4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 

แองเจโล บัวโน และเคนเนท เบียงซี : คู่หูพิฆาต

ตำรวจสืบสวนสอบสวนสองนาย กำลังจ้องดูร่างที่ปราศจากวิญญาณของหญิงสาวสองคน พวกเขารู้สึกสลดใจ สยดสยอง กับภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้า รูปลักษณะภายนอกของศพทั้งสองแตกต่างกันอย่างชั้นเชิง คนหนึ่งเป็นเพียงเด็กสาว ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวที่โตเต็มพิกัด ตำรวจต้องหนาวถึงขั้วหัวใจเมื่อเห็นร่องรอยทารุณกรรมที่ข้อมือ เข่า และต้นคอ แม้ร่างของผู้หญิงทั้งสองจะพบกันคนละวัน คนละสถานที่ แต่ตำรวจรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าทั้งคู่ตายด้วยฝีมือของฆาตกรคนเดียวกันหรือชุดเดียวกัน เชื่อแน่ว่าฆาตกรต้องมีสองคน โดยดูจากการเคลื่อนย้ายศพด้วยวิธียกแทนการลาก


นี่ไม่ใช่ศพแรก ฆาตกรลงมือซ้ำ ๆ แบบฆาตกรต่อเนื่อง คนแบบนี้ไม่ใช่คนปกติแน่นอน เพราะในช่วงเดือนตุลาคม 1977 ถึงกุมภาพันธ์ 1978 มีผู้หญิงถูกฆ่าอย่างน้อยถึง 10 คนจากฝีมือของฆาตกรคู่นี้ และที่สำคัญฆาตกรทั้งสองคนนั้นมีศักดิ์เป็นญาติกัน......

✾ แองเจโล บัวโน ✾
แองเจโล บัวโน เขาเป็นชายวัย 44 ปี เขาเป็นชายที่หาความหล่อเหลาไม่ได้ ดูคล้ายกับอีแร้งป่วย หัวโตผิดส่วน พ่อแม่จึงมักเรียกเขาว่า "อีแร้ง" แองเจโลมีบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง เขารักษามันได้อย่างดีเยี่ยมบนถนนสายซึ่งธุรกิจกำลังบูม และกำลังถูกบุกรุกด้วยร้านค้าและภัตตาคารที่ทันสมัย ทำให้เหลือบ้านเก่า ๆ เพียงไม่กี่หลัง บริเวณจากบ้านถึงโรงรถถูกล้อมไว้ด้วยแผ่นอะลูมิเนียม เพื่อป้องกันสายตาที่อยากรู้อยากเห็นจากภายนอก ด้านหลังถูกใช้เป็นร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์และรับจ้างแต่งรถ ว่ากันว่าเขามีฝีมือดีทีเดียว ส่วนหลังบ้านเลี้ยงกระต่าย สุนัข และตู้ปลาขนาดเล็ก ทุกอย่างก็ดูปกติ แต่ถ้าพูดถึงความผิดปกติ ก็คงอยู่ที่ตัวเจ้าของบ้านเองกระมัง! แองเจโลเป็นคนเกลียดผู้หญิงเข้ากระดูกดำ ไม่เคยไว้ใจหรือชื่นชมเพศหญิง ในความคิดของแองเจโล ผู้หญิงเป็นแค่เครื่องบำบัดทางเพศ ระบายอารมณ์ในรูปแบบและเวลาที่เขาต้องการเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงที่เขาระบายอารมณ์ทางเพศนั้น จึงมีทั้งลูกสาวตนเอง แฟนของลูกชาย (บางครั้งเขาก็ทำกับลูกชายด้วย) ฯลฯ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมสมองเขาถึงเกลียดผู้หญิง แต่เท่าที่สืบทราบประวัติมาพบว่า เขามีปัญหาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่หย่ากันเมื่ออายุ 14 ปี แม่ทำหน้าที่เลี้ยงดูต่อ เพื่อนบ้านมักนินทาว่าแม่เขาเป็นโสเภณี ถึงขนาดจ่ายค่าซ่อมบ้านด้วยนาผืนน้อยแก่ช่างที่ซ่อมบ้าน บางครั้งเธอก็พาแองเจโลไปกินข้าวกับผู้ชายคนใหม่ของเธอ และปล่อยให้เขารอในรถขณะที่เธออยู่ในบ้านกับคนแปลกหน้า มีคนเคยได้ยินเขาเรียกแม่ตัวเองด้วยศัพท์ทางเพศที่หยาบคายอย่างที่สุดมาแล้ว แองเจโลมีภรรยาสามคน ลูกชายเจ็ด ลูกสาวสาม เขาแยกทางกับภรรยาคนแรกตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้อง แล้วแต่งงานครั้งที่สอง มีลูกห้าคน หลังอยู่มานานเจ็ดปี ภรรยาเขาขอแยกทางเนื่องจากทนระบบการเลี้ยงด้วยลำแข้งไม่ไหว แองเจโลแต่งงานครั้งที่สามกับหญิงม่ายลูกสอง มีลูกกับเธออีกสองคน ไม่นานนักเธอก็หอบลูกหนีเพราะรู้ว่าเขาไปมีอะไรกับลูกสาวในปี 1975

