และเรื่องราวของเจน ท็อปพิน ราวกับตำนานสยองขวัญในหัวข้อ คนบ้าย่อมไม่มีความผิด แม้ว่าสุดท้ายเจนได้สารภาพว่าเธอได้ฆ่าเหยื่อไป 31 ราย โดยเธอเล่าถึงจูงใจว่า เกิดจาก ความตื่นเต้นทางเพศเวลาผู้ป่วยใกล้ตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่กระนั้นจากการวินิจฉัย ของแพทย์พบว่าเธอเป็นบ้า เลยไม่ได้ถูกนำตัวขึ้นศาล เธอถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลบ้า หลังจากนั้นไม่รู้ว่าปั่นปลายชีวิตของเธอนั้นเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าเธอเสียชีวิตในปี 1938(รวมอายุ 84 ปี)ด้วยโรคชราโดยไม่ได้รับผลกรรมที่ก่อขึ้นเลย
+++ เจน ท็อปพิน
เจน ท็อปพิน (1857-1938) เดิมชื่อ โฮโนล่า เคลลี่ เกิดในบอสตัน มลรัฐแมสซาซูเซต เป็นฆาตกรต่อเนื่องหญิงที่เธอสารภาพว่าเธอได้สังหารคนไป 31 ชีวิต โดยช่วงปี 1885-1901 โดยเธอได้ยกคำพูดที่เธอใฝ่ฝันว่า ฉันจะต้องฆ่าคนให้มากกว่านี้ มากกว่าผู้ชาย หรือผู้หญิงคนอื่น ๆ ช่วงชีวิตของเจนนั้นเต็มไปด้วยความเสื่อมโทรมเพราะเธออยู่ในสลัมที่ยากจน พ่อแม่ของเธอเป็นชาวอพยพชาวไอริช พ่อเป็นคนเมาแล้วชอบอาละวาด ว่ากันว่าเขาเป็นบ้า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเย็บปิดเปลือกตาตัวเองในขณะทำงานเป็นช่างตัดเย็บจนไล่ออก ส่วนแม่ของเธอเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็กจากสาเหตุการบริโภค หลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิตพ่อก็ได้พาเธอ (ตอนนั้นอายุ 6 ปี) กับพี่สาว (อายุ 8 ปี) ไปฝากเลี้ยงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหญิงในบอสตัน ที่รับเลี้ยงเด็กที่มีฐานะยากจนที่ก่อตั้งในปี 1799 และหลังจากพวกเธอถูกเลี้ยงดู เจนก็ไม่เห็นพ่อของเธออีกเลย ต่อมาเธอในปี 1864 ก็ถูกเลี้ยงโดยครอบครัวใหม่โดยแอน ท็อปพิน โดยเลี้ยงดูเขนในฐานะคนใช้ในบ้าน ทำให้เธอได้ใช้นามสกุลท็อปพิน แม้ว่าจะไม่ใช่เป็นแบบทางการ แต่เจนยินดีที่จะใช้นามสกุลของผู้พระคุณ ทำให้เรารู้จักเธอในฐานะเจน ท็อปพินในที่สุด
เจนเป็นเด็กที่มีจินตนาการสูง แต่ค่อนข้างชอบโกหก และชอบโทษคนอื่น และเธอมีความริษยาอย่างรุนแรงโดยเฉพาะกับพี่สาวของเธอ หากแต่ในช่วงเวลานั้นเจนก็ได้รับข่าวของพี่สาว โดยพี่สาวของเธอยังคงอยู่สถานรับเด็กกำพร้า ได้รับการศึกษา จนกระทั้งในปี 1868 เธอก็ได้ข้าราชการในนิวยอร์กเลี้ยงดู ต่อมาเธอหันไปค้าประเวณีและตายอย่างอนาถาในสภาพน่าสงสาร หลังการตายของพี่สาว ทำให้เจนมีความคิดรังเกียจการมีเพศสัมพันธ์ เกลียดความรัก แม้ความฝันของเธอคือต้องการแต่งงานกับคนรวยมีเงินก็ตาม แต่จากรายงานไม่พบว่าเธอคบกับเพศตรงข้ามแต่อย่างใด
กรณีของเจนนั้นค่อนข้างเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่แตกต่างจากแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ที่ฆ่าคนด้วยการชำแหละท้องอย่างโหดเหี้ยม หรือกรณีของหมอเอช เอช โฮล์มที่ฆ่าคนในปราสาทแห่งความตายในชิคาโก เพราะเจนนั้นฆ่าคนแบบไม่เปื้อนเลือดและมีระเบียบแบบแผนมากกว่า คือใช้ยาเสพติดประเทศมอร์ฟีนหรือยาหลอกฉีดใส่ผู้ป่วยที่ใกล้ตาย ทำให้การฆาตกรรมของเธอหลายฝ่ายจับไม่ได้ นอกจากนี้อาชญากรรมของเธอฆ่าไม่ได้หวังผลประโยชน์ เพราะเธอต้องการเห็นสีหน้าของผู้ป่วยขาดใจตายเท่านั้น โดยหลังจากการถูกจับกุมเธอได้กล่าวว่าเธอรู้สึกตื่นเต้นทางเพศหากเห็นผู้ป่วยใกล้ตายกลับมามีชีวิตอีกครั้งและจากนั้นก็ตายอีกครั้ง ซึ่งแตกต่างจากฆาตกรต่อเนื่องหญิงที่ผ่านมาทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่พวกเธอนั้นฆ่าคนเพื่อหวังในทรัพย์สมบัติหรือผลประโยชน์ และไม่ตื่นเต้นทางเพศในขณะก่อการฆาตกรรมแต่อย่างใด
