4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 

เจน ท็อปพิน : เทวดาแห่งความตาย

รูปภาพของ Hathairat Traithip

เรื่องราวของเจน ท็อปพินได้เป็นตำนานสยองขวัญมากว่าหลายศตวรรษของประเทศอเมริกา เธอเป็นฆาตกรต่อเนื่องสังหารคนมากถึง 31 ชีวิต ในตลอดช่วงชีวิตของเธอ เธอได้เป็นฆาตกรสังหารคนจำนวนมากด้วยการใช้อาชีพนางพยาบาลหรือหมอยาเป็นเครื่องบังหน้า เธอเป็นนางพยาบาลที่ดูแลรักษาคนป่วย พร้อมกับมอบความตายให้แก่ผู้ป่วยคนนี้อย่างช้าๆ เธอบอกว่า ที่เธอทำเช่นนี้ก็เพราะเธอมักมีอารมณ์ทางเพศเมื่อเห็นสีหน้าผู้ป่วย ทนทุกข์ทรมาน ซึ่งแตกต่างจากฆาตกรต่อเนื่องที่เป็นผู้หญิง เพราะนักฆ่าผู้หญิงส่วนใหญ่ มักมีแรงจูงใจเรื่องเงินและไม่ตื่นเต้นทางเพศ และเป็นฆาตกรต่อเนื่องหญิงไม่กี่คนที่ใช้วิทยาการแพทย์มาใช้ประโยชน์ในการฆาตกรรมต่อเนื่อง เธอได้ทดลองกับผู้ป่วยของเธอโดยใช้แผนภูมิปลอม หลอกให้ยาแก่ผู้ป่วยโดยบอกว่าเป็นยารักษาโรค ทั้งที่ความจริงมันเป็นยาเบื่อและยาพิษแบบตายอย่างช้าๆ ด้วยเหตุนี้เธอเลยไม่ถูกจับ จนหลายคนขนานนามเธอว่า เทวดาแห่งความตาย จากรายงานของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่าผู้ตกเป็นเหยื่อส่วนมากเป็นคนที่มีรายได้ดีและเลือกเธอมาเป็นพยาบาลมาดูแลรักษาผู้ป่วยเพราะเธอมีความน่าเชื่อถือและมีความรู้เรื่องการแพทย์ที่หาได้ยากในเวลานั้น

และเรื่องราวของเจน ท็อปพิน ราวกับตำนานสยองขวัญในหัวข้อ คนบ้าย่อมไม่มีความผิด แม้ว่าสุดท้ายเจนได้สารภาพว่าเธอได้ฆ่าเหยื่อไป 31 ราย โดยเธอเล่าถึงจูงใจว่า เกิดจาก ความตื่นเต้นทางเพศเวลาผู้ป่วยใกล้ตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่กระนั้นจากการวินิจฉัย ของแพทย์พบว่าเธอเป็นบ้า เลยไม่ได้ถูกนำตัวขึ้นศาล เธอถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลบ้า หลังจากนั้นไม่รู้ว่าปั่นปลายชีวิตของเธอนั้นเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าเธอเสียชีวิตในปี 1938(รวมอายุ 84 ปี)ด้วยโรคชราโดยไม่ได้รับผลกรรมที่ก่อขึ้นเลย


+++ เจน ท็อปพิน
เจน ท็อปพิน (1857-1938) เดิมชื่อ โฮโนล่า เคลลี่ เกิดในบอสตัน มลรัฐแมสซาซูเซต เป็นฆาตกรต่อเนื่องหญิงที่เธอสารภาพว่าเธอได้สังหารคนไป 31 ชีวิต โดยช่วงปี 1885-1901 โดยเธอได้ยกคำพูดที่เธอใฝ่ฝันว่า ฉันจะต้องฆ่าคนให้มากกว่านี้ มากกว่าผู้ชาย หรือผู้หญิงคนอื่น ๆ ช่วงชีวิตของเจนนั้นเต็มไปด้วยความเสื่อมโทรมเพราะเธออยู่ในสลัมที่ยากจน พ่อแม่ของเธอเป็นชาวอพยพชาวไอริช พ่อเป็นคนเมาแล้วชอบอาละวาด ว่ากันว่าเขาเป็นบ้า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเย็บปิดเปลือกตาตัวเองในขณะทำงานเป็นช่างตัดเย็บจนไล่ออก ส่วนแม่ของเธอเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็กจากสาเหตุการบริโภค หลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิตพ่อก็ได้พาเธอ (ตอนนั้นอายุ 6 ปี) กับพี่สาว (อายุ 8 ปี) ไปฝากเลี้ยงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหญิงในบอสตัน ที่รับเลี้ยงเด็กที่มีฐานะยากจนที่ก่อตั้งในปี 1799 และหลังจากพวกเธอถูกเลี้ยงดู เจนก็ไม่เห็นพ่อของเธออีกเลย ต่อมาเธอในปี 1864 ก็ถูกเลี้ยงโดยครอบครัวใหม่โดยแอน ท็อปพิน โดยเลี้ยงดูเขนในฐานะคนใช้ในบ้าน ทำให้เธอได้ใช้นามสกุลท็อปพิน แม้ว่าจะไม่ใช่เป็นแบบทางการ แต่เจนยินดีที่จะใช้นามสกุลของผู้พระคุณ ทำให้เรารู้จักเธอในฐานะเจน ท็อปพินในที่สุด

เจนเป็นเด็กที่มีจินตนาการสูง แต่ค่อนข้างชอบโกหก และชอบโทษคนอื่น และเธอมีความริษยาอย่างรุนแรงโดยเฉพาะกับพี่สาวของเธอ หากแต่ในช่วงเวลานั้นเจนก็ได้รับข่าวของพี่สาว โดยพี่สาวของเธอยังคงอยู่สถานรับเด็กกำพร้า ได้รับการศึกษา จนกระทั้งในปี 1868 เธอก็ได้ข้าราชการในนิวยอร์กเลี้ยงดู ต่อมาเธอหันไปค้าประเวณีและตายอย่างอนาถาในสภาพน่าสงสาร หลังการตายของพี่สาว ทำให้เจนมีความคิดรังเกียจการมีเพศสัมพันธ์ เกลียดความรัก แม้ความฝันของเธอคือต้องการแต่งงานกับคนรวยมีเงินก็ตาม แต่จากรายงานไม่พบว่าเธอคบกับเพศตรงข้ามแต่อย่างใด

กรณีของเจนนั้นค่อนข้างเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่แตกต่างจากแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ที่ฆ่าคนด้วยการชำแหละท้องอย่างโหดเหี้ยม หรือกรณีของหมอเอช เอช โฮล์มที่ฆ่าคนในปราสาทแห่งความตายในชิคาโก เพราะเจนนั้นฆ่าคนแบบไม่เปื้อนเลือดและมีระเบียบแบบแผนมากกว่า คือใช้ยาเสพติดประเทศมอร์ฟีนหรือยาหลอกฉีดใส่ผู้ป่วยที่ใกล้ตาย ทำให้การฆาตกรรมของเธอหลายฝ่ายจับไม่ได้ นอกจากนี้อาชญากรรมของเธอฆ่าไม่ได้หวังผลประโยชน์ เพราะเธอต้องการเห็นสีหน้าของผู้ป่วยขาดใจตายเท่านั้น โดยหลังจากการถูกจับกุมเธอได้กล่าวว่าเธอรู้สึกตื่นเต้นทางเพศหากเห็นผู้ป่วยใกล้ตายกลับมามีชีวิตอีกครั้งและจากนั้นก็ตายอีกครั้ง ซึ่งแตกต่างจากฆาตกรต่อเนื่องหญิงที่ผ่านมาทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่พวกเธอนั้นฆ่าคนเพื่อหวังในทรัพย์สมบัติหรือผลประโยชน์ และไม่ตื่นเต้นทางเพศในขณะก่อการฆาตกรรมแต่อย่างใด

ในปี 1885 เจนได้เริ่มเข้าฝึกอบรมเป็นนางพยาบาลในโรงพยาบาลเคมบริดจ์ ระหว่างนั้นเธอได้รักษาผู้ป่วยของเธอในฐานะหนูทดลองมอร์ฟีนและยา โดยหน้าที่ของเธอคือการจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงปริมาณยาที่กำหนดแล้วสังเกตอาการของผู้ป่วยเมื่อได้รับยาผ่านระบบประสาท ในช่วงเวลานี้เองทำให้เธอได้เรียนรู้วิธีการฆาตกรรมแบบสมบูรณ์แบบ โดยเธอพบว่าหากให้ปริมาณยาเกินกว่าที่กำหนดอาจทำให้ผู้ป่วยขาดใจตายอย่างหมดจด และจากนั้นมาเจนก็เริ่มกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องสังหารผู้ป่วยที่เธอดูแล โดยเธอจะทำการฆาตกรรมดังกล่าวหากเผลอปล่อยให้เธออยู่ตามลำพังกับผู้ป่วย

เจนได้จัดการผสมยาเสพติดให้กับผู้ป่วยที่เธอเลือกเป็นเหยื่อ หลังจากนั้นเธอจะอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยจนกว่าจะพวกเขาจะตาย ไม่มีใครสงสัยเธอเลยในเวลานั้น เพราะว่าไม่มีใครเชื่อว่าเธอเป็นฆษตกรเลือดเย็น เนื่องจากท่าทีของเธอปฏิบัติตัวต่อผุ้ป่วยด้วยความเป็นห่วงเป็นใยจนสร้างความน่าเชื่อถือต่อคนรอบข้าง อีกทั้งเธอยังได้ทำงานต่อในโรงพยาบาลแมสซาซูเซตในปี 1889 ในช่วงนั้นเธออ้างว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อเธอหลายราย หลังจากนั้นเธอก็เริ่มอาชีพเป็นนางพยาบาลส่วนตัวและเริ่มมีพฤติกรรมโจรกรรม

เจนเริ่มสนุกสนานในการฆาตกรรมต่อเนื่อง และเธอเริ่มนำยาพิษมาใช้ฆาตกรรมต่อเนื่องอย่างจริงจัง ในปี 1895 โดยฆ่าเจ้าของบ้านของเธอ ในปี 1899 เธอฆ่าน้องสาวบุญธรรมของเธอฟอสเตอร์ ลิซาเบธด้วยยาเบื่อในปี 1901 เจนได้ย้ายเข้ามาดูแลอัลเดน เดวิส และลูกสาวสองคนมันนี่และเจเนเวียฟ หลังจากการตายของภรรยาของเขา(ซึ่งเธอเป็นหนึ่งในเหยื่อของเจน) ไม่กี่วันต่อมาลูกสาวคนหล็กมันนี่เกิดอาการป่วยอย่างรุนแรงและหนึ่งสัปดาห์ต่อมาเธอก็เสียชีวิตโดยมีเจนดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด จากนั้นเธอก็ย้ายกลับไปบ้านเกิดของเธอและเริ่มติดพันสามีของน้องสาวของเธอ เธอทำทำวิถีทางเพื่อให้เขาสนใจเธอ ไปจนถึงขั้นวางยาพิษตนเองเพื่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ หากแต่เล่ห์เหลี่ยมดังกล่าวใช้ไม่ได้ผล ส่งผลเธอถูกไล่ออกจากบ้าน


หลังจากนั้นเจนลอยนวลได้สองเดือนจนกระทั้งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1901 ในคดีฆ่ามันนี่ลูกสาวของเดวิสจากการตรวจพิษวิทยาที่เดวิสสงสัยการตายของลูกสาวอย่างมีเงื่อนงำ เมื่อมีการสอบสวน จนกระทั้งในปี 1902 เธอก็สารภาพว่าเธอสังหารคนมากกว่า 30 คนหรืออาจมากกว่า 100 ราย แต่สิ่งน่าตกตะลึงก็คือเธอไม่สึกสำนึกผิดหรือแสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เลย เธอยังเล่าเรื่องความพึ่งพอใจทางเพศหลังฆ่าเหยื่ออย่างน่าตาเฉย แต่ผลสุดท้ายจากผลของการตัดสินศาลในวันที่ 23 มิถุนายน ได้พิพากษาว่าเธอเป็นบ้า จึงส่งเจนไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวทแทน โดยในหนังสือพิมพ์ได้พาดหัวข่าวว่าเจนสามารถทำให้คณะลูกคุณเชื่อได้ว่าเธอเป็นบ้า

เจนได้ถูกส่งตัวไปยังสถาบันทางจิตเวช ปั่นปลายสุดท้ายของเจนได้กลายเป็นโรคประสาทเพ้อเจ้อและบ้า เธอกลัวการแก้แค้นโดยหาว่าเจ้าหน้าที่พยายามวางยาเธอ ในบทความนิวยอร์กไทน์ได้เกล่าวว่าสภาพเจนในนั้นนั้นว่า บ้าคุณธรรม สุและเธอเสียชีวิตในปี 1938 (รวมอายุ 84 ปี)ด้วยโรคชราโดยไม่ได้รับผลกรรมที่ก่อขึ้นเลย เรื่องราวของเจน ท็อปพินได้ถูกนำไปดัดแปลงในนิยายเรื่อง The Bad Seed



Cr. Cammy///Writer-Dek-D







 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2558 8:31:49 น.
Counter : 973 Pageviews.  

ด๊อกเตอร์มาร์เซล์ ปดีต : คฤหาสน์มรณะ


"มนุษย์เราทุกคนนั้นล้วนมีความโลภไม่มีวันสิ้นสุด"

ในอดีตที่ผ่านมาในหลาย ๆ ที่ในยุโรปเกิดคดีฆาตกรต่อเนื่องอยู่บ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่คดีต่อเนื่องเหล่านี้มักสูญหายไปกับกาลเวลา อันเนื่องจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นเหตุการณ์โหดร้ายและน่าจดจำมากกว่า มีน้อยมากที่มีคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ทำให้หลายคนจดจำถ้าไม่โหดเหี้ยมพอ แต่มีฆาตกรคนหนึ่งสมควรจะได้รับความจดจำความโหดร้ายนั้น.......

