If I had 9 life i would..
 
 

สุดมันส์กับ Shopping Brand Name ที่เซี่ยงไฮ้

Plaza 66 Nanjing Road 20/08/08

วันนี้ตื่นมาก็งงๆ เพราะเหนื่อยจากการเดินครั้งใหญ่เมื่อวาน นัดกับพี่สาวไว้ว่าจะไปหาที่บ้านและไปว่ายน้ำกับหลาน แต่ดันตื่นสายไปนิด พี่สาวบอกว่าวันนี้จะเข้าไปในเมือง เพราะได้งานทำที่สถานทูตอเมริกา นัดให้พบกันที่...Shanghai Center The Portmanritz Carton

กว่าจะออกจากบ้าน กว่าจะแวะกินข้าวร้านกังฟูเจ้าประจำ วันนี้ผิดคาด ไม่มีบะหมี่ให้ดูด แต่เป็นชุดกับข้าวแทน เราเลยได้กินข้าว ไก่ผัดซีอิ๊วใส่เห็ดหอม อร่อยมั่กๆๆ รสชาติคุ้นปากสุดๆๆ




ท้องอิ่มก็ออกเดินทาง ขึ้นรถไฟใต้ดินที่เดิม ไปลงที่ People Square (สถานีฟังง่ายเพราะตอนประกาศเป็นภาษาจีนก็เรียก People Square ชัดแจ๋ว) เปลี่ยนสถานีไปลงที่ Ji'an Temple.. แล้วออกเดินต่อไปทางถนน Nanjing Road (West)

เดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ ๆๆ จะเจอตึกThe Portmanritz Carton ใหญ่มาก...ไฮโซสุดๆ ,มีร้านอาหารและเบเกอรี่ น่านั่งมาก เดินไปอีกนิดติดกันเป็นตึกเรียกว่า Plaza 66



เป็นห้างที่มีแต่ของยี่ห้อชื่อดังๆ เช่น Gucci, Marc Jacob, LV, Ciline ...Dior Homme คือแบบ มีทุกยี่ห้อเลยอ่ะ




ที่ขึ้นชื่อว่า สุดมันส์กับ Shpping Brand Name จริงๆ แล้วไม่ได้เดิ้นไปซื้อยี่ห้ออะไรกับชาวบ้านเค้าหรอกค่า แต่ด้วยความที่อยู่เมืองไทย มันอัดอั้นตันใจ ทำงานที่เอมโพเรี่ยม เดินผ่าน หลุยส์ ฟินดิ ดิออ เวอซาเช่ ทุกวัน แต่ทว่า...เค้าปิดประตูอ่ะ...มีกะตังค์ยังต้องคิดเลยว่า เค้าจะให้เราเข้าไปมั้ย ตอนจะเข้าต้องกดกริ่งเรียกหรือป่าว ครั้นพอหลุดเข้าไปในร้านได้ ก็ต้องเจอกับท่าทีของพนักงานแปลกๆ ทำนองแบบว่า ถ้าซื้อถึงจะหยิบมาให้ลอง...

มันอัดอั้นค่ะ มันอัดอั้น ตอนแรกที่มาถึงห้างนี้ (พี่สาวกลับบ้านไปแล้ว เพราะสื่อสารกับแทกซี่ไม่เข้าใจ ขึ้นนั่งรถปุ๊ป แท๊กซี่พาส่งบ้านเลย)

ตอนแรกที่มาถึงห้างนี้ ก็เดิน เตร็ดเตร่ๆ อยู่พักนึง ไม่กล้าเข้าไปซักร้าน โทรหาพี่สาว พี่สาวบอก กลัวอะไร ก็ทำเป็นมั่นใจ I come from Japan แล้วเดินเข้าไป Speak english เข้าไว้....

พอวางสายเสร็จก็ผลุบๆ โผล่ๆ กล้าๆ กลัว อยู่หน้าร้านหลายร้าน น่าสงสารเป็นที่สุดกับความไม่มั่นใจในตัวเอง พอไปถึงร้านหลุยส์ เกิดแรงฮึด นึกถึงภาพ ยัยพนักงานที่เอมโพเรี่ยม ไม่ยอมหยิบกระเป๋าใบที่อยากได้มาให้ดู แล้วมันแค้น


รู้ตัวอีกทีก็ไปยืนตรงชั้นรองเท้าของหลุยส์ซะแล้น โอ้โห บรรยากาศมันช่างสบายๆ ไม่มีมีใครมอง ไม่มีใครสนใจ มีแค่มายืนดูห่างๆ เราก็หยิบโน่น ดูนี่ ลองโน่น ลองนี่ จนเกือบจะครบ ฮ่าๆๆ หลุยส์ที่นี่ใหญ่มาก มีครบทุกฟังก์ชั่น คือ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ ทั้งหญิง และชาย (ในร้านนี้เลย) อีกอย่างคือ อัดอั้นเก็บกด จากตอนไปปารีสแล้วไม่เห็นร้านหลุยส์ ไม่ได้ไปเหยียบ ซองเอลิเซ่ เพราะตอนนั้นไปทำงาน เลยต้องเลี่ยงแหล่งช๊อปปิ้ง เดี๋ยวโดน สตง. ตรวจสอบ

ร้านต่างๆ ใน Plaza 66 ชั้นล่างจะเป็นร้าน Brand name ยี่ห้อดังๆ และแต่ละร้านก็ใหญ่มาก ส่วนมากแล้วจะมี 2 ชั้น คือ เดินเข้าร้านจากชั้น 1 และชมสินค้าภายใน้รานไปเรื่อยๆ จนไปถึงชั้นสอง แล้วสามารถเดินออกจากร้านทางชั้นสองได้

SassyKate ก็ เดินกระจายสิ (ปกติ shop กระจาย) คราวนี้ก็ เข้าร้านนี้ อกร้านโน้น ลองรองเท้าบู๊ทที่ Versace ลองแว่นกันแดด ที่ Prada กะ Chanel (เพื่อดูว่า ของจริงกะของ 199 บ้านเรามันต่างกันยังไง...ผลคือว่า ไม่ต่างค่า บางอันใส่ก็กดขมับเหมือนกัน) เสร็จแล้วก็เฉดิฉายไปลองเสื้อโค๊ด ที่ Ciline กับ Dior มีอีกตั้งหลายร้าน จำไม่ได้ว่าลองไรไปบ้าง เราเน้นร้านที่มีในเมืองไทยก่อน เพราะแรงบีบคั้น


ร้านที่นี่ไม่มีร้านไหนปิดประตูนะคะ ดังนั้น เราจะเดินเข้า เดินออก ก็เลยไม่ตะขิดตะขวางใจ อยากลองไรก็ลอง อยากทำไรก็ทำ ไม่พอใจก็เดินออก เค้าก็ปฏิบัติตัวกับเราเหมือนเราเดินเข้าไปซื้อของร้านขาย 199 บาท ที่บ้านเราเลย เพราะคำแรกที่ทักเราคือ หนีห่าว...เสร็ขแล้วก็บอกว่า You can try โอแม่เจ้า....เท่านั้นแหละ ก็เค้าอนุญาตแล้วนี่ ฮ่าๆๆๆ

แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรติดมือกลับมาหรอกนะ เพราะ มะมีเงิน ไปตายรังที่ Pearl City ช๊อบของ 5 หยวน 10 หยวน สบายใจ

แต่ทว่าการแค่ได้ลองก็มีความสุขแล้วนะเราว่า จิงมะ อิอิ


สรุปว่า ใครที่อัดอั้นตันใจ มีปมด้อย อย่างเรา เจอการดูถูกที่เมืองไทย พอไปที่นี่ก็เอาให้หนำเลยนะค่า.... ฮ่าๆๆๆ แต่จะซื้อก็ได้นะคะ ไม่ว่ากัน เพียงแต่ว่าที่เมืองจีน ไม่มี Tax Refund เท่านั้นเอง....


