|
ฌานของ อาฬารดาบสและอุทกดาบส ไม่ใช่ฌานในพระพุทธศาสนา
รูปฌาน ๔ คือ ๑.ปฐมฌาน ๒.ทุติยฌาน ๓.ตติยฌาน ๔.จตุตถฌาน อรูปฌาน ๔ คือ ๕.อากาสานัญจายตนะ ๖.วิญญาณัญจายตนะ ๗.อากิญจัญญายตนะ ๘.เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ที่ยกมากล่าวให้ทราบ ก็ว่ากันไปตามตำรา ที่ทราบกันอยู่แล้วว่า อาฬารดาบสตั้งแต่ ๑ ถึง ๗ อุทกดาบสตั้งแต่ ๑ ถึง ๘
แต่เมื่อว่ากันถึงความเห็นตามรูปเรื่องที่วางไว้นั้นไม่น่าจะเชื่อถือ เพราะเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าของเราเสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบส ตรัสถามถึงทางปฏิบัติ อาฬารดาบสแสดงเฉพาะอากิญจัญญายตนะในเลขที่ ๗ นั้นเท่านั้น พระองค์ทรงศึกษาอากิญจัญญายตนะฌานแล้ว ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางตรัสรู้
จึงเสด็จเข้าไปหาอุทกดาบสอีก ตรัสถามถึงทางปฏิบัติ อุทกดาบสก็แสดงเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในเลขที่ ๘ นั้นเท่านั้น พระองค์ทรงศึกษาแล้ว ไม่ทรงเห็นว่าเป็นทางตรัสรู้อีก
จึงเสด็จหลีกเลี่ยงออกไปเสียจากสำนัก ๒ ดาบสนั้น ปรากฏในบาลีเป็นอย่างนี้เท่านั้น
ผู้ศึกษา คงเข้าใจว่า ๒ ดาบสนั้น ต้องดำเนินมาตั้งแต่ รูปฌาน อรูปฌาน คืออาฬารดาบส ตั้งแต่ ๑ ถึง ๗ อุทกดาบสตั้งแต่ ๑ ถึง ๘
แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ก็ไม่มีหลักฐาน เข้าใจว่าเดาสวดผิดมากกว่าถูก ๒ ดาบสนั้น อาจได้ฌานคนละอย่างเท่าที่ว่าไว้นั้นก็อาจเป็นได้ ถ้าท่านทั้ง ๒ มีฌานคนละอย่างเท่าที่ว่านั้นจริง ๆแล้ว ฌานอีก ๖ ชั้นก็คงเอาไปเพิ่มเติมให้ ๒ ท่านนั้น เมื่อภายหลัง
ตั้งแต่ ปฐมฌาน ถึง จตุตถฌาน คือ ๑ ถึง ๔ นั้น เข้าใจว่าเป็นของพระพุทธศาสนา อันมีอยู่ในมรรคอริยสัจจ์ ซึ่งมิได้ทรงจัด ว่าเป็นรูปฌานหรืออรูปฌาน
พวกนักพูดทั้งหลายอันปราศจากพินิจพิจารณ์ ตั้งแต่ ๑ ถึง ๔ เหตุใดเขาจึงเรียกว่า รูปฌาน อธิบายว่าเพราะบริกรรมรูปกสิณหรือดวงกสิณต่างๆ แล้วยึดอุคคหนิมิตที่เกิดแต่การบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์ เพ่งจนเกิดปฏิภาคนิมิตอีกต่อหนึ่ง ขยายส่วนให้ใหญ่เล็กได้ตามชอบใจ จนบรรลุถึงฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ได้ เพราะฉะนั้นตั้งแต่ ๑ ถึง ๔ เขาจึงเรียกว่ารูปฌาน เพราะเพ่งรูปเป็นอารมณ์
ความมุ่งหมายอธิบายเช่นนี้ ผิดหลักธรรม ฌานซึ่งเกิดขึ้นเพราะอาศัยนิมิตทั้ง ๒ นั้นเรียกว่า รูปฌานไม่ได้ บริกรรมนิมิตซึ่งเป็นรูปธรรมกลายเป็นสัญญาไปแล้ว ยังจะเรียกว่า รูปธรรมอีกหรือ
อุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิตทั้ง ๒ นั้นเป็นสัญญา สัญญาเป็นนามธรรม หาใช่รูปธรรมไม่
ถ้าหากว่าอุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิตเป็นรูปธรรมแล้ว อารมณ์ทุกประเภทของจิตก็เป็นรูปธรรมสิ้น จะหาอารมณ์ที่เป็นนามธรรมไม่ได้เลย
เข้าใจว่า นิมิต ๒ นั้น ไม่ได้ออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์ คงเป็นความเห็นของผู้อื่นนอกมรรคอริยสัจจ์
รูปธรรมนั้นเป็นของแบ่งสรรปันกันได้แลเป็นสิ่งที่ดักได้ด้วย แต่นามธรรมจะทำอย่างนั้นหาได้ไม่
อุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิต ๒ นั้น ยกให้แก่กันไม่ได้ แลดักไม่ได้มิใช่หรือ เมื่อดักไม่ได้ก็ต้องเป็นนามธรรมซิ ตั้งแต่ ๑ ถึง ๔ แล้วเรียกว่ารูปฌานหมด ถือว่าเพราะเพ่งรูปธรรมมาก่อน
ก็เอาละ คราวนี้ เขายึดเมตตา ซึ่งเป็นอรูปแท้ๆ เป็นอารมณ์บริกรรมภาวนา ผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่ในเมตตา อัปปมัญญา อกุศลวิตก หรือนิวรณ์ ๕ ก็ระงับดับสิ้นหมด แล้วเขาผู้นั้นได้บรรลุฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เพราะยึดเมตตาขึ้นเป็นอารมณ์ ฌานเช่นนี้ จะเรียกว่า รูปฌาน หรือ อรูปฌานเล่า งงแล้วซิ (!!!)
ตั้งแต่ ๕ ถึง ๘ ซึ่งเรียกว่า อรูปฌานนั้น เป็นฌานที่ระบุชื่ออารมณ์ ยึดอารมณ์ชนิดไหนก็เรียกตามอารมณ์ชนิดนั้น เช่น อากาสานัญจายตนฌาน เป็นต้นนี้ เห็นได้ว่าเป็นของภายนอกพระพุทธศาสนา
ส่วน ปฐมฌาน จนถึง จตุตถฌาน คือ ๑ ถึง ๔ นั้น ปรากฏอยู่ในสัมมาสมาธิแห่งมรรคอริยสัจจ์ ไม่ระบุชื่ออารมณ์ให้รู้ว่าเป็นฌานชนิดไหน เรียงตามปูรณะสังขยาว่าที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นี้เป็นของพระพุทธศาสนาแท้ๆ ซึ่งหมายความว่าจิตเปลื้องปลดจากอารมณ์ที่เป็นสังขตธรรม สงบประณีตเข้าไป เป็นลำดับ เป็นชั้นๆ จนถึงขีดที่สุดเช่นนี้
เอามาประสมกันยุ่ง เลอะเทอะ เอาฌานในมรรคอริยสัจจ์ซึ่งเป็นของสูง อันตัวนับถือยิ่ง ไปไว้เป็นชั้นต่ำที่สุดด้วยอำนาจโมหะ
ความเสื่อมเสียยังมีต่อไปอีก เมื่อจัดฌานไว้ด้วยความเข้าใจเช่นนั้นแล้ว จะรู้สึกว่า ๒ ดาบสนั้นมีฌานสูงเกินสมเด็จพระพุทธเจ้า และพระองค์ตรัสรู้ด้วยฌาน๔ข้างต้นนั้นเท่านั้น และตรัสไว้ในมรรคอริยสัจจ์ ก็เท่านั้นเอง จะเห็นว่าพระพุทธศาสนาด้อยไปกระมัง ด้วยสมเด็จพระพุทธเจ้ามีฌานต่ำ จึงเกิดจัดฌานสูงสุด คือ สัญญาเวทยิตนิโรธ ขึ้นเป็นฌานชั้นที่ ๙ สูงกว่า ๒ ดาบสนั้นอีก