ในระหว่างนั้นอง ประวัติอาชญากรรมของแองเจโลได้ถูกรวบรวมหนาเป็นปึกอยู่ในแฟ้มตำรวจ รวมกับประวัติจำคุก แต่ทั้งหมดเป็นแค่คดีเล็ก ๆ น้อย อย่างมากแค่ไปขโมยรถ โทษสูงสุดที่เขาเคยได้รับคือภาคทัณฑ์โดยให้ไปติดคุกเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ตลอด 3 ปี ในปี 1975 แองเจโลเปิดร้านขายอุปกรณ์บนถนนโคโลราโด มีลูกค้าที่เป็นเด็กผู้หญิงมากมายมาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย ไม่ใช่พวกเธอมาเพราะสนใจฝีมือของอีแร้ง แต่เธอหลงใหลในความโหด ไร้มารยาท ความโหดเหี้ยม และการบริการทางเพศที่สุดแสนไม่เหมือนใคร ด้วยเหตุนี้ร้านเขาจึงได้รับความรุ่งเรืองถึงสูงสุด แองเจโลไม่เคยมีหิริโอตัปปะ เขาพร้อมจะเป็นฆาตกรทุกเมื่อด้วยตนเองอยู่แล้ว แต่ซาตานก็ยังอุตสาห์ส่งตัวกระตุ้นไปให้


✾ เคนเนท เบียงซี 

เคนเนท เบียงซี หรือเคนนี่ หนุ่มหล่อวัย 26 ปี เขาเพิ่งย้ายมานิวยอร์ก เป็นชายประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อจริง ๆ เป็นคนหลงตัวเอง ภูมิใจในความฉลาดเทียม ๆ และฝันเฟื่องถึงชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ผู้หญิงและเงินเป็นฟ่อน แต่ในขณะที่ฝัน เขาไม่เคยกลับมาดูตัวเองตามความเป็นจริงเลยว่าจริง ๆ แล้ว เขาเป็นคนที่แสนจะขี้เกียจ เคนนี่ไม่เคยวิ่งเข้าหาโอกาสที่มาหาตัวสักนิด คิดว่าตัวเองเป็นผู้มีพระคุณของประชาชน อยากเป็นจิตแพทย์ แต่แทนที่จะเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย กลับใช้วิธีถ่ายเอกสารปริญญาคนอื่นและใส่ชื่อของตนเองลงไป นอกจากนี้เคนนี่เป็นนักโกหกตัวยงเป็นพรสวรรค์ที่ซาตานมอบให้ตั้งแต่เด็ก เขาสามารถสร้างเรื่องในอากาศ แล้วนำมาเล่าเป็นตุเป็นตะด้วยใบหน้าจริงจังจนคนหลงเชื่อ เคนนี่ไม่ใช่หลานแท้ ๆ ของแองเจโล เขาเป็นลูกโสเภณีที่ถูกทอดทิ้ง ป้าของแองเจโล รับเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่เป็นทารก ชนิดเลี้ยงดูจนโตชนิดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ดังนั้นเคนนี่จึงนับเป็นญาติกับแองเจโลด้วยเหตุนี้แล

