ประตูทางเข้าจากสถานีรถไฟใต้ดิน เดินเข้ามาฉันเจอรูปปั้นนี้ อันแรก

ใช้กล้องไม่เป็น ก็ได้แต่กดๆ ภาพที่ออกมาก็เบลอๆ แตกๆ-_- รายละเอียดของภาพ อ่านแล้วก็จำใม่ได้...อิ่มเอมงานศิลป์ไหมเนี่ย?

ดูสิ่งของในพิพิธภัณฑ์ได้ไม่กี่ชิ้น ฉันก็เริ่มหันไปมองด้านนอก
| 
อาภาพหน้าต่างออก จะเห็นตัวตึก ตึกอะไรกันนะ ฉันอยากวิ่งออกไปเดินเล่น นั่งเล่น บนลานนั้น (มารู้ทีหลัง มันก็ตึก V&A ที่ฉันยืนอยู่นั่นแหละ แต่นั่นเป็นภาพด้านนอกของตึก) 
แสงแดดยามบ่ายที่ลอนดอน กระทบกับตึก ให้สี ที่มองแล้วรู้สึกอุ่นขึ้นมา สบายตาดีจัง ดูดอกไม้ในหน้าหนาวสิ แห้งแต่ยังมีความงามจนอยากสัมผัส

แล้วฉันก็หันกลับมาเดินชมภายในพิพิธภัณฑ์ต่อไปเรื่อยๆ ฉันไม่ค่อยได้ถ่ายภาพภายในพิพิธภัณฑ์มากนัก เพราะไม่คุ้นกับกล้องตัวนี้ จึงเลือกที่จะเพลิดเพลินกับชิ้นงานต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์อย่างเดียว ภาพนี้ ไอ้เขียวๆ นั่น ของจริงสวยมาก ห้อยหัวลงมาจากเพดาน ไม่รู้เรียกอะไร -_-

ScienceMuseum //www.sciencemuseum.org.uk
ออกจาก V&A พวกฉันก็เดินมาที่นี่ ฉันเคยเห็นรูปของน้องที่มาเที่ยว พื้นห้องเป็นรูปแผ่นดินแยกออกจากกัน และมีไดโนเสาร์ตัวโต มันเป็นแรงบันดาลใจฉะนมากว่ามาแล้วจะต้องได้เห็น...และฉันเข้าใจว่ามันจะอยู่ที่นี่ ฉันจึงเดินตามหา...แต่ทว่า ฉันคงจำผิดหรือเข้าใจผิด

ที่นี่มีแต่อะไรที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ อาทิ เครื่องจักร

เครื่องบิน รถยนต์

เกี่ยวกับอาวกาศ

ปอกเปลือกดาวเทียม

กระสวย? ไม่รู้อะไร จำไม่ได้

ค่าเข้าชมฟรี แต่พอเดินเข้าไปข้างใน มีบางส่วนที่ต้องเสียเงิน

การตกแต่งก็ออกแนวทันสมัยเหมือนในหนัง SciFi Hi tech บริเวณนี้เป็นโซนร้านอาหารและเครื่องดื่

หมดจากพิพิธภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ เราก็เดินออกไปที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ
ระหว่างทาง เจอพ่อหนุ่มคนนี้ ยืนแสดงโต้ลมหนาว...มองเขาแล้วมองตัวเอง....เนื้อหนังทำด้วยไรกันพ่อคุ๊ณณณ ฉันห่อตัวด้วยเสื้อตั้งหลายชั้น โค๊ทหนาๆ หนักๆ อีก 1 ตัว ฉันยังหนาวสั่น สะบั้น เวลายืนข้างนอก...แล้วดูพ่อหนุ่มคนนี้....

