และ 2.ขี้เกียจก็เพราะว่าเราทำงานเหนื่อยแล้วง่ะ ก็เลยไม่อยากเตรียมไรมากมายให้มันวุ่นวาย (ปล.แค่หาข้อมูลก็เหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วค่ะ ครั้นจะให้วิ่งไปหานู่นหานี่ คงไม่เอา! หึหึ)
แต่ก็พอจะสรุปคร่าวๆได้...................แบบนี้ค่ะ(เผื่อจะเป็นประโยชน์กับว่าที่เจ้าบ่าวและว่าที่เจ้าสาวคนอื่นๆด้วยบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ)
อย่างแรกเลย ...ที่บ้านมิ้นรับหน้าที่ไปหาฤกษ์แต่งงาน ซึ่งมีข้อจำกัดว่าจะต้องเป็น ก่อนที่มิ้นจะเดินทางมาเรียนที่เซี่ยงไฮ้ นั่นคือช่วงปลายเดือนสิงหาคม
ปู่ของมิ้น (ซึ่งเคยเป็นเถ้าแก่ให้กับคู่แต่งงานเป็นร้อยๆคู่มาแล้วสมัยหนุ่มๆ)ก็ดูฤกษ์ให้ค่ะได้เป็นวันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2556ขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 เป็นวันแต่งงานค่ะ......... โอย แต่เนื่องจากปู่ก็อายุมากแล้ว กว่าจะหาวันได้ก็นานอยู่เหมือนกันค่ะตอนนั้นรู้สึกกระสับกระส่ายมาก กลัวไม่มีฤกษ์ก่อนที่เราจะไปเซี่ยงไฮ้จนเกือบจะใช้ฤกษ์สะดวกแล้วแท้ๆ แถมน้าสุดที่รักก็เอาวันเดือนปีเกิดของมิ้นกับคุณแฟนไปหาฤกษ์จากท่านเลขาฯสังฆราชฯที่วัดบวรฯให้ด้วยแต่ฤกษ์ไม่ตรงกับของปู่ เด๋วแกงอน .... สุดท้ายก็เลยใช้ฤกษ์ของปู่ค่ะ
อย่างที่สอง ...พอได้ฤกษ์แล้วพี่เอกก็พาคุณแม่มาสู่ขอมิ้นกับพ่อแม่ของมิ้นที่บ้าน (บ้านมิ้นอยู่ระยองค่ะแต่บ้านพี่เอกอยู่กรุงเทพฯ) ... คุณแม่มาคนเดียวเพราะพ่อของพี่เอกเสียชีวิตแล้วผู้ใหญ่ก็คุยกันเรื่องฤกษ์แต่ง สถานที่ แล้วก็สินสอดซึ่งที่บ้านของมิ้นไม่ได้เรียกร้องค่ะ แม่บอกว่า จัดมาตามสมควร...
ปล.ไอ้ตามสมควรนี่แหละค่ะที่ยากเจ้าบ่าวนั่งเหงื่อตกไปหลายเดือน เหอๆ
วันที่มาสู่ขอ คือ ช่วงสงกรานต์ .....
ซึ่งถ้านับตั้งแต่วันมาขอจนถึงวันแต่งงานเราสองคนมีเวลาเตรียมตัว 4 เดือนเต็มๆ
บางคนบอกว่าน้อยมากบางคนบอกว่าเยอะแล้วนะ ...
อืมมมมมมม
แต่เราเหวอค่ะเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
ก็คงได้แต่เปิดเว็บไซต์ weddingsquare ก่อนเลย แล้วมิ้นก็บ้าซื้อหนังสือเว็ดดิ้งทุกฉบับในช่วงเดือนสองเดือนนั้น
(หนังสือเว็ดดิ้งนี่โคตรแพงเลย .. นางแบบก็ซ้ำๆเดิม สตูดิโอถ่ายรูป จัดcateringจัดงานแต่ง สถานที่ก็ซ้ำๆเดิมๆ อ่านจนเบื่ออ่ะค่ะช่วงนั้น)...............