ไม่ได้ถ่ายรูป แต่ก็ไปค้นเว็บ เจอรูปมา เลยเอารูปมาฝาก หรือจะไปดูที่ Blog ของคนนี้ก็ได้ค่ะ



<< PREVIOUS ห้องสมุดที่เซี่ยงไฮ้และร้านคาเฟ่แบบตะวันตก


เซี่ยงไฮ้ ปารีส แห่งเอเชียตะวันออก NEXT >>




 

Create Date : 06 กันยายน 2551   
Last Update : 14 กันยายน 2551 23:18:23 น.   
Counter : 5817 Pageviews.  


ห้องสมุดที่เซี่ยงไฮ้และร้านคาเฟ่แบบตะวันตก

วันที่สาม 19/08/08
Kangfu – Shanghai Library – Xin tian di -- Sun Yat Sen House – Have big walking


วันนี้เป็นวันแรก ที่จะได้ตะลุยเซี่ยงไฮ้ หลังจากมาอยู่ด้สามวัน ตื่นมาส่งแฟนไปทำงานแล้วก็แอบถามว่า จะไปไหนดี ไปยังไง เดินได้มั้ย เค้าก็แนะนำอยู่สองสามที่ โชคดีที่พี่สาวให้แผนที่มาปึกใหญ่ มีหลายแบบหลายอัน แต่ได้ใช้จริงๆ อันเดียว คือแผนที่ อันนี้



ส่วนนี่เป็นคู่มือแนะนำแหล่งท่องเที่ยวพร้อมแผนที่ในแต่ละจุด สแกนไว้หมดแล้วใครอยากได้ก็ลองถามๆ มาก็ได้ เผื่อส่งอีเมล์ไปให้ได้ เพราะแสกนไว้ไฟล์ใหญ่มากกก


หลังจากอาบน้ำก็แอบตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะจะได้ไปเดินในเมืองที่พูดภาษาเค้าไม่ได้ แต่เอาน่าคงไม่ยากไปกว่า ตอนไปปารีสหรอก ว่าแล้วก็แต่งตัว รองเท้าผ้าใบ กางเกงขาสั้น เสื้อไม่มีแขน กล้อง และแผนที่ 1 ชุด ออกเดินทาง...

เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาดีล่ะ (ยืนอยู่หน้าโรงแรม ฮ่าๆๆๆ) ลองเลี้ยวขวาละกัน อิอิ เวลา เก้าโมง ออกจากโรงแรม เจออากาศร้อนอบอ้าวและกลิ่นแปลกๆ ตุตุ.. สาวเซี่ยงไฮ้แต่งตัวไม่ค่อยเท่าไหร่นะเราว่า อิอิ


Kung Fu

เดินไปไม่ถึงร้อยเมตรจากโรงแรมก็เจอร้านอาหาร ร้านนึง หน้าตามองเผนๆ ให้ความรู้สึกว่า ก๊อป KFC มาป่าวนะ แต่เมนูอาหารหน้าร้านเป็น บะหมี่นี่นา ด้วยความหิวและสงสัยก็เลยเลือกที่จะกินที่เพราะดูสะอาดและทันสมัย พนักงานคงพอพูดภาษาอังกฤษได้ ที่สำคัญ ถูกด้วย


ประวัติสั้นๆ

About “Real Kungfu”
Founded in 1994, Real Kungfu is a Chinese-style fast-food chain and a pioneer in establishing modern standards for back-end production, cooking facilities and staff operation. Real Kungfu was recognized as a Top Ten Fast-Food Brand in China in 2006. The first Chinese-style fast-food chain to adopt standardized operational processes, Real Kungfu has achieved international standards for quality, service and food safety. Real Kungfu currently operates more than 200 directly owned chain stores and has a presence in Guangzhou, Beijing, Shanghai, Shenzhen, Hangzhou and other cities in China.


ขี้เกียจแปลอ่ะ ลองไปอ่านตามเว็บพวกนี้แล้วกันนะจ้ะ

//www.madaboutshanghai.com/2006/03/kungfu_fast_foo.html
//wheneatingawolf.com/2008/07/kung-fu-fast-food/
//www.ncr.com/about_ncr/media_information/news_releases/2007/december/121007a.jsp

Kung fu คือร้านอาหารจานด่วนสไตล์คนจีน ที่เริ่มต้นจากเมือง Guangzhou มีโลโก้เป็น Bruce Lee ตกแต่งร้านสไตล์ Fast food แบบ KFC มีสองชั้น ตกแต่งร้านค่อนข้างดีและทันสมัย อาหารจะมีทั้งแบบชุด และแบบอย่างเดียว ถ้าอธิบายแล้วนึกภาพไม่ออกให้นึกภาพการบริหารจัดการ และการบริการของ KFC เหมือนกันเด๊ะๆ แต่เปลี่ยนจากขายไก่ มาขายอาหารจีน

1 ชุด จะมี บะหมี่ กับ ไข่ตุ๋น หรือ ผักผัดน้ำมันหอย (อันนี้ตั้งชื่อเอาเองเพราะกินแล้วเหมือนแบบนั้น) กับ นมถั่วเหลืองที่มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็น ประมาณ 14 หยวน ปกติ น้ำ 7 หยวน บะหมี่ 1 ชาม 9 หยวน และ ไข่ตุ๋น 5 หยวน ราคาจะมีสองแบบ แบบชามเล็ก และชามใหญ่ ราคาตัวโตที่เห็นจะชามเล็ก ถ้าชามใหญ่จะตัวเล็กกว่า บางวันก็จะขายข้าว มีไก่ผัดเห็ดหอม รสชาติเหมือนบ้านเรามากๆ ข้าวก็หอมนุ่มอร่อย เป็นอาหารจีนที่กินแล้วถูกปากที่สุดแล้วอ่ะ ...ถ้าวันไหนมีข้าว ก็จะมีน้ำซุบไก่ดำตุ๋นยาจีน ในชุดให้เลือกด้วย ...อร่อยดี ถ้าชุดข้าวและเอาน้ำซุบด้วย ราคาจะประมาณ 20 หยวน แต่เราว่าคุ้มนะ แบบว่า กินอิ่มเลยล่ะ...เค้าทำไว้เร็ว แต่ร้อนและอร่อย หอมกรุ่น ควันฉุยมาเลย


จะบอกว่า ที่เล่าให้ฟังอ่ะ วันแรก ได้สั่งแค่ บะหมี่ชามเดียว 9 หยวน กับ น้ำนมถั่วเหลือง 1 แก้ว พยายามจะสั่งแบบเป็นชุด พูดอังกฤษสุดความสามารถที่มีอยู่ แต่ก็ ได้มาแบบแยก... แทนที่จะได้จ่าย 14 หยวน เลยได้จ่ายแยกทุกอย่างหมดไป 16 หยวน เพราะอยากกิน ไข่ตุ๋นด้วย..





รถไฟใต้ดินในเซี่ยงไฮ้

หลังจากท้องอิ่ม ก็มีกำลังจะออกเดินทาง กอรปกับไม่มีแผนใดๆ ทั้งสิ้น ก็เลยคิดว่าจะเริ่มต้นที่ห้องสมุด แต่ว่า จะไปยังไงล่ะทีนี้...ออกมายืนเก้ๆ กังๆ ตรงป้ายรถเมล์ ป้ายรถเมล์ก็ดีนะ แต่ว่าเปงภาษาจีนนนนนนน ท่าทางจะบอกละเอียดน่าดูว่าแต่ละสายไปไหนบ้าง... ยืนงงอยู่ประมาณ ห้านาที เดินวนไปวนมา ไปยังไงดีอ่ะ เพราะไม่ได้มีเวลาค้นมาเลยว่าเดินทางยังไง จะไปแท็กซี่ก็อยากผจญภัย ควานลงไปในกระเป๋าจะดูเงินหยวน แล้วก็เจอแผนที่ อ่ะฮ้า! เรามีแผนที่นี่ แล้วก็มองเห็นทางลงรถไฟใต้ดิน เท่านั้นแหละ ประสบการณ์การเดินทางในปารีสแบบไม่มีแผนก็ย้อนมาในสมอง ...คราวนั้นก็ไปปารีสแบบฉุกละหุกนี่แหละ แต่ก็ท่องทั่วปารีสได้ด้วยรถไฟใต้ดินไง!
ว่าแล้วก็เดินหาทางลงรถไฟใต้ดินจนได้....