Natural History Museum //www.nhm.ac.uk
พิพิธภัณฑ์นี้ เป็นพิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติ เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของโลกเราว่ามีความเป็นมายังไง เราจะได้เรียนรู้ก้อนหิน กรวด ดินทราย สัตว์โลกยุคดึกดำบรรพ์ เรื่อยมาจนกระทั่งมนุษย์ยุคก่อนเรานับหมื่นปี
คุณนิ้วกลม เขียนบรรยายไว้ในหนังสือ ลอนดอนไดอารี่ 1.1 ว่า
การเดินเข้าประตูพิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติเหมือนการดินทางย้อนเวลากลับไปในอดีต เป็นเรื่องสนุก ไม่ต่างไปจากดูหนังจูราสิกพาร์ก เผลอๆ อาจจะสนุกกว่าการช็อปปิ้ง เพราะเงินทุกเพนนียังนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋า

หินทุกก้อน มีเรื่องราวและประวัติอันยาวนาน บางก้อน อายุมากกว่า 3 หมื่นปี

บางก้อนดูแล้ว เหมือนเพชร...

เมื่อเดินออกมาจาก natural History Museum พระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงมากแล้ว
มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ เพิ่งจะสี่โมงเย็นเอง...แต่ดูเหมือนว่า เวลาแห่งแสง ใกล้หมดแล้ว ฉันมีภารกิจอย่างหนึ่งในทริปนี้ คือ ซื้อกระเป๋าแฮร์รอดให้น้องสาว กระเป๋าที่ไม่มีอะไรเลย ทำจาก PVC แล้วมีรุปหมีน้อย ลายต่างๆ แต่ราคาแพงหูฉีก จุดหมายของเราหลังจากนี้ จึงคือ แฮร์รอด ห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่เมื่อคุณมาลอนดอน..คุณต้องมาช็อปปิ้งที่นี่...
พวกเราเดินตรงไปเรื่อย เพื่อนเริ่มเหนื่อยและบอกว่า "นั่งรถเมล์ไปกันเถอะ" ฉันดูในแผนที่ มีความรู้สึกว่า มันไม่ได้ไกลมาก แต่เมื่อเพื่อนอยากขึ้นพวกเราทั้งหมดเลยขึ้นรถเมล์ที่วิ่งผ่านา หน้า V&A Museum ค่ารถ ปอนด์กว่าที่ถูกหักไปจากบัตร Oyster Card นั้น เป็นค่ายืนบนรถเมล์สายนั้น แค่ป้ายเดียว! แล้วก็ลง...หมดไป 53 บาท สำหรับ 1 ป้าย! (วันแรกฉันใช้บัตร Oyster Card) 
เมื่อถึง Harrods ก็เกือบห้าโมงเย็น พวกเราได้แค่ยืนมอง แล้วตัดสินใจว่า ไว้วันหลังค่อยมาเถอะ.. เพราะวันนี้เพื่อนกับพี่สาวต้องกลับไปเช็คอินที่พัก... ฉันเลยได้แค่ยืนมอง แฮร์รอด อยู่ไกลๆ...กับภาพของผู้คน ที่เดินผ่านไปมา.. แล้วจะกลับมาใหม่นะจ้ะ Harrods 
พวกเรากลับมาที่ห้องน้อง...เพื่อขนกระเป๋าของเพื่อนไปที่พักแห่งใหม่ Travelodge ย่าน Liverpool Street พวกเราตัดสินใจนั่งแท็กซี่ เพราะเริ่มรู้สึกเหนื่อย ฉันง่วงนอนมาก ไม่รู้ทำไม ทั้งๆ ที่มันเพิ่งห้าโมงเย็นเอง...นึกได้อีกที...ตอนนี้ฉันอยู่ลอนดอนไม่ใช่กรุงเทพฯ เมื่อวาน ณ เวลานี้ คือเวลาราวห้าทุ่ม เที่ยงคืน มิน่าล่ะ ฉันจึง หาว....พวกเราคุยกันว่า เก็บของ อาบน้ำอาบท่า แล้วค่อยออกมาใหม่ ฉันเผลอหลับ ระหว่างรอเพื่อนและพี่สาวอาบน้ำ...ตอนถูกปลุกให้ตื่นมันช่างทรมานในความรู้สึกจริงๆ นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่า Jetlag พวกเราก็ลากสังขารพากันออกไปข้างนอกอีกครั้ง ในเวลานั้นคือ 1 ทุ่ม แต่ฉันออกเดินด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังละเมอออกมาเดินตอนตีหนึ่ง... เรากางแผนที่ และตัดสินว่า อยากเห็น London Eye เพื่อเก็บภาพตอนกลางคืน ฉันพาเพื่อนเดินวนไป วนมา เลียบแม่น้ำเทมส์ ไปเรื่อยๆ....หลงทาง และ งง สุดท้ายแล้ว...พวกเราก็ไปไม่ถึง ขอโทษนะเพื่อนที่พาหลง