ในปี 1885 เจนได้เริ่มเข้าฝึกอบรมเป็นนางพยาบาลในโรงพยาบาลเคมบริดจ์ ระหว่างนั้นเธอได้รักษาผู้ป่วยของเธอในฐานะหนูทดลองมอร์ฟีนและยา โดยหน้าที่ของเธอคือการจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงปริมาณยาที่กำหนดแล้วสังเกตอาการของผู้ป่วยเมื่อได้รับยาผ่านระบบประสาท ในช่วงเวลานี้เองทำให้เธอได้เรียนรู้วิธีการฆาตกรรมแบบสมบูรณ์แบบ โดยเธอพบว่าหากให้ปริมาณยาเกินกว่าที่กำหนดอาจทำให้ผู้ป่วยขาดใจตายอย่างหมดจด และจากนั้นมาเจนก็เริ่มกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องสังหารผู้ป่วยที่เธอดูแล โดยเธอจะทำการฆาตกรรมดังกล่าวหากเผลอปล่อยให้เธออยู่ตามลำพังกับผู้ป่วย
เจนได้จัดการผสมยาเสพติดให้กับผู้ป่วยที่เธอเลือกเป็นเหยื่อ หลังจากนั้นเธอจะอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยจนกว่าจะพวกเขาจะตาย ไม่มีใครสงสัยเธอเลยในเวลานั้น เพราะว่าไม่มีใครเชื่อว่าเธอเป็นฆษตกรเลือดเย็น เนื่องจากท่าทีของเธอปฏิบัติตัวต่อผุ้ป่วยด้วยความเป็นห่วงเป็นใยจนสร้างความน่าเชื่อถือต่อคนรอบข้าง อีกทั้งเธอยังได้ทำงานต่อในโรงพยาบาลแมสซาซูเซตในปี 1889 ในช่วงนั้นเธออ้างว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อเธอหลายราย หลังจากนั้นเธอก็เริ่มอาชีพเป็นนางพยาบาลส่วนตัวและเริ่มมีพฤติกรรมโจรกรรม
เจนเริ่มสนุกสนานในการฆาตกรรมต่อเนื่อง และเธอเริ่มนำยาพิษมาใช้ฆาตกรรมต่อเนื่องอย่างจริงจัง ในปี 1895 โดยฆ่าเจ้าของบ้านของเธอ ในปี 1899 เธอฆ่าน้องสาวบุญธรรมของเธอฟอสเตอร์ ลิซาเบธด้วยยาเบื่อในปี 1901 เจนได้ย้ายเข้ามาดูแลอัลเดน เดวิส และลูกสาวสองคนมันนี่และเจเนเวียฟ หลังจากการตายของภรรยาของเขา(ซึ่งเธอเป็นหนึ่งในเหยื่อของเจน) ไม่กี่วันต่อมาลูกสาวคนหล็กมันนี่เกิดอาการป่วยอย่างรุนแรงและหนึ่งสัปดาห์ต่อมาเธอก็เสียชีวิตโดยมีเจนดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด จากนั้นเธอก็ย้ายกลับไปบ้านเกิดของเธอและเริ่มติดพันสามีของน้องสาวของเธอ เธอทำทำวิถีทางเพื่อให้เขาสนใจเธอ ไปจนถึงขั้นวางยาพิษตนเองเพื่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ หากแต่เล่ห์เหลี่ยมดังกล่าวใช้ไม่ได้ผล ส่งผลเธอถูกไล่ออกจากบ้าน
หลังจากนั้นเจนลอยนวลได้สองเดือนจนกระทั้งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1901 ในคดีฆ่ามันนี่ลูกสาวของเดวิสจากการตรวจพิษวิทยาที่เดวิสสงสัยการตายของลูกสาวอย่างมีเงื่อนงำ เมื่อมีการสอบสวน จนกระทั้งในปี 1902 เธอก็สารภาพว่าเธอสังหารคนมากกว่า 30 คนหรืออาจมากกว่า 100 ราย แต่สิ่งน่าตกตะลึงก็คือเธอไม่สึกสำนึกผิดหรือแสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เลย เธอยังเล่าเรื่องความพึ่งพอใจทางเพศหลังฆ่าเหยื่ออย่างน่าตาเฉย แต่ผลสุดท้ายจากผลของการตัดสินศาลในวันที่ 23 มิถุนายน ได้พิพากษาว่าเธอเป็นบ้า จึงส่งเจนไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวทแทน โดยในหนังสือพิมพ์ได้พาดหัวข่าวว่าเจนสามารถทำให้คณะลูกคุณเชื่อได้ว่าเธอเป็นบ้า
เจนได้ถูกส่งตัวไปยังสถาบันทางจิตเวช ปั่นปลายสุดท้ายของเจนได้กลายเป็นโรคประสาทเพ้อเจ้อและบ้า เธอกลัวการแก้แค้นโดยหาว่าเจ้าหน้าที่พยายามวางยาเธอ ในบทความนิวยอร์กไทน์ได้เกล่าวว่าสภาพเจนในนั้นนั้นว่า บ้าคุณธรรม สุและเธอเสียชีวิตในปี 1938 (รวมอายุ 84 ปี)ด้วยโรคชราโดยไม่ได้รับผลกรรมที่ก่อขึ้นเลย เรื่องราวของเจน ท็อปพินได้ถูกนำไปดัดแปลงในนิยายเรื่อง The Bad Seed
Cr. Cammy///Writer-Dek-D