบบก็ซ้ำๆเดิม สตูดิโอถ่ายรูป จัดcateringจัดงานแต่ง สถานที่ก็ซ้ำๆเดิมๆ อ่านจนเบื่ออ่ะค่ะช่วงนั้น)............... 

แต่พอดีโชคดี เพื่อนพี่เอกที่เพิ่งแต่งส่งตารางการจัดการทุกอย่างรวมทั้งตารางบันทึกค่าใช้จ่ายมาให้ ก็เลยสบายเลยค่ะทีนี้

งานแรกของเราสองคนก็เลยเริ่มต้นที่ “แบ่งงาน” (นึกว่าทำงานกรรมการนักเรียนเหอะฮ่าๆ)



ปล.งานหลักๆก็มี ติดต่อสถานที่จัดงานแต่งงานชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว แหวนแต่งงาน การ์ดเชิญ พรีเว็ดดิ้ง ของชำร่วยที่เหลือก็จิปาถะยิบย่อย ซึ่งมีเยอะมากกกกค่ะ ... ซึ่งการแบ่งงานนี่ดีนะคะทำให้เราไม่ทะเลาะกันเวลาเตรียมงาน ^^

แนะนำว่าใครจะแต่งงานคุยกันก่อนก็ดีนะคะว่าใครถนัดเรื่องไหน แล้วแบ่งงานกันซะจะได้ไม่ทะเลาะกันมากมายนะคะเอิ๊กๆ



ขอนอกเรื่องนิดนึงค่ะ.....มิ้นว่าคู่ของเราสองคนโชคดีอย่างนึงคือเราเป็นคนที่ค่อนข้างชัดเจน 

เรารู้จักตัวเองดีพอสมควรรู้ว่าตัวเองชอบไม่ชอบอะไร 

และมักจะทำในสิ่งที่เป็น “ความต้องการ” ของเราจริงๆ ...

จนบางทีก็รู้สึกว่าเราเป็นคน “แปลกๆ” น่ะแหละค่ะ เหอๆ 

(แต่พี่เอกชอบบอกว่ามิ้นแปลกและบ้าคนเดียว มิ้นว่าไม่จริงหรอก เพราะคนไม่บ้าจะคุยกะคนบ้ารู้เรื่องได้ไง???)



หลังจากที่เราแบ่งงานกันเสร็จแล้ว..เราก็มาคุยกันต่อค่ะว่าเราต้องการให้งานแต่งงานเราเป็นยังไง??ออกมารูปแบบไหน?????

ซึ่งมิ้นว่าอันนี้สำคัญนะคะ!!!!!!!



แต่ก่อนที่เราจะจิ้นถึงงานแต่งงานของเรา ... เราควรจะสำรวจตัวเองก่อน ว่าเรามีทัศนคติต่อคำว่า "แต่งงาน" ยังไง????? ......... 

"งานแต่งงาน"ของเราจะออกมารูปแบบไหนมันก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราเองมีความฝัน ความหวัง ความต้องการเป็นยังไงนะคะมิ้นว่า ... 




ซึ่งสำหรับมิ้น ..บอกเลยว่าเป็นผู้หญิงที่“อยากแต่งงาน” ค่ะ

ซึ่งมิ้นหมายถึง ความต้องการให้มีผู้ชายซักคนที่รักเราและเรารักเค้ามา เล็งเห็นและตัดสินใจให้เราไปใช้ชีวิตคู่กับเค้า เป็นศรีภรรยาและเป็นแม่ที่ดีของลูก ผ่านกระบวนการตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย อยู่ร่วมแบ่งความสุข ปันทุกข์ และช่วยแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นในชีวิตของเราสองคน และที่สำคัญ จะต้องดูแลครอบครัวของกันและกันอย่างดีที่สุดได้ด้วย......นี่คือความหมายของคำว่า “แต่งงาน” ของมิ้น


ซึ่งแน่นอนค่ะ...ไม่ได้ศรัทธาใน“พิธีแต่งงาน” มากมายนัก  ...

(ที่ใช้คำว่า "มากมายนัก" ก็เพราะว่า ยังคงอยากให้มี "พิธีแต่งงานอยู่"นะคะ .. เพราะมิ้นเชื่อว่ามันเป็นการกระทำที่ให้เกียรติพ่อกับแม่ของฝ่ายหญิงด้วย)



มิ้นไม่มีพิธีแต่งงานในฝัน (มีแต่ความใฝ่ฝันว่าวันนึงจะมีผู้ชายมาขอ..ฮี่ๆ) ไม่ได้รู้สึกว่าการแต่งงานต้องจัดเป็นพิธีใหญ่โตมีแขกมางานเยอะๆ ตัดเค้กก้อนใหญ่ๆ นู่นนี่นั่น อยากได้เล็กๆ อบอุ่น ประทับใจ ... 

ตั้งใจไว้เลยว่าถ้าแต่งงานจะไม่ตัดเค้กไม่รู้ทำไมค่ะ รู้สึกไม่ชอบ มันสิ้นเปลือง หาความหมายก็ไม่ได้เวลาเป็นพิธีกรงานของคนอื่นนี่ต้องแถสีข้างถลอกตลอด

แต่สำหรับคนที่อยากได้มุมถ่ายรูปสวยๆก็โอเคนะคะ 

สำหรับมิ้นก็ถือซะว่าเป็นความเพี้ยนส่วนบุคคลและความไม่ชอบส่วนตัวละกันค่าเอิ๊กๆ Smiley


และไม่เคยคิดเลย...ว่างานแต่งงานเป็นงานสำคัญที่จะเกิดขึ้นในชีวิตเพียง

“ครั้งเดียว”

..................ไม่ได้หมายความว่าชาตินี้จะแต่งงานหลายครั้งนะคะ


แต่มิ้นไม่ได้คิดว่ามันเป็นงานที่ “สำคัญ” มากมายขนาดนั้น ...


