4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 
เอช. เอช. โฮล์มส์ : หมอปีศาจ (ตอนที่ 4)



○ จูเลีย สมิธ คอนเนอร์ และเพิร์ล

จูเลีย สมิธ อายุ 18 ปี จากดาเวนพอร์ต ไอโอว่า จูเลียเป็นคนสวย มีความสูงเกือบ 6 ฟุต รูปร่างอวบอั๋น มีชายหมายปองหลายคน เคยสมรสกับเน็ต ที. คอนเนอร์ พ่อค้าเพชรอัญมณีและนาฬิกา ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1880 เธอจึงใช้นามสุกลว่า คอนเนอร
์ ต่อมาปี ค.ศ. 1887 จูเลียได้กำเนิดลูกสาวชื่อเพิร์ล จากนั้นก็ย้ายตามสามีมาชิคาโก สามีเธอสมัครทำงานเป็นผู้จัดการร้านจิวเวอรี่ของหมอโฮล์มส์ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1890 เดือนพฤศจิกายน ปี 1890 ด้วยสัญญาจ้างงาน ทำให้เน็ตได้รับสิทธิ์พาครอบครัวมาพักที่ห้องพักชั้นสามของปราสาท วันหนึ่งน้องสาววัยสิบแปดของเน็ด ชื่อเกอร์ทรูด จากเมืองมาสคาทีน ไอโอวา แวะมาเยี่ยมและขอพักอาศัยด้วยชั่วคราว หญิงสาวต้องตาต้องใจกับหมอโฮล์มส์อย่างจัง หมอโฮล์มส์ถึงขั้นบอกหลงรักและขอแต่งงาน เกอร์ทูดตกใจตั้งรับไม่ทันขอกลับบ้านเกิดทันที และเมื่อหมอโฮล์มส์เห็นท่าหญิงสาวไม่รับความปรารถนาของตน หมอโฮล์มส์เลยแอบวางยาพิษ และเกอร์ทรูดตายหลังหนีออกจากปราสาทในหนึ่งเดือนต่อมา ต่อมาไม่นานหมอโฮล์มส์เปลี่ยนเป้าหมายเป็นจูเลีย พอมาถึงเดือนมีนาคม 1891 ทั้งสองกลายเป็นคู่รักกันอย่างเปิดเผย โฮล์มส์ให้เธอคุมการเงินของร้านขายยา ส่วนเน็ดผู้เป็นสามีทนสภาพสวมเขาไม่ไหว เขามีปากเสียงรุนแรงกับภรรยา จูเลียยอมหย่ากับสามีเก่าตามที่หมอโฮล์มส์ขอร้อง 3 เดือนต่อมา เน็ดทำการหย่ากับภรรยา และลาออกจากร้านจิวเวอรี่ ย้ายไปชิคาโก ทิ้งจูเลียและลูกในปราสาท

หลังหย่า จูเลียเริ่มก้าวก่ายธุรกิจของหมอโฮล์มส์มากยิ่งขึ้น พอมาถึงฤดูใบไม้ร่วงปี 1891 หมอโฮล์มส์เริ่มเบื่อหน่ายกับจูเลียที่จุ้นจ้านและขี้หึง ชอบอาละวาดที่เธอไปเห็นเขานอนกับหญิงอื่น ความอดทนมาถึงขีดสุดในเดือนพฤศจิกายน จูเลียประกาศว่าตั้งครรภ์กับหมอโฮล์มส์ บีบให้เขาจัดพิธีแต่งงานด้วย หมอโฮล์มส์ตอบตกลง ในคืนคริสต์มาสอีฟ หมอโฮล์มส์จัดการฆ่าหนูน้อยเพิร์ล ก่อนที่จะพาจูเลียลงบันไดกลับไปยังห้องทรมานใต้ดิน เธอไม่ได้กลับขึ้นมาอีกเลย เมื่อถูกใครถามว่าจูเลียหายไปไหน หมอโฮล์มส์ตอบว่าเธอหนีกลับไปอยู่กับสามีเก่า เดือนมกราคม ปี 1992 หมอโฮล์มส์จ้างคนงานประกอบโครงกระดูกมนุษย์เพื่อไปตั้งแสดง ชื่อนายชาร์ลส์ เอ็ม.แชมเพล หมอโฮล์มส์พาเขาเข้าไปในห้องบนชั้นสองที่นั้นชาร์ลส์พบซากศพผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ ชาร์ลส์เล่าว่าซากนั้นเปลือยอย่าน่าขนลุกมาก เหมือนกระต่ายที่ถูกถลกหนังทิ้ง เนื้อบางส่วนหลุดหายไป หมอโฮล์มส์จ้างเขาด้วยเงิน 36 เหรียญ แลกกับการขัดกระดูกให้สะอาดและประกอบให้เป็นโครงร่างให้สวยงามพร้อมตั้งโชว์ ชาร์ลส์รับงานนี้ พร้อมเบน พีทีเซล ลูกน้องคนสนิทของโฮล์มส์เป็นลูกมือ และงานเสร็จในสัปดาห์ต่อมา หมอโฮล์มส์รีบนำโครงกระดูกนี้ไปขายมหาวิทยาลัยในฟีลาเดลเฟียทันที ในราคา 200 เหรียญ ต่อมาโครงกระดูกนี้ ถูกเปลี่ยนมือ โดยศัลยแพทย์ ดร.พอลิง นำไปประดับคลินิกของตนด้วยความชื่นชมว่า เป็นโครงกระดูกที่สูงที่สุดที่เขาเคยพบ “เธอสูงเกือบหกฟุตแนะ”