ใครว่าสงครามมีแต่สูญเสีย สำหรับคนบางคนแล้วมันมีแต่ได้กับได้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (1939-1945) เมื่อฝรั่งเศสอยู่ภายใต้อำนาจมืดของนาซี นาซีเข้ายึดฝรั่งเศสพร้อมกับนโยบายกวาดล้างเผ่าพันธุ์ พวกชาวยิวที่รู้ข่าวต่างต้องการหนีตายจากพวกนาซี แต่จะหนีไปไหนได้ ในเมื่อนาซีเต็มประเทศไปหมด และนั้นเองที่ทำให้มีบุคคลหนึ่งที่อาสาจะช่วยเหลือพวกเขา

ด็อกเตอร์มาร์เซล์ ปดีต เป็นหมอในกรุงปารีสที่อาสาจะช่วยชาวยิวออกนอกประเทศ เพียงแต่มีข้อแม้คือต้องมีเงินสำหรับเตรียมการหนีมากหน่อย และต้องฉีดยาป้องกันโรคก่อนที่จะเข้าไปประเทศที่ลี้ภัยได้ พวกชาวยิวและพวกต่อต้านที่กำลังขวัญเสียได้ยินข่าวนี้ก็ยอมทันที ขายข้าวของทรัพย์สมบัติ เพื่อให้ตัวคนจ้างกับครอบครัวหนีออกไปประเทศฝรั่งเศส แต่เมื่อทุกคนที่ไปคฤหาสน์ร้างซึ่งเป็นจุดที่หมอมาร์เซล์นัดเอาไว้ พวกเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย

ด็อกเตอร์มาร์เซล์ ปดีต เป็นนายแพทย์ฝรั่งเศสและฆาตกรต่อเนื่อง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการค้นพบศพ 26 ศพในบ้านของเขาที่กรุงปารีสหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หลายฝ่ายสงสัยว่าเขาฆ่าเหยื่อไป 60 รายตลอดในช่วงชีวิตของเขา และทั้งหมดที่ทำเพียงแค่ฆ่าชิงทรัพย์เท่านั้น มาร์เซล์ ปดีต เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 1897 ที่เมืองโอแซร์ ไม่ไกลจากปารีส เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมักพูดตรงกันว่าเขาเป็นเด็กมหัศจรรย์ เขามีความฉลาดและไหวพริบดี หากแต่เป็นคนจิตใจซาดิสม์ ชอบกระทำทารุณแก่สัตว์หรือเด็กที่ตัวเล็กกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาผ่าตัดเพื่อศึกษาว่าตัดส่วนไหนให้สัตว์พิการโดยไม่ตาย นอกจากนี้ยังมีข่าวลื่อเกี่ยวกับตัวเขาในวัยเด็กมากมาย ว่าเขาเป็นเด็กแก่แดดลามก เขาชอบจับเพื่อนร่วมชั้นชายเพื่อมาดูภาพโป๊ร่วมกัน เมื่อเขาอายุ 11 ปีเขาเคยขโมยปืนพกลูกซองมาเล่น ในระหว่างปี 1907และ 1909 เขาบอกกับแพทย์ว่าเขาชอบเดินละเมอและชอบฝันเปียกกางเกงนอนเป็นประจำ

แม่ของมาร์เซล์ตายในปี 1912 ต่อมาพ่อของเขาได้งานใหม่ที่ต่างเมือง ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่กับป้า เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนหลายครั้งเนื่องจากมีพฤติกรรมเกเร พอถึงอายุ 17 ปี เขาถูกจับในข้อหาขโมยเล็กขโมยรน้อยและทำให้ทรัพย์สินประชาชนเสียหาย ศาลแนะนำให้เขาต้องไปตรวจสอบสุขภาพจิต ในวันที่ 26 มีนาคม 1914 จิตแพทย์ทั้งหลายมีความเห็นตรงกันว่าเขาเป็นเด็กที่มีอาการป่วยทางจิต ส่งผลทำให้เขาจำคุกแต่เป็นเวลาสั้นๆ หลังจากที่ออกจากคุก เขาก็ตั้งใจเล่าเรียนจนสามารถจบการศึกษาในสถาบันพิเศษในปารีสในเดือนกรกฎาคม 1915

ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 มาร์เซล์เข้าร่วมกับกองทัพฝรั่งเศส ที่หน่วยพยาบาลผู้บาดเจ็บที่เมืองดีชอง ระหว่างนั้นเขามักขโมยเอามอร์ฟีนไปขายแก่พวกขี้ยาเสมอ และเขายังได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง เห็นคนเจ็บคนตายที่ร้องขอชีวิต การฉีดยาพิษเข้าเส้นประสาทแก่คนใกล้ตายเพื่อให้ตายอย่างสงบ เลือด ความตาย มาร์เซล์เริ่มหลงใหลกับชีวิตแบบนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น ต่อมาเขาบาดเจ็บจากเศษระเบิดมือในการสู้รบ จนต้องส่งตัวไปรักษา แผลหาย แต่เขาแสดงอาการป่วยทางจิตทำให้ต้องถูกส่งไปรักษาที่คลีนิคในระหว่างนั้นเขาถูกจับได้ว่าเขาขโมยผ้าห่มของกองทัพ จนต้องเข้าไปวินิจฉัยอาการทางจิตเสียใหม่ ผลปรากฏว่าเขาเป็นโรคประสาท ทำให้เขาต้องถูกปลดออกมา ในเดือนมิถุนายน 1918 มาร์เซล์ยิงเท้าของตัวเอง เพื่อที่เขาจะได้รับเงินจากรัฐบาลบำนาญทุพพลภาพ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่มีจิตใจละโมบและชอบคดโกงไม่มีที่สิ้นสุด

หลังจากนั้นมาร์เซล์ ปดีตก็ได้ไปศึกษาวิชาการแพทย์ในโครงการทหารผ่านศึก เขาสามารถเรียนจบในแปดเดือนและไปฝึกงานในเอฟเรอซ์เมืองหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส และได้รับปริญญาแพทย์อย่างรวดเร็ว ต่อมา ด็อกเตอร์มาร์เซล์ก็ย้ายไปตั้งร้านทำมาหากินที่เมืองวิลเนิฟ ซูร์ ยอนน์ แรกเริ่มจากเขาจะรักษาคนรวยในราคาบริการที่แพง ส่วนคนจนเขาจะรักษาฟรีบวกกับได้เงินช่วยเหลือจากโรงพยาบาลของรัฐ ต่อมาเขาก็ได้เริ่มทำธุรกิจขายยาเสพย์ติด และการทำแท้งเถื่อนของหญิงสาวที่ผิดกฎหมาย ณ จุดนี้เองทำให้เขามีชื่อเสียงในวิลเนิฟ ซูร์ ยอนน์ว่าเป็นนายแพทย์ที่ไร้จรรยาบรรณ


ในช่วงนี้มีข่าวลือเกี่ยวกับด็อกเตอร์มาร์เซล์มากมาย หลายคนเชื่อว่าเขาเริ่มฆ่าคนในช่วงนี้ โดยเหยื่อรายแรกของเขาคือหลุยส์ ลูกสาวของผู้ป่วยสูงอายุคนหนึ่งที่มีเรื่องกับเขาเมื่อปี 1926 ต่อมาเธอก็หายตัวไป ในเดือนพฤษภาคม มีเพื่อนบ้านพบเห็นเธออยู่ในรถของเขา เมื่อเรื่องไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ผลสุดท้ายการสอบสวนออกมาว่าเธอเป็นเด็กหนีออกจากบ้าน ในสัปดาห์ต่อมามีคนพบซากศพหญิงสาวนิรนามในแม่น้ำซึ่งไม่สามารถระบุตัวตนได้จนถึงทุกวันนี้
ในปีเดียวกันด็อกเตอร์มาร์เซล์ก็ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีของเมือง ซึ่งเขามีความสามารถทางการเมืองพอสมควร แต่กระนั้นมีข่าวลื่อว่าเขาเป็นนักการเมืองที่ฉ้อฉลยักยอกเงินจากกองทุนเมือง ในปี 1927 เขาได้แต่งงานและมีลูกชายในปีถัดไป

คืนหนึ่งในเดือนมีนาคม ปี 1930 อาร์มองด์ และภรรยา ซึ่งเป็นคนไข้คนหนึ่งของด็อกเตอร์มาร์เซล์ เจ้าของกิจการร้านขายของในละแวกนั้นถูกพบเป็นศพ ทั้งสองฆ่าเนื่องจากโดนอาวุธทื่อชนิดหนึ่งที่กระหน่ำตีไม่ยั้ง ทรัพย์สินถูกปล้นหลายรายการ มีพยานหลายพบเห็นหมอป้วนเปี้ยนสถานที่ที่เกิดเหตุก่อนที่เจ้าของร้านถูกฆ่า นอกจากนี้ก็มีเหตุการณ์คนไข้ของเขาที่เป็นโรคไขข้อตายอย่างฉับพลัน อย่างมีเงื่อนงำหลายราย แต่ด็อกเตอร์มาร์เซล์ออกใบมรณะบัตรว่า ตายอย่างปกติ สร้างความขุ่นเคืองต่อชาวบ้านมาก จนมีข่าวลือที่เสียหายตามมาเป็นระลอก

ในเวลาต่อมาชีวิตของด็อกเตอร์มาร์เซล์ในเมืองเนิฟฟ ซูร์ ยอนน์ ก็เริ่มร้อนระอุ เมื่อทางอำเภอในท้องถิ่นได้รับคำร้องเรียนจำนานมากมายเกี่ยวกับเขาที่ยักยอกเงิน และธุรกิจที่ผิดกฎหมาย จนเขาถูกระงับการเป็นนายกเทศมนตรีในเดือนสิงหาคม 1931 และลาออก แต่กระนั้นห้าสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 18 ตุลาคมเขาก็ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีของยอนน์ ทำงานแค่ปีเดียว ในปี 1932 เขาก็ถูกกล่าวหาว่าขโมยกระแสไฟฟ้าจากหมู่บ้าน ส่งผลทำให้เขาสูญเสียที่นั่งในสภา และในเวลาต่อมาเขาก็เก็บข้าวของหนีอพยพไปอยู่กรุงปารีสก่อนที่เรื่องจะบานปลายมากกว่านี้

(สัมภาระเหยื่อของมาร์เซลล์ในชั้นศาล)

รูปภาพของ Hathairat Traithip

เมื่อด็อกเตอร์มาร์เซล์มาถึงเมืองปารีส ก็เริ่มอาชีพทำมาหากินทันที เขาเริ่มดึงดูดผู้ป่วยและสร้างชื่อเสียงจากการตั้งร้านหมอที่บ้านเลขที่ 66 ถนนโคมาร์แตง ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายและหรูหราที่สุดในเมือง แต่กระนั้นก็มีข่าวลื่อมาว่าเขายังคงทำอาชีพที่ผิดกฎหมายในการขายยาเสพติดแก่พวกติดยาในราคาถูก การรับจ้างทำแท้งเถื่อนแก่ผู้ไม่ปรารถนาจะมีบุตร ซึ่งเป็นวิธีที่หาเงินที่เขาถนัด จนในไม่ช้าเขาก็ลูกค้าที่จงรักภักดีมากมาย หลายคนมักเห็นเขาเป็นสามีที่ดี เป็นคนเคร่งศาสนาไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ มีลักษณะของพลเมืองดีไว้อย่างครบถ้วน แต่นั้นก็เป็นแค่หน้ากากภายนอกเท่านั้น ส่วนในจิตใจหมอมาร์เซล์กำลังหาโอกาส โอกาสที่จะทำกำไรเข้ากระเป๋าของตนอย่างมหาศาล ขอแค่โอกาสเท่านั้น

ในปี 1936 ด็อกเตอร์มาร์เซล์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้มีอำนาจในการออกใบมรณบัตร เขาถือโอกาสนี้ออกหาประโยชน์ในทางมิชอบ ในปีเดียวกันเขาถูกจับในคดีโรคจิตชอบขโมยแต่ก็ถูกปล่อยตัวในปีถัดมา แต่กระนั้นเขาก็ยังถูกดำเนินคดีหลบเลี่ยงภาษี

ในเวลานั่นเองสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เริ่มก่อตัวในฤดูร้อน ทางด้านหมอมาร์เซล์ได้ใช้อำนาจมีในการออกใบมรณบัตร ออกใบรับรองแพทย์เท็จ ว่า "ตายอย่างปกติ" แก่คนไข้ที่เขาทำการรักษาที่ตายอย่างมีเงื่อมงำ เหตุการณ์เหล่านี้สร้างความขุ่นเคืองต่อชาวบ้านมาก จนมีข่าวลือที่เสียหายแก่ตัวเขามากมายตามมาเป็นระลอก แต่กระนั้นก็ไม่ได้สร้างความหวาดหวั่นแก่เขาแต่อย่างใด เขายังคงหน้าด้านกอบโกยผลประโยชน์ต่อเนื่อง ยิ่งมีเงินยิ่งโลภ แสวงหากำไรไม่รู้จักสิ้นสุด

และแล้ววันที่จะสร้างกำไรมหาศาลของด็อกเตอร์มาร์เซล์ก็มาถึง เมื่อถึงปี 1940 สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มร้อนระอุไปทั่วแผ่นดินยุโรป กองทัพนาซีภายใต้การนำของอดอฟ์ ฮิตเลอร์ได้ยาตราทัพเข้ามาในกรุงปารีส อย่างง่ายดาย เพราะฝรั่งเศสขอยอมแพ้โดยไม่ขัดขืน เมื่อนาซียึดฝรั่งเศส สิ่งแรกที่นาซีทำคือการการทำลายล้างชนชาติยิว ตามนโยบายของฮิตเลอร์ที่รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง นาซีได้แต่งตั้งตำรวจลับเกสตาโปขึ้นในฝรั่งเศส หน้าที่ของตำรวจลับคือสืบเสาะ และสังหารผู้ต่อต้านนาซี จับกุมผู้ที่คาดว่าเป็นชาวยิวในฝรั่งเศสให้หมด เพื่อส่งไปค่ายมรณะหรือไม่ก็ค่ายกักกันและใช้แรงงานหนักจนตาย

(ด็อกเตอร์มาร์เซล์กับทรัพย์สินเหยื่อ)
รูปภาพของ Hathairat Traithip

พวกชาวยิวที่อยู่นครหลวงในฝรั่งเศสค่อย ๆ หายสาบสูญ บางคนไม่รู้ว่าญาติของตนถูกจับตัวไปอยู่ที่ค่ายมรณะ บางคนหวาดกลัวการกักขังจึงเตรียมตัวที่จะหนีไปนอกประเทศ แต่ไม่มีโอกาสทั้งที่มีทรัยสินส่วนตัวมาก สถานการณ์นี้แหละที่เข้าทางความคิดของด็อกเตอร์มาร์เซล์อย่างยิ่ง ที่แลเห็นโอกาสที่จะแสวงหากำไร เอาเงินเข้ากระเป๋า อีกทั้งยังสามารถปลดปล่อยสันดานดิบในวัยเด็กของเขาได้อีกด้วย มันนี้คือจุดเริ่มต้นของโครงการฆ่าคนโดยบุคคลเดียวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและร้ายแรงที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา

ด็อกเตอร์มาร์เชล์ก็เริ่มแพร่ประกาศข่าวออกไป ว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านพวกนาซี เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ของฝ่ายสัมพันธมิตรในการพัฒนาอาวุธลับฆ่าชาวเยอรมันอย่างลับๆ อีกทั้งเขาสามารถติดต่อพวกกลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์ใต้ดินฝรั่งเศส สามารถแอบพาคนที่เกสตาโปกำลังล่าตัวอยู่หนีไปยังสเปนหรือคิวบาได้ พวกที่คิดหนีสามารถติดต่อเขาได้ แต่มีข้อแม้คือต้องมีเงินสำหรับเตรียมการหนีมากหน่อย และต้องฉีดยาป้องกันโรคก่อนที่จะเข้าไปประเทศที่ลี้ภัยได้
พวกชาวยิวและพวกต่อต้านนาซีที่กำลังขวัญเสียเมื่อได้ยินข่าวก็แห่มาขอให้ด็อกเตอร์มาร์เชลช่วย เมื่อมาถึงเขาบอกลูกค้าที่ต้องการอพยพว่า เขาสามารถช่วยคนหลบหนีจากประเทศเพื่อไปประเทศที่สามได้ โดยจุดหมายปลายทางเป็นอาร์เจนติน่า หรือที่อื่นในอเมริกาใต้โดยผ่านโปรตุเกส แต่ต้องมีค่าธรรมเนียมประมาณ 25,000 ฟรังซ์ ต่อหนึ่งบุคคล แม้ราคาที่ด็อกเตอร์มาร์เซล์เรียกไว้จะมีราคาแพง แต่สำหรับชาวยิวแล้วชีวิตนั้นสำคัญกว่าเงิน พวกเขายอมตกลงทันที เมื่อพวกเขาทำการตกลงแล้ว ด็อกเตอร์มาร์เซล์บอกให้เขาพาครอบครัวที่หอบทรัพย์สินทั้งหมดมาสถานที่ที่เขานัดกันไว้ และเมื่อพวกเขามาถึง เขาจะให้เหยื่อทั้งหลายถลกแขนฉีดยาที่เขาอ้างว่าเป็นการปลูกฝี ซึ่งความจริงแล้วคือยาพิษไซยาไนด์ เมื่อยาออกฤทธิ์เหยื่อก็ตายอย่างทรมาน จากนั้นเขาจึงปลดทรัพย์สินทั้งหมดของเหยื่อแล้วกำจัดศพโดยโยนทิ้งแม่น้ำเซน

ต่อมาที่ด็อกเตอร์มาร์เซล์เริ่มคิดค้นวิธีที่กำจัดศพสะดวกขึ้น โดยการซื้อคฤหาสน์ร้างหลังใหญ่แห่งหนึ่ง ที่บ้านหมายเลข 21 ถนนเลอเซอร์ ราคาครึ่งล้านฟรังซ์ แล้วก็ตกแต่งภายในเสียใหม่ให้เหมาะต่อการปฏิบัติการแผนการสร้างกำไรของเขา ห้องที่เก็บเสียงที่มิดชิด หน้าต่างที่ถูกปูนโบกปิดสนิทยกเว้นประตูบานเดียวทุกห้อง ทุกห้องถูกเจาะรูถ้ำมองเอาไว้ มีครั้งหนึ่งช่างเกิดสงสัยจึงถามหมอว่าทำไปทำไม หมอบอกสั้น ๆ ว่าเพื่อสังเกตคนไข้โรคจิต และส่วนที่เป็นความลับสุดยอดของคฤหาสน์ร้างแห่งนี้คือเตาเผาขนาดยักษ์หนึ่งเตาในห้องใต้ดินพร้อมระบบระบายน้ำออกจากห้องใต้ดิน

(คฤหาสน์มรณะ)
รูปภาพของ Hathairat Traithip

การก่อสร้างเหล่านี้ในคฤหาสน์ร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันคริสต์มาสปี 1941 เมื่อสถานที่เตรียมการของเขาเสร็จสมบูรณ์ ด็อกเตอร์มาร์เซล์ก็ประเดิมโดยการนัดเหยื่อก็มาในคฤหาสน์นี้แทน พอพวกเขามาถึง เขาฉีดยาพิษที่ฤทธิ์ของมันออกช้า แล้วให้เหยื่อเข้าไปในห้องที่เก็บเสียง จากนั้นก็ล็อกแล้วมองผ่านช่องเพื่อสังเกตอาการของเหยื่อ อย่างสุขสรรค์ เมื่อยาฤทธิ์ เหยื่อจะมีอาการชักกระตุก น้ำลายฟูมปาก หน้าเขียว และตายอย่างทรมาน เมื่อเหยื่อตายแล้ว เขาจึงใช้วิธีกำจัดศพแบบใหม่ โดยการลากศพลงห้องใต้ดิน เอามาลงแช่ในน้ำปูนขาวที่มอริสน้องชายแท้ ๆ ของเขาจากเมืองโอแชร์ส่งมาให้ เสร็จแล้วก็ยัดศพเข้าเตาเผา เมื่อกำจัดศพเรียบร้อยเขาก็ลงบัญชีรายละเอียดตรวจดูทรัพย์สินที่เหยื่อทิ้งไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง ทรัพย์สินที่มีค่าต่างนานา

แม้มีข่าวไม่ดีว่าไม่มีใครออกจากคฤหาสน์ร้างแห่งนั้น แต่ลูกค้าก็ยังแห่เข้าคิวหาหมอมากยิ่งขึ้น ลูกค้าที่หลงเชื่อที่ด็อกเตอร์มาร์เชล์มีทั้งชาวยิวเล็ดรอดจากเกสตาโป ครอบครัวมั่งคั่งที่กลัวพวกนาซียึดทรัพย์ หรือแม้แต่เพื่อนหมอที่อยากหนีจากฝรั่งเศส นอกจากนั้นยังมีลูกค้าที่เป็นคนไข้ของเขาอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เมื่อเข้าคฤหาสน์นี้แล้วไม่มีใครรอดชีวิตกลับออกมาอีกเลย ด็อกเตอร์มาร์เซล์ทำวิธีนี้มาอย่างยาวนานโดยไม่มีใครสงสัย เพราะทุกคนกำลังสนใจเรื่องสงครามโลกอยู่ แม้แต่ภรรยาของเขาเองก็ไม่สงสัยแม้แต่น้อย

แต่แล้วสิ่งที่ด็อกเตอร์มาร์เซล์ทำก็ถึงหูของพวกเกสตาโปเข้า ที่สงสัยมานานแล้วว่าทำไมพวกชาวยิวที่ตนกำลังตามหาตัวอยู่นานนั้นหายไปไหนกันหมด เมื่อสืบสวนพบว่าชาวยิวเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงมาถึงเขา ดังนั้นในปี 1943 พวกเกสตาโปได้ส่งตัวแทนปลอมตัวเป็นผู้อพยพหนีนาซีไปสืบข้อมูลจากมาร์เซล์แต่แล้วเขาก็หายตัวไม่กลับมาอีกเลย เมื่อพวกนาซีเมื่อรู้ว่าพวกตนไม่กลับมาจึงรีบตะครุบตัวเขา จับขังไว้หลายเดือน จนกระทั้งถูกปล่อยตัวเมื่อต้นปี 1944 เพราะเขาแก้ตัวว่าที่ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์กำจัดชาวยิวและพวกต่อต้านนาซี พวกนาซีได้ยินก็ชอบใจเพราะว่าเขาช่วยกำจัดชาวยิวให้ถือว่าเป็นการลดภาระของพวกเขา และเมื่อปล่อยตัวด๊อกเตอร์มาร์เซล์ไปแล้วเขายังคงทำกิจกรรมกับโรงงานฆ่าคนอย่างที่เคย แต่มาคราวนี้เขาไม่มีโอกาสที่ใช้วิธีเอาศพมาแช่ปูนขาวก่อนเผาอีกแล้ว เพราะระหว่างที่หมอมาร์เซล์ถูกจับตัวไป มอริสน้องชายได้มาเยี่ยมที่ปารีสและพบกับความลับในคฤหาสน์ที่ถนนเลอเซอร์เข้า จึงรู้ทันทีว่าพี่ชายซื้อปูนขาวจำนวนมากมายไปทำอะไร นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือในการส่งปูนขาวให้พี่ชายอีก

การเผาศพโดยไม่แช่ปูนขาวจะทำให้เกิดควันไฟพลุ่งจากปล่องและส่งกลิ่นเหม็นมากขึ้น ทำให้บริเวณบ้านใกล้เรือนเคียงต่างทนไม่ไหวกับกลิ่นนี้ จนกระทั้งวันเสาร์ 11 มีนาคม 1944 เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงทนไม่ไหว ตัดสินใจเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อมาถึง เพื่อนบ้านได้ให้ข้อมูลว่าเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้คือ ด็อกเตอร์มาร์เซล ปดีต เป็นหมอรักษาคนไข้ หลายวันมานี้พวกเขาได้เห็นกลุ่มบุคคลหลายคนพร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่เข้าไปคฤหาสน์ร้างแห่งนั้น และไม่กลับมาอีกเลย

(ขั้นตอนการฆ่าของหมอมาร์เซลล์)
รูปภาพของ Hathairat Traithip

เจ้าหน้าที่และกองดับเพลิงจำนวนมากมายคฤหาสน์หลังนั้น เพราะสงสัยว่าควันนั้นอาจเกิดจากไฟไหม้ พอดีหมอมาร์เซล์ไม่อยู่บ้าน อีกทั้งพวกเขาไม่มีเวลาไปตามตัวหมอ เพราะไฟอาจลามไปสถานที่ข้างเคียงได้ พวกเขาจึงตัดสินใจบุกเข้าไป พบว่าต้นเพลิงอยู่ชั้นใต้ดิน ที่เตาเผาที่กำลังลุกไหม้นั้นมีสิ่งที่สยดสยองที่ไม่เคยพบในโลกนี้ ในนั้นเต็มด้วยกระดูกและชิ้นส่วนของมนุษย์ที่ถูกตัดเป็นท่อน ๆ เกลื่อนกลาดราวกับขยะ ที่บันไดเจ้าหน้าที่ตำรวจพบถุงผ้าใบที่มีชิ้นส่วนศพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเท้าและอวัยวะภายใน นอกจากนี้ที่โรงรถของเขาตำรวจยังพบกองปูนขนาดใหญ่มีที่หนังศีรษะมนุษย์ปนอยู่ในนั้นด้วย

เจ้าหน้าที่นับจำนวนศพได้ประมาณ 27 ศพ มีทั้งเพศชาย ผู้หญิง คนแก่ และเด็ก ทุกศพถูกหั่น ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ไม่ว่าจะเป็น ศีรษะ ลำตัว แขนขา ทุกศพไม่มีร่องรอยการใช้มีดหรือกระสุนปืน นอกเหนือจากศพเหล่านี้เจ้าหน้าที่ยังพบยาเบื่อ เฮโรอีนและมอร์ฟีนในคฤหาสน์แห่งนี้ด้วย จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ในการระบบเหยื่อในจำนวนซากศพเหล่านั้น ตำรวจสามารถระบุไม่กี่ศพ หนึ่งในนั้นเป็นนายหน้าขายยาเสพย์ติดที่เป็นลูกค้าที่มารับยาเสพย์ติดของด็อกเตอร์มาร์เซล์ จนกระทั้งถึงเดือนมีนาคม 1942 เขาเกิดหายตัวไป โดยตำรวจเชื่อว่าเขาเป็นเหยื่อจากฆาตกรรมในคฤหาสน์นรกแห่งนี้

รายต่อมาที่ระบุได้คือ เป็นคนไข้เของด็อกเตอร์มาร์เซล์ที่หายตัวไปในเดือนมีนาคม 1942 เจ้าหน้าที่พยายามหาตัวเธอแต่ไม่พบร่องรอย จนกระทั้งมาพบชิ้นส่วนศพของเธอในคฤหาสน์แห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีศพหลายคนที่เป็นชาวยิวที่รวมกลุ่มเพื่อขอให้ด็อกเตอร์มาร์เชล์ช่วยเหลือ หากผลสุดท้ายพวกเขาทั้งหมดก็จากโลกนี้ด้วยสภาพที่โหดร้ายเกินกว่าจะพรรณนา เมื่อด็อกเตอร์มาร์เซล์ได้ยินข่าวก็รีบมาที่ คฤหาสน์ทันที เขาอ้างว่าศพเหล่านี้เป็นพวกทหารนาซีและคนทรยศชาติ น่าแปลกที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่เชื่อคำโกหกเหล่านั้น เนื่องจากบุคลิกที่น่าเชื่อถือทางสังคมของหมอ ประกอบกับช่วงนี้ฝรั่งเศสกำลังถูกปลดปล่อยจากพันธมิตรหลังตกอยู่ภายใต้การปกครองเยอรมันมานานหลายปี ทำให้ด็อกเตอร์มาร์เซล์ลอยนวลอีกครั้ง ด็อกเตอร์มาร์เซล์รู้ว่าหากเขายังอยู่ที่นี้ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องถูกจับ เขาเลยเลิกปฏิบัติการคฤหาสน์มรณะ และรีบเก็บข้าวของเผ่นหนีออกจากปารีสไปหลบซ่อนในบ้านนอก ในระหว่างที่เขาหลบหนีอยู่นั้นเขาบอกเพื่อนว่าพวกตำรวจเกสตาโบต้องการเขาเพราะเขาเป็นสายลับและฆ่าพวกเยอรมัน

กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรู้สึกตัว ด็อกเตอร์มาร์เซล์ก็หลบหนีไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจากการสอบสวนพบว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่อต้านนาซีกลุ่มใดเลย อีกทั้งตำรวจยังไปเจอกองมหาสมบัติและบัญชีรายชื่อที่เป็นเหยื่อจำนวนมากกว่า 63 ราย เมื่อตำรวจสอบประวัติผู้ตายแล้วไม่พบคนทรยศชาติสักคน อีกทั้งยังมีบัญชีที่เขาปลดทรัพย์สินของเหยื่อด้วยวิธีหน้าด้านรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 200 ล้านฟรังซ์

ด็อกเตอร์มาร์เซล์กลับมาที่ปารีสอีกครั้ง โดยการปลอมตัวมาร่วมขบวนฉลองวันยุติสงครามโลก แต่การปลอมตัวของเขาไม่ได้ผล เพราะมีหลายคนจำหน้าเขาได้ จนนำมาซึ่งการจับกุมตัวเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1944 ในสถานีรถไฟใต้ดินกรุงปารีส สภาพเขาในวันจับกุมนั้นเขาไว้หนวดเครารุงรัง ในตัวเขามีอาวุธปืนพก และเงิน 31,000 ฟรังซ์ และเอกสารประจำตัวกว่า 50 ชุด และหลังจากการจับกุมเจ้าหน้าที่ได้สะสางคดีของด็อกเตอร์มาร์เซล์ใหม่อีกครั้ง

ด็อกเตอร์มาร์เซล์ยังคงอ้างว่าเขาฆ่าเฉพาะศัตรูของฝรั่งเศส ศพที่พวกเขาพบคฤหาสน์นี้เป็นของพวกนาซีที่เขาและสมาชิกกลุ่มต่อต้านร่วมมือกันฆ่า แต่สุดท้ายเขาก็จำนนด้วยหลักฐานต่าง ๆ เช่น หีบห่อเสื้อผ้ากว่า 1,500 ชุด ห้องในคฤหาสน์มรณะ บัญชีรายชื่อเหยื่อ และเงินที่จดบันทึก ซึ่งมากพอที่จะให้ศาลตัดสินว่าเขามีความผิดฐานฆ่าคนชิงทรัพย์จริง มีความผิดต้องโทษประหารชีวิต ในช่วงอ่านคำพิพากษานั้นในศาลมีแต่คนส่งเสียงเซ็งแซ่ จนด็อกเตอร์มาร์เซล์แทบไม่ได้ยินคำตัดสิน จนต้องถามคนข้างเคียงว่าตนมีความผิดหรือไม่

เช้าตรู่ ของวันที่ 26 พฤษภาคม 1946 ด็อกเตอร์มาร์เซล์ ปดีตถูกประหารชีวิตด้วยการตัดหัวด้วยกิโยติน ในขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปสู่กิโยตินเพื่อประหารชีวิตนั้น หมอมาร์เซล์ได้ขอร้องคนข้างเคียงเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตว่าขอปัสสาวะ หากแต่เพชฌฆาตปฏิเสธไม่ทำตามคำขอ ทำให้เขาถูกประหารทั้ง ๆ ที่ปวดปัสสาวะอยู่ คำพูดสุดท้ายเขาได้พูดกับผู้สังเกตการณ์ว่า ท่านสุภาพบุรุษ ผมคิดว่าคุณไม่ควรดู เพราะภาพต่อไปนี้มันไม่น่ารักเลย

เรื่องราวของด็อกเดอร์มาร์เชล์ ปดีต ได้ถูกนำไปดัดแปลงและสร้างเป็นภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Docteur Petiot (1990) กำกับโดย Christian de Chalonge โดยมีตัวเอก ไมเคิล Serrault แสดงเป็นด็อกเตอร์มาร์เชล์, ภาพยนตร์แนวสงคราม Seven Thunnders (1957), Zwartboek (2006) มีตัวละครที่มีบุคลิกลักษณะและแรงบันดาลใจอย่างชัดเจนว่าเหมือนด็อกเตอร์มาร์เซล์ปรากฏอยู่ในเรื่อง


รูปภาพของ Hathairat Traithip






 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 14 กรกฎาคม 2558 8:28:58 น.
Counter : 1108 Pageviews.  