มีกฎของครอบครัวของแองโจโลว่า "เคนนี่ไม่เคยทำผิด" แม่บุญธรรมไม่เคยเห็นความผิดของลูกเลี้ยงแม้แต่ครั้งเดียว เขาขี้โกหกเพราะคนอื่นสอน แม้ถูกไล่ออกก็แก้ตัวว่าเพราะคนทั้งโรงเรียนไม่ดี เคนนี่เป็นเด็กมีปัญหาตั้งแต่เกิดจริง ๆ อารมณ์ร้าย ขี้โกหก จนแม่เลี้ยงถูกแนะนำให้พาเคนนี่ไปหาจิตแพทย์ แต่เธอปฏิเสธด้วยความโกรธ ต่อมาภายหลังเธอถูกแนะนำไปหาจิตแพทย์เช่นกัน แต่มันก็สายไปแล้วสำหรับเคนนี่ เมื่อโตเป็นหนุ่ม เคนนี่จึงไม่สามารถแยกความจริงและความเท็จออกจากกัน แม้มีอายุ 26 แล้วแต่สมองเท่ากับเด็กตัวเล็ก ๆ อายุ 6 ขวบ ความเป็นหนุ่มหล่อนี้ทำให้เขาได้แต่งงานเมื่ออายุเพียง 18 ปี แต่ก็หย่าเกือบทันที เพราะเขาต้องการผู้หญิงมากกว่าหนึ่งคนในเวลาเดียวกัน แต่ขี้เกียจสันหลังยาว นิสัยอีกอย่างหนึ่งของเคนนี่คือการไม่รู้จักยอมรับผิด ถนัดแต่รับชอบ หากล้มเหลว เขาพร้อมโยนความผิดให้ทุกอย่างรอบกาย และเมื่อชีวิตในนิวยอร์กไม่เป็นดั่งฝัน เขาโทษว่านิวยอร์กเป็นเมืองชั่ว ไม่เหมาะกับคนดีอย่างเขา เคนนี่จึงอพยพไปอยู่กับแองเจโลที่ลอสแองเจลิสในปี 1976 นอกจากความสนใจในวิชาจิตวิทยา เคนนี่ยังฝันเป็นตำรวจ เขาคลั่งไคล้เครื่องแบบ แต่คนที่ขี้เกียจสันหลังยาวและ,uความผิดปกติทางจิตคงไม่มีวันสอบผ่านการทดสอบของกรมตำรวจได้แน่ เขาจึงหาอาชีพที่ใกล้เคียงกับบุคคลในเครื่องแบบมากที่สุดนั้นคือเป็นยาม เคนนี่สมัครเป็น รปภ. เฝ้าห้างสรรพสินค้า แต่เป็นรปภ. ชั้นเลว ชอบหยิบฉวยสินค้าที่เผลอ ในปี 1972 แม่บุญธรรมซื้อรถคาดิลแลคให้ขับทั้งๆ ที่เขายังไม่มีปัญญาหาเงินเลี้ยงชีพ เคนนี่จึงกลายเป็นหนุ่มเจ้าสำราญจอมปลอมสมใจอยาก และเมื่อสองจอมวายร้ายมาพบกัน การฆาตกรรมต่อเนื่องก็บังเกิด