○ เอมีลีน ซิแกรนด์
เอมีลีน ซิแกรนด์ อายุ 24 ปี อดีตเคยเป็นเลขานุการจดชวเลขให้นายแพทย์ท่านหนึ่งในสถาบันคีลีย์ ซึ่งรักษาผู้ติดสุราเรื้องรังด้วยสารประกอบของทองคำ ที่จริงเอมีลีนไม่มีทางเจอหมอโฮล์มส์ด้วยซ้ำ ถ้าเธอไม่ไปพบผู้ช่วยของหมอโฮล์มที่ชื่อ เบน พีทีเซล
เบนเป็นโรคติดสุราเรื้อรัง ช่วงนั้นเขามารักษาที่นี่ และพบเอมีลีน ทันทีที่พบเบนประทับใจเธอมากถึงกลับมาเล่าให้หมอโฮล์มส์ฟัง เบนพยายามตามจีบเอมีลีนด้วยการโอ้อวดความร่ำรวยของตนในฐานะผู้ช่วยคนสนิทของหมอโฮล์มส์ ส่วนหมอโฮล์มส์หลังจากได้ฟังเรื่องจากลูกน้องคนสนิทเขาเขียนจดหมายถึงเธอ แนะนำตัวเสร็จสรรพ พร้อมยื่นตำแหน่งงานเลขานุการส่วนตัวทันทีด้วยอัตราค่าจ้างที่สูงมากในขณะนั้นเป็นเงิน 18 เหรียญต่อสัปดาห์ มากกว่างานเดิมจนเอมีลีนตื่นเต้น หมอโฮล์มส์เริ่มหลอกล่อหญิงสาวด้วยการให้ช่อดอกไม้สม่ำเสมอ พาเยี่ยมชมเมือง กินอาคารค่ำสุดหรู เดินช้อปปิ้งแบบไม่อั้น ฯลฯ จากในกลางฤดูร้อน เอมีลีนก็ตกเป็นนางบำเรอของหมอโฮล์มส์ ต้นฤดูใบไม้ร่วงหญิงสาวเขียนจดหมายถึงเพื่อนว่ากำลังจะแต่งงาน ส่วนหมอโฮล์มส์ต้องใช้ชื่อปลอมในการจดทะเบียนสมรส ชื่อ โรเบิร์ต อี.เฟลนส์ เพื่อป้องกันการจดทะเบียนสมรสซ้อนเพราะผิดกฎหมาย เขายังบอกเธอด้วยว่าเขาเป็นลูกชายลอร์ดในอังกฤษ ถ้าเขาแต่งงานกับเธอเขาจะพาเธอไปฮันนีมูนที่ยุโรป เดือนตุลาคม ญาติของเธอมาเยี่ยมเอมีลีน และรู้สึกทะแม่งกับความเป็นอยู่และโครงสร้างของปราสาท ญาติของเอมีลีนพูดเตือนเอมีลีนให้ระวังหมอโฮล์มส์ แต่เธอไม่สนใจ ทั้งสองวางแผนแต่งงานกันในวันที่ 7 ธันวาคม 1892 ก่อนถึงวันแต่งงานหมอโฮล์มส์ขอให้เอมีลีนจ่าหน้าซองเปล่าถึงญาติสนิทและเพื่อนของเธอ บอกว่าจะส่งการ์ดเชิญไปทางไปรษณีย์ วันที่ 6 ธันวาคม หมอโฮล์มส์ขอให้เธอหยิบเอกสารสำคัญที่ห้องนิรภัย นั้นคือตู้เซฟขนาดใหญ่ที่คนเข้าออกได้ หลังเอมีลีนเดินเข้าไปหมอโฮล์มส์จัดการงับประตูเหล็กขังเอมีลีนไว้ด้านใน ปิดล็อกแน่นหนา เขายกเก้าอี้มานั่งหน้าประตูเซฟ เอาหูแนบฟังบานเหล็กฟังเสียเอมีลีนร้องคร่ำครวญจากด้านใน จนทำให้หมอโฮล์มส์เกิดอารมณ์วิปริตต้องสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองต่อเนื่องหลายครั้งหลายชั่วโมง ก่อนที่เอมีลีนจะตายเพราะขาดออกซิเจน วันรุ่งขึ้นหมอโฮล์มส์ร่วมกับแพน ควินแลน ผู้ดูแลปราสาทและลูกน้องอีกคน เปิดตู้เซฟ พวกเขายกหีบใบหนึ่งขึ้นรถและหายไปสองวัน