รถไฟใต้ดิน หรือที่เมืองนี้เรียกว่า Metro ปัจจุบันมีสายต่างๆ ทั้งหมด แปดสาย แต่ละสายก็จะมีจุดหมายต่างๆ กัน จะมีสถานีที่เป็นจุดเชื่อมเพื่อเปลี่ยนไปยังสายต่างๆ (เหมือนสถานีสายามบ้านเรา) ส่วนมากสายที่อยู่ในเมืองและผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ก็จะเป็น สาย 1 และ สาย 2

เท่าที่ถาม บ้านเค้าไม่มีตั๋วหมาจ่ายแบบ 1 วัน เหมือนบ้านเรา ต้องซื้อเป็นเที่ยวๆ ไป แต่เค้าจะมีตั๋วแบบเติมเงิน คงเหมือนรายเดือนบ้านเรามั้ง อันนี้ไม่ได้หาข้อมูลอ่ะ เพราะกะว่า วันนี้จะเดิน!


วิธีการซื้อตั๋ว

1. ถามเจ้าหน้าที่ว่า คนไหนที่พูดภาษาอังกฤษได้ แล้วก็ซื้อกับคนนั้น ฮ่าๆๆ หรือถ้าไม่มีใครพูดได้ ง่ายๆ คือ เอาแผนที่ในมือ พร้อมกับชี้ไปที่จุดที่เราจะไปแล้วบอกก็พูดเป็นภาษาไทยไปเลยว่า "ฉันว่าจะไปตรงนี้ "

2. ซื้อที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ ดูให้ดี บางสถานีก็มีเครื่องรุ่นเก่าไม่มีเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ และมีตู้สองแบบคือ แบบเติมเงินกับแบบขายตั๋ว
2.1 เลือกภาษาอังกฤษ
2.2. เลือกสายที่ต้องการจะไป
2.3 เลือกสถานี
2.4 หยอดเหรียญหรือแบงค์
2.5 รับตั๋ว

ราคา ถูกกว่าบ้านเรานะ เริ่มต้นที่ 3 หยวน แต่ไปได้ไกลและมากกว่า 2 สถานีอ่ะ ไม่เหมือนบ้านเรา สถานีที่สองก็เริ่มที่ 20 บาทแล้วอ่ะ ส่วนมากเราจ่าย 4 หยวน ประมาณ 7 สถานีอ่ะ




พอได้ตั๋วก็เดินไปที่ทางเข้า เท่าที่สังเกตเห็น ที่นี่ จะมีประตูทางเข้าและทางออก สำหรับแตะบัตรผ่าน ทางเดียว ไม่มีหลายทางเหมือนบ้าน คือ ทางออกก็ออกอย่างเดียว เข้าก็เข้าอย่างเดียว แต่พอออกมาแล้วถึงจะมี ทางออก หลายช่อง งงมั๊ยเนี่ย...


ภายในสถานี ก็จะเหมือนรถไฟใต้ดินบ้านเราแหละ แต่ว่า กลิ่นแรงกว่า ฮ่าๆๆ กลิ่นประมาณแบบ คนไม่อาบน้ำอ่ะ เหม็ง เจงๆๆ พอลงไปก็ต้องดูว่าจุดหมายปลายทางที่เราจะมีปลายทางอยู่ทางไหน (เหมือน หมอชิต อ่อนนุช บ้านเรา) แล้วก็ยืนรอ



เคยได้ยินว่า คนจีนทำทุกอย่างเร็ว ...มาเจอกับตัวเอง แล้วเชื่อเลย...ศิลปะการเอาตัวรอดเพื่อให้ไดขึ้นรถไฟใต้ดินนั้น มารยาทงามอย่างไทย ที่ยืนรอเพื่อให้คนในขบวนเดินออกมาแล้วค่อยก้าวเท้าเข้าไปนั้น..มันใช้ไม่ได้กับที่นี่...

เพราะที่นี่ คนในก็จะออก คนนอกก็จะเบียดเข้าไปให้ได้ ไม่มีคิว ไม่แถว ไม่มีช่อง ไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย ไม่มีเด็ก ไม่คนแก่ ทุกคนเสมอภาค! ไม่มีการสละที่นั่งให้ใครทั้งนั้น และคุยกันแบบเสียงดังไม่ยั้ง...ทั้งกลิ่นตัวและกลิ่นปาก ผสมปนเปกันไปหมด ...(ว่าเค้ามากเกินไปป่าวเนี่ยเรา)

คนไทยน้ำใจงามอย่างเรา พอมาเจอสภาพการณ์แบบนี้ ตกใจทำไรไม่ถูก ได้แต่ยอมถูกเบียดและดันเข้าไป ประตูปิดเร็วด้วย มีหญิงคนนึงโดนประตูหนีบด้วยล่ะ เศร้า....แต่ก็เริ่มเรียนรู้และชิน แต่ก็สนุกดี..ฮ่าๆๆ


อือ เบรคไปกินเบียร์ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเขียนต่อ เรื่องห้องสมุดและ Xin tain di ซึ่งเราว่า เราชอบที่นี่มากที่สุดเลยอ่ะ


กลับมาต่อ...

ห้องสมุดเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Library)

มาเมืองจีนทั้งที จะไม่ไปดูสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานเลยก็จะเสียเที่ยวมากๆ เพราะตั้งใจไว้ว่าทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ จะต้องไปดูห้องสมุดของเมืองนั้นๆ ด้วย วันแรกของการผจญภัยคนเดียว จึงมุ่งหน้าไปที่ ห้องสมุด..

การเดินทาง

ดูในแผนที่พบว่าอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเลย แค่นั่งรถไฟจาก Xujiahui ไป 1 สถานี ลงที่ สถานี Hengsarn Road (3 หยวน) หลังจากถามเจ้าหน้าที่ว่า ออกทางออกที่เท่าไหร่ เมื่อเดินออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน ให้เลี้ยวขวา ประมาณ 50 เมตร เดินตรงไปจะเป็นแยกไฟแดง แล้วเลี้ยวขวาอีกที เดินตรงไปจนสุดถนนที่สี่แยกไฟแดงอีกครั้ง แล้วเลี้ยวขวา เดินต่อไปอีก ประมาณ 50 เมตรก็จะเจอห้องสมุดอยู่ทางขวามือ ติดถนน หาง่าย ทางเข้าใหญ่อลังการ วันนั้นที่ไป อากาศถึงจะร้อนเพราะแดด แต่ก็ได้ต้นไม้ที่ร่มรื่นตบอดสองข้างทางทำให้เดินสบายๆ




ประวัติอย่างย่อ
ห้องสมุดเซี่ยงไฮ้ เป็นห้องสมุดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศจีน รองจาก ห้องสมุดแห่งชาติที่ปักกิ่ง แต่เป็นห้องสมุดประชาชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เป็นที่รู้จักครั้งแรกในครั้งที่เซี่ยงไฮ้เปิดประตูเพื่อติดต่อกับประเทศต่างๆ ในปี 1847 ในครั้งนั้นมีชื่อว่า Library of the Xu Jiahui Jesuit มีหนังสือและสื่อต่างๆ ทั้งภาษาจีนและภาษาตะวันตก กว่า 200,000 รายการ มีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งกลายมาเป็นห้องสมุดที่ทันสมัยของเซี่ยงไฮ้ในปี 1925 และเปลี่ยนชื่อเป็น Shanghai East Library หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงหลายครั้ง ตลอดจนปรับโครงสร้างและรวมเข้ากับบางหน่วยงาน จนกระทั่งปี 1996 ได้ย้ายที่ทำการมาตึกใหม่ และเปิดให้บริการจนถึงปัจจุบัน

วันที่ไปก็ดุ่ยๆ เข้าไป ที่นี่ดีอย่างคือ ไม่ต้องฝากกระเป๋า ไม่ต้องเป็นสมาชิก ทุกคนสามารถเข้าไปใช้บริการได้ทุกคน แต่ภายในตึกจะแบ่งเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นแบ่งเป็นส่วนๆ บางส่วนต้องมีบัตรสมาชิก แต่การทำบัตรสมาชิกก็ไม่ยาก สำหรับชาวต่างชาติก็แสดงหนังสือเดินทางและจ่าย 5 หยวน กรอกข้อมูล ก็จะได้บัตรมาครอบครอง

