|
ยมกสูตร...พระขีณาสพตายแล้วไม่ดับสูญ
ยมกสูตร ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่
[๑๙๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร อยู่ที่พระวิหารเชตะวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี.
ก็โดยสมัยนั้นแล ยมกภิกษุ เกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เห็นปานนี้ว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้วย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก
ภิกษุหลายรูป ได้ฟังแล้วว่า ได้ยินว่า ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.
ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น จึงพากันเข้าไปหาท่านยมกภิกษุถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกภิกษุ ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัยชวนให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ครั้นแล้ว จึงถามท่านยมกภิกษุว่า
ดูกรท่านยมกะ ทราบว่า ท่านเกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีกจริงหรือ?
ท่านยมกะกล่าวว่า อย่างนั้น อาวุโส.
ภิ. ดูกรอาวุโสยมกะ ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค เพราะการกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย
เพราะพระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก
ท่านยมกะ เมื่อถูกภิกษุเหล่านั้นกล่าวแม้อย่างนี้ ยังขืนกล่าวถือทิฏฐิอันชั่วช้านั้น อย่างหนักแน่นอย่างนั้นว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.
ภิกษุเหล่านั้น ย่อมไม่อาจเพื่อจะยังท่านยมกะให้ถอนทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้ จึงลุกจากอาสนะ เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่
ครั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่ท่านสารีบุตร ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก
ขอโอกาสนิมนต์ท่านพระสารีบุตรไปหายมกภิกษุถึงที่อยู่ เพื่ออนุเคราะห์เถิด. ท่านพระสารีบุตรรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ.
[๑๙๙] ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรออกจากที่พักผ่อนแล้ว เข้าไปหาท่านยมกะถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกะ ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ถามท่านยมกะว่า
ดูกรอาวุโสยมกะ ทราบว่า ท่านเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก ดังนี้จริงหรือ?
ท่านยมกะตอบว่า อย่างนั้นแล ท่านสารีบุตร. สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ย. ไม่เที่ยง ท่าน ฯลฯ สา. เพราะเหตุนี้นั้นแล ยมกะ พระอริยสาวกผู้ใดสดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ รู้ชัดว่า ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก.
[๒๐๐] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. [๒๐๑] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. [๒๐๒] สา. ดูกรยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นสัตว์บุคคลหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. [๒๐๓] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นว่า สัตว์บุคคลนี้นั้น ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ หรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน. สา. ดูกรท่านยมกะ ก็โดยที่จริง โดยที่แท้ ท่านจะค้นหาสัตว์บุคคลในขันธ์ ๕ เหล่านี้ในปัจจุบันไม่ได้เลย ควรแลหรือที่ท่านจะยืนยันว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก. ย. ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร เมื่อก่อนผมไม่รู้อย่างนี้ จึงได้เกิดทิฏฐิอันชั่วช้าอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ ผมละทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้แล้ว และผมก็ได้บรรลุธรรมแล้ว เพราะฟังธรรมเทศนานี้ ของท่านพระสารีบุตร
[๒๐๔] สา. ดูกรท่านยมกะ ถ้าชนทั้งหลาย พึงถามท่านอย่างนี้ว่า ท่านยมกะ ภิกษุผู้ที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเป็นอะไร
ท่านถูกถามอย่างนั้น จะพึงกล่าวแก้ว่าอย่างไร?
ย. ข้าแต่ท่านสารีบุตร ถ้าเขาถามอย่างนั้น ผมพึงกล่าวแก้อย่างนี้ว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้ ข้าแต่ท่านสารีบุตร ผมถูกเขาถามอย่างนั้น พึงกล่าวแก้อย่างนี้.
[๒๐๕] สา. ดีละๆ ยมกะ ถ้าอย่างนั้น เราจักอุปมาให้ท่านฟัง เพื่อหยั่งรู้ความข้อนั้นให้ยิ่งๆ ขึ้น.