วันที่ 17 ธันวาคม ญาติและเพื่อนสนิทของเอมีลีนได้รับการ์ดแต่งงานไปรษณีย์ วันต่อมาหมอโฮล์มส์ขายโครงกระดูกผู้หญิง 1 โครงให้แก่โรงเรียนแพทย์ลาซาล ภายหลังหมอโฮล์มส์สารภาพว่าเขาฆ่าเอมีลีนเพราะเธอตีตนออกห่าง แต่ตำรวจพบว่าหมอโฮล์มส์ได้ซื้อประกันชีวิตให้แก่เอมีลีนในวงเงินที่สูงมาก โดยให้ตัวเขาเองเป็นผู้ได้รับผิดประโยชน์หากเธอตาย


○ จอร์เจียนา โย้ค ภรรยาคนที่สาม
แม้หมอโฮล์มส์จะฆ่าคนไปเยอะก็ตาม แต่เรื่องภรรยาหมอโฮล์มส์ยังมีพันธะผูกพันและทำหน้าที่ของสามีที่สมควรทำตลอดมา ปี 1894 หมอโฮล์มส์แต่งงานใหม่อีกครั้ง (สมรสซ้อน) กับผู้หญิงชื่อจอร์เจียนา โย้ค


หมอโฮล์มส์ไปพบผู้หญิงผมทองร่างเล็กอายุ 23 ปี คนนี้เมื่อเดือนมีนาคม ในขณะที่เธอทำอาชีพเป็นเสมียนแผนกขายของห้างสรรพสินค้า ชาลซิงเกอร์และเมเยอร์ในชิคาโก แต่ในขณะนั้นหมอโฮล์มส์กำลังสารสำพันธุ์กับพี่น้องตระกูลวิลเลี่ยม จึงไม่มีโอกาสจีบจอร์เจียนามากนัก แต่ทันทีที่หมอโฮล์มส์สังหารสองพี่น้องวิลเลี่ยมสำเร็จ หมอโฮล์มส์เลยหันเป้ามาสนใจผู้หญิงคนนี้ แม้จอร์เจียนาเป็นผู้หญิงฉลาด แต่หมอโฮล์มส์นั้นฉลาดกว่า เขาหลอกเธอว่าเป็นเด็กกำพร้าที่ร่ำรวย จากนั้นก็หมายหมั้นกันในเดือนพฤศจิกายน 1893 ในช่วงนั้นสถานกรณ์ของหมอโฮล์มส์ไม่ค่อยดีนัก เขาถูกบีบให้หลบหนีออกจากชิคาโก แต่ก่อนไปหมอโฮล์มส์อดไม่ได้ที่จะโกงเงินประกันภัยอีกครั้ง เขาทำประกันอัคคีภัยปราสาทของเขาด้วยวงเงินถึง 21,000 เหรียญโดยทำกับบริษัทประกันภัยถึง 4 แห่ง เพียงไม่นานเกิดเพลิงไหม้ในปราสาท หมอโฮล์มส์เจ้าของปราสาทไม่ได้อยู่ในปราสาทในเวลานั้น แต่ลูกน้องที่ชื่อ แพท ควินแลนอยู่ ผลจากการตรวจสอบความเสียหายพบว่าไฟลุกไหม้นั้นลุกพร้อมกัน 7 จุดในปราสาทเหมือนจงใจวางเพลิง