✾ โยลันดา วอชิงตัน 

การทำการฆาตกรรมครั้งแรกนั้น เกิดแบบมิได้ตั้งใจ ในขณะที่เขาทั้งสองคิดว่าจะทำธุรกิจแมงดา เนื่องจากเป็นอาชีพที่ไม่ต้องลงแรงแต่รายได้ดี อันดับแรกของการเป็นแมงดาคือ หาโสเภณีเข้าสังกัดและหารายชื่อลูกค้า การหาผู้หญิงในสังกัดทำได้ไม่ยาก แต่การหารายชื่อลูกค้าเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นข้อมูลที่ต้องปกปิดในหมู่ที่ทำธุรกิจประเภทนี้ เคนนี่ทราบมาว่าโสเภณีที่ชื่อโยลันดา วอชิงตัน ที่ทำตัวเป็นนายหน้าค้าประเวณี จัดหานางบำเรอกามทางโทรศัพท์ เขาจึงโทรติดต่อให้เธอมาบริการที่บ้านเพื่อหวังจะเค้นรายชื่อลูกค้า เมื่อเธอมาถึงบ้าน โยลันดารู้สึกผิดปกติเมื่อเห็นชายสองคนมากันพร้อมหน้าและซักถามวนเวียนเรื่องข้อมูลลูกค้า เธอพยายามหนีแต่ถูกจับใส่กุญแจมือ เธอแหกปากร้อง ทั้งสองจึงบีบคอ ข่มขื่น และฆ่าในที่สุด เคนนี่ถอดแหวนพลอยของเธอมาใส่เล่น ถอดเสื้อฝังดิน และนำศพเปลือยฝังในป่า บริเวณไหล่เขา การฆ่าคนครั้งแรกเป็นไปอย่างง่ายดาย และนั้นทำให้ฆาตกรย่ามใจที่จะกระทำการอุกอาจครั้งต่อไปอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ความสำนึกผิดไม่เคยปรากฏในสมองของชายสมองคน แต่ตรงข้าม ทั้งคู่กลับปรึกษากันเพื่อล่าเหยื่อต่อไป และในเวลาสองอาทิตย์ถัดมามันก็ทำการล่าเหยื่ออีกครั้ง


✾ จูดิธ มิลเลอร์

จูดิธ มิลเลอร์ เด็กสาวผอมแห้งวัยสิบห้า ริขายตัวตั้งแต่อายุสิบสี่ปี ตอนที่เกิดเหตุเธอขายตัวในฮอลลีวูด แองเจโลเป็นคนขับรถ ปล่อยให้หนุ่มหล่อเคนนี่ลงไปต่อรองราคา เมื่อล่อจูดี้มาขึ้นรถก็แสดงตราตำรวจปลอม และจับเธอใส่กุญแจมือ อ้างว่าจะนำตัวไปสอบสวน ทั้งสองขับรถกลับบ้าน พาเธอเข้าไปในโรงรถ มัดด้วยเชือก ใช้เทปปิดปาก และใช้แผ่นหนังเทียมที่เหลือจากงานแต่งรถยนต์ปิดตาเธอไว้ จากนั้นก็ผลัดกันข่มขืน โดยบอกว่าถ้าเธอให้ความร่วมมือจะได้ไม่เจ็บตัว หลังจากที่ทั้งสองระบายความใคร่ถึงจุดที่เบื่อหน่าย แองเจโลก็แสดงถึงความวิปริตด้วยการับเด็กผู้หญิงนั่ง เอาถุงพลาสติกครอบหัว ใช้เทปพันรอบคอ ทำให้เธอหายใจเฉพาะอากาศในถุง มันนั่งดูถุงพลาสติกยุบและพองไปตามจังหวะการหายใจอย่างสบายอุรา จูดี้ดิ้นทุรนทุรายหาออกซิเจนที่ค่อย ๆ หมดไป เธอล้มตะแคงได้ในที่สุด

เมื่อเหยื่อถูกสังหาร ทั้งสองแกะหลักฐานออกจากศพจนหมด ทำลายเสื้อผ้า และนำศพไปทิ้งในที่โล่งอย่างท้าทายอำนาจรัฐ ตำรวจพบศพจูดี้ มิลเลอร์ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 1977 ไม่มีหลักฐานเลยว่าเธอเป็นใคร ยกเว้นเศษโฟมที่ติดหนังตาอยู่หน่อยหนึ่ง พวกเขาเก็บมันได้เป็นอย่างดี เผื่อจะเป็นหลักฐานมัดตัวคนร้ายในอนาคต สภาพศพทำให้หลายคนหดหู่ เด็กหญิงผอมแห้งร่ายเปลือยเปล่า ที่คอมีรอยซ้ำเพราะถูกรัด เช่นเดียวกับข้อมือข้อเท้าหน้าเป็นสีม่วงคล้ำจากการขาดอากาศ แองเจโลและเคนนี่รู้สึกแปลกใจ การฆาตกรรมเป็นเรื่องง่ายเหมือนกับฆ่าไก่สักตัว ไม่มีแม้แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ เคนนี่ออกจะผิดหวังเพราะนิสัยเป็นคนชอบอวด เขาอยากให้การกระทำของตัวเองเป็นที่กล่าวถึง อยากให้สังคมรับรู้พลังอำนาจของตัวเอง แองเจโลคิดอีกอย่าง เขาเป็นคนรอบคอบ แต่ก็ไม่พอใจผลงานตนเช่นกัน เหยื่อทั้งสองไม่มีคุณภาพเสียเลย ทั้งสองปรึกษากันว่าเหยื่อคนต่อไปจะต้องไม่ใช่โสเภณีกิ๊กก๊อกโนเนมอีกต่อไป ลอสแองเจลีสน่ะมีสาวสวยมากมายให้เลือก