สัญญาเวทยิตนิโรธ แปลว่า ดับสัญญากับเวทนา ถือว่าเป็นของสมเด็จพระพุทธเจ้า, ๒ ดาบสนั้นไม่ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ
เวลาพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ตำราเรียนกล่าวไว้ว่า พระองค์ทรงเข้าฌานก่อนเบื้องต้นแห่งมรณกาล ตั้งแต่ฌานที่ ๑ ตลอดถึงที่ ๙ คือ สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วทรงถอยกลับลงมาจนกระทั่งปฐมฌาน คือ ฌานที่ ๑ แล้วทรงกลับขึ้นไปอีกจนฌานที่ ๔ เสด็จดับขันธปรินิพพานในระหว่างฌานชั้นที่ ๔ กับที่ ๕ คือ ในระหว่างหัวต่อแห่งรูปฌานกับอรูปฌาน
รูปเรื่องเช่นว่ามานี้ เอาประโยชน์อะไร เป็นที่น่าสงสัยมากทีเดียว เป็นเรื่องคนอื่นพูด สมเด็จพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วทรงเข้าออกอยู่เช่นนั้นด้วยเหตุใด ทำไมจึงต้องนิพพานในระหว่างฌานที่ ๔ กับฌานที่ ๕
ถ้าฌาน ๔ ข้างต้นบรรลุถึงพระนิพพานสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์พุทธสาวกได้แล้ว ฌาน ๕ ข้างบนนั้นมีไว้เป็นประโยชน์อะไร
ถ้าหากฌาน ๔ ข้างต้นไม่สำเร็จประโยชน์ได้ ต้องอาศัยฌานข้างบนอีก ๕ เล่า ถ้าอย่างนั้นในประวัติตรัสรู้ที่ว่าพระองค์สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าด้วยฌาน๔ นั้นผิด และที่ตรัสฌาน ๔ข้างต้นไว้ในสัมมาสมาธิแห่งมรรคอริยสัจจ์นั้นก็ผิด เพราะยังมีฌานตกค้างอยู่อีกตั้งครึ่ง
และข้อว่าพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในระหว่างฌานที่ ๔ กับที่ ๕ นั้น พูดละเมอเพ้อไป เป็นอาการของคนปราศจากสติ เชื่อถือไม่ได้ เมื่อซักถามเข้าว่าทำไมจึงต้องนิพพานในระหว่างฌานทั้ง ๒ นั้น ก็ต้องตอบว่าเพื่อไม่ติดรูปไม่ติดนาม ( ด้วยฌานที่ ๔ เขาเข้าใจว่าเป็นรูปธรรมเสียแล้ว ฌานที่ ๕ เขาเข้าใจว่าเป็นนามธรรม ) กลัวจะติดรูปติดนามเท่านั้น
พระพุทธเจ้าของเรา เป็นผู้หลุดพ้นมาตั้งแต่วันตรัสรู้แล้ว เวลาใกล้จะตายยังจะกลัวติดอีกหรือ
ครั้นซักต่อไปอีกว่า ผู้ติดนั้นเป็นรูปหรือเป็นนามเล่า คราวนี้ชักงง ควรตอบว่าผู้ติดไม่ใช่รูปไม่ใช่นามซิ ...แต่จะตอบอย่างนั้นก็ไม่ได้ เพราะคำว่าไม่ใช่รูปไม่ใช่นามนั้น ไม่มีใครรู้จัก ผู้ตอบเอง ก็จะไม่รู้จักเหมือนกัน ถ้าจะว่าไม่มีผู้ติดเล่า ก็ไม่ได้อีกเพราะ ถ้าไม่มีผู้ติดแล้ว จะกล่าวไว้ทำอะไรว่าพระองค์นิพพานในระหว่างฌานที่ ๔ กับที่ ๕ (งงอีกแล้วซิ!!!)