นอกจากนี้บริษัทประกันภัยต่างๆ ก็รู้ชื่อเสียงเรื่องการต้มตุ๋นของหมอโฮล์มส์ดี ท้ายสุดเคยปฏิเสธจ่ายเงินทดแทน แต่กระนั้นก็ไม่แจ้งความดำเนินคดีความหมอโฮล์มในข้อหาวางเพลิงแต่อย่างใด และผลจากเพลิงไหม้ครั้งนั้น ทำให้เจ้าหนีหลายคนไล่ล่าหาตัวหมอโฮล์มส์อีกครั้ง มูลค่าหนี้ถึง 50,000 ดอลลาร์ แต่หมอโฮล์มส์และคู่หูเบน พีทีเซล ไหวตัวทัน จึงรีบหนีออกจากชิคาโกไปหลบซ่อนที่อื่นหลายปี หมอโฮล์มส์แอบกลับมาเยี่ยมลูกเมียหลายครั้ง แต่เบน พีทีเซลไม่กลับมาอีกเลย เดือนมกราคม 1894 หมอโฮล์มส์ในชื่อเฮนรี แมนส์ฟีลด์ โฮวาร์ด แต่งงานกับจอร์เจียนาที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโรราโด และไปฮันนีมูนในเท็กซัส หมอโฮล์มส์จัดการขายทรัพย์สินที่ฮุบจากมินนี วิลเลียมส์เพื่อเอาเงินมาใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ถึงอย่างไรหมอโฮล์มส์ยังไม่เลิกเป็นนักต้มตุ๋น เขาใช้ชื่อปลอมว่าเอช. เอ็ม. แพท็ทเช่าโรงแรมที่หรูที่สุดของเมืองเป็นที่พักและสำนักงานชั่วคราว แสดงเป็นนักลงทุนที่ร่ำรวย ต่อมาลงทุนสร้างสำนักงานขนาดใหญ่สูงสามชั้นบนที่ดินที่ฮุบมาจากเหยื่อ แล้วก็โกงแรงงานให้ทำงานฟรี สั่งซื้อของด้วยเงินเชื่อแลเอกสารปลอม หอลกลวงเงินจากพ่อค้าในพื้นที่เป็นเงินถึง 2,000 เหรียญ ในเดือนมีนาคมหมอโฮล์มส์อยากลองเป็นโจรปล้นบ้าง เขาทำการดักปล้นรถบรรทุกม้าสายพันธุ์ดีเพื่อไปขายต่อยังเท็กซัส ตำรวจเท็กซัสไล่ตามหมอจนหนีเตลิดกลางดึก แทบเอาชีวิตไม่รอด หมอโฮล์มส์พาจอร์เจียหนีไปเซ็นต์หลุยส์ โดยภรรยาเขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าทำไมต้องหนี

ต่อมาหมอโฮล์มส์ก็ไปโกงที่เซ็นต์หลุยส์อีก แต่คราวนี้หมอโฮล์มส์ทำพลาดโดนจับเข้าคุกที่เซ็นต์หลุยส์ โดนขังคู่กับโจรปล้นรถไปชื่อดังนามเมอเรียน ซี. เฮดจ์เพท เจ้าของฉายา “จอมโจรรูปหล่อ” คงเป็นเพราะความหล่อ ความดัง ของโจรคนนี้มั้ง ที่ทำให้โฮล์มส์รู้สึกอิจฉา เขาพยายามแสดงความร้ายกาจของตนเองทั้งหมดในชีวิตของเขาฟังให้เมอเรียนฟังทั้งหมดเพื่อข่มขวัญ เมอเรียน เลยแอบนำข้อมูลที่ฟังทั้งหมดไปแจ้งตำรวจเพื่อขอลดหย่อนโทษ แต่ไม่ทันการเพราะหมอโฮล์มส์ได้รับการประกันตัวในวันที่ 28 กรกฎาคม และถูกคุมตัวเข้าคุกอีกครั้งในเดือนถัดมา เขาตรงรี่ไปหาจอร์เจียนา ซึ่งเธอไม่ได้รังเกียจเขาแต่อย่างใด เพราะสำหรับเธอแล้วหมอโฮล์มส์คือสามีที่ร่ำรวยแสนดีที่เธอค้นหามานาน 