✾ ลิสซ่า คาสติน

ลิสซ่า คาสติน หญิงเสิร์ฟหน้าตาดีวัย 21 กำลังขับรถเข้าซองในสวนสาธารณะ ทั้งสองขับรถปิดท้าย แสดงตราตำรวจ ใส่กุญแจมือในข้อหาขโมยสินค้าในห้าง หลังจากนั้นก็นำเธอไปสอบสวนที่ "สถานีตำรวจย่อย" ก็คือบ้านของแองเจโลนี้แหละ แต่ครั้นมาถึงบ้านทั้งสองกลับไม่ชอบหน้าลิสซ่า ไม่มีอารมณ์ทางเพศเลย แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเพื่อสนองความบ้าระห่ำเดือด แองเจโลจึงทำบ่วงคล้องคอลิสซ่าแบบคาวบอย กระตุกห่วงให้รัดคอจนแน่น เมื่อเธอหน้าเขียวก็คลายห่วงออก มองดูเธองับอากาศเฮือกสุดท้ายด้วยความมันในอารมณ์ มันทำซ้ำ ๆ เหมือนคนบ้านานนับชั่วโมงจนเธอขาดใจตายในที่สุด ทั้งสองหารือกันว่าครั้งต่อไปจะต้องพิถีพิถันเลือกเหยื่อให้ตรงรสนิยมมากกว่านี้ การพูดโต้ตอบระหว่างคนทั้งสองฟังไม่ผิดอะไรกับคนเดินตลาดเลือกผักปลา


✾ เจน คิง

เจน คิง คือเหยื่อรายต่อไป หญิงสาวตาโต ขาสวย อายุ 28 ปี คนนี้เป็นนักศึกษาวิชาการแสดง ทั้งคู่พบเหยื่อขณะขับรถตระเวณช้าๆ ไปตามถนนสายเปลี่ยว แองเจโลแกล้งขับรถผ่าน ปล่อยเคนนี่ลงในระยะห่าง เคนนี่เดินย้อนมาที่ป้ายรถเมล์ ทำท่าทีรอรถเช่นกัน การสนทนามีขึ้นอย่างง่าย ๆ เคนนี่อ้างตัวว่าเป็นตำรวจลอสแองเจลิส สักครู่เดียวก่อนที่รถเมล์จะมา แองเจโลก็ขับรถย้อนกลับ โบกมือทักทายเคนนี่ ทำท่าทีว่าเป็นตำรวจ และรับอาสาพาทั้งสองไปส่งในเมือง หญิงสาวหลงกล! ฆาตกรคู่นี้มีความสุขบนเรืองร่างของเจนเป็นอย่างยิ่ง เธอเป็นเหยื่อที่สวยที่สุดที่ผ่าน ๆ มา แต่จุดจบของเธอไม่แตกต่างกับคนอื่นมากนัก มัด รัดคอแล้วคลายลงอย่างช้า ๆ ดูเธออ้าปากฮุบอากาศนับชั่วโมงก่อนตายอย่างทรมาน


✾ โดโรเรซ เคพีดา และซอนญา จอห์นสัน

เมื่อทำอะไรซ้ำซากเบื่อหน่าย ฆาตกรคู่จึงเริ่มเปลี่ยนหาวิธีที่สนุกใหม่ ๆ คราวนี้มันหันไปเลือกโดโรเรซ เคพีดา วัยสิบสอง และเพื่อนรักซอนญา จอห์นสัน วัยสิบสี่ ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งรถเมล์อยู่ตรงหน้าห้างฯ ฆาตกรคู่แสดงเป็นตำรวจ แจ้งข้อหาขโมยของ และนำกลับไปข่มขี่นและฆ่าที่บ้าน เป็นคู่