แรกๆอาจมีตื่นเต้นบ้าง แต่พอตั้งสติเรียบเรียงได้แล้วว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง และนั่งคิดถึงความหมายของการแต่งงาน อะไรคือแก่นแท้ของมัน?

มันกลับทำให้มิ้นคิดว่าชีวิตเราทุกคนต้องเดินไปข้างหน้า ยังมีอีกหลายสิ่งที่สำคัญกว่า


..เราแต่งงานครั้งแรกและครั้งเดียวจริงแต่ชีวิตหลังแต่งงานต่างหาก...ที่เป็นความท้าทายมากกว่าการวิ่งวุ่นจัดงานแต่งงาน  มิ้นคิดอย่างนั้นจริงๆ...


ซึ่งถามว่าเราจัดงานนี้ไปเพื่อใคร?ควรจัดงานในรูปแบบไหน? จะตามความชอบของใคร..เราหรือว่าผู้ร่วมงาน?มิ้นว่าเราต้องหาคำตอบให้กับตัวเองให้ได้

คำตอบของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็ได้นี่คะ อย่างที่เค้าพูดว่า “เพราะคนเราคิดไม่เหมือนกันก็เลยมีชีวิตที่ไม่เหมือนกัน” 

งานใครงานมัน..........

แต่งานนี้ “ของกรู” จ้าSmiley




.....ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคิดอย่างงี้ คิดเหมือนกันทั้งคู่ด้วย ---Smiley




“งานแต่งงาน” ในความคิดของมิ้น คือพิธีที่คนรักกันสองคนประกาศว่าจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน โดยเชิญแขกผู้มีเกียรติหรือผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือมาร่วมอวยพร เชิญเพื่อนๆมาร่วมแสดงความยินดี ยินดีอย่างเดียวไม่พอต้อง “ใส่ซอง” ด้วยจ้า จนกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว....เป็นเสมือนของขวัญวันแต่งงานให้คู่บ่าวสาวรึไงไม่ทราบ เหมือนที่โน้ตอุดมบอก

ฮ่าๆ ตลกดีเหมือนกัน

แต่คิดแล้วการจัดงานแต่งงานก็สนุกดีค่ะเป็นอีกหนึ่ง “กิจกรรม” ในชีวิตที่ได้ทำร่วมกับคนที่รัก แฮปปี้มากๆด้วยSmiley




กลับเข้าเรื่องกันต่อนะคะ อิอิ....

พอเราแบ่งงานกันแล้ว มิ้นกับพี่เอกก็แยกย้ายกันไปทำส่วนที่ตัวเองต้องทำ

การแบ่งงานนี่คือ..ใครรับหน้าที่อะไรก็ต้องเป็นผู้จัดหาและประสานงานหลักนะคะ 

เช่นมิ้นดูแลเรื่องสถานที่จัดงานที่ระยอง พี่เอกกรุงเทพ มิ้นดูชุด พี่เอกดูแหวน ...

ต่างคนก็ต่างไปหาข้อมูล นัดวันดูสถานที่ ชุด แหวนกันมาแล้วไปดูพร้อมกัน

ส่วนเรื่องการตัดสินใจก็ช่วยๆกัน อันไหนตัดสินใจได้ก็ทำไปเลย

ซึ่งพี่เอกใจดีและเป็นคนง่ายมากกกกกก มอบอำนาจให้มิ้นจัดการทุกสิ่งตามใจฉันเลย

เสร็จโจ๋ละสิคราวนี้ ........

SmileySmileySmiley


แต่ไม่ต้องกังวลไปค่า...มิ้นเป็นพวก minimalism จ้า

Minimalist style คือสไตล์การตกแต่งที่เรียบง่าย ตกแต่งเท่าที่จำเป็นแต่ดูดีมีสไตล์

(อันนี้ตามความหมายเค้านะคะ ไม่ใช่หมายถึงมิ้นนะ ที่มีสไตล์น่ะ เหอๆ) 

น้อยแต่มากด้วยประโยชน์>>>>> Less is more นั่นเองจ้า


พวกมินิมอลลิสซึ่ม ก็เลยมักจะไม่ค่อยชอบรายละเอียดเยอะๆเท่าไหร่

ไม่ชอบอะไรจุ๋งจิ๋ง ชอบอะไรเรียบๆง่ายๆอยู่กับเราไปนานๆ

พื้นผิวก็ชอบอะไรที่เป็นแก่น ... เช่น ปูนดิบ 

ซึ่งตอนแรกจะขอคุณแฟนทำพื้นห้องเป็นปูนดิบ กำแพงปูนดิบ พอคุณแฟนไปปรึกษาเพื่อนที่รับเหมาก่อสร้าง ทุกคนสั่นหัวดิกเลย บอกว่ามันติสต์ไป ฝุ่นเยอะ บลาๆ

ซึ่งสรุปได้ว่า....มันไม่เวิร์คอ่ะค่ะถ้าเราจะอยู่เอง ใช้เป็นเรือนหอ 

มิ้นเลยแอบเซ็งเล็กๆ เห้อ!!




แต่ห้องหอมิ้นก็ยังตกแต่งแบบ minimal อยู่นะคะ ถึงแม้จะโบกปูน ฉาบสวยงาม แต่ก็ยังใช้สีง่ายๆเป็นหลักเทา ขาว ดำ เฟอร์ง่ายๆ ไม่เน้นรายละเอียด กำแพงด้านนึงเทา ด้านนึงเทาอ่อนอีกด้านสีขาว พื้นครีมๆสบายๆ ห้องแต่งตัวกั้นต่างหาก เป็นห้องเล็กๆไปเลยข้างในมีโต๊ะ เก้าอี้ชิคๆง่ายๆ ที่แขวนเสื้อผ้าก็ทำบิวท์อินของ อินเด็กซ์ เป็น walk-incloset ที่ไม่มีรายละเอียดเลย แขวนๆๆๆเป็นหลัก วางโป๊ๆเปลือยๆมีลิ้นชักนิดหน่อยเอง .............. สรุปแล้ว ชอบอะไรโป๊ๆอ่ะค่า เอิ๊กๆๆๆ

Smiley




กลับเข้าเรื่องงานแต่งงานกันต่อค่ะ..