น้องเบี้ยวนัดที่บอกว่าจะพาไปกินข้าวเย็น และกินไวน์
ทำให้พวกเราต้องหาที่กินกันเอง เดินฝ่าลมหนาว ความมืด และความเงียบ ไปแถวไหนไม่รู้ London Eye โผล่วับๆ แวมๆ อยู่ไกลๆ ในเวิ้งฟ้า แต่ฉันก็พาเพื่อนไปไม่ถึง..จบลงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ใกล้ๆ สถานีรถไฟ Waterloo ร้านอาหารอิตาเลี่ยน -_- เหมือนเมื่อตอนกลางวัน....บรรยากาศในร้านดูอบอุ่น แต่โต๊ะที่เรานั่งติดกำแพง ดูเหมือนว่าลมมันจะผ่านเข้ามาได้ เมื่อนั่งอยู่ภายในร้านทำให้ยังรู้สึกหนาว...

มื้อนี้ฉันขอสั่งอย่างที่อยากจะกินนั่นคือ Lamb Steak
ฉันเลือกสั่งอาหารเมื่อเปรียบเทียบราคากับบ้านเรา การจะกิน Lamb Steak นั้น จานนึงที่บ้านเราก็ราวๆ นี้ ไม่ต่ำกว่า 400-500 ที่ร้านนี่ จานนี้ 9 ปอนด์ ฉันได้ Lamb ตั้ง 3 ชิ้นใหญ่ ๆ ทำให้ไม่รู้สึกว่า แพงเลย... นอกจากนั้น ในราคา 9 ปอนด์ ฉันยังได้ สลัดด้วย ข้อแนะนำสำหรับการสั่งอาหาร หากนั่งในร้านอาหาร ควรเลือกสั่งแบบ Set Menu จะทำให้ประหยัดเงินได้ดีกว่า เพื่อนดูเหมือนจะสั่งเหมือนเมื่อกลางวัน ดูน่ากินเหมือนเดิมและจานใหญ่มากๆ
เราทั้งหมดตัดสินใจจบการเดินทางลงหลังจากอาหารมื้อนี้
กลับถึงที่พักราว ๆ ห้าทุ่ม มีเรื่องน่าขำมาเล่าให้ฟัง ฉันปวดท้องอย่างมาก...ก็สงสัยว่า ทำไมมาปวดท้องเข้าห้องน้ำตอนห้าทุ่ม(วะ) มองดูนาฬิกาที่เป็นของเมืองไทย...อ๋อ มันเป็นเวลาตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนเช้าของเรานี่เอง นาฬิกาในร่างกายคนเรานี่ สุดยอดจริงๆ... พรุ่งนี้ 9 โมงเช้า เราวางแผนกันว่า จะไปจัตุรัส Trafalgar Square และฉันหวังว่า พวกเราคงได้สัมผัสลอนดอน อย่างถึงกึ๋น จริงๆ จังๆ
(จบตอน 3)
==================
โปรดติดตามตอนต่อไป (ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่จะคลอด)