○ เบน พิทีเซล
เบน พิทีเซสหรือเบนจามิน เอฟ. พีทีเซล หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “ฟรีลอน” เป็นชายร่างยักษ์หัวอ่อน แต่ชอบเมาและอาละวาดบ่อยครั้ง ก่อนที่เบนจะเจอหมอโฮล์มส์ เบนทำงานหลายรูปแบบ เป็นทั้งกรรมการท่าเรือ คณะละครสัตว์ ภารโรง กรรมการก่อสร้างทางรถไฟ โรงเลื่อยไม้ นอกจากนั้นก็เคยโดนจำคุกในคดีจี้ปล้น และปลอมแปลงเอกสาร ในปี 1887 เบน พีทีเซลแต่งงานแบบเร่งรีบกับแครี แคนนิว บุตรสาวของนักบวชนิกายเมโทดิสต์ เพราะเขาดันไปทำให้เธอตั้งครรภ์ก่อนแต่ง ต่อมาทั้งสองมีลูกสองคนชื่อเดลซี และเอ็ตต้า และตามมาอีก 4 คน และตายไปอีกหนึ่งคนขณะยังเล็กเพราะโรคคอตีบ ในปี 1889 เบน พีทีเซลสมัครเป็นช่างก่อสร้าง "ปราสาท” ของหมอโฮลมส์ และด้วยนิสัยที่เข้ากันอย่างกับผีเน่ากับโรงผุ ไม่นานพีทีเซลก็กลายเป็นมือขวาที่หมอโฮล์มส์ไว้ใจได้ นอกจากนั้นยังเป็นผู้คุ้มกันที่ดีด้วยความสูงกว่า 6 ฟุต 2 นิ้ว กล้ามเป็นมัด มือและเท้าใหญ่ ผมดกดำ หนวดขริบเป็นระเบียบ จนเป็นที่หวาดกลัวต่อคนอื่นที่คิดจะมายุ่งกับหมอโฮล์มส์ จากหลักฐาน (ผสมกับการวิเคราะห์) พบว่าเบน พิทีเซลคนนี้อาจมีส่วนร่วมกับหมอโฮล์มส์ในการฉ้อโกงโดยใช้ชื่อปลอมต่าง ๆ เช่น B.F.Perry, Bentoon, T.Lyman, Robert Jones และร่วมกันก่อกรรมทำเข็ญเหยื่อ และอาจเป็นพยานคนเดียวที่รับรู้ความเป็นไปของหมอโฮล์มส์ทั้งหมดอีกด้วย