แต่พอดีโชคดี เพื่อนพี่เอกที่เพิ่งแต่งส่งตารางการจัดการทุกอย่างรวมทั้งตารางบันทึกค่าใช้จ่ายมาให้ ก็เลยสบายเลยค่ะทีนี้
งานแรกของเราสองคนก็เลยเริ่มต้นที่ แบ่งงาน (นึกว่าทำงานกรรมการนักเรียนเหอะฮ่าๆ)
ปล.งานหลักๆก็มี ติดต่อสถานที่จัดงานแต่งงานชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว แหวนแต่งงาน การ์ดเชิญ พรีเว็ดดิ้ง ของชำร่วยที่เหลือก็จิปาถะยิบย่อย ซึ่งมีเยอะมากกกกค่ะ ... ซึ่งการแบ่งงานนี่ดีนะคะทำให้เราไม่ทะเลาะกันเวลาเตรียมงาน ^^
แนะนำว่าใครจะแต่งงานคุยกันก่อนก็ดีนะคะว่าใครถนัดเรื่องไหน แล้วแบ่งงานกันซะจะได้ไม่ทะเลาะกันมากมายนะคะเอิ๊กๆ
ขอนอกเรื่องนิดนึงค่ะ.....มิ้นว่าคู่ของเราสองคนโชคดีอย่างนึงคือเราเป็นคนที่ค่อนข้างชัดเจน
เรารู้จักตัวเองดีพอสมควรรู้ว่าตัวเองชอบไม่ชอบอะไร
และมักจะทำในสิ่งที่เป็น ความต้องการ ของเราจริงๆ ...
จนบางทีก็รู้สึกว่าเราเป็นคน แปลกๆ น่ะแหละค่ะ เหอๆ
(แต่พี่เอกชอบบอกว่ามิ้นแปลกและบ้าคนเดียว มิ้นว่าไม่จริงหรอก เพราะคนไม่บ้าจะคุยกะคนบ้ารู้เรื่องได้ไง???)
หลังจากที่เราแบ่งงานกันเสร็จแล้ว..เราก็มาคุยกันต่อค่ะว่าเราต้องการให้งานแต่งงานเราเป็นยังไง??ออกมารูปแบบไหน?????
ซึ่งมิ้นว่าอันนี้สำคัญนะคะ!!!!!!!
แต่ก่อนที่เราจะจิ้นถึงงานแต่งงานของเรา ... เราควรจะสำรวจตัวเองก่อน ว่าเรามีทัศนคติต่อคำว่า "แต่งงาน" ยังไง????? .........
"งานแต่งงาน"ของเราจะออกมารูปแบบไหนมันก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราเองมีความฝัน ความหวัง ความต้องการเป็นยังไงนะคะมิ้นว่า ...
ซึ่งสำหรับมิ้น ..บอกเลยว่าเป็นผู้หญิงที่อยากแต่งงาน ค่ะ
ซึ่งมิ้นหมายถึง ความต้องการให้มีผู้ชายซักคนที่รักเราและเรารักเค้ามา เล็งเห็นและตัดสินใจให้เราไปใช้ชีวิตคู่กับเค้า เป็นศรีภรรยาและเป็นแม่ที่ดีของลูก ผ่านกระบวนการตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย อยู่ร่วมแบ่งความสุข ปันทุกข์ และช่วยแก้ปัญหาที่มันเกิดขึ้นในชีวิตของเราสองคน และที่สำคัญ จะต้องดูแลครอบครัวของกันและกันอย่างดีที่สุดได้ด้วย......นี่คือความหมายของคำว่า แต่งงาน ของมิ้น
ซึ่งแน่นอนค่ะ...ไม่ได้ศรัทธาในพิธีแต่งงาน มากมายนัก ...
(ที่ใช้คำว่า "มากมายนัก" ก็เพราะว่า ยังคงอยากให้มี "พิธีแต่งงานอยู่"นะคะ .. เพราะมิ้นเชื่อว่ามันเป็นการกระทำที่ให้เกียรติพ่อกับแม่ของฝ่ายหญิงด้วย)
มิ้นไม่มีพิธีแต่งงานในฝัน (มีแต่ความใฝ่ฝันว่าวันนึงจะมีผู้ชายมาขอ..ฮี่ๆ) ไม่ได้รู้สึกว่าการแต่งงานต้องจัดเป็นพิธีใหญ่โตมีแขกมางานเยอะๆ ตัดเค้กก้อนใหญ่ๆ นู่นนี่นั่น อยากได้เล็กๆ อบอุ่น ประทับใจ ...