ซับซ้อนกว่านิยาย

ตำรวจอิตาลีสืบสวนคดีฆาตกรรมเด็กหญิงวัย 13 ปี จากการตรวจดีเอ็นเอที่พบในที่เกิดเหตุพบว่าตรงกับชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 11 ปีก่อน และลูก ๆ ของเขาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เหลือความเป็นไปได้เพียงกรณีเดียวเท่านั้นคือชายคนนี้ต้องมีลูกกับหญิงคนอื่นอย่างลับ ๆ เท่านั้น เย็นวันที่ 26 พฤศจิกายน 2010 "ยาร่า แกมบิราซิโอ" เด็กสาววัย 13 ปี เสร็จธุระจากการฝึกซ้อมยิมนาสติกที่โรงยิมห่างจากบ้านพักเพียง 700 เมตรเท่านั้น แต่เธอเดินทางไม่ถึงบ้านกลับหายตัวไปเฉย ๆ

เบรมบาเตดิโซปรา เป็นเมืองเล็ก ๆ ในประเทศอิตาลี มีบรรยากาศเงียบสงบเหมือนกับเมืองเล็ก ๆ แห่งอื่น ๆ ทั่วโลก ร้านรวงปิดกันตั้งแต่หัวค่ำและไม่มีสถานบันเทิงยามค่ำคืน เวลา 19.30 น. หิมะเริ่มตกหนัก พ่อแม่ของเธอเริ่มกังวลที่ลูกสาวยังกลับไม่ถึงบ้านจึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจ

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครพบเห็นยาร่าอีกเลยจนกระทั่งวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011 หรือ 3 เดือนหลังจากที่เธอหายตัวไป มีคนพบร่างไร้วิญญาณของยาร่าถูกทิ้งอยู่ในทุ่งห่างจากบ้านของเธอไปประมาณ 10 กม. แผ่นหลังและลำคอมีรอยถูกมีดกรีดหลายแห่ง แต่มันไม่ใช่สาเหตุของการเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ชันสูตรลงความเห็นว่าเธอเสียชีวิตเพราะถูกทิ้งให้นอนแข็งตายในที่โล่ง

ยาร่าไม่ได้ถูกข่มขืนแต่ถูกล่วงละเมิดทางเพศด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ตำรวจพบคราบเลือดของคนร้ายในที่เกิดเหตุ จึงนำมาตรวจหาดีเอ็นเอ และได้ขอตรวจดีเอ็นเอผู้ที่สมัครใจจำนวน 15,000 คนเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอคนร้าย ดามิอาโน กัวริโนนิ มีดีเอ็นเอใกล้เคียงกับดีเอ็นคนร้าย ตำรวจจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าคนร้ายจะต้องเป็นญาติของดามิอาโน ซึ่งบิดาของดามิอาโนมีพี่น้องทั้งหมด 11 คน และตำรวจจะต้องตรวจดีเอ็นเอของคนทั้ง 11 ครอบครัวนี้ทั้งหมด

ตรงกันเป๊ะ
เดือนกันยายน 2012 ตำรวจเดินทางไปพบกับแม่ม่ายผัวตาย ลอร่า โพลิ ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ เชิงเทือกเขาแอลป์แห่งหนึ่งห่างจากเมืองเบรมบาเตดิโซปราไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 30 กม. น่าเสียดายที่สามีของเธอ "จูเซปเป กัวริโนนิ" เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อปี 1999 หรือราว 11 ปีก่อนเกิดเหตุฆาตกรรมยาร่า

ตำรวจขอตรวจของใช้ส่วนตัวของจูเซปเป ลอร่าจึงนำกล่องเก่า ๆ ที่ใช้เก็บเอกสารของจูเซปเปมาให้ ข้างในกล่องมีบัตรประจำตัวพนักงานขับรถประจำทาง เอกสารและอากรแสตมป์ ตำรวจนำอากรแสตมป์มาตรวจหาดีเอ็นเอเผื่อว่าจูเซปเปจะเคยใช้ลิ้นเลียอากรแสตมป์และโชคก็เข้าข้างเมื่อพบคราบน้ำลายบนหลังอากรแสตมป์

ดีเอ็นเอของจูเซปเปตรงกับดีเอ็นเอคนร้าย แสดงว่าคนร้ายจะต้องเป็นลูกคนใดคนหนึ่งของจูเซปเปอย่างไม่ต้องสงสัย ตำรวจจึงเรียกตัวลูกทั้ง 3 คนของจูเซปเปมาตรวจดีเอ็นเอ แต่ผลที่ออกมานั้นกลับเป็นว่าดีเอ็นเอของลูกทั้ง 3 คนไม่ตรงกับดีเอ็นเอของคนร้าย สิ่งนี้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับตำรวจเป็นอย่างมาก เหมือนจะได้ตัวคนร้ายแล้วแต่แล้วก็กลับเป็นไม่ใช่อีก

เป็นที่แน่ชัดว่าจูเซปเปเป็นพ่อของคนร้ายแต่ลอร่าไม่ใช่แม่ของคนร้าย การจะจับตัวคนร้ายให้ได้ก็จะต้องสืบให้รู้ว่าใครเป็นแม่ของคนร้ายเพื่อสาวไปสู่ตัวคนร้ายอีกที แต่ใครล่ะจะยอมรับว่ามีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับจูเซปเปจนถึงขั้นมีลูกด้วยกันอย่างลับ ๆ


ลูกฉันแต่ไม่ใช่ลูกเรา
ตำรวจสอบปากคำเพื่อนร่วมงานของจูเซปเปจนกระทั่งรู้ว่าเขาเป็นเสือผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่เข้ามาพัวพันล้วนเป็นคนที่ใช้บริการรถประจำทางเป็นประจำ จูเซปเปเคยมีปัญหากับหญิงสาวคนหนึ่งแต่ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ตำรวจตามสืบจนพบว่ามีหญิงสาว 532 คนที่ใช้บริการรถประจำทางและรู้จักกับจูเซปเป ตำรวจขอตรวจดีเอ็นเอหญิงที่เคยสาว (ปัจจุบันแก่แล้ว) ทั้งหมด จนกระทั่งพบว่า อีสเตอร์ อาร์ซัฟฟิ วัย 67 ปี มีดีเอ็นเอตรงกับดีเอ็นเอของคนร้าย

อีสเตอร์แต่งงานเมื่อปี 1967 กับจิโอวานนิ บอสเซติ มีบุตร 3 คนเป็นแฝดหญิง-ชายคู่หนึ่งชื่อมาสซิโม จูเซปเป และลอร่า เลติเซีย และบุตรชาย 1 คนชื่อ ฟาบิโอ แต่ผลการตรวจดีเอ็นเอระบุว่า จิโอวานนิไม่ใช่พ่อของเด็กแฝด หากแต่เป็นจูเซปเป กัวริโนนิ

ที่สำคัญที่สุดคือ ดีเอ็นเอของมาสซิโม จูเซปเป ตรงกับดีเอ็นเอของคนร้าย ส่วนลอร่า เลติเซีย ไม่เข้าข่ายผู้ต้องสงสัย เพราะเธอเป็นผู้หญิง ดังนั้นจึงปักใจเชื่อได้ว่ามาสซิโม จูเซปเป เป็นคนร้ายสังหารยาร่า

หลักฐานมัดตัว
ตำรวจไม่สามารถตรวจดีเอ็นเอผู้ใดได้โดยไม่ได้รับความยินยอมโดยสมัครใจ ลอร่าเคยตรวจดีเอ็นเอมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2012 หากแต่ว่าตอนนั้นเจ้าหน้าที่นำดีเอ็นเอของลอร่าไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอยาร่า แทนที่จะเป็นดีเอ็นเอของคนร้าย จึงทำให้ตำรวจไม่ได้เบาะแสของคนร้าย การตรวจสอบในครั้งหลังกระทำโดยการนำผลตรวจครั้งก่อนมาเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอคนร้ายตามที่ควรจะเป็น

ส่วนการตรวจดีเอ็นเอของมาสซิโม จูเซปเป กระทำโดยหัวหน้าทีมสืบสวน เลติเซีย รักกิริ ตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ปลอมบนถนนเส้นทางไปที่บ้านของมาสซิโม จูเซปเป ในเดือนมิถุนายน 2014 หลอกให้เขาเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์เพื่อนำน้ำลายมาตรวจหาดีเอ็นเอ

เลติเซียสืบพบว่ามาสซิโม จูเซปเป วนเวียนอยู่แถวบ้านและโรงยิมที่ยาร่าไปฝึกซ้อมเป็นประจำ และจากการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือพบว่า มาสซิโม จูเซปเป ใช้โทรศัพท์ที่เมืองเบรมบาเตดิโซปรา เวลา 17.45 น. ในวันเกิดเหตุก่อนที่จะปิดโทรศัพท์ไปและเปิดอีกครั้งในเวลา 07.34 น. ของวันรุ่งขึ้น

หลังจากจับกุมตัวและแจ้งข้อหากับมาสซิโม จูเซปเป ตำรวจตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์พบว่ามีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้กำลังบีบบังคับเด็กสาว ข้อมูลเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมยาร่าอย่างมีนัย แต่มาสซิโม จูเซปเป ให้การว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะขับรถผ่านบ้านและโรงยิมที่ยาร่าไปฝึกซ้อมเพราะมันเป็นเส้นทางเลี่ยงถนนใหญ่ที่มีการจราจรคับคั่ง





ครอบครัวสวิงกิ้ง
มาริต้า โคมิ ภรรยาของมาสซิโม จูเซปเป ให้การว่า สามีของเธอกลับบ้านตรงเวลาทุกวัน พวกเขากินอาหารค่ำเวลา 19.30 น. แม้แต่ในวันที่เกิดเหตุสามีของเธอก็กลับบ้านทันเวลาอาหารค่ำ จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่สามีเธอจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมา


อย่างไรก็ตาม หลังจากมาสซิโม จูเซปเป ถูกตำรวจจับก็มีชาย 2 คนปรากฏตัวขึ้นและอ้างว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับมาริต้าโดยที่สามีของเธอไม่ระแคะระคาย ยิ่งไปกว่านั้นมีข่าวรั่วออกมา ผลตรวจดีเอ็นเอของลูกชายคนเล็กของอีสเตอร์ก็ไม่ใช่ลูกของจิโอวานนิ ซึ่งนั่นหมายความว่าตลอดเวลากว่า 40 ปี จิโอวานนิเลี้ยงดูเด็ก 3 คนที่ไม่ใช่ลูกของเขาเลยแม้แต่คนเดียว

แต่การประพฤติผิดศีลธรรมไม่ใช่เป้าหมายของการสืบสวนคดีนี้ ตำรวจต้องการเพียงนำตัวคนร้ายที่สังหารยาร่ามารับโทษทัณฑ์ ทางด้านทนายของมาสซิโม จูเซปเป พยายามนำช่องโหว่ของการใช้ผลตรวจดีเอ็นเอมาเป็นหลักฐานผูกมัดตัวคนร้ายโดยอ้างว่าตำรวจจะรู้ได้อย่างไรว่าจูเซปเปไม่มีบุตรกับผู้หญิงคนอื่น ๆ อีกนอกจากมาสซิโม แต่เหตุผลนี้ค่อนข้างจะหลุดยากสักหน่อยเพราะดีเอ็นเอของมาสซิโมตรงกับของคนร้าย และตรงกับดีเอ็นเอจูเซปเปและอีสเตอร์ แม้จูเซปเปจะไปมีบุตรกับหญิงอื่นอีกแต่ดีเอ็นเอก็คงไม่ตรงกับผู้เป็นแม่แบบนี้

ไพ่ใบสุดท้ายก็คือการชี้ให้ศาลเห็นว่าการใช้ผลตรวจดีเอ็นเอเป็นหลักฐานนั้นยังมีข้อผิดพลาดเช่นคดีฆาตกรรมหญิงสาวในปี 2002 ซึ่งผลตรวจดีเอ็นเอคนร้ายตรงกับบาร์เทนเดอร์ชาวอังกฤษคนหนึ่ง แต่เขาไม่เคยเดินทางมายังอิตาลีเลย หลายปีต่อมาจึงมีการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยอีกคน ส่วนผลการตัดสินคดีฆาตกรรมยาร่าจะจบอย่างไรก็ต้องรอดูกันต่อไป เพราะจะมีการพิจารณาคดีราวปลายปี 2015 นี้




มาสซิโม บอสเซติ (จูเซปเป)

โดย ศิลป์ อิศเรศ
ที่มา : //www.lokwannee.com/web2013/?p=137812














 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2558 15:21:41 น.
Counter : 1670 Pageviews.  

อันเดร ชิกาทิโล : ความโหดเหี้ยมหลังม่านเหล็ก

นี้คือเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องที่โหดเหี้ยมที่สุดในรัสเซีย และถูกคนทั่วโลกต่างขนานนามว่า “โฉดที่สุดในโลก” เจ้าของฉายา “นักชำแหละแห่งรอสตอฟ”




ปี ค.ศ. 1978 เมืองรอสตอฟ ริมแม่น้ำดอน ชายฝั่งทะเลอาซอฟ ทางตอนใต้ของรัสเซีย ที่ป่าโซโพโลซ่า บ่ายวันเดียวกันชายเก็บฟืนเข้าไปในป่าเพื่อเพื่อหาของป่า อากาศหนาวเย็นของรัสเซียที่แสนสั่นสะท้านและความจนหิวโหย ทำให้ชายเก็บฟืนต้องดิ้นรนอยู่รอดเช่นประชาชนในประเทศ ในยุคของ โจเซฟ สตาลิน ผู้นำระบอบคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้นที่เกณฑ์แรงงานชาวรัสเซียเพื่อไปทำกิจกรรมทางการเกษตรที่ไซบีเรีย ทำให้อาหารไม่พอเลี้ยงชาวรัสเซียทั้งประเทศ ส่งผลให้ชาวรัสเซียเสียชีวิตท่ามกลางความอดอยากและหนาวเหน็บเป็นตัวเลขถึง 6,000,000 คน ชาวบ้านบางคนถึงกับขุดศพขึ้นมากินกัน บางทีก็ดักทำร้ายร่างกายนักเดินทางเพื่อนำร่างมาชำแหละขาย ซึ่งในช่วงนั้นว่ากันว่าไม่ต่างจากการชำแหละเนื้อสุกร แต่วันนี้ไม่เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาชายเก็บฟืนพบศพ!! ศพนั้นนอนอยู่บนพื้นที่กว้าง ๆ เพียง 50 หลาจากทางเข้าป่าเท่านั้น ร่างนั้นโทรมแทบจะเหลือแต่กระดูก ร่างเน่าเฟะ แต่ก็ มีเศษหนังติดอยู่โครงกระดูกเล็กน้อย บนกระโหลกมีเส้นผมติดเพียงกระจุกเดียว แม้ชายเก็บฟืนดูสภาพศพไม่ชัด แต่ก็พอบอกได้ว่าเธอต้องเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานมากเพียงใดก่อนตาย ชายตัดฟืนตั้งสติได้แล้วก็แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทันที

จากการสืบสวนในเวลาต่อมาระบุว่าศพนั้นคือ ลิวบ็อฟ บีร์ยุค หนูน้อยอายุ 13 ขวบ จากหมู่บ้านโนโวเวอร์ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พบศพมากนัก จากผลการชันสูตรในเวลาต่อมาพบว่า หนูน้อยก่อนตายคงพยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากฆาตกรอย่างมาก แต่ยังไม่วายที่ถูกทำร้ายจากด้านหลังอย่างรุนแรงทั้งของแข็งและมีด ส่งผลให้เธอหมดสติทันที แต่ตัวฆาตกรยังกระหน่ำแทงด้วยมีดแบบไม่เลือกที่ถึง 22 แผลจนร่างเหยื่อพรุนเป็นรวงผึ้ง กระดูกซี่โครงบางส่วนหักเพราะมีด และที่น่าขนลุกคือที่เบ้าตามีรอยมีดคมบาดลึก คล้ายกับฆาตกรจะพยายามใช้ปลายมีดควักลูกนัยน์ตาออกจากเบ้า “มันเป็นฝีมือของสัตว์นรกชัด ๆ” ตำรวจออกความเห็น

หลังพบศพหนูน้อยลิวบ็อพมาได้แค่ 2 เดือน คนงานรถไฟซาคธี ก็พบศพที่โทรมจนเกือบเหลือแต่โครงกระดูก ดูเหมือนว่ามันจะถูกทิ้งไว้มานานกว่า 6 สัปดาห์ จากการชันสูตรยืนยันว่าเป็นของหญิงสาว สภาพศพนอนคว่ำหน้าขาสองข้างล่างถ่างออกอย่างน่าขนลุก มีร่องรอยกระหน่ำแทงอย่างบ้าคลั่ง และมีรอยมีดที่เบ้าตาในลักษณะควักนัยน์ตาออกจากเบ้าเหมือนลักษณะศพของหนูน้อยลิวบ็อพไม่มีผิด ไม่มีการแจ้งความคนหายที่มีลักษณะใกล้เคียงกับศพที่พบ ตำรวจจึงทำได้แค่ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานสืบค้นในภายหลังเท่านั้น