ก็นั่นแหละค่ะในเมื่อคุณแฟนให้มิ้นเป็นคนดูแลเลือกสรร จัดการทุกสิ่งอย่างตามใจ ตั้งแต่การ์ดโรงแรม ตกแต่งงาน บลาๆๆ มิ้นก็เลยจัดทุกสิ่งในแนวminimalเกือบทั้งหมด อิอิ เดี๋ยวมีภาพให้ดูในตอนหน้าค่ะSmiley





ทีนี้พอแบ่งงานแล้วก็ต้องจัดสรรเวลากันก่อนค่ะ

เพื่อนหลิวที่แสนน่ารักแนะนำมิ้นว่า พอได้โรงแรมแล้วควรไปถ่ายพรีเว็ดดิ้งก่อนเลยเพราะไม่งั้นจะดำปิ๊ดปี๋ .. มิ้นเลยจัดเวลาประมาณนี้ค่ะ .. 

ปล.ว่าที่เจ้าสาวควรดูเป็นเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่างนะคะ เพราะบางอย่างใจเย็นเกิ๊นนนนค่ะ เหอๆ


4 เดือนก่อนวันงาน............. หาโรงแรมที่จะแต่งงาน จองโรงแรมและเลือกอาหารคร่าวๆ ติดต่อ พรีเว็ดดิ้ เลือกชุดแต่งงาน(เจ้าสาว)

3 เดือนก่อนวันงาน............. ถ่ายพรีเว็ดดิ้ง เลือกแบบการ์ด ลิสต์รายชื่อแขกคร่าวๆ และพิมพ์ การ์ด นัดช่างแต่งหน้าวันงาน เลือกแหวนแต่งงาน ติดต่อเถ้าแก่

2 เดือนก่อนวันงาน............. เริ่มทยอยแจกการ์ดเพื่อนๆทางไปรษณีย์ พาแม่ไปตัดชุดวันงานนัด วงดนตรี

1 เดือนก่อนวันงาน............. แจกการ์ดแขกผู้ใหญ่ด้วยตนเอง แจกการ์ดเพื่อนๆที่สนิท ลองชุด แต่งงานครั้งที่สอง ขอพระราชทานน้ำสังข์ของสมเด็จพระสังฆราชฯ รับแหวน คุยรายละเอียดปลีกย่อยกับโรงแรมทั้งหมด(ตกแต่งงาน อาหาร) สั่งเหล้าไวน์คอนเฟิร์มทุกสิ่ง อาทิ ช่างภาพวันงาน วงดนตรี ช่างแต่งหน้า ลองชุดแต่งงานครั้งสุดท้ายและนัดรับชุดสั่งทำของรับ ไหว้(อันนี้ช้าไปมั้ยคะฮ่าๆ) เจ้าบ่าวไปซื้อชุดแต่งงานเจ้าสาวหา ชุดafter party

เหมือนทุกอย่างจะรวมกันอยู่ที่ 1 เดือนก่อนแต่งงาน ... แต่ขอบอกค่าว่ารับมือไหว ไม่ถือว่าฉุกเฉิน ............. เวลาเหลืออีกเยอะ ยังทันถมถืดค่ะ

2 วันก่อนวันงาน.............. เจ้าบ่าวไปตัดผม เจ้าสาวไปทำเล็บ รับชุดไทย(สั่งตัด) คอนเฟิร์ม เถ้าแก่

1 วันก่อนวันงาน.............. พาครอบครัวเจ้าบ่าวไปกินข้าวเย็น รับแขก(เพื่อนๆ ญาติๆ)ที่มา นอนโรงแรม


แล้วก็เข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อเตรียมตัวตื่นตีสองมาโบกหน้าค่า เพราะฤกษ์เช้ามากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกSmileySmiley




ปล.จะสังเกตว่า ในลิสต์ไม่มีโปรแกรมขัดศรีฉวีวรรณเลยแม้แต่ครั้งเดียว ...ใช่ค่ะ มิ้นไม่ได้ทำ ฮ่าๆ

ไม่ได้ว่าสวยอยู่แล้วหรืออะไรนะคะ งานเยอะ เวลาไม่ค่อยมี และ ขี้เกียจค่ะ เอิ๊กๆๆๆ 

แต่ขอบอกว่า...สุดท้ายก็ออกมาเป็นเจ้าสาวกะเค้าได้เหมือนคนทั่วๆไป แถมไม่มีใครรู้ด้วยค่ะว่าไม่ได้ขัดตัวขัดผิวเลยยยย


แล้วแต่ละขั้นตอนว่าที่เจ้าสาวควรเตรียมตัวยังไง? จะต้องเริ่มติดต่ออะไรที่ไหน? 

ตอนต่อไปมีมาแชร์ค่า ... 

ปล.ใครแต่งแล้วจะมาร่วมแชร์ก็จะยินดีมากๆเลยค่า เพราะมันเป็นเรื่องราวที่จะทำให้ทุกคนนึกถึงและอมยิ้ม อิอิ




วันนี้ง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะค๊า ฝันดี


ราตรีสวัสดิ์จ้าSmiley







 

Create Date : 16 ตุลาคม 2556   
Last Update : 17 ตุลาคม 2556 16:52:59 น.   
Counter : 1724 Pageviews.  