เจอบรรณารักษ์ เพื่อนร่วมอาชีพ หลายคนใจดีและส่วนมากพูดภาษาอังกฤษได้ สบายหน่อย สิ่งที่สังเกตเห็นแล้วอิจฉาคือ ห้องสมุดที่นี่มีประชาชนทั่วไป มาใช้บริการเยอะมาก ส่วนมากแล้วเป็นผู้สูงวัย นักเรียนก็มี เห็นเพื่อนบอกว่าเป็นวัฒนธรรมของชาวจีนที่รักการอ่าน แต่ยุคหลัง คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยอ่านกันแล้ว เพราะสนใจเล่นเกมมากคอมพิวเตอร์ มากกว่า..สิ่งที่น่าทึ่งคือ มีนิตยสารและวารสารภาษาจีนเยอะมากๆๆๆ มีทั้งที่เป็นของจีนเอง และเวอร์ชั่นที่แปลมาเป็นจีน เยอะมากๆ เยอะจริงๆ แบบ ไม่น่าเชื่ออ่ะ เห็นแล้วทั้งอิจฉา ทั้งงง ว่าทำไมเมืองเค้ามีนิตยสารที่น่าสนใจๆ เยอะจัง โดยเฉพาะเรื่องกีฬา ...


ซินเทียนติ Xintiandi

ออกจากห้องสมุดก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟ (เพราะไม่รู้จะไปไหน) แล้วก็นั่งอ่านแผนที่อยู่ซักพัก เห็นวงกลมเบ้อเริ่ม ที่แฟนวงไว้ให้ เลยตัดสินใจว่าจะไปที่นี่แหละ (วันนี้ยังดูแผนที่ไม่ค่อยเก่ง)


ถามเค้าอีกตามเคย คราวนี้นั่งไป ลง Haungpi Road ออกที่ทางออกที่ 2 โผล่ขึ้นมาจะเจอแยกไฟแดง Hong Kong Plaza ตอนแรกตกใจนึกว่า นั่งจากเซี่ยงไฮ้มาโผล่ที่ฮ่องกง ฮ่าๆๆ ละแวกนั้นก็จะมีห้างให้เดินรับแอร์เย็นๆ จากทางออกที่สอง เลี้ยวขวา เดินตรงไปเรื่อยๆ จะถึง ซินเทียนตี้ (ไม่รู้ตัว)





ช่วงที่ไปเป็นช่วงโอลิมปิก จะเห็นหุ่นกระเป๋องโค๊ก นำมาต่อกันเป็นรูปนักกีฬาหลายๆ แบบ สวยดี เลยถ่ายรูปไว้ดูเล่นๆ



ตอนนั่งกินสปาเก๊ตตี้ ละสั่งโค๊กใส่มะนาว ชวนให้นึกถึงบรรยากาศ ตอนนั่งกินอาหารกลางวันที่คาเฟ่กลางแจ้งในปารีส นอกจากนั้นยังมีห้างที่มีเสื้อผ้ายี่ห้อดังๆ แบบสวยๆ (แบบเยอะกว่าบ้านเรามากๆ) มีโรงหนัง มีร้านอาหารหลายๆ ชาติ รวมกันอยู่ มีร้านขนมปัง Paul ด้วย เริ่ดดดดด บ้านเรายังไม่มีเลย.....




เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ชอบมาก ไปค้นหาว่า ที่นี่มันคืออะไรกันนะ เจออยู่บทความ เลยตัดมาแปะไว้เป็นความรู้ (หลังจากกลับมาถึงเมืองไทย)




“เซี่ยงไฮ้ เคยเป็นชุมชนเก่าแก่เสื่อมโทรมขนาดใหญ่แหล่งสุดท้าย แต่การพัฒนาที่ดินบริเวณนี้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อกลางปี 2541 ได้ทำให้ที่นี่กลายเป็นถนนสายช้อปปิ้งขนาดใหญ่ ที่เป็นศูนย์กลางการนัดพบของชาวเซี่ยงไฮ้ในปัจจุบัน และสร้างรายได้ให้กับบรรดาร้านค้าต่าง ๆ รวม1,000 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นดอกผลที่งดงาม เมื่อเทียบกับเงิน 150 ล้านเหรียญ ที่ บริษัท ไลฟ์ สไตล์ เซ็นเตอร์ จำกัด ลงไปกับโครงการนี้ นี่จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการทำวิสัยทัศน์ให้กลายเป็นเรื่องจริงของการพัฒนาเมืองเซี่ยงไฮ้ทีเดียว

การริเริ่มโครงการ ซิน เทียน ติ มาจากวิสัยทัศน์ที่ว่า เซี่ยงไฮ้เป็นหนึ่งในมหานครของโลก จึงควรมีสถานที่ที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจให้ทั้งชาวเซี่ยงไฮ้ ชาวจีน และชาวต่างชาติ อยากมาเยี่ยมชม รวมทั้งยังต้องการให้ที่นี่เป็นที่นัดพบมากกว่าที่จะเป็นเพียงศูนย์การค้าเฉย ๆ ที่สำคัญคือ ต้องการให้ที่นี่เป็น Lifestyle Center ด้วย

แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ การสร้างแฟลตใหม่ในบริเวณอื่นเพื่อรองรับผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ที่ ซิน เทียน ติ ให้ย้ายออกไป หลังจากนั้นจึงเริ่มลงมือก่อสร้างตามแผนการที่วางไว้ หลังจากการกำหนดจุดยืนทางการตลาดว่าต้องการให้เป็น International Meeting Place ที่มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน ไม่ใช่แค่เป็นShopping Complex เฉย ๆ พร้อมกับการวิเคราะห์ทางการเงิน และการวางคอนเซ็ปต์การดีไซน์

หลังจากเปิดให้บริการเมื่อปลายปี 2544 ที่ผ่านมา ซิน เทียน ติ กลายเป็นถนนคนกลางคืนที่ทันสมัย หลายหลาก และเลิศหรูที่สุดในเซี่ยงไฮ้ ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นักเที่ยวกลางคืน มารวมตัวกันที่นี่


เสน่ห์ของ ซิน เทียน ติ อยู่ที่สีสันยามค่ำคืนที่ล่อใจ และ ร้านกิน-ดื่มที่หลากสไตล์ หลายอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นแบบจีน ๆ อย่างร้านน้ำชา หรือ ผับ บาร์ และสตาร์บัคส์ อย่างฝรั่ง ก็ล้วนแล้วแต่มีหน้าร้านที่ชวนให้แวะเข้าไปรวมกลุ่มสังสรรค์กันภายใน เพราะร้านรวงที่นี่ออกแบบมาให้เป็นอาคารจีนคลาสสิก แม้จะตัดกับชื่อร้านที่ดูอินเตอร์ ๆ แต่ก็ชวนให้นึกถึงสมัยที่วัฒนธรรมตะวันตกเพิ่งเข้ามาในจีนใหม่ ๆ อย่างที่เคยเห็นภาพยนตร์เรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้


อีกอย่างที่น่าสนใจในซิน เทียน ติ ก็คือ บรรดาร้านขายของแฮนด์เมดต่าง ๆ ซึ่งเน้นขายแต่สินค้าหัตถกรรมจีน ภาพวาด เพื่อเป็นของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ซิน เทียน ติ ก็ยังพยายามสร้างความคึกคักให้ที่นี่ ด้วยการจัด Event ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นไปที่นิทรรศการด้านศิลปะวัฒนธรรมเป็นหลัก เพื่อดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และกิจกรรมที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือการเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่เดินทางมาเยือนเซี่ยงไฮ้ให้มาปรากฏตัวที่นี่ อย่างที่ ซิลเวสเตอร์ สตาโลน เคยไปสร้างสีสันให้ที่นี่มาแล้ว