ความจริงผู้ติดผู้พ้นนั้นมีแท้ และเป็นนามธรรม คือ อสังขตนามธรรม ที่ว่าพ้นจากรูปธรรมนามธรรมนั้น หมายเอาพ้นจากรูปนามส่วนที่เป็นสังขตธรรม อย่างนัยแห่งคำอันเป็นพุทธภาษิตนี้ว่า
"ยทา จ อตฺตนา เวทิ มุนี โมเนน พฺราหฺมโณ อถ รูปา อรูปา จ สุขทุกฺขา ปมุจฺจติ" ดั่งนี้ ความว่า
เมื่อใดพราหมณ์ผู้มุนีมารู้จักตนด้วยปัญญาชื่อโมนะ เกิดจากความสงบ เมื่อนั้นพราหมณ์นั้นย่อมพ้นจากรูปและอรูปจากสุขและทุกข์ ดั่งนี้
รูป อรูป สุข ทุกข์ ในพระพุทธภาษิตนี้ หมายเอาส่วนที่เป็นสังขตธรรมสิ้น พ้นด้วยการละตัณหา ๓ ผู้ติดผู้พ้นย่อมมีดั่งว่ามานั้น
แต่ที่ว่าพระองค์เสด็จขันธปรินิพพานในระหว่างฌานที่ ๔ กับที่ ๕ นั้นหาจริงไม่ ไม่ควรเชื่อถือ พระองค์ทรงเห็นอมตธรรม ในที่สุดแห่งฌานที่ ๔ สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในฌานที่ ๔ ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานในฌานที่ ๔ นั้นเอง
ในฌานที่ ๔ ไม่ใช่รูปนามที่เป็นสังขตะ ในฌานที่๔ พ้นแล้วจากนามรูป เป็นวิสังขารไปแล้ว
ถ้าในฌานที่๔ ยังเป็นสังขตธรรมอยู่ ประวัติตรัสรู้ที่ว่าพระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในฌานที่ ๔ นั้นผิด ใช้ไม่ได้ฟังไม่ขึ้น
ความจริงเมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน มิได้ทรงเข้าฌานเลยเถิดขึ้นไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธนั้นเลย ทรงปรินิพพานสิ้นสังขตธรรมใน ฌานที่ ๔ นั้นเอง
ฌานที่ ๔ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่แล้ว
ดังพระบาลีที่ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร แสดงไว้ เวลาพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน
"นาหุ อสฺสาสปสฺสาโส ฐิตจิตฺตสฺส ตาทิโน อเนญฺโช สนฺติมารพฺภ ยํ กาลมกรี มุนิ" ดั่งนี้ แปลว่า
พระมหามุนีสิ้นลมอัสสาสะปัสสาสะ คือ ลมหายใจเข้าออกแล้ว จิตของพระองค์ตั้งมั่นคงที่ไม่หวั่นไหว สถิตเป็นสันติสงบอยู่ เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ดังนี้
รูปเรื่องที่แสดงไว้นี้ ทางสันนิษฐานเห็นว่า พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในฌานที่ ๔ ที่พระองค์ตรัสรู้นั้นเอง ในฌานที่ ๔ จิตสงบถึงขีดสุดไม่มีกิริยาอาการจิตที่เนื่องกับอารมณ์อย่างใด ๆ ตรงคำว่า อปฺปวตฺตํ อนารมฺมณํ เอเสวนฺโตุ ทุกฺขสฺส ไม่มีประวัตติกาล ไม่มีอารมณ์ นี่เป็นที่สุดแห่งทุกข์ ( นอกโลก อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ )
ดังว่ามานี้ ไม่ควรเชื่อถือตำราเลอะเทอะที่แสดงไว้นั้น.