รูปภาพของ Hathairat Traithip


อีก 1 เดือนถัดมา นายทหารนายหนึ่งออกไปเก็บฟืนในป่าละเมาะก็พบศพรายที่สาม ห่างจากที่พบศพที่สองไปทางใต้ประมาณ 10 ไมล์ ลักษณะศพนอนคว่ำมีกิ่งไม้ปิดอยู่เป็นศพของหญิงสาวเช่นกัน และที่ชวนน่าขนลุกอีกครั้งคือ....“มีรอยกระหน่ำแทงอย่างบ้าคลั่งและมีรอยมีดที่กระบอกต
าบ่งบอกถึงการควักลูกตาเหมือนสองศพก่อนหน้านี้ ฆาตกรเป็นคนเดียวกันแน่” 

ในเดือนเดียวกัน...ศพปริศนารายที่ 4 ก็ปรากฏ ศพถูกพบอยู่ไม่ไกลจากที่พบศพที่ 2 มากนัก สภาพศพก็เหมือนเช่น 3 รายที่ผ่านมา วันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ.1982 เด็กสาวนามว่าโอลก้า สตัลมาเชน็อค อายุ 10 ปี ถูกลักพาตัวไประหว่างการเดินทางไปเรียนเปียโน และในเวลาต่อมามีโพสท์คาร์ดส่งถึงพ่อแม่ของเด็ก มีข้อความว่า...“ลูกสาวของแกอยู่ในป่า บอกต่อกันไปนะว่า จะมีคนตายเพิ่มอีก 10 คน หรือมากกว่านั้น ในปีใหม่นี้แหละ จากไอ้แมวดำจอมโหดหิน” แต่กระนั้นตำรวจก็ไม่สนใจในโพสท์คาร์ดมากนักเพราะผู้ส่งน่าจะเป็นพวกมั่วนิ่มมากกว่า

4 เมษายน ค.ศ. 1983 สี่เดือนหลังจากเด็กน้อยหายสาบสูญไป ก็พบศพของเธอ ซึ่งนับว่าเป็นศพที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด เพราะโอก้าถูกฆาตกรรมในช่วงต่อของสภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุดช่วงหนึ่งของสหภาพโซเวียต ความหนาวเย็นจึงส่งผลในการช่วยรักษาสภาพของร่างเธอไว้จนชันสูตรได้ว่า เธอถูกแทงที่หน้าอก 12 แผล ท้องน้อยอีก 13 แผล ความรุนแรงในการแทงนั้นทำให้อวัยวะภายในหลุดลุ่ยออกมาภายนอกร่างกายของเธอ “ฆาตกรจู่โจมเข้าหาเหยื่ออย่างรวดเร็ว และมุ่งที่จะกะซวกหัวใจ ปอด และอวัยวะเพศเป็นหลัก และมีรอยแทงที่ลูกนัยน์ตาเหมือนหลายศพก่อนหน้านี้....” ตำรวจออกความเห็น ฆาตกรต่อเนื่องแห่งรอสตอฟเริ่มเป็นคดีเขย่าขวัญของชาวเมืองอย่างยิ่ง ชาวเมืองส่วนใหญ่ที่เป็นพนักงานในโรงงานเริ่มกังวลความปลอดภัยของเด็ก ๆ ที่บ้าน จนถูกสั่งไม่ให้ออกนอกบ้านถ้าไม่จำเป็น รัฐบาลเริ่มตระหนักถึงอารมณ์ของชาวเมืองที่เป็นตัวจักรสร้างผลผลิตแก่ประเทศ จึงต้องเร่งตำรวจให้สืบสวนสอบสวนหาฆาตกรมาลงโทษให้ได้ ตำรวจหลายร้อยนายถูกระดมมาเพื่อควานหาฆาตกร แต่ก็ยังไร้ผล

4 เดือนที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทว่าระหว่างนั้นเอง นักฆ่าแห่งรอสตอฟก็หันมาเล่นกับเหยื่อที่เป็นเพศตรงข้ามบ้าง เด็กชายวัย 15 ปี ถูกสังหารหมกหิมะไว้ในเมืองชัคห์ที กว่าที่จะเจอศพก็กินเวลานานมาก อีก 4 เดือนต่อมา ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น ซ้ำยังมีหิมะที่ตกหนักปกปิดหลักฐานอีก กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเข้าไปในป่าอีกส่วนหนึ่งของเลโซโพโลซ่าใกล้กับรอสตอฟ-ออน-ดัน พวกเขาพบชิ้นส่วนของโครงกระดูกมนุษย์ในลำห้วย ซึ่งตำรวจสันนิษฐานว่า ศพนี้เป็นศพเด็กผู้หญิง อายุ 13 ปี ในโรงเรียนสงเคราะห์เด็กในพื้นที่ เสียชีวิตเพราะจมน้ำตาย แม้สภาพศพจะแตกต่างจากรายที่ผ่านมา แต่ตำรวจเชื่อว่าต้องเป็นฝีมือของนักชำแหละแห่งรอสเตฟแน่นอน ต่อมามีการพบศพผู้หญิงวัย 45 ปี ถูกสังหารทิ้งในป่าละเมาะ ในป่าเลโซโพโลซ่า ต่อมาจึงมีการเชื่อมโยง 6 ศพที่มีการค้นพบก่อนหน้านี้ และศพของหญิงสาวที่จมน้ำตายก่อนหน้านี้ก็ถูกนำมาเชื่อมต่อกันด้วย

จากศพทั้งหมดที่ถูกสังหาร ตำรวจได้สืบสวนจนสามารถจับผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งชื่อ ยูริ คาเลนนิค หนุ่มวัย 19 ปี มีประวัติคุกคามทางเพศเด็ก ๆ หลายคน ด้วยประวัติและพฤติกรรม ตำรวจเชื่อสนิทว่ายูรินี้แหละคือฆาตกรตัวจริง ยูริ คาเลนนิค ถูกสอบสวนอย่างหนัก ไม่มีสิทธิ์พ
บทนาย หรือไม่ให้ปากคำ แต่กระนั้นเขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา มีการทรมานอย่างหนักเพื่อให้รับสารภาพ จนผู้ต้องหาจำต้องสารภาพว่า สังหารไป 7 ศพ อีก 4 ศพที่ยังไม่ได้ตรวจสอบในย่านนั้น สุดท้ายเรื่องก็จบลง ยูริ คาเลนนิค ถูกศาลตัดสินจำคุกและประหารชีวิตในเวลาต่อมา คดีต่อเนื่อง นักชำแหละแห่งรอสตอฟก็ปิดฉากลง แต่... ที่จริงแล้วคดีมันเพิ่งจะเปิดฉาก!

◘ ฤดูร้อนถัดมา ◘
ส่วนหนึ่งของป่าเลโซโพ มีการพบศพหญิงสาวเปลือยอีกหนึ่งศพ หัวนมของเธอแหว่งหายไป คาดว่าจะถูกกัดกระชากจนขาดหายไป เบ้าตาข้างหนึ่งถูกควัก เธอเน่าอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายเดือน ตอนพบศพ ยูริ คาเลนนิคยังอยู่ในคุก แต่ก็ยังไม่มีคำสั่งที่จะปล่อยตัว

ต่อมา มีการพบศพอีกหนึ่งศพในวันที่ 20 ตุลาคม 1983 เป็นผู้หญิงต่างจากศพอื่นคือไม่พบการควักนัยน์ตา ศพที่ 10 นี้พบประมาณอีกสี่สัปดาห์หลังจากที่พบศพที่ 9 มีผู้พบศพหญิงสาวในป่าละเมาะที่เดิม คาดการณ์ว่าเธอน่าจะถูกฆ่าในช่วงฤดูร้อน ซึ่งแน่นอนลูกนัยน์ตาก็ถูกควักเช่นเคย

ค.ศ.1984 มีการพบศพเด็กผู้ชายใกล้ ๆ รางรถไฟ ทราบชื่อคือ เซอร์ไก มาร์คอฟ วัย 14 ปี ที่มีการแจ้งความว่าหายตัวไปเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1983 โชคดีที่หิมะตกมาปกคลุมร่างช่วยรักษาศพของเด็กชายไว้ ทำให้มองหลักฐานจากฆาตกรได้ชัดเจนมาขึ้น ฆาตกรกะซวกแทงคอหอยของเหยื่อถึง 12 แผล ตามร่างกายคาดว่าน่าจะถึง 60 แผลทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอ ฆาตกรคว้านตัดอวัยวะเพศจนหมดสิ้น มีร่องรอยการข่มขืนทางทวารหนักของเหยื่ออย่างรุนแรง แต่คราวนี้ตำรวจได้หลักฐานใหม่ คราบอสุจิจำนวนมากตกค้างอยู่บริเวณทวารหนักของมาร์คอฟ ตำรวจสกัดหากลุ่มเลือดไว้เป็นหลักฐาน เห็นได้ชัดว่าผู้ต้องสงสัย ยูริ คาเลนนิคเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นแพะที่ตำรวจจับบูชายันต์

ครั้นถึงต้นปี ค.ศ. 1980 - 1984 สถิติการฆ่าเด็กเพิ่มทวีมากขึ้นถึงขั้นผู้รับผิดชอบระดับสูงนั่งไม่ติดเก้าอี้ และจนถึงเวลานั้นการฆ่าได้ขยายวงจากเด็กเล็กไปสู่วัยรุ่น และแม้แต่คนทำงานยังถูกฆ่า ศพถูกตัดเป็นชิ้น เหมือนตุ๊กตาไม่มีชีวิต และระยะหลังสาเหตุการตายเริ่มพิลึกกกกือมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นว่าฆาตกรมีทักษะในการฆ่ามนุษย์สูงขึ้นและวิปริตมากขึ้น จากลักษณะของคมมีดที่คว้านบนตัวเหยื่อ ฆาตกรจงใจสร้างความเจ็บปวดให้แก่เหยื่อมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะที่เหยื่อยังมีชีวิต เช่น ศพเด็กชายจะถูกแล่อวัยวะเพศออกเป็นชิ้น ๆ อย่างช้า ๆ ขณะร้องขอความตาย ส่วนเด็กผู้หญิงจะถูกตัดหัวนมก่อนคว้านเต้านมออกมา และทั้งสองเพศถูกผ่าเปิดตั้งแต่หน้าท้องถึงหัวเหน่า เครื่องในถูกล้วงมากองข้าง ๆ ตัว บางศพถูกตัดนิ้วไปด้วย สิ่งที่เหมือนกันอีกอย่างคือตาและลิ้นของเหยื่อ ฆาตกรจับเหยื่ออ้าปาก กัดลิ้นด้วยฟันตัวเอง และลากลิ้นเหยื่อจนหลุดออกจากปากด้วยพละกำลังมหาศาล หลังจากนั้นลูกตาจะถูกคว้านออกจากเบ้าด้วยมีดที่ละข้าง

ฆาตกรรายนี้เริ่มย้ายแหล่งหาเหยื่อไปเรื่อย ๆ ตำรวจพบศพที่รอสตอฟเลยไปถึงอุซเบกิสสถาน ห่างออกไปหลายไมล์ ศพหนึ่งพบในสวนสาธารณะกลางกรุงมอสโก ห่างจากทางเหนือถึง 500 ไมล์ แรกเริ่มตำรวจไม่เชื่อว่าทั้งหมดเป็นฝีมือฆาตกรคนเดียวกัน หากแต่เป็นกลุ่มฆาตกรที่มีความเชื่อในพิธีกรรมเหมือนกันต่างหาก แต่แล้วสมมุตฐานนี้เป็นอันต้องยกเลิกไป เมื่อมีการพิสูจน์ทางนิติเวชศาสตร์โดยละเอียด พบว่าเป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกัน โดยฆาตกรทิ้งหลักฐานไว้ให้ตำรวจบนศพให้ตำรวจตามเล่น มันคือน้ำอสุจิ!! มีน้ำอสุจิจำนวนมากมายจนน่าตกใจไว้บนตัวเหยื่อเกือบทุกราย... ตำรวจระดมพลอีกครั้ง การสืบสวนเข้มข้นและรุนแรงขึ้น ชายต้องสงสัยคนหนึ่งถึงกับฆ่าตัวตายเพราะทนการสอบสวนของ KGB ไม่ไหว อีกคนพยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ

28 ตุลาคม 1983 พบศพเวอรา เซฟคุน อายุ 19 ปี เป็นหญิงขายบริการสาวสวยที่รู้จักกันดีในหมู่นักเที่ยว แต่ติดเหล้างอมแงม ศพของเธอถูกพบนอนตายในทุ่งหญ้าชานเมือง ดวงตาสีฟ้าของเธอหายไป เหลือแต่เป้าตากลวงโบ๋ ผมสีทองสลวยชุ่มด้วยเลือด มันสมองทะลักออกมาด้วยแรงกระแทกของค้อน สิ่งที่น่าอดสูใจที่สุดคือหัวของเธอถูกวางห่างจากร่างถึง 10 ฟุต จนถึงต้นปี 1984 ตำรวจพบศพถูกเสียชีวิตถึง 31 ราย และฆาตกรก็ยิ่งทำสถิติเพิ่มขึ้นอีก อย่างมันมือ.......

ปี ค.ศ. 1984 หญิงสาวอายุ 18 ปี ถูกฆ่าและนำศพมาทิ้งไว้ที่ป่าโลโซโพโลซ่าเช่นเดิม ศพถูกกระหน่ำแทงและถูกมัดด้วยเชือกเหมือนรายอื่น ๆ เพียงแต่คราวนี้ฆาตกรไม่ควักนัยน์ตาออกไป ที่เสื้อผ้ามีน้ำอสุจิจำนวนมาก บ่งบอกว่าฆาตกรสำเร็จความใคร่ตัวเองหลังจากฆ่าเธอ

21 กุมภาพันธ์ 1984 ศพของอิกอร์ กัตกอฟ วัย 7 ขวบ ถูกชำแหละเป็นชิ้น ๆ ในป่า เช่นเดียวกับศพของมาร์ทา ยาเบียง ที่พบในสวนสาธารณะเมืองรอสตอฟ การพบศพของเธอช่วยบอกอะไรกับตำรวจสองประการ อย่างแรกฆาตกรเชื่อมั่นตัวเองอย่างยิ่ง เห็นได้จากการที่มันเริ่มฆ่าเหยื่อกลางเมือง และมันเริ่มสังหารเหยื่อโดยไม่สนว่าเป็นผู้ชาย หญิง หรือเด็ก มันเริ่มติดใจรสชาติในการฆ่าคน ประการที่ 2 มาร์ทาเป็นเหยื่อที่อายุมากที่สุดเท่าที่ฆาตกรฆ่ามา เธออายุ 44 ปี เป็นหญิงขายบริการ ติดเหล้า มีผู้พบเห็นเธอครั้งสุดท้ายกับชายวัยกลางคนศีรษะล้าน หน้าตาพื้น ๆ

24 มีนาคม พบศพ ดิมิทริ พทาชนิคอฟ วัย 10 ขวบ ในเขตโนวอชคทินสค์ ศพถูกพบอีกสามวันหลังหายตัวไป มีร่องรอยกระหน่ำแทงอย่างโหดเหี้ยม ปลายลิ้นกับอวัยวะเพศหายไป มีรอยอสุจิบนเสื้อเช่นเดียวกับศพอื่น ๆ ก่อนหน้า และใกล้ศพพบรอยเท้าเบอร์ใหญ่ปรากฏอยู่ชัดเจน คราวนี้นับว่าเป็นโชคร้ายของฆาตกร มีพยานเห็นและยืนยันว่าดิมิทริเดินตามหลังชายแปลกหน้าแก้มตอบสวมแว่นตา เดินเหินคล้ายกับคนหัวเข่าไม่ดี สวมรองเท้าขนาดใหญ่ คดีของดิมิทริ ยังค้างคาอยู่ ศพรายใหม่ก็ปรากฏขึ้นอีก ศพระบุชื่อ ลุคมีล่า อเล็คเซเยวา อายุ 17 ปี ถูกกระหน่ำแทงถึง 39 แผลด้วยมีดทำครัว และไม่ทันไรก็พบศพเพิ่มอีกสองศพ ศพแรกเป็นหญิงสาวถูกทุบด้วยค้อนจนสมองเละ และอีกศพเป็นหญิงสูงอายุ แม่ของศพแรกถูกแทงจนพรุน

