ห้องสมุดที่เซี่ยงไฮ้และร้านคาเฟ่แบบตะวันตก
วันที่สาม 19/08/08 Kangfu Shanghai Library Xin tian di -- Sun Yat Sen House Have big walking วันนี้เป็นวันแรก ที่จะได้ตะลุยเซี่ยงไฮ้ หลังจากมาอยู่ด้สามวัน ตื่นมาส่งแฟนไปทำงานแล้วก็แอบถามว่า จะไปไหนดี ไปยังไง เดินได้มั้ย เค้าก็แนะนำอยู่สองสามที่ โชคดีที่พี่สาวให้แผนที่มาปึกใหญ่ มีหลายแบบหลายอัน แต่ได้ใช้จริงๆ อันเดียว คือแผนที่ อันนี้ ส่วนนี่เป็นคู่มือแนะนำแหล่งท่องเที่ยวพร้อมแผนที่ในแต่ละจุด สแกนไว้หมดแล้วใครอยากได้ก็ลองถามๆ มาก็ได้ เผื่อส่งอีเมล์ไปให้ได้ เพราะแสกนไว้ไฟล์ใหญ่มากกก หลังจากอาบน้ำก็แอบตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะจะได้ไปเดินในเมืองที่พูดภาษาเค้าไม่ได้ แต่เอาน่าคงไม่ยากไปกว่า ตอนไปปารีสหรอก ว่าแล้วก็แต่งตัว รองเท้าผ้าใบ กางเกงขาสั้น เสื้อไม่มีแขน กล้อง และแผนที่ 1 ชุด ออกเดินทาง... เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาดีล่ะ (ยืนอยู่หน้าโรงแรม ฮ่าๆๆๆ) ลองเลี้ยวขวาละกัน อิอิ เวลา เก้าโมง ออกจากโรงแรม เจออากาศร้อนอบอ้าวและกลิ่นแปลกๆ ตุตุ.. สาวเซี่ยงไฮ้แต่งตัวไม่ค่อยเท่าไหร่นะเราว่า อิอิ Kung Fu เดินไปไม่ถึงร้อยเมตรจากโรงแรมก็เจอร้านอาหาร ร้านนึง หน้าตามองเผนๆ ให้ความรู้สึกว่า ก๊อป KFC มาป่าวนะ แต่เมนูอาหารหน้าร้านเป็น บะหมี่นี่นา ด้วยความหิวและสงสัยก็เลยเลือกที่จะกินที่เพราะดูสะอาดและทันสมัย พนักงานคงพอพูดภาษาอังกฤษได้ ที่สำคัญ ถูกด้วย ประวัติสั้นๆ About Real Kungfu Founded in 1994, Real Kungfu is a Chinese-style fast-food chain and a pioneer in establishing modern standards for back-end production, cooking facilities and staff operation. Real Kungfu was recognized as a Top Ten Fast-Food Brand in China in 2006. The first Chinese-style fast-food chain to adopt standardized operational processes, Real Kungfu has achieved international standards for quality, service and food safety. Real Kungfu currently operates more than 200 directly owned chain stores and has a presence in Guangzhou, Beijing, Shanghai, Shenzhen, Hangzhou and other cities in China.ขี้เกียจแปลอ่ะ ลองไปอ่านตามเว็บพวกนี้แล้วกันนะจ้ะ //www.madaboutshanghai.com/2006/03/kungfu_fast_foo.html //wheneatingawolf.com/2008/07/kung-fu-fast-food/ //www.ncr.com/about_ncr/media_information/news_releases/2007/december/121007a.jspKung fu คือร้านอาหารจานด่วนสไตล์คนจีน ที่เริ่มต้นจากเมือง Guangzhou มีโลโก้เป็น Bruce Lee ตกแต่งร้านสไตล์ Fast food แบบ KFC มีสองชั้น ตกแต่งร้านค่อนข้างดีและทันสมัย อาหารจะมีทั้งแบบชุด และแบบอย่างเดียว ถ้าอธิบายแล้วนึกภาพไม่ออกให้นึกภาพการบริหารจัดการ และการบริการของ KFC เหมือนกันเด๊ะๆ แต่เปลี่ยนจากขายไก่ มาขายอาหารจีน 1 ชุด จะมี บะหมี่ กับ ไข่ตุ๋น หรือ ผักผัดน้ำมันหอย (อันนี้ตั้งชื่อเอาเองเพราะกินแล้วเหมือนแบบนั้น) กับ นมถั่วเหลืองที่มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็น ประมาณ 14 หยวน ปกติ น้ำ 7 หยวน บะหมี่ 1 ชาม 9 หยวน และ ไข่ตุ๋น 5 หยวน ราคาจะมีสองแบบ แบบชามเล็ก และชามใหญ่ ราคาตัวโตที่เห็นจะชามเล็ก ถ้าชามใหญ่จะตัวเล็กกว่า บางวันก็จะขายข้าว มีไก่ผัดเห็ดหอม รสชาติเหมือนบ้านเรามากๆ ข้าวก็หอมนุ่มอร่อย เป็นอาหารจีนที่กินแล้วถูกปากที่สุดแล้วอ่ะ ...ถ้าวันไหนมีข้าว ก็จะมีน้ำซุบไก่ดำตุ๋นยาจีน ในชุดให้เลือกด้วย ...อร่อยดี ถ้าชุดข้าวและเอาน้ำซุบด้วย ราคาจะประมาณ 20 หยวน แต่เราว่าคุ้มนะ แบบว่า กินอิ่มเลยล่ะ...เค้าทำไว้เร็ว แต่ร้อนและอร่อย หอมกรุ่น ควันฉุยมาเลย จะบอกว่า ที่เล่าให้ฟังอ่ะ วันแรก ได้สั่งแค่ บะหมี่ชามเดียว 9 หยวน กับ น้ำนมถั่วเหลือง 1 แก้ว พยายามจะสั่งแบบเป็นชุด พูดอังกฤษสุดความสามารถที่มีอยู่ แต่ก็ ได้มาแบบแยก... แทนที่จะได้จ่าย 14 หยวน เลยได้จ่ายแยกทุกอย่างหมดไป 16 หยวน เพราะอยากกิน ไข่ตุ๋นด้วย.. รถไฟใต้ดินในเซี่ยงไฮ้ หลังจากท้องอิ่ม ก็มีกำลังจะออกเดินทาง กอรปกับไม่มีแผนใดๆ ทั้งสิ้น ก็เลยคิดว่าจะเริ่มต้นที่ห้องสมุด แต่ว่า จะไปยังไงล่ะทีนี้...ออกมายืนเก้ๆ กังๆ ตรงป้ายรถเมล์ ป้ายรถเมล์ก็ดีนะ แต่ว่าเปงภาษาจีนนนนนนน ท่าทางจะบอกละเอียดน่าดูว่าแต่ละสายไปไหนบ้าง... ยืนงงอยู่ประมาณ ห้านาที เดินวนไปวนมา ไปยังไงดีอ่ะ เพราะไม่ได้มีเวลาค้นมาเลยว่าเดินทางยังไง จะไปแท็กซี่ก็อยากผจญภัย ควานลงไปในกระเป๋าจะดูเงินหยวน แล้วก็เจอแผนที่ อ่ะฮ้า! เรามีแผนที่นี่ แล้วก็มองเห็นทางลงรถไฟใต้ดิน เท่านั้นแหละ ประสบการณ์การเดินทางในปารีสแบบไม่มีแผนก็ย้อนมาในสมอง ...คราวนั้นก็ไปปารีสแบบฉุกละหุกนี่แหละ แต่ก็ท่องทั่วปารีสได้ด้วยรถไฟใต้ดินไง! ว่าแล้วก็เดินหาทางลงรถไฟใต้ดินจนได้....รถไฟใต้ดิน หรือที่เมืองนี้เรียกว่า Metro ปัจจุบันมีสายต่างๆ ทั้งหมด แปดสาย แต่ละสายก็จะมีจุดหมายต่างๆ กัน จะมีสถานีที่เป็นจุดเชื่อมเพื่อเปลี่ยนไปยังสายต่างๆ (เหมือนสถานีสายามบ้านเรา) ส่วนมากสายที่อยู่ในเมืองและผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ก็จะเป็น สาย 1 และ สาย 2 เท่าที่ถาม บ้านเค้าไม่มีตั๋วหมาจ่ายแบบ 1 วัน เหมือนบ้านเรา ต้องซื้อเป็นเที่ยวๆ ไป แต่เค้าจะมีตั๋วแบบเติมเงิน คงเหมือนรายเดือนบ้านเรามั้ง อันนี้ไม่ได้หาข้อมูลอ่ะ เพราะกะว่า วันนี้จะเดิน! วิธีการซื้อตั๋ว 1. ถามเจ้าหน้าที่ ว่า คนไหนที่พูดภาษาอังกฤษได้ แล้วก็ซื้อกับคนนั้น ฮ่าๆๆ หรือถ้าไม่มีใครพูดได้ ง่ายๆ คือ เอาแผนที่ในมือ พร้อมกับชี้ไปที่จุดที่เราจะไปแล้วบอกก็พูดเป็นภาษาไทยไปเลยว่า "ฉันว่าจะไปตรงนี้ " 2. ซื้อที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ ดูให้ดี บางสถานีก็มีเครื่องรุ่นเก่าไม่มีเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ และมีตู้สองแบบคือ แบบเติมเงินกับแบบขายตั๋ว 2.1 เลือกภาษาอังกฤษ 2.2. เลือกสายที่ต้องการจะไป 2.3 เลือกสถานี 2.4 หยอดเหรียญหรือแบงค์ 2.5 รับตั๋ว ราคา ถูกกว่าบ้านเรานะ เริ่มต้นที่ 3 หยวน แต่ไปได้ไกลและมากกว่า 2 สถานีอ่ะ ไม่เหมือนบ้านเรา สถานีที่สองก็เริ่มที่ 20 บาทแล้วอ่ะ ส่วนมากเราจ่าย 4 หยวน ประมาณ 7 สถานีอ่ะพอได้ตั๋วก็เดินไปที่ทางเข้า เท่าที่สังเกตเห็น ที่นี่ จะมีประตูทางเข้าและทางออก สำหรับแตะบัตรผ่าน ทางเดียว ไม่มีหลายทางเหมือนบ้าน คือ ทางออกก็ออกอย่างเดียว เข้าก็เข้าอย่างเดียว แต่พอออกมาแล้วถึงจะมี ทางออก หลายช่อง งงมั๊ยเนี่ย... ภายในสถานี ก็จะเหมือนรถไฟใต้ดินบ้านเราแหละ แต่ว่า กลิ่นแรงกว่า ฮ่าๆๆ กลิ่นประมาณแบบ คนไม่อาบน้ำอ่ะ เหม็ง เจงๆๆ พอลงไปก็ต้องดูว่าจุดหมายปลายทางที่เราจะมีปลายทางอยู่ทางไหน (เหมือน หมอชิต อ่อนนุช บ้านเรา) แล้วก็ยืนรอ เคยได้ยินว่า คนจีนทำทุกอย่างเร็ว ...มาเจอกับตัวเอง แล้วเชื่อเลย...ศิลปะการเอาตัวรอดเพื่อให้ไดขึ้นรถไฟใต้ดินนั้น มารยาทงามอย่างไทย ที่ยืนรอเพื่อให้คนในขบวนเดินออกมาแล้วค่อยก้าวเท้าเข้าไปนั้น..มันใช้ไม่ได้กับที่นี่... เพราะที่นี่ คนในก็จะออก คนนอกก็จะเบียดเข้าไปให้ได้ ไม่มีคิว ไม่แถว ไม่มีช่อง ไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย ไม่มีเด็ก ไม่คนแก่ ทุกคนเสมอภาค! ไม่มีการสละที่นั่งให้ใครทั้งนั้น และคุยกันแบบเสียงดังไม่ยั้ง...ทั้งกลิ่นตัวและกลิ่นปาก ผสมปนเปกันไปหมด ...(ว่าเค้ามากเกินไปป่าวเนี่ยเรา) คนไทยน้ำใจงามอย่างเรา พอมาเจอสภาพการณ์แบบนี้ ตกใจทำไรไม่ถูก ได้แต่ยอมถูกเบียดและดันเข้าไป ประตูปิดเร็วด้วย มีหญิงคนนึงโดนประตูหนีบด้วยล่ะ เศร้า....แต่ก็เริ่มเรียนรู้และชิน แต่ก็สนุกดี..ฮ่าๆๆ อือ เบรคไปกินเบียร์ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเขียนต่อ เรื่องห้องสมุดและ Xin tain di ซึ่งเราว่า เราชอบที่นี่มากที่สุดเลยอ่ะกลับมาต่อ... ห้องสมุดเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Library) มาเมืองจีนทั้งที จะไม่ไปดูสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานเลยก็จะเสียเที่ยวมากๆ เพราะตั้งใจไว้ว่าทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ จะต้องไปดูห้องสมุดของเมืองนั้นๆ ด้วย วันแรกของการผจญภัยคนเดียว จึงมุ่งหน้าไปที่ ห้องสมุด..การเดินทาง ดูในแผนที่พบว่าอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเลย แค่นั่งรถไฟจาก Xujiahui ไป 1 สถานี ลงที่ สถานี Hengsarn Road (3 หยวน) หลังจากถามเจ้าหน้าที่ว่า ออกทางออกที่เท่าไหร่ เมื่อเดินออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน ให้เลี้ยวขวา ประมาณ 50 เมตร เดินตรงไปจะเป็นแยกไฟแดง แล้วเลี้ยวขวาอีกที เดินตรงไปจนสุดถนนที่สี่แยกไฟแดงอีกครั้ง แล้วเลี้ยวขวา เดินต่อไปอีก ประมาณ 50 เมตรก็จะเจอห้องสมุดอยู่ทางขวามือ ติดถนน หาง่าย ทางเข้าใหญ่อลังการ วันนั้นที่ไป อากาศถึงจะร้อนเพราะแดด แต่ก็ได้ต้นไม้ที่ร่มรื่นตบอดสองข้างทางทำให้เดินสบายๆ ประวัติอย่างย่อ ห้องสมุดเซี่ยงไฮ้ เป็นห้องสมุดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศจีน รองจาก ห้องสมุดแห่งชาติที่ปักกิ่ง แต่เป็นห้องสมุดประชาชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เป็นที่รู้จักครั้งแรกในครั้งที่เซี่ยงไฮ้เปิดประตูเพื่อติดต่อกับประเทศต่างๆ ในปี 1847 ในครั้งนั้นมีชื่อว่า Library of the Xu Jiahui Jesuit มีหนังสือและสื่อต่างๆ ทั้งภาษาจีนและภาษาตะวันตก กว่า 200,000 รายการ มีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งกลายมาเป็นห้องสมุดที่ทันสมัยของเซี่ยงไฮ้ในปี 1925 และเปลี่ยนชื่อเป็น Shanghai East Library หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงหลายครั้ง ตลอดจนปรับโครงสร้างและรวมเข้ากับบางหน่วยงาน จนกระทั่งปี 1996 ได้ย้ายที่ทำการมาตึกใหม่ และเปิดให้บริการจนถึงปัจจุบัน วันที่ไปก็ดุ่ยๆ เข้าไป ที่นี่ดีอย่างคือ ไม่ต้องฝากกระเป๋า ไม่ต้องเป็นสมาชิก ทุกคนสามารถเข้าไปใช้บริการได้ทุกคน แต่ภายในตึกจะแบ่งเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นแบ่งเป็นส่วนๆ บางส่วนต้องมีบัตรสมาชิก แต่การทำบัตรสมาชิกก็ไม่ยาก สำหรับชาวต่างชาติก็แสดงหนังสือเดินทางและจ่าย 5 หยวน กรอกข้อมูล ก็จะได้บัตรมาครอบครอง เจอบรรณารักษ์ เพื่อนร่วมอาชีพ หลายคนใจดีและส่วนมากพูดภาษาอังกฤษได้ สบายหน่อย สิ่งที่สังเกตเห็นแล้วอิจฉาคือ ห้องสมุดที่นี่มีประชาชนทั่วไป มาใช้บริการเยอะมาก ส่วนมากแล้วเป็นผู้สูงวัย นักเรียนก็มี เห็นเพื่อนบอกว่าเป็นวัฒนธรรมของชาวจีนที่รักการอ่าน แต่ยุคหลัง คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยอ่านกันแล้ว เพราะสนใจเล่นเกมมากคอมพิวเตอร์ มากกว่า..สิ่งที่น่าทึ่งคือ มีนิตยสารและวารสารภาษาจีนเยอะมากๆๆๆ มีทั้งที่เป็นของจีนเอง และเวอร์ชั่นที่แปลมาเป็นจีน เยอะมากๆ เยอะจริงๆ แบบ ไม่น่าเชื่ออ่ะ เห็นแล้วทั้งอิจฉา ทั้งงง ว่าทำไมเมืองเค้ามีนิตยสารที่น่าสนใจๆ เยอะจัง โดยเฉพาะเรื่องกีฬา ...ซินเทียนติ Xintiandi ออกจากห้องสมุดก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟ (เพราะไม่รู้จะไปไหน) แล้วก็นั่งอ่านแผนที่อยู่ซักพัก เห็นวงกลมเบ้อเริ่ม ที่แฟนวงไว้ให้ เลยตัดสินใจว่าจะไปที่นี่แหละ (วันนี้ยังดูแผนที่ไม่ค่อยเก่ง) ถามเค้าอีกตามเคย คราวนี้นั่งไป ลง Haungpi Road ออกที่ทางออกที่ 2 โผล่ขึ้นมาจะเจอแยกไฟแดง Hong Kong Plaza ตอนแรกตกใจนึกว่า นั่งจากเซี่ยงไฮ้มาโผล่ที่ฮ่องกง ฮ่าๆๆ ละแวกนั้นก็จะมีห้างให้เดินรับแอร์เย็นๆ จากทางออกที่สอง เลี้ยวขวา เดินตรงไปเรื่อยๆ จะถึง ซินเทียนตี้ (ไม่รู้ตัว) ช่วงที่ไปเป็นช่วงโอลิมปิก จะเห็นหุ่นกระเป๋องโค๊ก นำมาต่อกันเป็นรูปนักกีฬาหลายๆ แบบ สวยดี เลยถ่ายรูปไว้ดูเล่นๆ ตอนนั่งกินสปาเก๊ตตี้ ละสั่งโค๊กใส่มะนาว ชวนให้นึกถึงบรรยากาศ ตอนนั่งกินอาหารกลางวันที่คาเฟ่กลางแจ้งในปารีส นอกจากนั้นยังมีห้างที่มีเสื้อผ้ายี่ห้อดังๆ แบบสวยๆ (แบบเยอะกว่าบ้านเรามากๆ) มีโรงหนัง มีร้านอาหารหลายๆ ชาติ รวมกันอยู่ มีร้านขนมปัง Paul ด้วย เริ่ดดดดด บ้านเรายังไม่มีเลย..... เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ชอบมาก ไปค้นหาว่า ที่นี่มันคืออะไรกันนะ เจออยู่บทความ เลยตัดมาแปะไว้เป็นความรู้ (หลังจากกลับมาถึงเมืองไทย)เซี่ยงไฮ้ เคยเป็นชุมชนเก่าแก่เสื่อมโทรมขนาดใหญ่แหล่งสุดท้าย แต่การพัฒนาที่ดินบริเวณนี้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อกลางปี 2541 ได้ทำให้ที่นี่กลายเป็นถนนสายช้อปปิ้งขนาดใหญ่ ที่เป็นศูนย์กลางการนัดพบของชาวเซี่ยงไฮ้ในปัจจุบัน และสร้างรายได้ให้กับบรรดาร้านค้าต่าง ๆ รวม1,000 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นดอกผลที่งดงาม เมื่อเทียบกับเงิน 150 ล้านเหรียญ ที่ บริษัท ไลฟ์ สไตล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ลงไปกับโครงการนี้ นี่จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการทำวิสัยทัศน์ให้กลายเป็นเรื่องจริงของการพัฒนาเมืองเซี่ยงไฮ้ทีเดียว การริเริ่มโครงการ ซิน เทียน ติ มาจากวิสัยทัศน์ที่ว่า เซี่ยงไฮ้เป็นหนึ่งในมหานครของโลก จึงควรมีสถานที่ที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจให้ทั้งชาวเซี่ยงไฮ้ ชาวจีน และชาวต่างชาติ อยากมาเยี่ยมชม รวมทั้งยังต้องการให้ที่นี่เป็นที่นัดพบมากกว่าที่จะเป็นเพียงศูนย์การค้าเฉย ๆ ที่สำคัญคือ ต้องการให้ที่นี่เป็น Lifestyle Center ด้วย แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ การสร้างแฟลตใหม่ในบริเวณอื่นเพื่อรองรับผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ที่ ซิน เทียน ติ ให้ย้ายออกไป หลังจากนั้นจึงเริ่มลงมือก่อสร้างตามแผนการที่วางไว้ หลังจากการกำหนดจุดยืนทางการตลาดว่าต้องการให้เป็น International Meeting Place ที่มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน ไม่ใช่แค่เป็นShopping Complex เฉย ๆ พร้อมกับการวิเคราะห์ทางการเงิน และการวางคอนเซ็ปต์การดีไซน์ หลังจากเปิดให้บริการเมื่อปลายปี 2544 ที่ผ่านมา ซิน เทียน ติ กลายเป็นถนนคนกลางคืนที่ทันสมัย หลายหลาก และเลิศหรูที่สุดในเซี่ยงไฮ้ ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นักเที่ยวกลางคืน มารวมตัวกันที่นี่ เสน่ห์ของ ซิน เทียน ติ อยู่ที่สีสันยามค่ำคืนที่ล่อใจ และ ร้านกิน-ดื่มที่หลากสไตล์ หลายอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นแบบจีน ๆ อย่างร้านน้ำชา หรือ ผับ บาร์ และสตาร์บัคส์ อย่างฝรั่ง ก็ล้วนแล้วแต่มีหน้าร้านที่ชวนให้แวะเข้าไปรวมกลุ่มสังสรรค์กันภายใน เพราะร้านรวงที่นี่ออกแบบมาให้เป็นอาคารจีนคลาสสิก แม้จะตัดกับชื่อร้านที่ดูอินเตอร์ ๆ แต่ก็ชวนให้นึกถึงสมัยที่วัฒนธรรมตะวันตกเพิ่งเข้ามาในจีนใหม่ ๆ อย่างที่เคยเห็นภาพยนตร์เรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ อีกอย่างที่น่าสนใจในซิน เทียน ติ ก็คือ บรรดาร้านขายของแฮนด์เมดต่าง ๆ ซึ่งเน้นขายแต่สินค้าหัตถกรรมจีน ภาพวาด เพื่อเป็นของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ผู้บริหาร ซิน เทียน ติ ก็ยังพยายามสร้างความคึกคักให้ที่นี่ ด้วยการจัด Event ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นไปที่นิทรรศการด้านศิลปะวัฒนธรรมเป็นหลัก เพื่อดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และกิจกรรมที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือการเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่เดินทางมาเยือนเซี่ยงไฮ้ให้มาปรากฏตัวที่นี่ อย่างที่ ซิลเวสเตอร์ สตาโลน เคยไปสร้างสีสันให้ที่นี่มาแล้ว นอกจากการวางแผนงานที่รัดกุมทุกขั้นตอนแล้ว Tony Wong Founder and CEO ของ Life Style Center Limited กล่าวถึงความสำเร็จของ ซิน เทียน ติ ว่า มาจากการมีความสัมพันธ์ที่ดีของคนที่มาเช่าพื้นที่ การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า การทำกิจกรรมและการจัด Event และการจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การบริหารงานของคนรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่น ที่มา: บทความการตลาด ตัวอย่างแผนการตลาด กลยุทธ์การตลาด ข่าวการตลาด ฉบับที่ 32 ตุลาคม 2545 //www.marketeer.co.th/inside_detail.php?inside_id=1491 อ่านเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยที่ วิกิพีเดีย และ ที่นี่ -------------------- ก่อนจะออกเดินทางไปบ้านซุน ยัดเซน เจอ ร้านอาหารไทย ชื่อ Simply Thai ดูดีเชียว แต่ไม่ได้เข้าอ่า เพราะไม่มีตังค์ เค้าบอกว่าไม่ใช่คนไทยเป็นเจ้าของนะ แต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แบบว่าไม่ค่อยสนใจอะไรที่ไทยๆ ในเมืองนอกอ่ะ เลวมะ อิอิ ตัดสินใจออกเดินทาง (เดินจริงๆ) เพราะดูในแผนที่แล้ว จากที่ ซิน เทียน ติ ไปบ้าน ซุนยัดเซน นั้น ใกล้นิดเดียว ถามใคร ใครก็บอก นิดเดียวๆๆ เราเลยเดินซะ เหงื่อซก... ไปต่ออันใหม่ละกัน มันยาวมากแล้วอันนี้ เอารูปร้าน Simply Thai กับชื่อร้านอาหารอิตาเลี่ยน ที่เราไปนั่งกินแบบชิวๆ มาดูส่งท้ายบันทึกหน้านี้ << PREVIOUS ช๊อปปิ้งไข่มุกที่เซี่ยงไฮ้
สุดมันส์กับ Shopping Brand Name ที่ เซี่ยงไฮ้ NEXT >>
Create Date : 05 กันยายน 2551
Last Update : 14 กันยายน 2551 23:20:09 น.
Counter : 1941 Pageviews.
SassyKate
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [? ]
SassyKate is a Sassy girl. Dream what you want to dream, Go where you want to go, Be what you want to be, Because you have only one life and one chance to do all the things you want to do.