แต่งงาน #1 ... กว่าจะเป็น "เจ้าสาว"

ห่างหายไปนานสำหรับการเขียนบล็อก...น่าจะสองปีกว่าๆเห็นจะได้นะคะ  วันเวลาผ่านไป หลายๆสิ่งรอบตัวก็เปลี่ยนแปลงตอนนั้นมิ้นกับเพื่อนๆยังเป็นนักศึกษาคณะการแพทย์แผนจีนปี6 จากบ้านมาฝึกงานตามวิถีของหมอจีนที่เซี่ยงไฮ้  ... ยังจำความรู้สึกนั้นได้ดีเลยค่ะ“เหงาจับใจ” ยิ่งอากาศหนาวๆ โอ้โห --- คิดถึงเตียงและที่นอนอุ่นๆที่บ้านคิดถึงพ่อกับแม่ คิดถึงหมาๆ คิดถึงคุณแฟน คิดถึงทุกคนที่เมืองไทยถึงแม้จะอยู่ไม่นาน แค่ปีกว่าๆ แต่มิ้นยังจดจำทุกความรู้สึกตอนนั้นได้ดีไม่มีวันลืม Smiley



.. ถึงแม้ว่าตัวจะกลับไทยแล้วแต่ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงที่นั่งฟังอยู่ในห้องที่เซี่ยงไฮ้ตอนนั้น..................น้ำตาหยดแหมะๆๆทุกทีละค่า.........................................ความรู้สึกเหงาและ home sick มันตามมาหลอกมาหลอนตลอดเวลาเหอๆ

กลับมาตอนนี้มิ้นก็อยู่ที่เซี่ยงไฮ้อีกแล้วค่ะ .. อยู่ที่นี่เวลาว่างเยอะอากาศหนาวๆอย่างนี้ก็ไม่อยากออกไปไหนเลยได้โอกาสกลับมาเขียนบล็อกแก้เหงาอีกครั้งนึง เหมือนได้ระบายความรู้สึกได้คิดทบทวนสิ่งต่างๆที่ผ่านมา ได้เก็บเรื่องราวทั้งดี ร้าย เหงา เศร้า ประทับใจ.....................ทุกสิ่ง everythings รอบตัว






ซึ่งครั้งนี้ก็คิดว่าจะเขียนเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตช่วงสั้นๆ  แม้ว่ามันจะผ่านไปแค่สองสามปีแต่ทุกๆอย่างมันไม่เหมือนเดิมเลยค่ะ .. มิ้นและเพื่อนๆเติบโตขึ้น วันนี้บางคนก็เป็นหมอจีนอยู่ในโรงพยาบาลคลินิกเอกชน ส่วนมิ้น......เป็นอาจารย์ฝึกหัดที่ถูกส่งมาเรียนป.โทที่นี่ 3 ปี เพื่อที่จะกลับไปเป็นอาจารย์ประจำ ม.หัวเฉียวฯบ้านหลังที่สองที่มิ้นรักและภูมิใจมาก เหมือนที่เพื่อนๆหลายๆคนก็รู้สึกเหมือนกัน... สองปีกว่าที่มีทั้งการสอบคอมพลีฯ สอบใบประกอบโรคศิลปะที่แสนจะทรหด เรียนจบ รับปริญญาจนเมื่อเร็วๆนี้ก็เพิ่งจะมี “สามี” เป็นตัวเป็นตนกับเค้า .....................ดีใจค่า เอิ๊กๆ




>>>>>>>> นี่แหละค่ะ ก็เลยอยากเขียนเล่าเรื่องราวของการเป็น “เจ้าสาวหมาดๆ”เก็บเอาไว้เล่าเป็นนิทานก่อนนอนให้ลูกฟัง อิอิ




ถือซะว่าเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตส่วนหนึ่งให้เพื่อนๆหลายๆคนได้รู้ละกันนะค๊า...

ในฐานะที่แต่งงานตอนอายุน้อย(คนแรกของรุ่นหมอจีนเลยทีเดียวเชียว ใครจะคิด มิ้นยังไม่คิดเลย เหอๆ) คิดว่าเป็น how to สำหรับเพื่อนๆที่กำลังจะเป็น “ว่าที่เจ้าสาว”

(เพราะมิ้นเข้าใจดีว่าไม่รู้จะเริ่มต้นอะไรยังไงงงไปหมด)

แล้วก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเป็นเจ้าสาวสำหรับเพื่อนๆพี่ๆที่แต่งงานแล้ว

มิ้นเชื่อว่าหลายๆคนพอได้กลับไปนึกถึงวันแต่งงานของตัวเองรับรองว่าต้อง “ยิ้มไม่หุบ” แน่ๆค่า

สุดท้าย ถือซะว่าเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ของมิ้นผ่านตัวหนังสือก็แล้วกันนะคะ

เพราะปกติมิ้นชอบเมาท์ชอบเล่าชอบคุยชนิดที่ว่าสามารถเล่าเรื่องเดิมๆซ้ำๆให้คน10 คนฟังทีละคนได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อยแฮปปี้สุดๆจ้า แต่เจ้ากรรมดันถูกส่งมาอยู่เซี่ยงไฮ้ ทีนี้จะไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ..ก็ต้องมาปลดปล่อยในนี้แหละ เป็นเรื่องธรรมดานะครัช เอิ๊กๆ




ชอบมีคนถามบ่อยเหลือเกิน....แต่งงานได้ไงวะ???? (มันแปลกมากรึไงจ๊ะ คนอย่างอรภาจะแต่งงาน ชริ!!!) แต่งแล้วมาเรียน แยกกันอยู่ตั้งสามปีแต่งทำไมวะ???? (เออน่า..คิดแล้ว) แกไม่กลัวสามีมีเมียใหม่รึไง๊????? (เหอะ!!!!!) แล้วก็บลาๆๆๆ .......................... มิ้นคิดแล้วค่ะคิดอย่างจริงจังด้วย เลยอยากให้บล็อกนี้เป็นที่ปลดปล่อยความคิดเล็กๆของผู้หญิงตัวไม่เล็กคนนี้ละกันนะคะSmiley