✾ คริสตินา เวคเลอร์

เหยื่อคนต่อไปคือ คริสตินา เวคเลอร์ อาศัยในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งซึ่งเคนนี่ก็เคยพักอยู่ที่นั้นและหมายตาผู้หญิงมานานแล้ว แต่จีบไม่สำเร็จ เพราะเธอเย้ยหยันเขาว่าเป็นพวกดีแต่ปาก งานการไม่ทำ การเลือกคริสตินาจึงผสมด้วยแรงแค้น แผนการล่อเหยื่อครั้งนี้ค่อนข้างแยบยล เคนนี่เคาะประตูห้องคริสตินาบอกว่าขณะนี้เขาทำงานเป็นตำรวจ แสดงตราตำรวจให้ดู และแจ้งว่ารถเธอที่จอดด้านล่างถูกชนท้าย เธอตามไปดูเพื่อความแน่ใจ เมื่อเผลอ ทั้งสองจับเธอใส่กุญแจมือ ปิดตาและปากด้วยเทป พากลับบ้าน ข่มขื่นเช่นเหยื่อรายอื่นแต่การฆ่าแตกต่างไป คริสตินากลายเป็นหนูทดลองความอำมหิต แองเจโลจอมเหี้ยมเบื่อหน่ายกับการรัดคอ มันจึงทดลองฉีดน้ำยาเช็ดกระจกวินเด็กซ์เข้าเส้นเลือดของเหยื่อ เธอชักจนหลังแอ่น น้ำลายฟูมปากแต่ไม่ได้ มันสนุกจนต้องฉีดซ้ำ และเมื่อเห็นเหยื่อทนได้ จึงหาวิธีฆ่าแบบใหม่โดยคลุมหัวเหยื่อด้วยถุงพลาสติก ดึงท่อแก๊สมายัดในถุง เคนนี่เปิดแก๊สแล้วปิดที่ละนิดสนุกกับภาพเหยื่อดิ้นรนขอชีวิต ไม่น่าเชื่อว่าจนบัดนี้ตำรวจยังไม่สามารถสืบหาตัวฆาตกรได้เลย และไม่กล้าแพร่ข่าวว่ามีฆาตกรโรคจิตให้สาธารณชนรับทราบ แต่นั้นยิ่งทำให้เหตุการณ์เลวลงเพราะประชาชนไม่ตระหนักถึงภัยใกล้ตัว


✾ ลอเรน วากเนอร์

วัยสิบแปดคือเหยื่อรายต่อไป มันจับเธอขณะกำลังจะเลี้ยวรถเช่าบ้านซึ่งพ่อแม่รอทานอาหารอยู่ด้านใน คราวนี้มันเพิ่มอุปกรณ์ช่วยคือใช้ปืนจี้ แสดงตราตำรวจ จับเธอขึ้นรถ พากลับบ้าน ข่มขืนและฆ่า แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้มีความแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย ตรงที่มีพยานแอบเห็นเหตุการณ์จนจับตัว และการฆ่าถูกเปลี่ยนรูปแบบ โดยฆาตกรปอกสายไฟมัดแขนของลอเรน ปิดทับด้วยเทปกาว แล้วเสียบปลั๊ก ลอเรนไม่ตายอย่างที่มันคิด การทรมานจึงเกิดขึ้นแบบเดิม ๆ คือ รัดคอด้วยเชือกให้ตายอย่างทรมาน