นอกจากการวางแผนงานที่รัดกุมทุกขั้นตอนแล้ว Tony Wong Founder and CEO ของ Life Style Center Limited กล่าวถึงความสำเร็จของ ซิน เทียน ติ ว่า มาจากการมีความสัมพันธ์ที่ดีของคนที่มาเช่าพื้นที่ การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า การทำกิจกรรมและการจัด Event และการจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การบริหารงานของคนรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่น”

ที่มา: บทความการตลาด ตัวอย่างแผนการตลาด กลยุทธ์การตลาด ข่าวการตลาด ฉบับที่ 32 ตุลาคม 2545 //www.marketeer.co.th/inside_detail.php?inside_id=1491




อ่านเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยที่ วิกิพีเดีย
และ ที่นี่

--------------------

ก่อนจะออกเดินทางไปบ้านซุน ยัดเซน เจอ ร้านอาหารไทย ชื่อ Simply Thai ดูดีเชียว แต่ไม่ได้เข้าอ่า เพราะไม่มีตังค์ เค้าบอกว่าไม่ใช่คนไทยเป็นเจ้าของนะ แต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แบบว่าไม่ค่อยสนใจอะไรที่ไทยๆ ในเมืองนอกอ่ะ เลวมะ อิอิ

ตัดสินใจออกเดินทาง (เดินจริงๆ) เพราะดูในแผนที่แล้ว จากที่ ซิน เทียน ติ ไปบ้าน ซุนยัดเซน นั้น ใกล้นิดเดียว ถามใคร ใครก็บอก นิดเดียวๆๆ เราเลยเดินซะ เหงื่อซก...

ไปต่ออันใหม่ละกัน มันยาวมากแล้วอันนี้

เอารูปร้าน Simply Thai กับชื่อร้านอาหารอิตาเลี่ยน ที่เราไปนั่งกินแบบชิวๆ มาดูส่งท้ายบันทึกหน้านี้







<< PREVIOUS ช๊อปปิ้งไข่มุกที่เซี่ยงไฮ้

สุดมันส์กับ Shopping Brand Name ที่ เซี่ยงไฮ้ NEXT >>




 

Create Date : 05 กันยายน 2551   
Last Update : 14 กันยายน 2551 23:20:09 น.   
Counter : 1941 Pageviews.  


ช๊อปปิ้งไข่มุกที่เซี่ยงไฮ้

วันที่สอง 18/08/08 Hongqiao International Perl City – Jianguo Hotel Shanghai

อย่างที่บอกว่ามาครั้งนี้ไม่มีเวลาวางแผนหรือเตรียมตัวอะไรเลย ดังนั้นเมื่อมาถึงก็จะเก้ๆ กังๆ ว่า มาเซี่ยงไฮ้แล้วต้องไปไหนบ้าง แผนเดิมคือคุณแฟนจะมารับตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ แล้ววันนี้คงได้อยู่แถวในเมืองก็จะได้เริ่มตะลุยเซี่ยงไฮ้ แต่แผนไม่เป็นไปอย่างที่คิด เนื่องจากเค้าไม่สบาย เราเลยต้องอยู่แถว Hongqiao ซึ่งถ้าเทียบกับกรุงเทพฯ ก็คงประมาณ นนทบุรีไป แถวสุขุมวิท จะไปจะมาก็ลำบาก เลยเก็บเอาไว้พรุ่งนี้ตอนที่แฟนมารับและย้ายไปพักที่โรงแรม พอทานข้าวเสร็จ ก็ไปว่ายน้ำกับหลาน แล้วก็ออกไป Pearl City

Hongqiao International Pearl City


ที่อยู่...

เป็นชื่อเรียกที่สามารถค้นเจอใน Google map ได้แต่มีทั้งที่เซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ที่นี่พี่สาวบอกว่าพวกแอร์ชอบมาซื้อของฝาก เพราะว่าเหมือนมาบุญครองบ้านเรา คือมีของหลากหลายทั้งของฝากแบบจีนๆ และ เครื่องประดับ ส่วนมากจะเป็นมุก ที่มีทั้งของจริง ของปลอม คละกันไป เสื้อผ้าเราว่าก็ไม่สวยเท่าไหร่ แต่ของฝากพวกกระเป๋าจีนๆ ก็พอสู้ราคากันได้ (ต่อแหลก) วันนี้มากับดวง เพราะแม่ค้าบอกมาเท่าไหร่ เราต่อไป 70 เปอร์เซ็นต์ ก็ได้เฉย เช่นบอกมา 100 หยวน เราก็ต่อเหลือสามสิบหยวน...ถ้าไม่ให้ ก็แกล้งเดินออกจากร้านช้าๆ แล้วเดี๋ยวแม่ค้าก็จะตามมาดึงแขนให้กลับไปซื้อ...พ่อค้าแม่ค้าที่ชั้นล่างส่วนมาก มักบอกราคาแพงๆ ไว้ก่อน บางร้านพูดไทยได้นิดหน่อยอีกต่างหาก ก็ต่อไปเลย ลองดู สนุกดี

ชั้นสองเป็นชั้นขาย Jewelry ประเภทมุกและเปลือกหอย งานฝีมือคล้ายๆ คนไทย ก็จะมีหลายแบบให้เลือก ตาดีได้ ตาร้ายเสียเข้าทำนองนั้น แต่ก็ถามเค้าได้ว่า มุกแท้หรือปลอม เค้าก็จะเอามีดขูดให้ดู ถ้าสีหลุดและเห็นข้างในเป็นเม็ดขาวๆ นั่นคือปลอม เพราะเป็นเม็ดพลาสติกชุบสี แต่ถ้าแท้ เม็ดจะไม่กลมดิก และเวลาขูดจะเป็นผงขาวๆ หรือสีตามเม็ด เหมือนเราขูดเปลือกหอย ร่วงออกมา.. ขนาดของเม็ดและความสวยงามก็ต่างกันไป ราคาก็ตามนั้น เราได้เม็ดเล็กๆ สายสั้นๆ มาฝากแม่ ตอนแรกเค้าบอก 140 หยวน ต่อเหลือ 30 หยวน เพราะนึกว่าจะไม่ให้ แต่ดันให้ เลยได้มา 1 เส้น...

ชั้น สาม จะเป็นพวก Accessories มีทั้งกระเป๋า รองเท้า แว่นตา และร้านตัดเสื้อสูท หรือกี่เพ้า ด้วย ของก๊อปที่นี่ไม่ค่อยโชว์จริงจัง แต่ถ้าเดินเข้าไปดู เกือบทุกร้านจะมีประตูลับหลังร้าน เป็นห้องลับเก็บของเกรดเอเอาไว้ (เกรดเอจริงๆ) มีอยู่ร้านนึงก๊อปหลุยส์เนียนมั่กๆๆ หนังก็ดี คุณภาพก็โอ ทรงก็สวย แต่บอกราคา 800 หยวน เราว่าแพงไปหน่อย แต่ไม่กล้าต่อเพราะไม่ได้กะว่าจะมาซื้อของปลอม เอาไว้ไปคราวหน้า จะลองไปต่อดู ฮ่าๆๆๆ
ไปช๊อปที่นี่อยู่สองสามครั้งเพราะใกล้บ้าน นั่งแท็กซี่ไป มิเตอร์ยังไม่ขึ้น ก็ 11 หยวน เวลากลับก็เดินกลับ ได้ของกระจุก กระจิก ตุ้มหู กำไล สร้อย อย่างละ 5 หยวน 10 หยวน เต็มไปหมด ฮ่าๆๆ สนุกดี


Jianguo Hotel Shanghai //www.jiangau.com

มาตรฐานโรงแรม:4 ดาว
จำนวนห้องพัก: 475
สถานที่ตั้ง: Xujiahui District
ที่อยู่: 439 North Caoxi Road, ,, เซี่ยงไฮ้, จีน

แผนที่: คลิกที่นี่
เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว แต่เราว่าเมื่อเทียบกับ 4 ดาว บ้านเรา บ้านเราดูดีและหรูกว่าเยอะ พูดมากไม่ได้กลัวคุณแฟนน้อยใจ เนื่องจากที่ต้องระเห็ดจาก Hyatt on The Bund มาที่นี่ก็เพราะมันใกล้กับออฟฟิศเค้า สามารถเดินไปกลับได้ ไม่ต้องตื่นแต่เช้า แต่สำหรับเรา “พักที่ไหนก็ได้ ขอเพียงที่แห่งนั้นมีเธอ” วี๊ดวิ๊ววววว เน่าเจงๆๆๆ