ตอนที่มิ้นรับปริญญาเสร็จใหม่ๆตอนนั้นน่าจะประมาณช่วงปีใหม่ของปี56 มิ้นกับพี่เอก(แฟนมิ้นที่คบกันมาสี่ปีกว่าๆ)ก็คุยกันแบบจริงๆจังๆเรื่องของ “เรา” .... ว่าเราจะเอายังไงกับชีวิตกันดี 

มิ้นกับพี่เอกอายุห่างกันค่อนข้างมาก(พี่เอกแก่กว่ามิ้นประมาณ10ปีค่ะ เหอๆ) แผนในชีวิตของเราก็เลยค่อนข้างต่างกันเพราะมิ้นยังไงก็ต้องมาเรียนที่เซี่ยงไฮ้ แต่อยู่ที่ว่าจะมาปี(56)หรือปีหน้า(57)เท่านั้นเอง 

ตอนนั้นเราได้บทสรุปว่ามิ้นขอมาเรียนก่อนก็แล้วกัน สามปีเองแป๊บเดียว(หลอกตัวเองอีกแล้วจ้า)กลับไปแล้วค่อยแต่ง มันคงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม(สำหรับมิ้น ฮ่าๆ) 

.. ซึ่งต้องบอกก่อนค่ะว่าจริงๆแล้วมิ้นกับพี่เอกเราค่อนข้างจะคุยกันแบบตรงๆแฟร์ๆยอมรับความจริงได้ และเชื่อมั่นเสมอว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรแน่นอนเราเชื่อมั่นในปัจจุบัน เราก็คุยกันว่า ถ้าหากแต่งกันไปใครคนใดคนนึงไปเจอคนใหม่แล้วเราหย่ากัน ซึ่งโอกาสมันก็อาจจะมี ใครจะไปรู้อนาคต...คนที่เสียหายมากมายคือมิ้น แต่พี่เอกเป็นผู้ชายก็แทบไม่เสียหายอะไรเลย ...... 

ก็โอเค ตกลง ความคิดตรงกัน อีกสามปีข้างหน้าค่อยแต่งงานใครๆถามก็บอกอย่างงี้ตลอดค่ะ “โอ้ย..อีกน๊าน” แล้วก็นั่งลุ้นทุนเซี่ยงไฮ้ว่ายังไงจะได้ไปมั้ย?ปีไหน??? ตึ่งโป๊ะ!!!!Smiley




แต่จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้ค่ะ........ อีกสองเดือนต่อมา มิ้นก็ได้รับข่าวดี (หรือร้ายหว่า???) ว่ามิ้นได้ทุนมาเรียนที่เซี่ยงไฮ้แน่นอนแต่ก็ต้องลุ้นอีกก๊อกว่าจะได้ไปเรียนปีไหน??? (ไอ้ที่ลุ้นเนี่ยคือไม่อยากไปนะคะลุ้นให้ไม่ต้องไปปีนี้ ฮ่าๆๆๆ แต่อีกใจก็คิดว่า รีบไปรีบกลับดีกว่า) มิ้นเริ่มรู้สึกนึกถึงสภาพตอนอยู่เซี่ยงไฮ้..นึกทีไรน้ำตามันก็ไหลพรั่งพรูออกมาทุกทีไม่เว้นแม้กระทั่งตอนนั่งกินข้าวกับพี่เอกน้ำตาไหลใส่จานข้าวจนพี่เอกพูดแซวตลอดว่า “เห้ย..อย่าร้องจิ่เดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าแฟนรังแก ฮ่าๆ”ก็ขำกันไป....แต่ในใจน่ะทุกข์ตรมที่สุดในสามโลกค่าเอาล่ะสิ.........................ชีวิต!!!SmileySmiley





คิดแล้วก็คงเป็นเพราะพี่เอกสงสาร ..ก็เลยเริ่มประเด็นขึ้นมาอีกรอบ ให้มิ้นตัดสินใจเรื่องแต่งงานอีกครั้ง ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าจะได้ไปปีนี้หรือปีหน้า 

มิ้นบอกเลยค่ะว่ามิ้นเครียดมากๆ เครียดขนาดนอนไม่หลับหลายอาทิตย์ 



ก็แหม.......มันเป็นอนาคตของเราคนเดียวซะที่ไหนล่ะมันเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคนสองคน มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากมายรออยู่ข้างหน้าแต่งแล้วจะดีมั้ย???? แต่งแล้วจะเป็นยังไง???? เราจะมีความสุขมั้ย????สารพัดสารเพประเดประดังเข้ามาในหัวอีกใจนึงก็พะวงว่าปีนี้จะได้ทุนเซี่ยงไฮ้มั้ยว๊า??????? ยิ่งคิดยิ่งเศร้าค่ะ 

มิ้นไม่เคยคิดอะไรเยอะแยะขนาดนี้มาก่อน มิ้นไม่เคยคิดว่ามิ้นจะแต่งงานเร็วขนาดนี้ไม่เคยคิดว่าเราโตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตตัวเองและคนที่เรารักได้แล้ว .............มันยาก ยากมาก ยากกว่าการต้องตัดสินใจว่าจะเรียนแพทย์จุฬาฯหรือหมอจีนหัวเฉียวยากกว่าการไปยืนหน้าเวทีประกวดหรือหน้ากล้องถ่ายทำรายการ เพราะไม่มีใครรู้ว่า“อนาคต” เราจะดีมั้ย ?? เป็นการตัดสินใจที่จะถูกต้องรึเปล่า???? ประกอบกับคนรอบข้างก็พ่นใส่ตลอดค่ะ.. เห้ยแต่งแล้วอย่างงู้นอย่างงี้!!!

Smiley





>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>สุดท้าย....ก็มาคุยกับแม่มิ้นโชคดีที่มิ้นมีแม่เคียงข้างทุกๆเรื่องๆ คุยได้หมด ...แม่ก็บอกว่าแต่งไปก่อนก็ดีนะ แม่จะได้มีคนมาช่วยดูแลเพิ่ม อิอิ.....พอไปคุยกับคุณแม่พี่เอก คุณแม่บอกว่ายังไงก็ต้องไปเรียน ไม่ช้าก็เร็วแม่ว่าแต่งไปเลยดีกว่ามั้ย เวลาเอกไปหามิ้นที่เซี่ยงไฮ้จะได้เป็นการให้เกียรติ  มิ้นและครอบครัวของมิ้นด้วย ..........





โอ้โหคุณแม่ช่างรู้ใจ ไอ้ใจเราตอนนั้นก็อยากแต่งใจจะขาด แต่ยอมรับเลยว่า “กลัว” ค่ะเลยไม่กล้าตัดสินใจ 

ก็แหม...การแต่งงานมันเป็นความฝันของมิ้นเลยทีเดียวขนาดตอนเด็กๆมักจะมีคนมาสัมภาษณ์ลงหนังสือเว็บไซต์หรือนิตยสารคอลัมภ์ประเภทแนะแนวการศึกษา มิ้นก็จะโดนถามตลอดว่า“ความฝันสูงสุดของมิ้นคืออะไร???” และมิ้นก็จะตอบตลอดเหมือนกันว่า“ความฝันสูงสุดของมิ้นก็คือ การแต่งงานค่ะ” .. เอิ๊กๆ เค้าก็ฮากันไปแต่มันคือเรื่องจริงค่ะ ........................

ท้ายสุดก็เลยบอกพี่เอกว่า“มิ้นตัดสินใจละ ..มิ้นจะแต่งงานก่อนไปเรียน” พี่เอกก็ใจดีแล้วก็เข้าใจมิ้นตลอดเค้าก็พูดง่ายๆว่า “โอเค” .... เท่านี้จริงๆค่ะ 

ปล.เสียใจอยู่อย่างนึง....ไม่มีฉากขอแต่งงานกันแบบในละครเลยอ่ะเซ็งสุดๆไปเลยจ้า

Smiley


จริงๆแล้ว...สิ่งที่ทำให้มิ้นตัดสินใจมีชีวิตปัจจุบันและอนาคตแบบนี้ เป็นเพราะมิ้นเชื่อมั่นในตัวของคุณแฟนของมิ้นค่ะ เราคบกัน เราอยู่ไกลกันเกือบครึ่งนึงของเวลาทั้งหมดที่เราคบกันเสียอีก 

ความห่างไกลมันทำให้เราคิดถึงกันจริงๆ ทุกวินาทีที่อยู่ด้วยกัน ได้เจอหน้า กินข้าว พูดคุย ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ มันเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าตลอดสำหรับมิ้น 

มิ้นไม่เคยห้ามไม่ให้เค้าทำในสิ่งที่เค้าชอบหรืออยากทำ ในขณะเดียวกัน เค้าก็ไม่เคยห้ามอะไรมิ้นเลยเหมือนกัน (จนบางครั้งต้องขอร้องว่า..ช่วยห้ามมิ้นหน่อยได้มั้ย มิ้นว่าอันนี้มันดูบ้าเกินไปที่จะทำ ฮ่าๆ) มันทำให้เราสบายใจที่ได้คบกัน ได้อยู่ด้วยกัน 


มีคนเคยบอกมิ้นค่ะ...ว่าการแต่งงาน มันมาจากคำว่า "รัก" 

"รัก" ประกอบด้วยอักษรสองตัว คือ ร. กับ ก. 

ร.เรือ หมายถึง "เรา" แน่นอนค่ะคนสองคนรู้สึกดีต่อกัน ห่วงใยเอื้อเฟื้อกัน มีความผูกพันและมีความรู้สึกพิเศษให้กัน ไม่นานก็จะก่อเกิดเป็น "ความรัก" เป็นคำว่า "เรา"

ส่วน ก.ไก่ หมายถึง "กู" ถึงแม้ "เรา" จะคบกัน มีหัวใจเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน แต่ในความเป็น "เรา" ก็ยังต้องมีชีวิตของ "กู" อยู่ด้วย ... ไม่มีใครไม่อึดอัด ถ้าหากต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา หาความเป็นส่วนตัวไม่ได้ แต่ละคนก็ยังคงต้องการพื้นที่ส่วนตัว ต้องการแสดงออกอย่างเป็นตัวของตัวเอง

เราทั้งคู่ก็เลยมีความเป็น "เรา" และ "กู" โดยไม่ต้องฝืนธรรมชาติของตัวเอง


นอกจากความเชื่อมั่นในตัวเค้าแล้ว....เค้าเองที่เป็นคนบอกมิ้นเสมอเลยว่า "คนเราคบกัน..มันอยู่ที่ใจของเราสองคน ถ้าคนสองคนยังมั่นใจ เชื่อใจ และมีความรักให้กัน ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน หรืออยู่ไกลกันเท่าไหร่ ก็จะยังมีกันแบบนี้เสมอ" ... 

มิ้นว่ามิ้นโชคดี เพราะเราทั้งคู่เคารพในตัวเอง เคารพในกันและกัน และให้เกียรติกันเสมอมา


สุดท้าย ... มิ้นมีความเชื่ออย่างหนึ่งค่ะ ว่าคนเราบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเรา "ฉลาด" เสมอไป --- ทำในสิ่งที่ "โง่" บ้างก็ได้ ถ้าสิ่งนั้นมันจะทำให้เรา "มีความสุข" 

มิ้นไม่ได้บอกว่าการเลือกแต่งงาน เป็นทางเลือกที่ "โง่" นะคะ ... แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายๆคนก็คิดว่าการแต่งงานก่อนไปเรียนมันเป็นช่วงเวลาที่ยัง "ไม่เหมาะสม" ความเสี่ยงสูงในหลายๆเรื่อง แต่งแล้วอยู่ไกลกันจะแต่งทำไม? ลูกก็ยังมีไม่ได้ บลาๆๆ...