ในระหว่างการสืบคดีหาตัวฆาตกรอยู่นั้น ฆาตกรก็ยังคงฆ่าเหยื่อต่อไป จนเรียกได้ว่าฆาตกรก้าวนำตำรวจหลายก้าว 11 พฤษภาคม 1984 ศพของทันยา เปโทรสยัน วัย 32 และสเตฟาลูกวัย 11 ปี ถูกพบในป่า ศพของสเตฟามีรอยถูกกัดที่หลอดลมอย่างรุนแรง ผู้เป็นแม่ถูกผ่าท้อง มดลูกถูกฉีกทึ้ง และโยนทิ้งในพุ่มไม้ 2 เดือนต่อมา วันที่ 19 กรกฎาคม 1984 แอนนา ลิมิชิวา วัย 19 หายตัวไประหว่างกลับบ้าน 6 เดือนต่อมาจึงพบศพ ร่างของเธอถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ

ารตามล่าฆาตกรเริ่มต้นอีกครั้ง นักสืบ 50 นาย และตำรวจในเครื่องแบบอีก 500 คนถูกระดมเพื่อคดีนี้โดยเฉพาะภายใต้การนำของวิทาลี กาลยูลิน

เป้าหมายคือฆาตกรต้องเป็นชายวัยกลางคนอายุ 25-30 ปี รูปร่างสูง บึกบึน กรุ๊ปเลือด AB เป็นคนฉลาดรู้ทันตำรวจ มีสัญชาติญาณระมัดระวังตัวสูง อาจพักอยู่กับภรรยาหรือมารดา และเคยเป็นคนไข้โรคจิตมาก่อน มีความรู้เรื่องสรีระวิทยา มีความเชี่ยวชาญในการใช้มีด และที่สำคัญคดีนี้ไม่อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ทำข่าว และเตือนภัยใด ๆ เกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องรายนี้โดยเด็ดขาด (ถือว่าวางแผนผิดพลาดมาก ๆ) คืนวันที่ 27 มีนาคม 1984 ตำรวจรอสตอฟได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบชายต้องสงสัยคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนพยายามหว่านล้อมเด็กข้างถนน หรือเด็กที่ผ่านไปมาบริเวณสถานีรถไฟด้วยเงินหรือเหล้าวอดก้าเพื่อให้มีเซ็กซ์ด้วย เด็กส่วนใหญ่พากันวิ่งหนี

ตำรวจรีบรุดไปที่เกิดเหตุ และไม่กี่นาทีต่อมาชายชื่อ "อันเดร โรโนวิช ชิกาทิโล" วัย 40 กว่า ถูกนำเข้าห้องขัง อันเดรยอมรับว่าเขาไล่จับเด็กเพื่อสนองความต้องการทางเพศจริง แต่เขาไม่ใช่นักเชือดรอสตอฟ และก็ไม่ได้เป็นเกย์ เขามีครอบครัวที่เป็นสุข มีอาชีพที่ดีเป็นถึงผู้จัดการของบริษัทเครื่องจักรกล แต่ทำอย่างนี้เพื่อ “เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง” เท่านั้นเอง ตอนแรกตำรวจไม่พบพิรุธในตัวอันเดรจึงปล่อยตัวไป แต่หลังจากนั้นอันเดรก็ยังคงไล่จับเด็กในสถานีรถไฟหลายครั้ง จนตำรวจอดสงสัยไม่ได้ว่าหมอนี้เป็นนักเชือดหรือเปล่า เลยจับกุมกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มีการค้นกระเป๋าและเอกสารของอันเดร พบว่าในกระเป๋ามีมีดทำครัวคมกริบหนึ่งด้าม กระปุกวาสลิน เชือกหนึ่งขด และผ้าขี้ริ้วเล็ก ๆ หนึ่งผืน ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกเลยสักนิดว่าเขาเป็นผู้จัดการบริษัทขายเครื่องจักรกล ตำรวจเริ่มมั่นใจว่าเจ้าอันเดรนี้ต้องเป็นนักเชือดแห่งรอฟตอสแน่นอน ตำรวจขอเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจเพื่อเปรียบเทียบตัวอย่างน้ำอสุจิที่ได้จากฆาตกร แต่...........

การตรวจสอบกินเวลาถึงสองเดือน ผลออกมาทำให้ตำรวจเข่าอ่อน น้ำอสุจิเกิดเสื่อมสภาพ การทดสอบล้มเหลว น้ำอสุจิของฆาตกรไม่ตรงกับตัวอย่างเลือดของอันเดร และอันเดรถูกปล่อยเป็นอิสระ แม้อันเดรจะพ้นจากการกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร แต่ไม่นานนักเขาก็ถูกจับเข้าคุกอีกข้อหาลักทรัพย์ เจ้าทรัพย์ยืนยันที่จะเอาผิด ส่งผลให้อันเดรถูกจำคุก 3 เดือน เป็นความผิดเล็ก ๆ ที่ตำรวจต้องบาดใจ ตำรวจถึงทางตัน ใครคือฆาตกร?

2 กันยายนปีเดียวกัน นาตาซา โกโลซอฟสกายา นอนตายที่สวนสาธารณะเอวิเอเตอร์ กลางเมืองรอสตอฟ หน้าอกและมดลูกถูกคว้านออกจากร่างกาย 26 กันยายน พบเด็กชายวัย 11 ปี เอ็ด ซาซา เซเพล นอนตายในป่าเครื่องเพศหายไป ตำรวจหายังไงก็ไม่พบ คาดว่าฆาตกรคงกินมันไปแล้ว การฆ่าก็ยังดำเนินต่อไป ในขณะที่ตำรวจถึงคราวตัน แวบหนึ่งของความคิด หัวหน้าทีมสืบสวนของรัสเซียนึกถึง FBI ของสหรัฐอเมริกา พวกนั้นน่าจะมีคำตอบ เขารีบติดต่อขอความช่วยเหลือทันที FBI ตอบกลับ ขอข้อมูลเกี่ยวกับคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพศพและหลักฐานแวดล้อม แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาฆาตกรรมต่อเนื่องมาวิเคราะห์ เพียงไม่นานผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ถูกส่งไปยังรัสเซีย การวิเคราะห์นั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง

“ฆาตกรต้องใช้มีดปลายแหลมทะลุแทงเหยื่อให้หูหนวกก่อนลงมือทารุณกรรม“ กรณีที่เป็นเด็กผู้ชาย ไม่เพียงตัดลูกอัณฑะเท่านั้น แต่ฆาตกรยังกินมันด้วย แสดงว่าฆาตกรต้องบกพร่องทางเพศ และอาจมีความเชื่อว่าอัณฑะของเด็กช่วยรักษาอาการของตนได้ ฆาตกรฆ่าเหยื่อหลังจากที่ทรมานให้หน่ำใจแล้วโดยการกัดหลอดลม เหยื่อทุกรายต้องทำให้หูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ก่อนชำแหละ นั้นแปลว่าพวกเขาถูกชำแหละทั้งเป็น!!

“ทำไมฆาตกรถึงต้องควักนัยน์ตาเหยื่อหรือ? จากการวิเคราะห์ฆาตกรจะต้องมีความเชื่อว่าฆาตกรกลัวดวงตาที่เหลือกลานของเหยื่อขณะที่เขาลงมือ หรือไม่ก็ได้ยินมาว่าแก้วตาของเหยื่อที่ถูกฆ่าตายจะบันทึกภาพฆาตกรเอาไว้ ฆาตกรอาจเคยเป็นครู แต่ขณะนี้ไม่ได้เป็นแล้ว เขาต้องเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ สังเกตจากการพบศพในที่ต่าง ๆ กัน อาจมีรถเป็นของตัวเอง (ซึ่งต้องเป็นคนระดับสูงในรัสเซียเท่านั้น) หรืออาจเดินทางโดยรถไฟ

ฆาตกรรายนี้ไม่ใช่คนบ้าเพราะเขาจะต้องลงมืออย่างชาญฉลาดในเวลาที่เหมาะสม ฆาตกรสามารถควบคุมพฤติกรรมของตัวเองทุกขั้นทุกตอนของการกระทำ มีความคิดว่ามันมีพรสวรรค์ในการฆ่าคน ฉลาดวิปริต ชอบร่วมเพศกับเด็ก นิสัยของฆาตกร น่าจะเป็นพวกชอบความอำมหิตพอดู ชอบดูเหยื่อที่ตายช้า ๆ อย่างทรมานตรงหน้าเพื่อบรรลุจุดสุดยอด เช่น มันใช้ค้อนทุบที่ศีรษะของเหยื่ออย่างรุนแรงให้หมดความรู้สึก ต่อจากนั้นก็ใช้มีดชำแหละร่างกายของเหยื่อเพื่อความสะใจขณะที่เหยื่อยังมีลมหายใจ มันนั่งใกล้กับร่างของเหยื่อที่นองไปด้วยเลือด มีบาดแผลเหวอะหวะทั่วตัว ท่ามกลางคาวเลือดที่ฟุ้งกระจาย ฆาตกรแหวะเครื่องในต่าง ๆ อย่างมันมือ จากนั้นก็สำเร็จความใคร่ มันโหดกว่าแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์เสียอีก"


◘ ฤดูใบไม้ผลิ ◘ 
หลังจากการพบศพผู้หญิงในรอสตอฟในปี ค.ศ. 1985 นักชำแหละแห่งรอฟตอสอยู่ ๆ ก็หยุดลงมือ และแล้วในฤดูใบไม้ผลิ นักฆ่าแห่งรอสตอฟมันก็กลับมาอีกครั้ง ในมาดที่แปลกไป............วันที่ 6 เมษายน 1988 มีการพบศพหญิงสาวข้างทางรถไฟ ในสภาพที่มือไพล่หลัง ลำตัวถูกกระหน่ำแทงทั้งตัว กระโหลกยุบ และปลายจมูกถูกตัดขาดออก แต่ตำรวจรวมทั้งนักสืบ วิคเตอร์ บูราคอฟ ไม่กล้าตัดสินใจว่าเป็นคดีเดียวกันกับฆาตกรต่อเนื่องคดีแรก เพราะร่องรอยผิดกัน ในวันที่17 พฤษภาคม 1988 มีผู้พบศพเด็กชายวัย 8 ปี ในป่าไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก ผลจากการชันสูตร พบว่ามีร่องรอยข่มขืนทางทวารหนัก ฆาตกรหาขยะที่หาได้จากแถวนั้นยัดเข้าปากเด็กชาย พร้อมกระหน่ำแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า อวัยวะเพศถูกตัดขาด ทว่าหลังจากศพเด็กคนล่าสุดก็พบอีกหนึ่ง ศพที่พบเป็นหญิงสาว ศพนี้ได้ร่องรอยที่ดีมาก ๆ นั่นคือ มีพยานเห็นว่าเคยเห็นหญิงสาวผู้ตายคนนี้ เธอชื่อว่า วอรองโก ก่อนตายเธออยู่กับชายฟันเลี่ยมทอง วัยสูงอายุ และแล้วโชคก็เข้าข้างบูราคอฟ เนื่องจากผลการตรวจคราบอสุจิของกองนิติเวชถูกส่งมา สรุปว่า *ฆาตกรไม่ได้มีกรุ๊ปเลือด AB เนื่องจากไม่สามารถตรวจได้แน่ชัด จึงขอเปลี่ยนผลสรุปเป็น "ไม่อาจระบุกรุ๊ปเลือดได้" 

วันที่ 6 เมษายน 1989 พบศพเด็กชายวัย 16 ปี ถูกฆ่าหมกป่า รายนี้มีการแจ้งหายตั้งแต่ฤดูร้อนที่ผ่านมา สภาพร่างกายถูกแทงหลายแผล อวัยวะเพศถูกคว้านออกมาทั้งหมด ยกเว้นลูกนัยน์ตาเท่านั้นที่ไม่ถูกควัก มันเป็นการฆาตกรรมของฆาตกรรายเดียวชัด ๆ ในเวลานั้นผู้ต้องสงสัย ยูริ คาเลนนิคได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกพอดี หลังจากถูกคุมตัวสืบสวนนานถึง 5 ปี ตำรวจบุกเข้ามารวบตัวถึงบ้าน แต่หลังจากสืบสวนแล้วก็ถูกปล่อยตัวในเวลาไม่นานนัก

วันที่ 11 พฤษภาคมปีเดียวกัน ตำรวจรับแจ้งเด็กหายเป็นเด็กวัย 8 ปี ศพถูกพบในสภาพโหดสุด ๆ ในป่าละเมาะใกล้ทางรถไฟที่เด็กหายตัวไป มีร่องรอยการข่มขื่นทางทวารหนักอย่างรุนแรง เครื่องเพศถูกคว้าน ฆาตกรหาขยะแถวนั้นยัดจนเต็มปาก มีรอยถูกแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ลำตัว ศีรษะมีรอยยุบ สิงหาคม 1989 อีเลน่า วาร์กา นักศึกษาชาวฮังกาเรียน ถูกพบเป็นศพในป่าละเมาะใกล้ทางรถไฟ ตามร่างกายถูกแทงและคว้านเหมือนศพอื่น ๆ ที่พบมา 2 สัปดาห์ถัดมา อเล็กไซ โคห์โบตอฟ อายุ 10 ขวบ หายตัวไป อีก 4 เดือนถัดมา ต้นปี ค.ศ. 1990 มีผู้พบศพถูกข่มขืนทางทวารหนักในเขตเลโซโพโลซ่า ต่อมาไม่นานนักมีผู้พบศพเด็กอายุ 10 ขวบถูกฆ่าอย่างทารุณ อวัยวะเพศถูกตัดออกไปทั้งพวง ลิ้นแหว่งหายไป เห็นได้ชัดว่า ฆาตกรเริ่มเปลี่ยนการล่าเหยื่อหันมาล่าเด็กชายมากกว่าผู้หญิง รูปแบบการฆ่าเด็กผู้ชายจะเหมือนกัน กล่าวคือฆาตกรจะจับมือไพล่ไว้ด้านหลังป้องกันไม่ให้เหยื่อขัดขืน หลังจากนั้นจะบีบปากเหยื่อให้อ้า กัดลิ้นและดึงลิ้นจนหลุดออกเพื่อไม่ให้เหยื่อร้องขอความช่วยเหลือ ขณะที่เหยื่อทรมานถึงสุดขีด การแล่เนื้อก็เริ่มขึ้น มีการข่มขืนทางทวารหนัก จากนั้นก็เอามีดแทงหู ควักนัยน์ตาออกจากเบ้า ทั้งหมดนี้ทำในขณะเหยื่อมีชีวิต

8 ปีที่ผ่านมานักชำแหละเชือดเหยื่อไปทั้งสิ้น 38 ศพ การปิดข่าวของตำรวจเริ่มไม่ได้ผล หนังสือพิมพ์เริ่มประโคมข่าวใส่สีตีไข่ขนาดหนัก ว่าตำรวจไร้น้ำยา รัฐมนตรีระดับสูงเริ่มกดดันเอาผิดตำรวจชั้นผู้น้อยกันจ้าละหวั่น ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 ตำรวจได้ระดมพลอีกครั้งอย่างมโหฬาร จนนับได้ว่านี้เป็นการปฏิบัติการของตำรวจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก 

วันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1990 อีวาน โฟมิน วัย 11 ปี ไปเล่นน้ำในบึงไม่ไกลจากระท่อมของย่าตัวเองมากนัก จากนั้นก็กลายเป็นศพเหมือนเหยื่อรายอื่น ศพถูกแทง 42 แผล และชำแหละอย่างเคย และต่อมาก็พบเหยื่อผู้หญิงถูกทุบตีและแทงอย่างบ้าคลั่งและลิ้นหายไป และแล้วการปฏิบัต
ิการตามล่านักชำแหละแห่งรอสตอฟก็บรรลุผล.....วันที่ 1 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1990 เมื่อจ่าอิเกอร์ ไรบาร์กอฟ เฝ้าสังเกตการณ์ ณ สถานีรถไฟ ชานเมือง เขาสังเกตถึงความผิดปกติ สถานีแห่งนั้นติดอยู่กับชายป่าที่คนทำงานจำนวนหนึ่งมีบ้านพักอยู่แถวนั้น จ่าอิเกอร์เริ่มสะดุดตากับชายคนหนึ่ง อายุราว 50 ศีรษะล้าน แต่งตัวสะอาดสะอ้านกำลังเดินผ่านมา เขาจึงเรียกชายผู้นั้นให้หยุดเพราะเห็นอะไรบางอย่างบนหน้าสะอาดและแจ่มใส มันคือจุดสีแดงเล็ก ๆ คล้ายกับเลือดพุ่งกระเด็นติดหน้า ทราบชื่อภายหลัง คือ อันเดร โรมาโนวิช ชิกาทิโลเจ้าเก่านั้นเอง! อันเดรถูกจับอีกครั้ง เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าเลือดที่กระเซ็นมาติดหน้านี้มาจากไหน ตำรวจทำการค้นหาป่าทุกตารางนิ้ว และในเวลาอันรวดเร็วตำรวจก็พบร่างของโสเภณี สเวตา โกรอสติก ถูกพบในพุ่มไม้ ถือได้ว่าเป็นเหยื่อรายสุดท้าย รายที่ 52!!! ที่ถูกค้นพบ สรุปคือ....มีเหยื่อถึง 52 ราย (อาจมากกว่านี้) สังเวยให้ฆาตกรรายนี้ 

หลังอันเดรถูกจับกุมเขาเลือกไม่ยอมให้การใด ๆ กับตำรวจทั้งสิ้น แต่จากการพิสูจน์เลือดและน้ำอสุจิใหม่ ทุกอย่างยืนยันว่าเขาคือนักชำแหละแห่งรอสตอฟตัวจริง ตำรวจเริ่มทำการบุกค้นบ้านของอันเดร ตำรวจพบมีดต่าง ๆ ถึง 23 เล่ม ภรรยาและลูกต่างตกตะลึงไม่เชื่อว่าหัวหน้าครอบครัวเป็นฆาตกรโรคจิตสุดโด่งดัง แต่กระนั้นอันเดร ชิกาทิโลก็ไม่ให้การใด ๆ มากนัก เขาฉลาดพอที่จะให้ข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ตำรวจและเรียกร้องขอทนาย จนตำรวจต้องสอบปากคำต่อหน้าทนายที่รัฐบาลจัดให้ และนี่คือบางตอนของการสอบปากคำอันเดร “มันเป็นการอบสวนแบบดุดัน เหี้ยมเกรียม เพื่อกดดันให้ชิกาทิโลทนไม่ได้และยอมสารภาพขึ้นมา แต่เขาก็ยังยืนยันว่าเขาไม่ทำผิดอยู่นั้นแหละ”ตำรวจเริ่มบ่น “ตำรวจใส่ความผมชัด ๆ” ตำรวจส่ายหน้าและยิ้มก่อนที่จะบอกว่า “ไอ้โกหก เราน่ะมีพยานและหลักฐานแน่นหนาที่จะเอาผิดกับนายนะ เมื่อนายขึ้นศาลละก็นายตายแน่ ๆ” แท้จริงตำรวจโกหกคำโต เขาไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันสักหน่อย การพิสูจน์เลือดและอสุจิยังไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นหลักฐาน วันรุ่งขึ้นชิกาทิโลก็แสดงความฉลาด เขาขอพบตำรวจและเขียนคำสารภาพ ตำรวจจัดหากระดาษและปากกาพร้อม แต่ผลทีอีกมากลับเป็นจดหมายตลกซะงั้น ตำรวจเริ่มหัวเสีย ไอ้บ้านี้คิดจะเป็นฮันนิบาลหรือไง

ดร.บูคานอฟสกี้ จิตแพทย์ชาวมอสโคว์จึงขออาสาเข้ามารับหน้าที่เป็นผู้สอบสวน แต่ได้ระบุไว้ว่า ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการงานและชื่อเสียง ซึ่งตอนนี้ ทางกรมตำรวจไม่มีทางเลือกแล้ว จึงต้องเชิญ ดร.บูคานอฟสกี้ เข้ามาทำหน้าที่หลอกล่อฆาตกร ดร.บูคานอฟสกี้ เข้าใจแก่นแท้ของฆาตกรโรคจิตที่ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายใช้กำลังบังคับ เขาก็ต้องการให้คนอื่นรับรู้ว่า เขาเป็นคนหนึ่งที่ต้องการความเป็นมนุษย์เหมือนกัน ในที่สุดคำสารภาพจากปากก็ออกมา ด้วยถ้อยที่ที่ไม่มีการบังคับ ขู่เข็ญของจิตแพทย์ผู้ชาญฉลาด เขาคุยกับชิกาทิโล เสมือนว่าเป็นเพื่อนที่คบกันตั้งแต่วัยเยาว์ เขาคุยอย่างเป็นกันเองรวมถึงรับฟังคำสารภาพที่เต็มไปด้วยเรื่องชำแหละ คดีต่าง ๆ ที่เขาทำจนหมดสิ้น แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือชิกาทิโลจดจำเหยื่อที่เขาฆ่าได้ถึง 36 รายอย่างละเอียดทุกขั้นตอน รู้แม้กระทั่งการเลือกมีดที่เหมาะสมสำหรับเหยื่อนั้น ๆ 



“ผมหลงใหลในเสียงร้อง ความกลัว และความเจ็บปวดของคนที่ผมฆ่า เลือดที่พุ่งกระฉูดออกจากบาดแผลและกลิ่นคาวเลือด ทำให้ผมผ่อนคลาย ผมติดใจในการชิมเลือดของเหยื่อสังหาร และพอใจการใช้ฟันกัดกระชากปากของเหยื่อให้ขาดออกมา มันให้ความรู้สึกว่าผมเป็นสัตว์ร้ายที่ทรงพลังอำนาจหลังกินส่วนต่าง ๆ ของเหยื่อ” ชิกาทิโลทำแผนคำประกอบรับสารภาพอย่างละเอียดและทุกขั้นตอน และให้รายละเอียดศพต่างๆ ที่ยังไม่ถูกค้นพบจนครบ 52 ราย (อาจมากกว่านั้น)

◘ ประวัตินักฆ่ารัสเซีย ◘
อันเดร โรมาโนวิช ชิกาทิโล เกิดที่หมู่บ้านยาโบลชนอย ในยูเครน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1936 บิดาของเขาถูกเกณฑ์ให้ไปทำงานตั้งแต่เขายังเด็กแต่ก็ส่งเงินมาให้ใช้เป็นประจำ ทิ้งให้มารดาต้องดูแลชิคาติโลและน้องสาวอีกหนึ่งคนตามลำพัง ที่สำคัญเขาเป็นโรคที่มีความผิดปกติทางสมอง เนื่องจากมีน้ำขังอยู่ในบริเวณเนื้อเยื่อสมอง ทำให้ชิคาติโลมีศีรษะที่โตกว่าคนปกติ ใคร ๆ เห็นต่างก็กลัวเขา ในตอนที่ชิกาทิโลเกิดนั้น รัสเซียอยู่ช่วงมืดมนพอดี สตาร์ลินริเริ่มการปกครองแบบสังคมนิยมด้วยการยึดที่ดินการเกษตรและผลผลิตทั้งหมดให้เป็นของรัฐ ทำให้ยูเครนประสบกับสภาวะขาดแคลนอาหาร ชาวนาพากันต่อสู้ฆ่ากันเองเพื่อแย่งชิงอาหาร และมีกระทั่งการกินเนื้อคนเพื่อประทังความหิว ชิกาทิโลได้รู้ในภายหลังว่าพี่ชายของเขาก็เป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกกินเป็นอาหาร และเรื่องนี้เองที่กลายมาเป็นพื้นฐานทางนิสัยของเขาในภายหลัง

“แม่ผมบอกว่า....” ชิกาทิโลย้อนความหลัง "ตอนนั้นบ้านเรามีผู้คนอดอยากจนถึงขั้นไล่ฆ่าเอาเนื้อมากิน พี่ผมถูกพวกชาวบ้านลากเอาไปฆ่าแล้วชำแหละกิน แม่บอกว่าอย่าออกไปนอกบ้านนะไม่งั้นจะโดนกินเหมือนพี่ชาย” (ไม่เคยมีรายงานหรือบันทึกการกินคนในยูเครน คาดว่าเป็นเรื่องแต่งของแม่ของชิกาทิโลมากกว่า เพื่อไม่ต้องการออกนอกบ้าน จนเป็นผลร้ายในเวลาต่อมา) ปี 1941 ระหว่างการบุกทิ้งระเบิดของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 ชิกาทิโลได้เห็นความตายมากมาย ซึ่งเขาได้โยงเอาภาพของศพไร้แขนขาที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกมาบวกเข้ากับอารมณ์ทางเพศ และวาดจินตนาการว่าตนเป็นทหารเร้ดอาร์มี่ที่ทรมานเชลยศึกชาวเยอรมัน

ความจริงแล้วชิกาทิโลเป็นเด็กชายเงียบขรึมเก็บเนื้อเก็บตัว เขาสายตาสั้นอย่างแรง หากก็กลัวที่จะถูกล้อเลียนจึงไม่ยอมใส่แว่นตา ซึ่งก็ยิ่งทำให้เขาทำงานผิดพลาดบ่อย ๆ และถูกล้อเลียนหนักเข้าไปอีก (เขาไม่ยอมไส่แว่นจนกระทั่งสอบใบขับขี่เมื่ออายุ 30 ปี) ในช่วงวัยเด็ก ชิกาทิโลมีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรก เมื่อต่อสู้กอดรัดเพื่อนน้องสาวอายุ 10 ขวบ ใขณะที่เล่นกันนั้นเองเขาก็ถึงจุดสุดยอด จากนั้นเขาก็ฝังใจมาตลอดว่าเขาสามารถถึงจุดยอดได้โดยไม่ต้องร่วมเพศ ชิกาทิโลเป็นคนขี้อายขนาดหนักโดยเฉพาะต่อหน้าเด็กผู้หญิง เขาพยายามจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยมอสโควาเพื่อที่จะเอาชนะปมด้อยนี้ หากก็สุดท้ายก็สอบตก (ในข้อนี้เจ้าตัวกล่าวว่า ที่จริงคะแนนของตัวเองดี แต่เพราะพ่อกลายเป็นเชลยเยอรมัน เขาเลยสอบตก) แล้วหลังจากนั้นก็เข้าเรียนต่อในโรงเรียนการช่างแทนหลังจากเข้ารับราชการทหาร 3 ปี

ชิกาทิโลกลับมายังบ้านเกิดและประสบกับเหตุการณ์ที่กลายมาเป็นตัวกำหนดชีวิตของเขาในภายหลัง ผู้หญิงที่เขาคบด้วยพบว่าชิกาทิโลไม่มีสมรรถภาพทางเพศและนำไปพูดให้คนรอบ ๆ รู้จนหมด เขารู้สึกอับอายและแค้นใจในเรื่องนี้มาก ถึงกับบอกในภายหลังการจับกุมว่าตนอยากจะฆ่าผู้หญิงคนนี้แล้วฉีกร่างของเธอให้เป็นชิ้น ๆ (ชิกาทิโลไม่มีสมรรถภาพทางเพศก็จริง แต่เขาไปถึงจุดสุดยอดได้เมื่ออีกฝ่ายขัดขืน ซึ่งในจุดนี้เองที่ชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นซาดิสซึ่ม)

ปี 1960 ชิกาทิโลทิ้งบ้านเกิดอันมีแต่ความทรงจำอันเลวร้าย แล้วย้ายมายังกรุงรอสทอฟและประกอบอาชีพช่างไฟฟ้าที่นั่น หากก็ยังไม่มีเพื่อนฝูงเช่นเดิมจนได้พบกับหญิงสาวที่น้องสาวแนะนำให้และแต่งงานในปี 1963 หลังจากชีวิตเซ็กส์อย่างลุ่มๆดอนๆ ก็มีบุตรชายและบุตรสาวอย่างละคน หากชิกาทิโลก็กล่าวว่าการมีเซ็กส์กับภรรยานั้นเป็นเพียงการมีลูกเท่านั้นเอง เซ็กส์ในอุดมคติของเขาคือการที่ตนมีอำนาจอย่างเด็ดขาดเหนือผู้หญิง ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาสะสมความไม่พอใจนี้ไว้ทีละน้อย และทางออกเพียงทางเดียวของเขาก็คือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ปี 1971 ชิกาทิโลสอบได้ใบอนุญาตเป็นครูจากการศึกษาทางไปรษณีย์ ภรรยาของเขาภูมิใจในเรื่องนี้มากเพราะอาชีพครูนั้นถือเป็นตำแหน่งมีหน้ามีตาสำหรับรัสเซียในยามนั้น หากในความจริงแล้วชิกาทิโลเป็นอาจารย์ที่ไม่ดีนัก เขาถูกดูหมิ่นทั้งจากนักเรียนและเพื่อนอาจารย์ด้วยกัน หากที่ยังไม่ยอมเลิกอาชีพครูก็เพราะเขาอาศัยตำแหน่งของตน ลอบเข้าไปถ้ำมองนักเรียนหญิงในหอพัก เดือนพฤษภาคม 1973 ก็ถูกจับได้เมื่อจะล่วงเกินทางเพศนักเรียนหญิงอายุ 14 ปีหากคดีนี้ไม่แดงขึ้นมาเพราะทางโรงเรียนปิดข่าว ชิกาทิโลถูกสั่งย้าย คราวนี้เขาลอบเข้าไปในหอพักนักเรียนชายและถูกจับได้อีก แน่นอนว่าเขาถูกนักเรียนล้อเลียนในเรื่องนี้เป็นอย่างมากมาถึงตอนนี้ การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเริ่มไม่เพียงพอแก่ชิกาทิโล เขาย้ายไปอยู่นอกเมืองและซื้อเพิงเล็ก ๆ ไว้สำหรับพาโสเภณีหรือคนจรจัดไปหาความสำราญ แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไง โรคไร้สมรรภภาพทางเพศก็ไม่ดีขึ้นเสียที

ส่วนภรรยาของชิกาทิโลก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นฆาตกรเหมือนกัน เธอมีนิสัยเหมือนแม่เขา จู้จี้ขี้บ่น จนทำให้ชิกาทิโลเป็นคนเก็บกด อีกทั้งแม่เขาถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1973 ขณะที่ชิกาทิโลอายุได้ 37 ปี จากนั้นไม่นานนักเขาก็เริ่มพบว่าการกระทำทารุณกรรมกับสตรีทำให้เขารู้สึกว่าเขามีพลังแข็งแกร่งถ้าเขาทำกระทำทารุณกรรมกับสตรีและเด็ก แล้วในที่สุดชิกาทิโลก็ก่ออาชญากรรมครั้งแรกขึ้นและก่อคดีต่อเนื่องยาวนานถึง 8 ปี ก่อนถูกจับด้วยความบังเอิญในเวลาต่อมา ชิกาทิโลขึ้นศาลครั้งแรกที่เมืองรอสตอฟ วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1992 ชิกาทิโลขึ้นศาลด้วยการจองจำในกรงขังเหล็กทาสีขาวขนาดเล็ก เขาไม่สามารถยืนหรือนั่งได้อย่างสบายนัก ผู้พิพากษานั่งบนบังลังก์ อัยการยื่นสำนวนกว่า 225 แฟ้มเพื่อส่งให้ผู้พิพากษาพิจารณา ห้องพิพากษาเต็มไปด้วยคนจากทั่วทุกสารทิศถึง 250 คนจนล้นที่ ทุกคนต่างแห่มาดูหน้าฆาตกร พร้อมคำสาปแช่งที่มาเป็นระลอกคลื่น ร่างของชิกาทิโลสูงใหญ่ เท้าใหญ่ หัวล้าน แก้มตอบ ไม่สวมแว่นตา ดวงตาขวางเหมือนคนบ้า ไม่ทำตัวสงบเมื่ออยู่ในศาลสักนิด ชอบทำอะไรแปลก ๆ ออกมา เช่น เอามือรูดกางเกงแล้วโชว์ของลับออกมาให้ทุกคนดู ถ่มน้ำลาย ส่ายหัวไปมา คอเอียง พร้อมสบถและด่าศาลเป็นระยะ ๆ 