แต่ห้องก็โอเค ไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีครบทุกอย่าง โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ มินิบาร์ โซฟา ตู้เซฟ หมวกอาบน้ำ ไดร์เป่าผม ปลั๊กแบบเดียวกับบ้านเรา ที่เสียบได้เลยไม่ต้องใช้ตัวแปลง ชั้นปลอดบุหรี่ โทรทัศน์จอแบนใหญ่ยักษ์ ที่สามารถเป็นได้ทั้ง โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ Video On Demand และ Room Service



เราพักชั้น หก ไม่สูงมาก ข้างล่างก็เป็นร้านอาหารและตอนเย็นก็มีบุฟเฟต์ทุกวัน มีสปอร์ตคลับ ที่สำคัญคือ ใกล้ Metro สาย 1 (รถไฟใต้ดิน) สถานี Xujiahui ทางออกที่ 9




<< PRVIOUS เซี่ยงไฮ้ จีนแผ่นดินใหญ่

ห้องสมุดที่เซี่ยงไฮ้และร้านคาเฟ่แบบตะวันตก NEXT>>




 

Create Date : 05 กันยายน 2551   
Last Update : 14 กันยายน 2551 23:23:17 น.   
Counter : 1496 Pageviews.  


เซี่ยงไฮ้ จีนแผ่นดินใหญ่

วันที่หนึ่ง (17/08/08)

Pudong International Airport (PVG) – Jasmin Garden – Hyatt the bund – Xiao Long Bao (Din Tai Fueng Restaurant)

Pudong International Airport

หลังจากเครื่องขึ้น ก็หลับปุ๋ยยาวสี่ชั่วโมงเท่ากับเวลาบิน แปลกมากที่ไฟลท์นี้ไม่ปวดหู ไม่หูอื้อ ไม่เจ็บคอ อือ ชักชายการบินนี้แล้วจิ อิอิ

ด้วยความเคยชินที่นั่งแต่สายการบินไทย นี่เป็นครั้งแรกที่นั่งสายการบินต่างชาติ (ไม่นับตอนTransit ที่เยอรมัน) ทำให้ลืมตัวอยู่ตลอดและเผลอพูดไทยกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน....เรื่องยุ่งยากก็เริ่มขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่ส่วนมากพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ ..เอ หรือว่าภาษาอังกฤษเรามันแย่ฟระ อิอิ

พอเครื่อง Landing ที่สนามบินนานาชาติ ปูดอง หรือที่รู้จักเป็นทางการคือ ผู่ตง (Pudong International Airport) รหัสสนามบิน คือ PVG สนามบินสะอาดสะอ้าน มีภาษาจีนและอังกฤษกำกับในทิศทางที่จะให้เดิน ตลอดทาง เวลาเช้าหกโมงแบบนี้เงียบมาก....ทางโล่งโปร่งสบาย แต่ด้วยความที่รีบมากๆ เลยไม่ได้แวะถ่ายรูปอะไรเลย ความรู้สึกตอนนั้นคืออยากไปถึงบ้านพี่สาวไวๆๆ อยากคุยกับแควนเร็วๆ

ตรวจคนเข้าเมืองก็เงียบ แถวไม่มีเลย เหมือนมีไฟลท์ที่เราบินไปอยู่ไฟลท์เดียวยังไงยังงั้น รอกระเป๋าก็ไม่นาน แต่มันลุ้นตอนที่ผ่านด่านตรวจนี่แหละ ก็คนก่อนเราดันถือผักมองไปเห็ฯยาวๆ เหมือน แตงมั้ง (แอบมอง) ถือโต้งๆ ไปยังงั้นก็เลยโดนกัก แต่ของเราอ่ะแพคทุกอย่างใส่กระเป๋า ถ้าเค้าสงสัยเปิดเจอนะ ไม่อยากนึกภาพว่าจะตอบอย่างไร ฮ่าๆๆๆๆ แต่ในที่สุดก็ผ่านไปได้ด้วยดีแบบฉลุย...




Taxi ใน เซี่ยงไฮ้

พอออกมา ก็เจอกับอากาศสบายๆ ไม่ร้อน ไม่หนาว และแล้วการผจญภัยก็เริ่มขึ้น! คำที่พี่สาวบอกไว้ว่า คนที่นี่ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ ทำอะไรจะไปไหนก็ให้เตรียมคำและแผนที่ภาษาจีนเอาไว้ให้เค้าดู คิดได้ดังนั้นเราก็งัดเอาแผนที่ไปบ้านพี่สาวออกมาซึ่งเตรียมตัวมาอย่างดี ค้นจากเว็บมาเรียบร้อย Version ภาษาจีน แล้วก็เดินตรงไปที่จุดรอขึ้นแท็กซี่ จุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก เราก็ยื่นแผนที่ให้เค้าดูแล้วเจ้าหน้าที่คนนั้นก็จะเขียนลงในใบแผนที่เล็กๆ เป็นภาษาจีนให้คนขับ พร้อมกับอธิบายทางให้เสร็จสรรพ...คนขับแท็กซี่ที่นี่ค่อนข้างรู้ทางและแม่นเรื่องแผนที่ ก็สบายใจหายห่วงไปเปราะนึง...

หลังจากขึ้นไปนั่ง แท็กซี่ค่อนข้างสะอาด อาจมีบ้างที่กลิ่นตุ อิอิ แต่แท็กซี่ส่วนมาก (เกือบทุกคัน) จะมีจอมอนิเตอร์เล็กๆ ไว้โฆษณา ให้ดูเพลินๆ ระหว่างนั่ง แต่ถ้าไม่อยากฟัง ก็จะมีปุ่ม Mute ให้ด้วย แต่ไม่มีปุ่มปิดจ้า...

เวลาขึ้นนั่ง คนขับจะยังไม่กดมิเตอร์ จนกว่ารถจะเคลื่อนจ้ะ และพอกดมิเตอร์ปุ๊บก็จะมี คำทักทายเป็นภาษาจีน หนีห่าว....(Welcome to my Taxi อะไรทำนองนี้ อีกอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่า เค้าค่อนข้างมีระเบียบไม่เอารัดเอาเปรียบผู้โดยสาร (เท่าที่เจอมาทุกคันตลอดระยะเวลา แปดวัน) คือ ถ้าหลงเค้าก็จะหยุดมิเตอร์ทันทีและพาเราขับหาที่จนเจอ หรือถ้าเราขึ้นปุ๊บแต่ปรากฏว่าทางที่เราจะไปต้องกลับรถตัดถนนไปอีกฟากนึง เค้าก็จะยังไม่กดมิเตอร์ จนกว่าจะกลับรถตัดไปอีกฟากได้ นั่นแหละถึงกด ไม่เหมือนบ้านเรา บางคันกดมิเตอร์ตั้งกะเราก้าวขาขึ้นไปยังไม่ทันปิดประตู....

พูดถึงประตู... ประตูเบาะหลังด้านคนขับนั้น เปิดไม่ได้นะคะ เรารึก็งัดแงะอยู่นาน เจอคันแรกนึกว่า อือ สงสัยประตูเจ๊ง คันสอง คันสาม เอ๊ะมันยังไง วันต่อมาแฟนจึงได้บอกว่า ด้านนั้นมันเปิดไม่ได้ เป็นกฎหมายห้ามเปิด... อ้อ ถึงบางอ้อเลยคราวนี้





Jasmin Garden

ในที่สุดก็ถึงบ้านพี่สาว...ยามหน้าประตูก็พูดอังกฤษไม่ได้อีก ต้องเอาบ้านเลขที่ให้ดู แต่หมู่บ้านนี้เค้าจะมีระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดี คือเค้าจะขึ้นนั่งแท็กซี่ไปส่งเราจนถึงประตูหน้าบ้านที่เราจะไป พร้อมกดกริ่ง กล่าวรายงานกับเจ้าของบ้านให้เสร็จสรรพ....เราก็จ่ายค่าแท็กซี่ 175 Yaun มีใบเสร็จให้ด้วย...