แต่เชื่อเถอะค่ะ .. สุดท้ายแล้ว คนที่จะอยู่กับทุกสิ่งที่มิ้นเลือกไปชั่วชีวิต ก็คือ "ตัวมิ้นเอง"  

ฉะนั้น ตัวเรานี่แหละค่ะที่ย่อมจะรู้ดีที่สุด ว่าการ "เลือก" แบบไหนที่จะเหมาะสมกับตัวเราเอง ซึ่งไม่ว่ามันจะ "สุข" หรือ "ทุกข์" ...เราก็จะมีเรี่ยวแรงในการแบกรับเอาไว้อย่างมหาศาล 

เพราะมันเป็นสิ่งที่ "เราเลือกเอง...ด้วยหัวใจ" 





แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ ปัญหามันยังไม่หมด!!!..........


ยังมีอีกข้อนึงค่ะ .. แล้วมิ้นจะได้ไปจีนปีไหนล่ะ?????


อีกไม่กี่วันต่อมามิ้นก็รู้ข่าวดีค่ะ 

ว่ามิ้นได้ไปเซี่ยงไฮ้ปีนี้ (ปี56) เอิ๊กๆๆๆ ... 

แต่ตอนนี้น้ำตาไม่ร่วงละจ้า ไม่รู้ทำไม รู้สึกเฉยๆ 

อาจจะเป็นเพราะเราสบายใจ มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ 

นั่นก็คือรู้แล้วว่าต่อไปนี้ตลอดทั้งชีวิตเราจะมีคนอยู่ข้างๆเราแล้ว................สบายใจจริงๆ





เมื่อปัญหาทุกข้อมีคำตอบในตัวของมันแล้ว.....ทีนี้ก็เป็นเรื่องของการ “เตรียมตัวเป็นเจ้าสาว" 

แล้วค่ะSmiley


คงต้องต่อตอนหน้าแล้วค่า...หน้าไม่พอ ฮ่าๆๆๆ 




วันนี้ขอตัวไปนอนก่อน.................ราตรีสวัสดิ์จ้าSmiley










 

Create Date : 16 ตุลาคม 2556   
Last Update : 17 ตุลาคม 2556 15:22:51 น.   
Counter : 1695 Pageviews.  


เด็กน้อยๆ..ในเมืองจีน!!!

กลับมาอีกแล้วค่ะ...ช่วงนี้ทำงานหนักทุกวัน ทั้งง่วงทั้งเหนื่อย .. ทำติดกันเจ็ดวันแล้วค่ะ จะบ้าตาย คร่อกๆๆ!!! ดีนะที่เลือกบิดพริ้วมาเรียนแพทย์แผนจีน ถ้าเรียนหมอแผนปัจจุบันคงตัวหดเหลือแค่สองนิ้วไปแล้วแน่ๆเลย .. เพราะแพทย์แผนจีนไม่ต้องเข้าเวรค่าาาาา อิอิ

วันนี้มีเวลาว่างหน่อย ก็เลยเอารูปเด็กน้อยๆน่ารักๆจากเมืองจีน (เซี่ยงไฮ้) มาฝากกันค่ะ มีทั้งอาหมวยน้อย อาตี๋น้อย เต็มไปหมดเลย น้องๆเหล่านี้มาหาหมอเนื่องด้วยเป็นพังผืดก้อนๆที่คอค่ะ ต้องมานวดละลายก้อนนี้ทุกวันเลย อย่างน้อยก็หกเดือนแน่ะ .. ทรหดกันน่าดู!!! พี่มิ้นเอาใจช่วยอยู่นะน้องหนูๆทั้งหลาย โย่ว!!!




รูปแรกเลยค่ะ น้องคนนี้ ^^ น่ารักมั้ย???


คนต่อมาเลยค่ะ อาตี๋คนนี้เคยเอาลงแล้วคราวที่แล้ว แต่เอาลงอีกครั้งนึง ... เพื่อนๆบอกว่าถ้ามิ้นมีลูกต้องหน้าตาแบบนี้แน่ๆเลย เพราะน้องหน้ายาว แล้วน้องก็ซ้นนนน ซน เหมาะจะเป็นลูกมิ้น เหอ เหอ ... ก็ว่ากันป๊ายยยยยย



คนนี้เราตั้งชื่อให้ว่า "หน้าม้าเม่ยเม่ย"ค่ะ...ก็น้องเค้ามีหน้าม้าเป็นเอกลักษณ์ ฮ่าๆ


มีอีกรูปค่ะ..



มาถึงรูปลูกสาว...เอ๊ย! ลูกชายมิ้นบ้างค่ะ อิอิ คนนี้น่าร้ากกกกกก ที่สุดเลย



มีความผูกพันธ์ของแม่ลูกมาให้ดูด้วย...(เอ่อ..ไอ่ที่พูดเนี่ย ขี้ตู่เอาเองหมดเลย) เหอ เหอ ลูกเค้าก็มาโมเมว่าเป็นลูกเราซะงั้น งานการยังไม่ได้แต่งเลย แล้วจะมีลูกได้ง้ายยยยยยยย ฮ่าๆๆๆ







เอาล่ะ...วันนี้พอแค่นี้ก่อนละกันนะคะ วันนี้ต้องรีบนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปเลี้ยงเด็กๆอีก เห้อ!!! ^^ ฝึกไว้ค่ะ เผื่อได้เป็นนางงาม จะได้ดูรักเด็กบ้างไรบ้าง ฮ่าๆๆๆๆ ล้อเล่นน๊าาาาาาาาาาาาา




 

Create Date : 10 เมษายน 2554   
Last Update : 10 เมษายน 2554 20:00:51 น.   
Counter : 2061 Pageviews.  