นอกจากนี้หมอโฮล์มส์ยังไว้วางใจเบน พิทีเซลพอสมควร จากหลักฐานพบว่า หมอโฮล์มส์โอนอสังหาริมทรัพย์บางชิ้นให้เบนถือครองแทนตน ขณะเดียวกันก็หักรายได้ของเบนไว้ อ้างว่าเป็นเงินสะสมของลูกเมีย ส่วนนางแครีและลูก ๆ ต่างให้ความเคารพหมอโฮล์มส์เหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่ในครอบครัว วันที่ 9 พฤศจิกายน 1893 หมอโฮล์มส์ลงทุนทำประกันชีวิตให้เบน พีทีเซลด้วยวงเงินถึง 10,000 เหรียญ กับบริษัทประกันภัยในฟิลาเดลเฟีย เขาเล่าแผนการให้เบนฟังว่าหลังส่งเบี้ยประกันงวดแรกตามสัญญา เบนจะหายไปจากฟิลาเดลเฟีย จากนั้นหมอโฮล์มส์จะหาศพชายอื่นมาปลอมแปลงเพื่อทำใบมรณะบัตรรับรองการตาย และใช้เป็นหลักฐานเพื่อเรียกเงินประกันจากบริษัท จากนั้นก็นำมาแบ่งกันอย่างยุติธรรม แผนการนี้หมอโฮล์มส์นิยมใช้บ่อย ๆ เพราะว่าลงทุนน้อยไม่เสี่ยงอันตราย แต่สามารถหลอกเอาเงินประกันจำนวนมาก ๆ ได้ สำหรับเบน ที่จริงเขาไม่ชอบแผนการนี้ของหมอโฮล์มส์สักเท่าไหร่ เพราะวันใดวันหนึ่งหมอโฮล์มส์อาจฆ่าเขาก็ได้ แต่กระนั้นเบนจำเป็นต้องทำเพราะครอบครัวกำลังจนตรอก ไม่มีเงินเลี้ยงลูก หลังจากถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกงบริษัทยาในเซ็นต์หลุยส์ และวันที่ 29 กรกฎาคม 1894 หมอโฮล์มส์ยังหนีไปอยู่กับจอร์เจียนาภรรยาคนที่สาม หลังจากนั้นเขากับภรรยาและเบนก็รีบจับขบวนรถไฟเพื่อทำประกันชีวิตและชำระเบี้ยประกันงวดแรกให้เบน โดยจงใจชำระสำนักงานใหญ่ในฟิลาเดลเฟีย เนื่องจากเป็นบริษัทประกันใหญ่ไม่ยุ่งยากและได้เงินเร็ว เบนใช้ชื่อในการทำประกันว่า บี.เอฟ.เพอรี

ระหว่างรอให้กรมธรรม์ประกันชีวิตมีผลบังคับใช้ เบน พีทีเซลได้เช่าบ้านหลังเล็กๆ เปิดสำนักงานขายสิทธิบัตร แต่ไม่มีลูกค้ามากนัก เขาจึงทำอาชีพเสริมเป็นช่างซ่อมอาคาร รับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชุมชนแถบนั้นไป พลาง ๆ บ่ายวันอาทิตย์ 2 กันยายน ขณะที่เบนเมาพับสุโขอยู่ในบ้าน หมอโฮล์มส์ปรากฏกายอย่างเงียบๆ พร้อมยาสลบชนิดรุนแรงคลอโรฟอร์ม หมอโฮล์มส์ต้องฆ่าเบนเหมือนเหยื่อรายอื่น ๆ ที่เขาเคยฆ่า หมอโฮล์มส์ได้สารภาพเรื่องนี้ว่า “ฉันจำเป็นต้องฆ่าเขาเช่นนี้ เพราะถ้าเป็นวิธีอื่นเขาอาจดิ้นรนต่อสู้ขัดขืนได้ ฉันจึงค่อยๆ มัดมือและขณะที่เขาสิ้นสติ จากนั้นฉันก็ราดเบนซินลงบนเสื้อผ้าและใบหน้าของเขาจนชุ่ม แล้วจุดด้วยไม้ขีดไฟ มันช่างเป็นวิธีฆ่าที่ไร้น้ำใจที่สุด จนบัดนี้ฉันยังรู้สึกละอายใจตนเองมากที่ทำเรื่องแบบนั้น มันน่าเหลือเชื่อมากว่ามนุษย์คนหนึ่งจะกระทำกับมนุษย์ด้วยกันได้โฉดชั่วไร้มนุษย์ธรรมได้ถึงเพียงนี้... ฉันได้ยินเสียงคนสนิทฉันร้องขอความเมตตา สวดอ้อนวอนและท้ายสุดก็ขอร้องให้ฆ่าเขาได้ทันที แต่ทั้งหมดนี้ไม่ก่อปฏิกิริยาในจิตใจฉันเลย จนท้ายสุดเมื่อเขาตายฉันจึงจัดแจงศพของเขาให้ดูประหนึ่งว่าเหตุการณ์ตายของเขานั้นเกิดจากอุบัติเหตุ”