หมู่บ้านนี้ สวยมากๆๆ บรรยากาศดีสุดๆๆ

หลังจากทักทายบรรดาญาติๆ หลานๆ เล่นกับหลานซักพัก เก้าโมงกว่าๆ ก็ตรงรี่ไปอาบน้ำและนอนเอาแรง จนป่านนี้พ่อเจ้าประคุณทูนหัว ยังไม่ตอบ sms ซักข้อความ...ตอบมาอีกทีสิบโมงบอกว่า คิดถึงมาก อยากเจอเร็วๆ แต่ให้นั่งแท็กซี่ไปหาที่โรงแรม เพราะเป็นไข้ เนื่องจาก ดื่มจัดเมื่อคืน !!!! น่ารักมาก....

แต่ก็ไม่ได้ตั้งแง่ ตั้งงอนอะไร ไปหาแต่โดยดี ฮ่าๆๆ ว่าแล้วก็อาบน้ำอีกรอบเพราะรับไม่ได้กับทรงผมตัวเอง...สระผมๆๆๆ เผื่อมันจะงอกออกมาซักสามเซนต์ครึ่ง...ก็ยังดี




Hyatt on the bund

ไม่ได้ถ่ายรูปอีกแระ ไม่รู้เป็นไร ขี้เกียจเจงๆๆๆ โรงแรมเค้าสวยนะ มองไปเห็นวิวแม่น้ำและมองเห็นฝั่ง ผู่ตง ที่เป็นฝั่งเศรษฐกิจ มีตึกสูงๆ เหมือนแถวสาธร สุขุมวิท บ้านเรา.....ถ้าดูในแผนที่จะเห็นเลยว่า Hyatt อยู่ตรงข้ามกับตึก Pearl Tower เลย แต่ว่าวันนี้ฟ้าหม่นๆ มัวๆ ไม่สวยหรอก ถ้าจะขึ้นต้องดูวันฟ้าใสๆ ล่ะ ไม่งั้นเสียดายตังค์แย่เลย

เจอกันอยู่ประมาณ สามชั่วโมง ก็ต้องรีบจากกันชั่วคราว เพราะเค้าต้องไปคุยงาน กับลูกค้า ส่วนเราก็ต้องกลับบ้านไปทานข้าวเย็นที่เพื่อนแฟนพี่สาวจะพาไป...ฮึ่ม อาหารมื้อแรกหลังจากดัดฟันมา 32 ชั่วโมง แล้วไม่ได้กินไรเลย...


Xiao Long Bao

ร้านที่ไปชื่อ Din Tai Fung อยู่แถวบ้านนั่นเอง ...จะบอกว่า อร่อยมากๆๆๆๆๆ อร่อยทุกอย่างเลย มีอยู่อย่างหนึ่งที่หน้าตาเหมือนฮะเก่า หรือขนมจีบ เป็นลูกกลมๆ สีขาวๆ แต่พอกัดเข้าไปข้างในจะมีหมูสับกับน้ำซุบที่อร่อยสุดๆๆ แอบถามพี่สาวว่าอะไรเหรอ.. พี่สาวตอบว่า “เสี่ยวหลงเป่า” Xiao Long Bao หรือเวลาเขียนในหมู่วัยรุ่นจีนก็จะเขียนว่า XLB ภาษาปะกิดเรียกว่า Juicy dumbling

....นี่เองที่เวลาอ่านพันทิพแล้วใครๆ ก็บอกว่า มาเซี่ยงไฮ้แล้วต้องมากินให้ได้ เราดันได้กินแบบไม่รู้ตัว ฮ่าๆๆๆ ของเค้าอร่อยจิงๆ นะ ร้านก็ตกแต่งสวย สงสัยดาราจะมากินกันเยอะเพราะมีการวาดรูปเหมือนล้อเลียนดาราเป็น Wallpaper เช่น เฉินหลง หลิวเต๋อหัว...แล้วก็มารู้ทีหลังว่า ร้านนี้ติดอันดับร้านแนะนำ กันเลยทีเดียว

ถามเพื่อนพี่สาว ที่เป็นชาวอเมริกัน ว่า เสี่ยวหลงเป่าทำอย่างไร ในฐานะที่เค้ามาอยู่ที่นี่นานเกือบสี่ปี และพูดภาษาจีนคล่องปรื๋อ เค้าไม่มีลูก แล้วรับเด็กมาเลี้ยง เราซึ่งดูแล้วไม่รู้ว่าน้องเค้าเป็นชาวจีน หรือเกาหลี หรือญี่ปุ่น เพราะไม่กล้าถาม เห็นว่ากำลังจะไปขอมาเลี้ยงอีกคนเป็นเด็กที่รอดจากเหตุการณืแผ่นดินไหว แต่สูญเสียพ่อแม่ไป (เอแล้วจานอกเรื่องไปทำไมเนี่ย)

ได้คำตอบว่า เค้ารู้วมาว่า สาเหตุที่เสี่ยวหลงเป่ามีน้ำซุบอยู่ด้สนในก็เพราะ เค้าจะตุ๋นน้ำซุบแล้วก็นำแช่แข็ง แล้วค่อยเอามาห่อ แล้วก็นำไปนึ่ง จึงทำให้น้ำซุปขังอยู่ในห่อแป้งนั่นได้ (ถ้าเราฟังไม่ผิดนะ)


ร้านนี้มันอร่อยจริงๆ นะ แป้งนุ่ม ไม่แข็ง เวลากัด น้ำซุบข้างในก็อร่อย หมูก็อร่อยแล้วก็มีแบบที่เป็นกุ้งอยู่ข้างบน แต่ไม่รู้ชื่อเรียกว่าอะไร


ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปอาหาร ไปค้นเว็บมา เจอก็เลยเอาลิงค์มาฝาก คลิกที่ชื่อร้านเลยจ้า หรือไปดูตามนี้


//www.iht.com/articles/2007/11/13/travel/wdumpling.php

//siuyeh.wordpress.com/2008/08/09/din-tai-fung-at-xintiandi/

//www.chifan.org/?p=10

และรูปที่หาจากเว็บเนื่องจากวันที่ไป ตั้งใจกินมากกว่าตั้งใจถ่าย




<< PREVIOUS BKK - เซี่ยงไฮ้

ช๊อปปิ้งไข่มุกที่เซี่ยงไฮ้ NEXT>>




 

Create Date : 04 กันยายน 2551   
Last Update : 14 กันยายน 2551 23:29:47 น.   
Counter : 911 Pageviews.  


BKK - เซี่ยงไฮ้

วันออกเดินทาง 16 ส.ค. 51

วันนี้มีหลายสิ่งต้องทำเยอะมาก เพราะว่านับแต่ตัดสินใจและได้วันลงเอย ก็ต้องทำเรื่องวีซ่า ทำเรื่องตั๋ว และเช้าวันนี้ต้องไปพบหมอจัดฟัน เพื่อติดเครื่องมือที่ฟันบน เสร็จต้องกลับมาทำงาน กระเป๋าก็ยังไม่ได้จัด ของที่พี่สาวอยากได้ ก็ยังไม่มีเวลาไปซื้อ ผมก็อยากจะตัด (เนื่องจากอยากจะสวยมากกว่าที่เป็นอยู่)

ที่พูดมาทั้งหมดมีเวลาตั้งแต่ 09.00-22.30 น.เพราะต้องไปเช๊คอินที่สนามบิน เวลา 23.30 เครื่องออก ตีสอง

เรื่องอื่นไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องงานนี่สิ ยุ่งน่าดู