ตั้งใจไว้เลยว่าถ้าแต่งงานจะไม่ตัดเค้กไม่รู้ทำไมค่ะ รู้สึกไม่ชอบ มันสิ้นเปลือง หาความหมายก็ไม่ได้เวลาเป็นพิธีกรงานของคนอื่นนี่ต้องแถสีข้างถลอกตลอด
แต่สำหรับคนที่อยากได้มุมถ่ายรูปสวยๆก็โอเคนะคะ
สำหรับมิ้นก็ถือซะว่าเป็นความเพี้ยนส่วนบุคคลและความไม่ชอบส่วนตัวละกันค่าเอิ๊กๆ 
และไม่เคยคิดเลย...ว่างานแต่งงานเป็นงานสำคัญที่จะเกิดขึ้นในชีวิตเพียง
ครั้งเดียว
..................ไม่ได้หมายความว่าชาตินี้จะแต่งงานหลายครั้งนะคะ
แต่มิ้นไม่ได้คิดว่ามันเป็นงานที่ สำคัญ มากมายขนาดนั้น ...
แรกๆอาจมีตื่นเต้นบ้าง แต่พอตั้งสติเรียบเรียงได้แล้วว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง และนั่งคิดถึงความหมายของการแต่งงาน อะไรคือแก่นแท้ของมัน?
มันกลับทำให้มิ้นคิดว่าชีวิตเราทุกคนต้องเดินไปข้างหน้า ยังมีอีกหลายสิ่งที่สำคัญกว่า
..เราแต่งงานครั้งแรกและครั้งเดียวจริงแต่ชีวิตหลังแต่งงานต่างหาก...ที่เป็นความท้าทายมากกว่าการวิ่งวุ่นจัดงานแต่งงาน มิ้นคิดอย่างนั้นจริงๆ...
ซึ่งถามว่าเราจัดงานนี้ไปเพื่อใคร?ควรจัดงานในรูปแบบไหน? จะตามความชอบของใคร..เราหรือว่าผู้ร่วมงาน?มิ้นว่าเราต้องหาคำตอบให้กับตัวเองให้ได้
คำตอบของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็ได้นี่คะ อย่างที่เค้าพูดว่า เพราะคนเราคิดไม่เหมือนกันก็เลยมีชีวิตที่ไม่เหมือนกัน
งานใครงานมัน..........
แต่งานนี้ ของกรู จ้า
.....ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคิดอย่างงี้ คิดเหมือนกันทั้งคู่ด้วย ---
งานแต่งงาน ในความคิดของมิ้น คือพิธีที่คนรักกันสองคนประกาศว่าจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน โดยเชิญแขกผู้มีเกียรติหรือผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือมาร่วมอวยพร เชิญเพื่อนๆมาร่วมแสดงความยินดี ยินดีอย่างเดียวไม่พอต้อง ใส่ซอง ด้วยจ้า จนกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว....เป็นเสมือนของขวัญวันแต่งงานให้คู่บ่าวสาวรึไงไม่ทราบ เหมือนที่โน้ตอุดมบอก
ฮ่าๆ ตลกดีเหมือนกัน
แต่คิดแล้วการจัดงานแต่งงานก็สนุกดีค่ะเป็นอีกหนึ่ง กิจกรรม ในชีวิตที่ได้ทำร่วมกับคนที่รัก แฮปปี้มากๆด้วย
กลับเข้าเรื่องกันต่อนะคะ อิอิ....
พอเราแบ่งงานกันแล้ว มิ้นกับพี่เอกก็แยกย้ายกันไปทำส่วนที่ตัวเองต้องทำ
การแบ่งงานนี่คือ..ใครรับหน้าที่อะไรก็ต้องเป็นผู้จัดหาและประสานงานหลักนะคะ
เช่นมิ้นดูแลเรื่องสถานที่จัดงานที่ระยอง พี่เอกกรุงเทพ มิ้นดูชุด พี่เอกดูแหวน ...