ศพของเบน พีทีเซล ถูกพบในอีกสองวันต่อมา สภาพศพเหมือนตายอย่างสงบ ท่อนบนเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วและแทบจำศพไม่ได้ว่าเป็นของเบน จากรายงานผลการชันสูตรเขียนไว้ว่า “ผู้ตายมีลิ้นบวมคับปาก ของเหลวสีแดงไหลออกจากปาก หากกดท้องหรือขยับศีรษะเพียงเล็กน้อยของเหลวก็ไหลมาอีก หนวดคิ้ว ผมด้านข้างไหม้เกรียม” ตำรวจเชื่อว่าเกิดการระเบิดลุกไหม้ แต่แพทย์ไม่แน่ใจจึงส่งศพไปหน่วยงานระดับสูงเพื่อผ่าชันสูตรโดยละเอียดต่อไป ผลการชันสูตรในเวลาต่อมาพบคลอโรฟอร์มจำนวนหนึ่งในกระเพาะอาหาร ซึ่งตำรวจเชื่อว่าเขาตายเพราะคลอโรฟอร์มท่วมปอด แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือฆ่าตัวตายหรือถูกฆ่า ศพของเบน พีทีเซลถูกเก็บรักษาในห้องเย็น 11 วัน ไม่มีใครอ้างตัวเป็นญาติขอรับศพ จึงถูกนำไปฝัง หมอโฮล์มส์กล่าวเรื่องนี้ว่า “ฉันตั้งใจฆ่าเบน ส่วนพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ฉันแสดงออกกับครอบครัวของเบน เช่น เป็นห่วงเป็นใย การให้เบนถือทรัพย์สิน การให้เงิน ล้วนทำด้วยเจตนาให้เขาและคนครอบครัวไว้วางใจฉัน จนกว่าได้จะถึงเวลาสุกงอมพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว” หลังจากฆ่าเบน พีทีเซลสำเร็จ หมอโฮล์มส์ก็เรียกร้องขอรับเงินประกันชีวิตทันที และปฏิบัติประกันก็ปฏิเสธทันทีเหมือนกันเพราะหมอโฮล์มส์มีประวัติดังในวงการต้มตุ๋น โดยเฉพาะเรื่องการรับรองการตายเป็นเท็จ บริษัทเชื่อว่าศพนั้นไม่ใช้เบน พีทีเซล อาจเป็นศพของคนอื่นที่หมอโฮล์มส์สวมรอยก็ได้สวมรอยก็ได้ ส่วนเบนตัวจริงอาจหนีไปหลบซ่อนที่อื่น หมอโฮล์มส์ต้องท้าพิสูจน์ด้วยการเอาทนายความเป็นพยาน ร่วมกับตัวแทนบริษัทประกันชีวิต และทายาทของผู้ตายคืออลิซ พีทีเซล ลูกสาววัย 15 ปีของเบน และเพื่อประกันให้เด็กสาวจะไม่ตีตนออกห่าง หมอโฮล์มส์ทำการบังคับให้เด็กสาวมีเพศสัมพันธ์กับเขาก่อนจะเธอไปดูการชันสูตรศพของบิดา และหลอกล่อใช้ประโยชน์จากเธอจนวาระสุดท้ายก่อนจบลงด้วยการฆ่าเธอทิ้งในหลายเดือนต่อมา หมอโฮล์มส์พาอลิซไปสถานที่เก็บศพ แต่เบน พีทีเซลมีสภาพเน่าเปื่อยจนจำไม่ได้ อลิซกลัวจนสติฟั่นเฟือน เจ้าหน้าที่ต้องพาเธอออกไปข้างนอก ปล่อยให้หมอโฮล์มส์ทนายความ ตัวแทนประกันชีวิต และแพทย์ผู้ชันสูตรศพทำการค้นหาตำหนิ 4 จุดบนร่างศพเพื่อพิสูจน์ความเป็นตัวตนเของเบน พีทีเซล อันได้แก่ เล็บ หัวแม่มือผิดรูป เนื้องอกขนาดใหญ่ที่หลังคอ แผลเป็นที่ขา และประวัติการทำฟัน