ดูกรท่านยมกะ เปรียบเหมือนคฤหบดี หรือบุตรของคฤหบดีผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเขารักษาตัวกวดขัน
เกิดมีบุรุษคนหนึ่งประสงค์ความพินาศ ประสงค์ความไม่เป็นประโยชน์ ประสงค์ความไม่ปลอดภัย อยากจะปลงชีวิตเขาเสีย
เขาพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า คฤหบดีและบุตรคฤหบดีนี้ เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเขามีการรักษาอย่างกวดขัน การที่จะอุกอาจปลงชีวิตนี้ ไม่ใช่เป็นการทำได้ง่ายเลย อย่ากระนั้นเลย เราพึงใช้อุบายปลงชีวิต.
บุรุษนั้น พึงเข้าไปหาคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ผมขอเป็นคนรับใช้ท่าน.
คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น พึงรับบุรุษนั้นไว้ใช้ เขาพึงรับใช้เรียบร้อยดีทุกประการ คือ มีปรกติตื่นก่อน นอนภายหลัง คอยฟังคำสั่ง ประพฤติให้เป็นที่พอใจ กล่าวแต่วาจาเป็นที่รักใคร่
คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น เชื่อเขาโดยความเป็นมิตร โดยความเป็นสหาย และถึงความไว้วางใจในเขา.
เมื่อใด บุรุษนั้นพึงคิดว่า คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีไว้ใจเราดีแล้ว เมื่อนั้น บุรุษนั้นรู้ว่า คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีอยู่ในที่ลับ พึงปลงชีวิตเสียด้วยศาตราอันคม.
ท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ในกาลใด บุรุษนั้นเข้าไปหาคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีโน้นแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า ผมขอรับใช้ท่านแม้ในกาลนั้น เขาก็ชื่อว่าเป็นผู้ฆ่าอยู่แล้ว ก็แต่คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น หารู้จักบุรุษผู้ฆ่าว่า เป็นผู้ฆ่าเราไม่.
ในกาลใด บุรุษนั้นตื่นก่อน นอนภายหลัง คอยฟังคำสั่ง ประพฤติให้เป็นที่พอใจ กล่าวแต่วาจาเป็นที่รักใคร่ แม้ในกาลนั้น เขาก็ชื่อว่าเป็นผู้ฆ่าอยู่แล้ว ก็แต่คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น หารู้จักบุรุษผู้ฆ่านั้นว่า เป็นผู้ฆ่าเราไม่.
และในกาลใด บุรุษนั้นรู้ว่า คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้นอยู่ในที่ลับ จึงปลงชีวิตเสียด้วยศาตราอันคม แม้ในกาลนั้น เขาเป็นผู้ฆ่านั่นเอง ก็แต่คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น หารู้จักบุรุษนั้นว่าเป็นผู้ฆ่าเราไม่.
ย. อย่างนั้น ท่าน.
[๒๐๖] สา. ดูกรท่านยมกะ ข้ออุปมานี้ฉันใด
ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในอริยธรรม ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในสัปปุริสธรรม ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมเห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน ย่อมเห็น ตน มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อมเห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในตน หรือย่อมเห็น ตนใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เขาย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันไม่เที่ยงว่า ไม่เที่ยง
ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นทุกข์ว่า เป็นทุกข์
ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นอนัตตาว่า เป็นอนัตตา
ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปัจจัยปรุงแต่งว่าอันปัจจัยปรุงแต่ง
ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นผู้ฆ่าว่าเป็นผู้ฆ่า
เขาย่อมเข้าไปถือมั่น ยึดมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นตัวตนของเรา.
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันปุถุชนนั้นเข้าไปถือมั่น ยึดมั่นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน
[๒๐๗] ดูกรท่านยมกะ
ส่วนพระอริยสาวกผู้สดับแล้ว ได้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ฉลาดในอริยธรรม ได้รับแนะนำในอริยธรรมดีแล้ว ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ฉลาดในสัปปุริสธรรม ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรมดีแล้ว
ย่อมไม่เห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน ย่อมไม่เห็น ตนมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อมไม่เห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในตน หรือย่อมไม่เห็น ตนใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เขาย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นอนัตตาว่า เป็นอนัตตา
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปัจจัยปรุงแต่งว่าปัจจัยปรุงแต่ง
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอันเป็นผู้ฆ่า ว่าเป็นผู้ฆ่า
เขาย่อมไม่เข้าไปถือมั่น ยึดมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า เป็นตัวตนของเรา.