ดร.บูคานอฟสกี้ ให้การว่าคนป่วยจิตวิปลาสไม่ต้องเข้าเรือนจำ แต่ให้ไปรับการบำบัด แล้วทำไมจำเลยต้องฆ่าคนละ อัยการถาม “ไอ้พวกที่ผมฆ่าน่ะมันเหมือนกับเครื่องบินรบของนาซี ผมสอยมันร่วงมาทีละลำ” วันต่อมาชิกาทิโลร้องเพลงบ้า ๆ บอ ๆ และสบถออกมาจากกรงเหมือนลิงในสวนสัตว์ ก่อนที่จะถึงวันพิจารณาคดีครั้งสุดท้าย แต่จากการพิพากษา ศาลเห็นว่า พยานรวมถึงคำสารภาพของชิกาทิโล มีน้ำหนักพอที่จะให้เขาเป็นผู้กระทำผิดได้ และความเห็นของจิตแพทย์ได้นำสืบ สรุปได้ว่า “จำเลย อังเดร ชิกาทิโล มีความผิดจริงตามข้อกล่าวหาคดีทำร้ายร่างกายสาหัส 5 คดี กระทำการฆาตกรรมอันมีพฤติกรรมที่เหี้ยมโหดโดยที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้ จึงพิพากษาให้ประหารชีวิตให้ตกไปตามกัน” สิ้นสุดคำพิพากษา ชิกาทิโลร้องตะโกนเฉกเช่นเดียวกับสัตว์ป่าที่ถูกกระหน่ำด้วยไรเฟิล “ไม่จริงมันโกหก มันหลอกข้า....!!!" เขาถ่มน้ำลาย ยกเก้าอี้ฟาดกับพื้นร้องขอพบตำรวจ ระหว่างทางที่ถูกคุมตัวก็มีประชาชนกลุ่มใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นบรรดาญาติของผู้ที่เสียชีวิต จากเหตุฆาตกรรมของเขา พวกชาวบ้านพากันสาบแช่ง รวมถึงตะโกนให้สับมันเป็นชิ้น ๆ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1994 คำร้องของทนายชิกาทิโลไม่เป็นผล เพราะไม่มีทางที่ตำรวจรวมทั้งศาลจะยกโทษให้กับชายวิปลาสที่ฆ่าคนไปถึง53 รายเด็ดขาด ชะตาของสัตว์จากนรกใกล้จะขาดแล้ว

วันที่ 14 ตุลาคม 1992 ในที่สุดอังเดร ชิกาทิโล อายุ 52 ปี ถูกนำไปที่แดนประหารที่เป็นห้องเก็บเสียง ถูกมัดมือและผูกตา นั่งคุกเข่า เพชฌฆาตเล็งปืนพกออโตเมติคจ่อยิงที่เหนือกกหูขวา กระสุนทะลวงออกด้านซ้าย เสียชีวิตทันทีอย่างไม่ทรมาน ผิดกับเหยื่อที่เขาสังหารไป ชีวิต ต้องชดใช้ด้วยชีวิตที่มันไม่สาสมสักนิด หลังจากนั้น อันเดร ชิกาทิโล วัย 52 ปี (บางข้อมูลระบุว่าอายุ 54 ปี) กลายเป็นฆาตกรที่ 10 อันดับแรกที่โลกต้องจดจำ ชื่อของเขาและประวัติของเขาถูกบันทึกในสารคดีและบันทึกในหนังสือต่าง ๆ เช่น ซีเรียล ออฟเฟนเดอร์ ล่าปีศาจ ฯลฯ และล่าสุดพฤติกรรมวัยเยาว์ของเขาถูกนำไปใช้เป็นพล็อตในประวัติฮันนิบาล วัยเยาว์ เมืองรอสตอฟ ออนดัน หลังจากหมดยุคของอันเดร ชิกาทิโล








 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 19 ตุลาคม 2558 14:32:11 น.
Counter : 5405 Pageviews.  

แลร์รี่ ไอเลอร์ : นักฆ่าไฮเวย์

ฆาตกรต่อเนื่องมักมีความสนใจหรือพยายามที่จะสนใจ ในเรื่องที่เหยื่อชื่นชอบเป็นพิเศษ เช่น การเรียน การแข่งขัน เรื่องเพศ ฯลฯ เมื่อก่อคดีพวกฆาตกรต่อเนื่อง มักจะมีความรู้สึกที่คล้ายกับ กำลังทำการค้นคว้าวิจัยบางสิ่งบางอย่างของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่มีความรู้สึกผิด กับสิ่งที่ตนนำมาทดลองเหมือนกับการนำกบมาชำแหละเพื่อศึกษาโครงสร้าง ฆาตกรต่อเนื่องจะพยายามเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของตน ก็เมื่อได้ก่อคดีในแต่ละครั้ง ด้วยการสร้างความเจ็บปวดให้เหยื่อ และประเมินสภาพของศพเมื่อเหยื่อตายไปแล้ว


ฆาตกรต่อไปนี้เป็นที่รู้จักในฉายาว่า “นักฆ่าริมทางหลวง (Highway Killer)” เขาเกิดในปี 1952 ฆ่าเหยื่อไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนอาจประมาณ 20-23 คน และฉายานี้มาจากที่เขาฆ่าเหยื่อแล้วเอาศพไปทิ้งไว้ข้างถนน ออกอาละวาดใน 4 รัฐ คือ เคนตั๊กกี้ โอไฮโอ อินเดียนา และอิลลินอยส์ เหยื่อที่ลงมือจะต้องเป็นเกย์ที่หาได้ตามท้องถนน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักโบกรถ หรือตามบาร์เกย์ โดยมีเพศสัมพันธ์แล้วก็ฆ่า โดยใช้อาวุธมีดเป็นหลัก และเชี่อว่าเขามีคู่หูอีกหนึ่งคน ซึ่งตอนนี้คู่หูที่ว่ายังคงเป็นปริศนาอยู่ แลร์รี ไอเลอร์ เกิดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 1952 ที่ครอว์ฟอร์ดวิลล์ รัฐอิลลินอยส์ เป็นบุตรชายคนที่สี่และเป็นคนสุดท้องของครอบครัว พ่อแม่หย่าตั้งแต่เขายังเป็นทารก และแม่ก็แต่งงานใหม่ เมื่อโตขึ้นหน่อยก็ถูกพ่อเลี้ยงล่วงละเมิดทางเพศ เมื่ออายุ 18 ปีแลร์รี่ก็โดนไล่ออกจากไฮสคูล ทำให้ต้องเรียน General Educational Development (GED) แทน (หลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนระดับม. ปลาย) เมื่ออายุ 22-26 ปีเขาก็ลงทะเบียนเรียนต่อมหาลัย แต่ก็ไม่จบ จึงไม่ได้รับปริญญา วันที่ 3 สิงหาคม 1978 แลร์รีย้ายมาอยู่รัฐอินเดียน่า ทำงานรับจ้างทั่วไป ในช่วงนั้นแลร์รีรู้ตัวว่าเขาเป็นเกย์และเกิดอาการรังเกียจตัวตัวเองและอยากกำจัดเรื่องอันอดสูนี้ออกจากตัว เขาพยายามต่อต้านภายในจิตใจ และต้องการทำอะไรสักอย่างเพื่อกำจัดตัวตนของเขาไป



วันที่ 3 ตุลาคม 1982 เมื่ออายุ 30 ปีเขาก็เริ่มสังหารเหยื่อรายแรก เขาบีบคอ เดโลวอยด์ เบเกอร์ อายุ 14 ปี จากนั้นก็ทิ้งศพไว้ริมถนนอินเดียน่าโพลิสทางตอนเหนือ รู้สึกนักฆ่าไฮเวย์คนนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะวันที่ 23 ในเดือนเดียวกันเขาก็เริ่มฆ่าเหยื่อ เหยื่อร
ายที่สองคือ สตีเว่น คร็อกเก็ตต์ ถูกฆ่าด้วยการด้วยแทงมีดจนมิดด้ามถึง 32 แห่ง ตามด้วยแทงที่หัวจนมีบาดแผลลึกน่ากลัวอีก 4 แผล ร่างกายของเขาถูกทิ้งไว้ข้างถนนในรอลเวล อินเดียน่า การพบศพของสตีเวนถือได้ว่า ทำให้ทางการรู้ตัวว่าฆาตกรต่อเนื่องรายใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว และฆาตกรรายนี้เน้นฆ่าเกย์ พวกรักร่วมเพศเป็นหลัก เจ้าหน้าที่อินเดียน่าและอิลลินอยส์ได้ร้องขอให้ FBI เข้ามาตรวจสอบ เพราะเวลานั้นการตรวจสอบหาหลักฐานระหว่างรัฐสองรัฐยังไม่สะดวก แต่น่าเศร้าที่ FBI เลือกที่จะไม่สนใจมัน ทำให้เหยื่อของฆาตกรไฮเวย์ต้องเพิ่มอีกหลายศพ 


วันที่ 4 พฤศจิกายน 1982 ที่รอลเวล อินเดียน่า แลร์รี่ถูก เครก ทาวน์เซ่นด์ ที่กำลังมึนเมาตีเข้าทีศีรษะจนเขาได้รับบาดเจ็บและถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล หากแต่หลบหนีออกจากโรงพยาบาลก่อนที่พวกนักสืบจะมาสอบสวน ไม่รู้ว่าสาเหตุที่เขาถูกตีหัวอาจเป็นเพราะเขากำลังฆ่าเหยื่อหรือเปล่า และถ้าเป็นสาเหตุนี้จริงแลร์รี่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์ในการเลือกเหยื่อให้รัดกุมยิ่งขึ้น 



วันที่ 4 พฤศจิกายน 1982 ร่างกายไร้วิญญาณของโรเบิร์ต โฟลี่ ถูกพบบนถนนทางตะวันตกเฉียงเหนือของโจเลียต แต่ตำรวจไม่เชื่อว่านี้เป็นฝีมือของฆาตกรต่อเนื่อง วันที่ 21 ธันวาคม 1982 พบศพจอห์น จอห์นสันข้าง ดัมพ์ช่วงก่อนเข้าเมืองเบลชอว์ รัฐอินเดียน่า วันที่ 28 ธันวาคม 1982 ฆาตกรย่ามใจเพราะ 5 วันต่อมาหลังมีการพบศพจอห์น จอห์นสัน ก็มีการพบศพจอห์น โรช อายุ 23 ปี ใกล้เบลล์วิลล์ และอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็พบร่างของ สตีเว่น เอแกน ทางตอนเหนือนิวพอร์ต รัฐอินเดียน่า 

วันที่ 4 มีนาคม 1983 พบศพเอ็ดการ์ อันเดอร์คอฟเลอร์ อายุ 27 ปี ในแดนวิลล์ รัฐอิลลินอยส์ วันที่ 22 มีนาคม 1983 พบศพ เจ เรย์โนลด์ส นอกเมืองเล็กซิงตัน เคนตั๊กกี้ วันที่ 8 เมษายน 1983 พบศพ กัสตาโว เฮอร์เรร่า ในเลค ฟอเรสต์ รัฐอิลลินอยส์ วันที่ 15 เมษายน 1983 ช่วงนั้นแลร์รี่ย้ายมาอยู่อินเดียน่าโพลิสและเป็นสมาชิกคนหนึ่งของชุมชนเกย์ และในไม่ช้าหนังสือพิมพ์สำหรับเกย์ได้ตั้งรางวัลนำจับและเผยแพร่ข่าวสารฆาตกรที่จ้องจะฆ่าเกย์ พร้อมกับตั้งข้อสงสัยว่า ตำรวจต้องการช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่? วันที่ 2 กรกฎาคม 1983 ชายคนหนึ่งถูกฆาตกรรม ในฟอร์ด อิลลินอยส์ แต่ไม่สามารถระบุได้ผู้ตายเป็นใคร วันที่ 31 สิงหาคม 1983 พบศพถูกแทง 17 แผล ศพถูกพบที่ข้างทางไฮเวย์รัฐอิลลินอยส์ เจ้าหน้าที่อินเดียน่าเห็นรถกะบะวิ่งไปมาระหว่างสี่รัฐ และเขาเห็นชายน่าสงสัย 2 คน



เหยื่อรายถัดมา เดวิด บล๊อค ถูกฆาตกรรมและพบศพที่ไซออน อิลลินอยส์ ในวันที่ 7 พฤษภาคม 1984 ต่อมาแลร์รีถูกจับกุมคาถบรรทุก ตำรวจพบของกลางเพียบ ไม่ว่าจะเป็นมีดล่าสัตว์เปื้อนเลือดมนุษย์ เสื้อผ้า ฯลฯ ครอบครัวช็อกเมื่อรู้ว่าแลร์รีเป็นผู้ต้องสงสัยฆาตกรต่อเนื่องชื่อดัง “ไฮเวย์ คิลเลอร์” แลร์รีถูกจับเข้าคุกที่เลกคันทรี่ หลังจากแลร์รีถูกจับมีการพบศพรายก่อนหน้าตามมามากมาย ศพ 4 ร่างถูกพบในยุ้งข้าว วันที่ 5 ธันวาคม 1983 พบศพ จอห์น โด ใกล้เมืองเอฟฟิงแโม อิลลินอยส์ และวันที่ 7 ธันวาคม ริชาร์ด เวย์น ถูกพบใกล้อินเดียนาโพลิส และพบชิ้นส่วนศพของแดนนี่ บริดจ์ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเหยื่อรายสุดท้ายของแลร์รี่ถูกทิ้งอยู่ในถังขยะ โดยตอนนี้ตำรวจสามารถมีหลักฐานเชื่อมโยงได้ว่า แลร์รีมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง 18 ศพ



นอกจากนี้ยังได้พยานที่รอดชีวิตคือ เครก ทาวน์เซ่นด์ ที่ยินดีเป็นพยานให้การในศาล วันที่ 30 กันยายน 1986 ศาลตัดสินให้แลร์รีต้องโทษประหารชีวิตหลังจากพบว่าเขามีความผิดจริง แลร์รีถูกย้ายไปจำคุกที่เรือนจำในอิลลินอยส์เพื่อรอการอุทธรณ์ โดยแลกกับการสารภาพความผิดในกรณีฆาตกรรมเหยื่อรายอื่น ๆ ที่ทางการยังหาศพไม่พบให้ทราบ แต่รัฐปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว แลร์รีเสียชีวิตด้วยโรคเอดส์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 1983 ในขณะที่เขาอายุ 41 ปี ตอนที่เขาตายเขานอนอยู่บนเตียงและสารภาพบาปความผิดที่เขาทำมาทั้งหมด เขาสารภาพว่าฆ่าคนไป 20 ราย และอ้างว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดร่วมมือกับเขาด้วย ซึ่งหลังจากแลร์รีตาย เจ้าหน้าที่ยังคงสอบสวนหาผู้สมรู้ร่วมคิดที่แลร์รีอ้างต่อไป 

เรื่องราวของแลร์รีไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก แต่เรื่องฆาตกรรมเกย์นั้นนักจิตวิทยาให้ความสนใจมาก จากการศึกษาพบว่าฆาตกรต่อเนื่องส่วนใหญ่มักเป็นเกย์ และลงมือโหดเหี้ยมกว่าฆาตกรต่อเนื่องแบบอื่น ๆ มาก นอกจากนี้ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ เรื่องราวของแลร์รีก็ถือว่าเป็นดาราของนักนิยมเรื่องฆาตกรต่อเนื่อง มีการวาดรูปเขาในแบบต่าง ๆ นอกจากนี้มีการเขียนประวัติ เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องของเขามากมาย









 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2558 14:00:36 น.
Counter : 1526 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.