คัดลอกจากหนังสือธรรมประทีป ธรรมะภาคปฏิบัติ โดยเปมงฺกโร ภิกขุ
Create Date : 30 พฤษภาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 6:06:50 น. |
| |
Counter : 2809 Pageviews. |
| |
|
|
|
คำปรารภของหลวงปู่เปรมจากหนังสือธรรมประทีป
เท่าที่ได้สังเกตมาโดยมาก ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าจะว่าถึงธรรมชั้นต่ำ เพียงเป็นจรรยาความประพฤติ ได้ประโยชน์ในโลกนี้ และทางสุคติภพแล้ว คงเข้าใจกันง่ายไม่สู้จะขัดข้อง การประพฤติก็ติดจะคล่อง ทั้งไม่แก่งแย่งกันในทางความเห็นด้วย
แต่เมื่อถึงธรรมคำสอนชั้นสูง เป็นเรื่องจิตใจที่จัดว่าเป็นปรมัตถ์หรือนิพพานแล้ว ทำท่วงทีจะอึดอัดขัดข้องไม่คล่องใจ ประหนึ่งว่าจะเกินวิสัยเป็นส่วนมาก ยากที่จะจับเงื่อนเงา เหมือนเราแหงนดูพื้นฟ้าในอากาศอันโว่งว่างไม่มีที่หมายฉะนั้น เพราะทางนี้มีธรรมและถ้อยคำที่ใช้ลึกละเอียดสุขุม เป็นประโยชน์ที่สุดของความมุ่งแห่งมนุษย์ ดุจบันไดขั้นที่สุดแห่งทางขึ้นฉะนั้น สมชื่อว่าทางปรมัตถ์แท้จริง
ผู้อ่อนบารมี อ่อนศึกษา อ่อนคิด ย่อมติดขัด และเพราะได้คัดลอกถ่ายเทกันมาหลายทอดเป็นเวลานานสองพันปีเศษแล้ว ต้องมีวิจิกิจฉาเข้าแอบแนบ เกรงว่าจะคลาดเคลื่อน เพราะปรากฏว่าได้แต่งเพิ่มเติมเสริมต่อเข้าอีกมากมายในภายหลังอีกด้วย
ผู้ศึกษาปฏิบัติในทางนี้ โดยมากจึงเกิดแก่งแย่งกันในทางความเห็นเป็นพวกเป็นหมู่ ในที่ประชุมใดๆ เมื่อพูดกันขึ้นถึงเรื่องนี้ เป็นต้องขัดกันร่ำไป
เพราะฉะนั้นจึงมีความประสงค์ที่จะเขียนออกความเห็นในเรื่องนี้กับเขาบ้าง อย่าให้ไร้ประโยชน์ในการศึกษาเสียเลย คงได้ประโยชน์แก่ผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย เขียนไปตามความคิดเห็น แต่ก็ต้องชักพุทธภาษิตเข้ามาประกอบให้เป็นหลักฐาน
อันธรรมดาว่าความเข้าใจหรือความเห็นนั้น ผู้เห็นก็ต้องเชื่อใจว่าตนเห็นถูก ที่รู้อยู่แน่ๆว่าตนเห็นผิดแล้วและพูดออกมา เพื่อทำความฉิบหายให้แก่คนอื่นนั้น ย่อมมีไม่ได้ เว้นไว้แต่คนทุจริตที่คิดไม่ชอบ ตั้งใจหาประโยชน์อะไรของเขาอีกส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นต้องขออภัยในข้อที่ไม่ถูกใจกับท่านผู้อ่านด้วยเทอญ.
เปมงฺกโร ภิกฺขุ พ.ศ. ๒๔๗๔-๒๕๑๒
คัดลอกจากหนังสือธรรมประทีป ธรรมะภาคปฏิบัติ โดยเปมงฺกโร ภิกขุ
Create Date : 11 พฤษภาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 6:00:48 น. |
| |
Counter : 477 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
หนูเล็กนิดเดียว |
|
|
|
พระพุทธศาสนา
มีหลักการที่ตั้งอยู่บนเหตุ-ผล
อริยสัจ ๔
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เหตุ-จิตชอบแส่ส่ายออกไปหาเรื่อง
(สมุทัย)
ผล-ทุกข์โหมกระหน่ำทับถมจิตใจ
(ทุกข์)
เหตุ-ปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักมรรค ๘
ให้จิตระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ
ไม่แส่ส่ายออกไปหาเรื่อง
(มรรค)
ผล-จิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
ทุกข์ไม่โหมกระหน่ำทับถมจิตใจ
(นิโรธ)
เหตุ-รู้อยู่ที่เรื่อง (สมุทัย)
ผล-เป็นทุกข์ (ทุกข์)
เหตุ-รู้อยู่ที่รู้ (มรรค)
ผล-ไม่ทุกข์ (นิโรธ)
|
ธรรมบรรยาย โดย อ.ไชยทรง จันทรอารีย์
|
|
|