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันอริยสาวกนั้น ไม่เข้าไปถือมั่น ยึดมั่นแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอดกาลนาน
ย. ข้าแต่ท่านสารีบุตร ข้อที่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายของท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผู้เช่นนั้น เป็นผู้อนุเคราะห์ ใคร่ประโยชน์ เป็นผู้ว่ากล่าวพร่ำสอน ย่อมเป็นอย่างนั้นแท้
ก็แลจิตของผมหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่น เพราะได้ฟังธรรมเทศนานี้ของท่านสารีบุตร
จาก ยมกสูตร
..............................................
ขอนำ ยมกสูตร อีกสำนวนแปลหนึ่ง รจนาโดย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อความเข้าใจในเนื้อหาแห่งธรรมชัดเจนขึ้นว่า
พระขีณาสพตายแล้วไม่ดับสูญ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือขันธ์ ๕ ที่ไม่เที่ยง ต่างหากที่ดับ

ฯลฯ มีคำยกย่องเรียกพระสารีบุตรอีกอย่างหนึ่งว่า พระธรรมเสนาบดี นี้เป็นคำเลียนมาจากคำเรียกแม่ทัพ ดังจะกลับความให้เห็นตรงกันข้าม
กองทัพทำยุทธ์ยกไปถึงไหน ย่อมแผ่อนัตถะถึงนั่น กองพระสงฆ์ผู้ประกาศศาสนา ได้ชื่อว่า ธรรมเสนา กองทัพฝ่ายธรรมหรือประกาศธรรม จาริกไปถึงไหน ย่อมแผ่หิตสุขถึงนั่น
พระศาสดาเป็นจอมธรรมเสนา เรียกว่า พระธรรมราชา พระสารีบุตรเป็นกำลังใหญ่ของพระศาสดาในการธุระนี้ ได้สมญาว่าพระธรรมเสนาบดี นายทัพฝ่ายธรรม
พระสารีบุตรมีปฏิภาณในการแสดงพระธรรมเทศนาอย่างไร พึงเห็นในเรื่องสาธกต่อไปนี้
มีภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อ ยมกะ มีความเห็นเป็นทิฏฐิว่า พระขีณาสพตายแล้วดับสูญ ภิกษุทั้งหลายค้านเธอว่าเห็นอย่างนั้นผิด เธอไม่เชื่อ
ภิกษุเหล่านั้นไม่อาจเปลื้องเธอจากความเห็นนั้นได้ จึงเชิญพระสารีบุตรไปช่วยว่า
ท่านถามเธอว่า ยมกะ ท่านสำคัญความนั้นอย่างไร? ท่านสำคัญ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ๕ นี้ว่าพระขีณาสพหรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น
สา. ท่านเห็นว่าพระขีณาสพในขันธ์ ๕ นั้นหรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น
สา. ท่านเห็นว่าพระขีณาสพอื่นจากขันธ์ ๕ นั้นหรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น
สา. ท่านเห็นพระขีณาสพว่าเป็นขันธ์ ๕ หรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น
สา. ท่านเห็นพระขีณาสพไม่มีขันธ์ ๕ หรือ? ย. ไม่ใช่อย่างนั้น
สา. ยมกะ ท่านหาพระขีณาสพในขันธ์ ๕ นั้นไม่ได้โดยจริง อย่างนี้ ควรหรือจะพูดยืนยันอย่างนั้นว่า พระขีณาสพตายแล้วดับสูญ ดังนี้
ย. แต่ก่อนข้าพเจ้าไม่รู้ จึงได้มีความเห็นผิดเช่นนี้ บัดนี้ข้าพเจ้าได้ฟังท่านว่า จึงละความเห็นผิดนั้นได้ และได้บรรลุธรรมพิเศษด้วย
สา. ยมกะ ถ้าเขาถามท่านว่า พระขีณาสพตายแล้วเป็นอะไร? ท่านจะแก้อย่างไร?