ต่างคนก็ต่างไปหาข้อมูล นัดวันดูสถานที่ ชุด แหวนกันมาแล้วไปดูพร้อมกัน
ส่วนเรื่องการตัดสินใจก็ช่วยๆกัน อันไหนตัดสินใจได้ก็ทำไปเลย
ซึ่งพี่เอกใจดีและเป็นคนง่ายมากกกกกก มอบอำนาจให้มิ้นจัดการทุกสิ่งตามใจฉันเลย
เสร็จโจ๋ละสิคราวนี้ ........



แต่ไม่ต้องกังวลไปค่า...มิ้นเป็นพวก minimalism จ้า
Minimalist style คือสไตล์การตกแต่งที่เรียบง่าย ตกแต่งเท่าที่จำเป็นแต่ดูดีมีสไตล์
(อันนี้ตามความหมายเค้านะคะ ไม่ใช่หมายถึงมิ้นนะ ที่มีสไตล์น่ะ เหอๆ)
น้อยแต่มากด้วยประโยชน์>>>>> Less is more นั่นเองจ้า
พวกมินิมอลลิสซึ่ม ก็เลยมักจะไม่ค่อยชอบรายละเอียดเยอะๆเท่าไหร่
ไม่ชอบอะไรจุ๋งจิ๋ง ชอบอะไรเรียบๆง่ายๆอยู่กับเราไปนานๆ
พื้นผิวก็ชอบอะไรที่เป็นแก่น ... เช่น ปูนดิบ
ซึ่งตอนแรกจะขอคุณแฟนทำพื้นห้องเป็นปูนดิบ กำแพงปูนดิบ พอคุณแฟนไปปรึกษาเพื่อนที่รับเหมาก่อสร้าง ทุกคนสั่นหัวดิกเลย บอกว่ามันติสต์ไป ฝุ่นเยอะ บลาๆ
ซึ่งสรุปได้ว่า....มันไม่เวิร์คอ่ะค่ะถ้าเราจะอยู่เอง ใช้เป็นเรือนหอ
มิ้นเลยแอบเซ็งเล็กๆ เห้อ!!
แต่ห้องหอมิ้นก็ยังตกแต่งแบบ minimal อยู่นะคะ ถึงแม้จะโบกปูน ฉาบสวยงาม แต่ก็ยังใช้สีง่ายๆเป็นหลักเทา ขาว ดำ เฟอร์ง่ายๆ ไม่เน้นรายละเอียด กำแพงด้านนึงเทา ด้านนึงเทาอ่อนอีกด้านสีขาว พื้นครีมๆสบายๆ ห้องแต่งตัวกั้นต่างหาก เป็นห้องเล็กๆไปเลยข้างในมีโต๊ะ เก้าอี้ชิคๆง่ายๆ ที่แขวนเสื้อผ้าก็ทำบิวท์อินของ อินเด็กซ์ เป็น walk-incloset ที่ไม่มีรายละเอียดเลย แขวนๆๆๆเป็นหลัก วางโป๊ๆเปลือยๆมีลิ้นชักนิดหน่อยเอง .............. สรุปแล้ว ชอบอะไรโป๊ๆอ่ะค่า เอิ๊กๆๆๆ

กลับเข้าเรื่องงานแต่งงานกันต่อค่ะ..
ก็นั่นแหละค่ะในเมื่อคุณแฟนให้มิ้นเป็นคนดูแลเลือกสรร จัดการทุกสิ่งอย่างตามใจ ตั้งแต่การ์ดโรงแรม ตกแต่งงาน บลาๆๆ มิ้นก็เลยจัดทุกสิ่งในแนวminimalเกือบทั้งหมด อิอิ เดี๋ยวมีภาพให้ดูในตอนหน้าค่ะ
ทีนี้พอแบ่งงานแล้วก็ต้องจัดสรรเวลากันก่อนค่ะ
เพื่อนหลิวที่แสนน่ารักแนะนำมิ้นว่า พอได้โรงแรมแล้วควรไปถ่ายพรีเว็ดดิ้งก่อนเลยเพราะไม่งั้นจะดำปิ๊ดปี๋ .. มิ้นเลยจัดเวลาประมาณนี้ค่ะ ..