อยากกลับบ้าน....!!!

อยู่ๆก็มีความรู้สึกอยากกลับบ้านขึ้นมากระทันหัน...

คิดถึงเมืองไทย คิดถึงคนที่เมืองไทย คิดถึงครอบครัว พ่อแม่พี่น้องปู่ย่ายาย น้าอาทุกๆคน คิดถึงเพื่อนๆที่เมืองไทย คิดถึงคุณแฟน อยากกลับไปเร็วๆจัง ... แต่ภารกิจยังไม่เสร็จ สงครามยังไม่จบ นักรบก็ห้ามกลับบ้าน.........ฮือๆๆๆ


เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย เวลาเหนื่อยๆก็มักจะคิดถึงบ้านและครอบครัวที่อบอุ่น มีน้องหมาสี่ตัว ที่ถึงแม้ว่าจะซ้นนนน ซน แต่ก็ทำให้หายเหงาได้มาก ถ้าเลือกได้มิ้นก็ไม่อยากกลับมาที่นี่อีก ... แง้ๆๆๆ อยากอยู่ประเทศไทยของเราที่สุดแล้ว




อยากให้วันเวลาผ่านไปเร็วๆ ... ตื่นมาแล้วนอนอยู่ที่บ้านเลยได้มั้ยนะ????
อยากแหงนหน้าดูดาวที่หน้าบ้าน...
อยากกินข้าวกับคนที่เรารักทุกๆคน...
อยากเที่ยวที่ธรรมชาติสวยๆที่ไม่ต้องระแวงว่าจะเผลอไปปาดเสลดเจ๊กเข้าให้...
อยาก...ทำอะไรอีกเยอะแยะ ในที่ที่เราอยู่แล้วมีความสุข


เวลาทำงานเหนื่อยๆ..ก็เหมือนเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน แป๊บๆหมดวัน ก็ดีนะ ทำให้รู้สึกว่าเวลาที่จะได้กลับบ้านมันใกล้เข้ามาอีกหน่อย แต่พอเหนื่อยเกินไป มันกลับรู้สึกว่าอยากกลับบ้านซะเดี๋ยวนี้เลย ............................................................................................................................................................................................................




 

Create Date : 07 เมษายน 2554   
Last Update : 7 เมษายน 2554 18:43:51 น.   
Counter : 588 Pageviews.  


เหนื่อยจัง...อย่างจริงจัง!!!

ตั้งชื่อบล็อกแบบ"เหนื่อยๆ"จังเลยเนาะวันนี้....ก็แน่หละ มิ้นเหนื่อยค่ะ..

ทำงานตั้งแต่เช้า ... แปดโมงเช้า ยัน เย็น ... หกโมงเย็น พักเที่ยงหนึ่งชั่วโมง โฮะๆๆๆ ทำงานกับคนไข้ที่เยอะแยะตาแป๊ะกินถั่ว เวียนหัวกันไปตามๆกันเลยทีเดียว จะเข้าห้องน้ำยังไม่มีเวลา จะกินข้าวก็ช้ากว่าชาวบ้าน แต่มันก็เป็นแบบนี้ไม่บ่อยหรอกค่ะ...มาทีก็เหนื่อยที มันทำให้มิ้น "เกลียดวันหยุด..ที่เป็นวันธรรมดา"มากๆ ทำไมน่ะหรอคะ ก็แทนที่คนไข้จะแชร์กันไป กลับต้องมากระจุกอยู่ที่วันๆเดียว จะกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด....


นี่มิ้นแค่เป็นหมอฝึกหัด ช่วยอาจารย์หมอซักประวัติ วัดไข้ วัดความดัน เขียนใบสั่งยา เขียนใบส่งตรวจต่างๆนานา ยังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นหมอจริงๆที่ต้องใช้สมองวินิจฉัยโรค ... คงต้องบ้าตายไปเลยแน่ๆ วันนี้วันเดียวอาจารย์ของมิ้นรับคนไข้ไปเจ็ดสิบกว่าคน ตรวจให้แต่ละคนก็ต้องสั่งยาจีนประมาณยี่สิบกว่าตัวที่ไม่เหมือนกันซักคน โฮะๆๆๆๆๆๆ บ้าไปเลย แว๊กๆๆๆๆ



ก่อนกลับบ้านวัดความดันให้อาจารย์ ความดันตัวบนสูงปรี๊ดดด...สงสารอาจารย์จังค่ะ




ปล.วันนี้มิ้นเป็นเวรหยุด แต่มาช่วยอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคารพมากๆๆๆๆ ในแผนกอายุรกรรม แผนกมหาโหด ... แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปเป็นคุณหมอรักเด็กอีกแล้วค่ะ ไปอยู่ห้องนวดเด็กน้อย อุแว้ๆๆๆๆ




ความเหนื่อยมันก็ทำให้เราอยากกินนู่นนี่นั่น..ให้สบายใจ

ตอนนี้มิ้นอยากกินเยอะแยะไปหมด อยากกินสเต็กเนื้อสัน ต้มยำกุ้ง ปลากระพงนึ่งมะนาว ยำวุ้นเส้น ยำถั่วพู ผัดกระเพราไก่ไข่ดาว ส้มตำปูปลาร้า กุ้งแช่น้ำปลา ปลาทอดราดน้ำปลา บลาๆๆๆ ฯลฯ เยอะแยะไปหมดดดดดดดดดดดดดดดด แง้ๆๆๆ แล้วจะผอมมั้ยเนี่ย???!!!!




 

Create Date : 07 เมษายน 2554   
Last Update : 7 เมษายน 2554 18:30:20 น.   
Counter : 578 Pageviews.  


1  2  3  

ปักเข็มจอมยุทธิ์
 
Location :
Shanghai China

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




O-R-A-P-A ... no one else ^^
[Add ปักเข็มจอมยุทธิ์'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com