China Eastern Airline

สายการบิน CHina easter จะเรียกตัวเองว่า MU ซึ่งก็คือ code ของสายการบินด้วย รายละเอียดของสายการบินอ่านจาก Wiki pidea ได้ และทันทีที่ได้ตั๋วก็ตรงรี่ไปทำบัตรสะสมไมล์ที่สำนักงานของสายการบิน China easternและ จากเว็บ China Highlights และเนื่องจากไม่ค่อยมั่นใจในระบบ E-ticket เพราะเป็นครั้งแรกที่ซื้อตั๋วตามร้านเล็กๆ จึงต้องทั้งโทรคอนเฟิม และเข้าไปคอนเฟิมเองที่สำนักงาน กันเลยทีเดียว สำนักงาน China Eastern ตั้งอยู่หัวมุม ถ.สีลมตัดกับ ถนน สาธร ถ้าไปรถไฟฟ้าให้ลงที่สถานีช่องนนทรี แล้วเดินย้อนกลับไปทางถนน สีลม จะอยู่ติดกับ ตึก Rolex หาไม่ยาก ติดถนนเลย เดินเข้าไปก็แจ้ง จนท. ว่ามาทำบัตรสะสมไมล์ และยื่น พาสปอร์ตให้กับ จนท. เค่จะให้เรากรอกแบบฟอร์ม และให้บัตรมาเลยทันที 1 ใบ ไม่มีชื่อเรา แต่ให้เราเซนต์หลังบัตร หลังจากนั้นก็ให้เค้าทำ Re-Confirm ตั๋วไปอีกครั้ง เช๊ครายละเอียดให้เรียบร้อย หากมีอะไรต้องแก้ไข ก็จะได้ทำไปทีเดียว

จนท. บริการดีเป็นคนไทย พูดไทยและจีนเก่ง..

และเมื่อถึงตอนนี้เราก็มีครบทั้ง พาสปอร์ต วีซ่าจีน ตั๋วเครื่องบิน และสมาชิกบัตรสะสมไมล์




กระเป๋าเดินทาง

กระเป๋าเดินทางคู่ใจที่อัดแน่นไปด้วยของฝาก น้ำหนักแล้ว กว่า 25 กก. เพราะว่า เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความคิดถึงจากคุณตาคุณยาย สู่ลูกสาวและหลาน ของดังกล่าวคือ ปลาช่อนแดดเดียว (มารู้ทีหลัง) น้ำพริกนานาชนิด, เครื่องพริกแกงทั้งสีแดงและสีเขียว ตลอดจน ผักสด อาทิ ตระไคร้ กระเพราะ พริก มะนาว -_-‘ ตอนแรกนึกว่ามีแต่....ของเล่นหลาน

ส่วนกระเป๋าของเราจริงๆ คือใบขนาดย่อมสามารถถือขึ้นเครื่องได้ ...


เรียกแท๊กซี่
1681 น่าจะปลอดภัยสำหรับการเดินทางไปสนามบินอันไกลโพ้น (บ้านอยู่แถวดอนเมือง ปกติ 55 บาท) แต่วันนี้จ่ายไป 375 บาท บวกค่าทางด่วน 70 บาท


ผมหน้าม้า สั่น เต่อ เด๋อ ด๋า
ตกใจสุดขีด.....เมื่อส่องกระจกแล้วพบว่า....ผมที่เพิ่มตัดมาเมื่อตอนเย็น ตอนนี้หดสั้น เด๋อ เต่อ ด๋า มากๆๆ ยังกับเด็กผู้ชายแต่ผมยาวถึงติ่วหู แถมมีเหล็กดัดฟัน เวลายิ้ม น่าเกลียดสุดๆ ... บังเอิญเหลือไปเห็นหนังสือ เล่มนี้ แล้วก็ยิ้มออก เพราะดูๆปดูมา มันหน้าตาเหมือนเรา...

ช่างมัน ฉันไม่แคร์ ช่างผมที่ตัดให้บอกว่า มั่นใจในตัวเอง แล้วก็แต่งตัวให้เปรี้ยวๆ เข้าไว้ นึกได้แบบนี้ ถึงขั้นรื้อกระเปาเสื้อผ้าออกมาจัดใหม่ เลือกชุดเปรี้ยวๆ สุดใจไปเลย....




สนามบินสุวรรณภูมิ
สายการบิน China Eastern เช๊คอินที่แถว U อยู่เกือบสุดท้าย เข้าทางเกท 9 หรือ 10 ก็ได้ เวลานั่งแท็กซี่ก็ให้ไปจอดหน้าเกทนั้นเลยจะได้ไม่ต้องเดินไกล แถวเช๊คอินมีหลายแถว แต่ละแถวคนยาวมาก มี 2 แถวที่ขัยนว่า Group ที่เหลือประมาณ เกือบ 7 ช่อง คือ Economy ตอนแรกเราก็ไปยืนรอแถว Economy ซึ่งทุกแถว แถวยาวมาก แต่ แถว Group สั้นนิดเดียว เลยถาม จนท. เค้าก็บอกว่า ต่อแถวไหนก็ได้ค่ะ แต่ในช่วงเสี้ยววินาที ที่เดินกลับมาลากรถเข็น กลับไปอีกที มีคนจีนที่เห็นตอนเราเดินไปถามและคงรู้ว่าเราพูดอะไร พอเห็นพนักงานพยักหน้า ก็วิ่งแห่มาต่อคิวตัดหน้าเราเฉยเลย.... เฮ้อ เจอเข้าแล้วมั้ยล่ะ ความมีน้ำใจ...


Shopping Duty Free
หลังจากได้ Boarding Pass ซึ่งพอโหลดกระเป๋าเสร็จดันลืมหยิบพาสปอร์ตกับ Boarding pass จากเคาน์เตอร์ เดินตัวปลิวออกมาเลย โชคดีที่พนักงานให้คนจีนที่ต่อแถวจากเรา วิ่งเอามาให้...เอาว่ะอย่างน้อยเค้าก็เจอแล้ว 1 น้ำใจ....เช๊คอินเสร็จ เดินเอ้อระเหยช๊อปปิ้งอยู่พักนึง ได้ที่ทาแก้มกับ รองพื้นของ Bobbi Brown มาอย่างละอัน พอหยิบกระเป๋าขึ้นมาจะจ่ายเงิน นึกได้ “ตายล่ะหว่า ยังไม่ได้แลกเงินเลย” -__-‘
เศร้าใจจริงๆ ยุ่งจนลืม...

เดินถามเพื่อแลกเงินอยู่หลายเคาน์เตอร์ กว่าจะได้เงินหยวน (Yaun) หรือบางทีก็เรียก RMB ในตลาดหุ้นเรียก CYN คงเป็นเพราะช่วงที่ไปเป็นช่วงโอลิมปิก เลยมีคนแห่ไปเที่ยวกันเยอะ หลายเคาน์เตอร์แลกเงิน จึงเงินหมด..แต่สุดท้ายก็ได้มา ด้วยเรท 5.5 (แพงมั่กๆ)



On Broad

เครื่องออก 02.00 แต่ประกาศขึ้นเครื่องนานมาก สายการบิน Emirate เกทข้างๆ เครื่องออก 02.30 ประกาศเรียกตั้งแต่ตอน ตีหนึ่งครึ่ง แต่สายการบิน China Eastern ประกาศเรียกตอน 01.55 แต่เครื่องออกตรงเวลาเป๊ะ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ไฟลท์นั้นส่วนมากเป็นคนจีน พอขึ้นเครื่องไปก็แอบดีใจที่เครื่องดูสะอาด แต่ทว่าเดินไปซักพักชักได้กลิ่นห้องน้ำ เฮ้อ แล้วก็แอบถอนหายใจ พอมอง broading pass ตัวเอง อ้อ เดินเลยที่นั่งแระ ตอนเช๊คอินแจ้งเค้าไปว่าขอนั่งหน้าๆ ที่ด้านข้างไม่มีคนนั่ง เลยสบายไม่ต้องนั่งติดกับใคร ....




<< PREVIOUS China Visa

เซี่ยงไฮ้ จีนแผ่นดินใหญ่ NEXT >>




 

Create Date : 04 กันยายน 2551   
Last Update : 14 กันยายน 2551 23:32:15 น.   
Counter : 1052 Pageviews.  


1  2  3  4  

SassyKate
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




SassyKate is a Sassy girl.

Dream what you want to dream, Go where you want to go, Be what you want to be, Because you have only one life and one chance to do all the things you want to do.
[Add SassyKate's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com