ปล.ว่าที่เจ้าสาวควรดูเป็นเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่างนะคะ เพราะบางอย่างใจเย็นเกิ๊นนนนค่ะ เหอๆ
4 เดือนก่อนวันงาน............. หาโรงแรมที่จะแต่งงาน จองโรงแรมและเลือกอาหารคร่าวๆ ติดต่อ พรีเว็ดดิ้ เลือกชุดแต่งงาน(เจ้าสาว)
3 เดือนก่อนวันงาน............. ถ่ายพรีเว็ดดิ้ง เลือกแบบการ์ด ลิสต์รายชื่อแขกคร่าวๆ และพิมพ์ การ์ด นัดช่างแต่งหน้าวันงาน เลือกแหวนแต่งงาน ติดต่อเถ้าแก่
2 เดือนก่อนวันงาน............. เริ่มทยอยแจกการ์ดเพื่อนๆทางไปรษณีย์ พาแม่ไปตัดชุดวันงานนัด วงดนตรี
1 เดือนก่อนวันงาน............. แจกการ์ดแขกผู้ใหญ่ด้วยตนเอง แจกการ์ดเพื่อนๆที่สนิท ลองชุด แต่งงานครั้งที่สอง ขอพระราชทานน้ำสังข์ของสมเด็จพระสังฆราชฯ รับแหวน คุยรายละเอียดปลีกย่อยกับโรงแรมทั้งหมด(ตกแต่งงาน อาหาร) สั่งเหล้าไวน์คอนเฟิร์มทุกสิ่ง อาทิ ช่างภาพวันงาน วงดนตรี ช่างแต่งหน้า ลองชุดแต่งงานครั้งสุดท้ายและนัดรับชุดสั่งทำของรับ ไหว้(อันนี้ช้าไปมั้ยคะฮ่าๆ) เจ้าบ่าวไปซื้อชุดแต่งงานเจ้าสาวหา ชุดafter party
เหมือนทุกอย่างจะรวมกันอยู่ที่ 1 เดือนก่อนแต่งงาน ... แต่ขอบอกค่าว่ารับมือไหว ไม่ถือว่าฉุกเฉิน ............. เวลาเหลืออีกเยอะ ยังทันถมถืดค่ะ
2 วันก่อนวันงาน.............. เจ้าบ่าวไปตัดผม เจ้าสาวไปทำเล็บ รับชุดไทย(สั่งตัด) คอนเฟิร์ม เถ้าแก่
1 วันก่อนวันงาน.............. พาครอบครัวเจ้าบ่าวไปกินข้าวเย็น รับแขก(เพื่อนๆ ญาติๆ)ที่มา นอนโรงแรม
แล้วก็เข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อเตรียมตัวตื่นตีสองมาโบกหน้าค่า เพราะฤกษ์เช้ามากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ปล.จะสังเกตว่า ในลิสต์ไม่มีโปรแกรมขัดศรีฉวีวรรณเลยแม้แต่ครั้งเดียว ...ใช่ค่ะ มิ้นไม่ได้ทำ ฮ่าๆ
ไม่ได้ว่าสวยอยู่แล้วหรืออะไรนะคะ งานเยอะ เวลาไม่ค่อยมี และ ขี้เกียจค่ะ เอิ๊กๆๆๆ
แต่ขอบอกว่า...สุดท้ายก็ออกมาเป็นเจ้าสาวกะเค้าได้เหมือนคนทั่วๆไป แถมไม่มีใครรู้ด้วยค่ะว่าไม่ได้ขัดตัวขัดผิวเลยยยย
แล้วแต่ละขั้นตอนว่าที่เจ้าสาวควรเตรียมตัวยังไง? จะต้องเริ่มติดต่ออะไรที่ไหน?
ตอนต่อไปมีมาแชร์ค่า ...
ปล.ใครแต่งแล้วจะมาร่วมแชร์ก็จะยินดีมากๆเลยค่า เพราะมันเป็นเรื่องราวที่จะทำให้ทุกคนนึกถึงและอมยิ้ม อิอิ
วันนี้ง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะค๊า ฝันดี
ราตรีสวัสดิ์จ้า