แต่เพราะศพมันเน่ามาก ๆ ทำให้ไม่สามารถระบุตำหนิดังกล่าวได้ แพทย์เลยประกาศว่าไม่สามารถระบุว่าผู้ตายดังกล่าวเป็นใคร หมอโฮล์มส์โกรธมาก เขาถอดเสื้อผ้าออก หยิบถุงมือยางมาสวม ดึงมีดผ่าตัดส่วนตัวจากกระเป๋ากางเกง จับศพคว่ำหน้า ใช้มีดตัดเสื้อผ้าด้านหลังขาดจากกัน ราดน้ำยาล้างต้นคอศพแล้วเอามีดกรีดเนื้อที่ต้นคอหลุดออกมา ชี้ให้ทุกคนดูว่านี้คือเนื้องอกชิ้นใหญ่ที่เป็นตำหนิประจำตัวของเบน พีทีเซล จากนั้นเขาแสดงให้เห็นรอยแผลเป็นที่ขา กับเล็บหัวแม่มือที่มีรูปลักษณะผิดปกติ เขาใช้มีดตัดหัวแม่มือศพยื่นให้แพทย์ชันสูตรดูอย่างสะใจ บอกให้เอาไปดองเก็บไว้ดูเล่น ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้นำผ้ามาปิดศพให้มิดชิด เหลือเพียงบริเวณปาก อลิซถูกนำตัวไปยังห้องเพื่อยืนยันร่องรอยการทำฟันของบิดา เธอทำให้ตัวแทนประกันเชื่อว่านี่คือศพของเบน พีซีเซลตัวจริง วันรุ่งขึ้นบริษัทประกันชีวิตจายเงินประกันให้เป็นเงินกว่า 9,715.85 เหรียญ จ่ายค่าพิสูจน์ศพไป 2,500 เหรียญ เงินที่เหลือหมอโฮล์มส์ยึดเป็นของตนเองเกลี้ยง ส่วนภรรยาและลูกของเบน พีทีเซลได้เพียงใบเสร็จรับเงินที่ไม่มีค่าอะไรเลย หมอโฮล์มส์อ้างว่าเงินจำนวนนี้เขาเอาไปใช้จ่ายหนี้ของผู้ตาย

แต่แล้วหมอโฮล์มส์กับต้องเจอวิบากกรรมอีกจนได้ เมื่อโจรรูปหล่อเมอเรียน เฮดจ์เพท ผู้ซึ่งได้รู้ความชั่วของหมอโฮล์มส์จนหมดเปลือกมาขอแบ่งเงินก้อนใหญ่จำนวนนี้จากหมอโฮล์มส์ หมอโฮล์มส์ปฏิเสธ ทำให้เมอเรียน เฮดจ์เพทต้องออกมาแฉจนไปสู่จุดจบของหมอโฮล์มส์ในเวลาต่อมา (เขาส่งจดหมายแฉไปยังบริษัทประกันภัยฉบับหนึ่งและเจ้าหน้าที่ตำรวจฉบับหนึ่ง) หลังบริษัทประกันชีวิตและตำรวจได้อ่านจดหมาย ก็เริ่มคุ้ยทำคดี โฮมส์จำต้องหนีกฎหมายอีกครั้ง จากเมืองหนึ่งไปเมืองหนึ่ง ตั้งแต่มิดเวสท์ เลาะฝั่งตะวันออกขึ้นไปแคนาดา โดยพาภรรยาคนที่สามจอร์เจียนา กับนางแครี พีทีเซล และลูกๆ ร่วมขบวนไปด้วยกัน โดยอ้างกับจอร์เจียนาว่าเดินทางไปติดต่อธุริกจ ส่วนอ้างกับนางแครีว่าจะพาเธอไปพบสามีที่หลบซ่อนอยู่ไม่ไกล และด้วยความอัศจรรย์ นางเจอร์เจียนาและนางแครี พีทีเซลกับลูกสองคนได้เดินทางกับหมอโฮล์มส์ไปพร้อมกัน โดยทั้งสองฝ่ายต่างไม่รู้จักกัน และไม่เคยสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายมากับหมอโฮล์มส์ด้วย ทั้งสองพักโรงแรมเดียวกัน ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน จากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งพร้อมกัน โดยมีหมอโฮล์มส์วิ่งรอกไปทางโน้นทีทางนี้ที

#อ่านต่อตอนที่ 5 ตอนจบ










Create Date : 14 กรกฎาคม 2558
Last Update : 14 กรกฎาคม 2558 15:30:35 น. 0 comments
Counter : 1137 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.