ย. ถ้าเขาถามข้าพเจ้าอย่างนี้ ข้าพเจ้าจะแก้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ไม่เที่ยงดับไปแล้ว
สา. ดีละๆยมกะ เราจะอุปมาให้ท่านฟัง เพื่อจะให้ความข้อนั้นชัดขึ้น
เหมือนหนึ่งคฤหบดีเป็นคนมั่งมี รักษาตัวแข็งแรง ผู้ใดผู้หนึ่งคิดจะฆ่าคฤหบดีนั้น จึงนึกว่า เขาเป็นคนมั่งมี และรักษาตัวแข็งแรง จะฆ่าโดยพลการเห็นจะไม่ได้ง่าย จำจะต้องลอบฆ่าโดยอุบาย
ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว จึงเข้าไปเป็นคนรับใช้ของคฤหบดีนั้น หมั่นคอยรับใช้ จนคุ้นเคยกันแล้ว ครั้นเห็นคฤหบดีนั้นเผลอ ก็ฆ่าเสียด้วยศัตราที่คม
ยมกะ ท่านจะเห็นอย่างไร คฤหบดีนั้น เวลาผู้ฆ่านั้นเขามาขออยู่รับใช้สอยก็ดี เวลาให้ใช้สอยอยู่ก็ดี เวลาฆ่าตัวก็ดี ไม่รู้ว่าผู้นี้เป็นคนฆ่าเรา อย่างนี้ มิใช่หรือ?
ย. อย่างนั้นแล ท่านผู้มีอายุ
สา. ปุถุชน ผู้ไม่ได้ฟังแล้วก็ฉันนั้น
เขาเห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นตน บ้าง เห็น ตน ว่ามี รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ บ้าง เห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในตน บ้าง เห็น ตน ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ บ้าง
ไม่รู้จัก ขันธ์ ๕ นั้น อันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน ปัจจัยตกแต่งดุจเป็นผู้ฆ่า ตามเป็นจริงอย่างไร ย่อมถือมั่น ขันธ์ ๕ นั้น ว่าตัวของเรา
ขันธ์ ๕ ที่เขาถือมั่นนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์และทุกข์สิ้นกาลนาน
ส่วน อริยสาวก ผู้ได้ฟังแล้ว ไม่พิจารณาเห็นเช่นนั้น รู้ชัดตามความเป็นจริงแล้วอย่างไร
ท่านไม่ถือมั่น ในขันธ์ ๕ ว่าตัวของเรา ขันธ์ ๕ ที่ท่านไม่ถือมั่นนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์และสุขสิ้นกาลนาน.
คัดลอกจาก ประวัติแห่งพระสารีบุตร ( หน้า ๓๒-๓๕ ) จากหนังสืออนุพุทธประวัติ ( หลักสูตรนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นโท)
ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ลิขสิทธิ์ เป็นของ มหามกุฏราชวิทยาลัย
..........................................
Create Date : 03 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 9 ตุลาคม 2552 19:13:06 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1264 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: ไทรักบุญ IP: 125.24.124.107 วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:23:34 น. |
|
|
|
| |
|
 |
หนูเล็กนิดเดียว |
|
 |
|
พระพุทธศาสนา
มีหลักการที่ตั้งอยู่บนเหตุ-ผล
อริยสัจ ๔
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เหตุ-จิตชอบแส่ส่ายออกไปหาเรื่อง
(สมุทัย)
ผล-ทุกข์โหมกระหน่ำทับถมจิตใจ
(ทุกข์)
เหตุ-ปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักมรรค ๘
ให้จิตระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ
ไม่แส่ส่ายออกไปหาเรื่อง
(มรรค)
ผล-จิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
ทุกข์ไม่โหมกระหน่ำทับถมจิตใจ
(นิโรธ)
เหตุ-รู้อยู่ที่เรื่อง (สมุทัย)
ผล-เป็นทุกข์ (ทุกข์)
เหตุ-รู้อยู่ที่รู้ (มรรค)
ผล-ไม่ทุกข์ (นิโรธ)
|
ธรรมบรรยาย โดย อ.ไชยทรง จันทรอารีย์
|
|
|