✾ คิมเบอร์ลีย์ ไดแอน มาร์ติน 

แองเจโลและเคนนี่เปลี่ยนบรรยากาศการทำการฆาตกรรมใหม่โดยหาอพาร์ตเมนต์ว่าง ห้องที่ 114 โทรไปหาหญิงบริการไปหาถึงที่ และนั้นคือจุดจบของ คิมเบอร์ลีย์ ไดแอน มาร์ติน หญิงสาววัยสิบเจ็ด แต่การฆ่าไม่ราบรื่นอย่างที่คาด เพราะเธอกรีดร้องสุดชีวิตก่อนตายจนคนร่วมอพาร์ตเมนต์ได้ยินกันทั่ว ทั้งสองเห็นท่าไม่ดี จึงทุบเธอก่อนขมขื่นแบบสะใจและฆ่า ศพของเธอพบในเช้าในเดือนธันวาคม บนไหล่เขาสูงบนถนนทางหลวง


✾ ซินดี้ ฮัดสเปท 

หลังเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทั้งคู่หยุดปฏิบัติการณ์นานเกือบสองเดือน ก่อนที่มันจะเริ่มต้นกันใหม่กับซินี้ ฮัดสเปท สาวเสิรฟ์ที่คุ้นหน้ากับแองเจโลดี เธอเอารถดิทสันให้เขาตกแต่ง ขณะที่ยืนรอ แองเจโลเกิดอารมณ์หื่นและเคนนี่อยู่ด้วยพอดี หญิงสาวจึงตกเป็นเครื่องบำบัดความใคร่ก่อนที่จะถูกฆ่า


✾ ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ 

มีสิ่งหนึ่งที่แองเจโลประสาทเสียอยู่เรื่อย คือนิสัยคุยโตของเคนนี่ เขามักเรียกร้องความสนใจจากคนแปลกหน้าด้วยการพูดเลียบ ๆ เคียง ๆ เรื่องความเก่งกล้าสามารถของฆาตกรที่จับไม่ได้เช่น "คุณคงไม่เชื่อว่าฆาตกรอยู่ใกล้คุณแค่เอื้อม" แองเจโลอยากจะยุติเรื่องนี้ และกำจัดเคนนี่ออกไปจากชีวิต โชคเข้าข้างแองเจโล แฟนของเคนนี่ที่ไปมาหาสู่กันเกิดท้องคลอดลูก เธอตัดสินใจกลับไปอยู่เบลลิงแฮมบ้านเกิด เพื่อจะได้อยู่ใกล้พ่อแม่ แองเจโรพูดโน้มน้าวทุกทางให้เคนนี่ตามเมียไป โดยครั้งแรกเคนนี่ปฏิเสธเพราะสนุกกลับการฆ่า แต่เมื่อถูกตัดรอนมากๆ จึงต้องยอมย้ายออกไป เรื่องมันน่าจะจบแค่นี้ ทั้งคู่ไม่มีวันถูกจับถ้าไม่ใช้ความโง่ของเคนนี่ หลังจากย้ายไปเบลลิงแฮม เขาได้ทำงานเป็นรปภ. ในบริษัทวัทคอมซึ่งมีหน้าที่ดูแลอาคารธุรกิจและบ้านพัก เคนนี่เมื่อได้เป็น รปภ. ก็ใช้สันดานเก่านั้นคือการโกหกเอาใจเจ้านายจนได้ดิบได้ดีในเวลารวดเร็ว เขาขึ้นเป็นหัวหน้า รปภ. แต่ก็ไม่เลิกใช้อำนาจหน้าที่ขโมยสินค้ามาเป็นของตนเองอยู่บ่อยครั้ง แค่ขโมยไม่หนำใจ เคนนี่ยังฝังตรึงกับรสชาติในการฆ่าข่มขืน

เขายังต้องการแสดงให้แองเจโลคู่ขาเห็นว่า ตัวเองน่ะก็ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร เคนนี่โทรไปติดต่อนักศึกษาสาวที่ปิ๊งกันในห้างฯ บอกให้เธอชวนเพื่อนร่วมห้องมาที่ห้องพักของเขา เคนนี่มีงานง่าย ๆ ให้ทำคือ ช่วยเฝ้ายามบ้านหลังหนึ่งที่กำลังซ่อมแซม เขายินดีจ่ายค่าตอบแทนถึงชั่วโมงล่ะ 100 ดอลลาร์ หญิงสาวทั้งสองตกลงทันทีด้วยความดีใจ เงินดีรายได้งามผิดปกติ ไม่สงสัยสักนิด เคนนี่บอกเธอว่างานที่ต้องทำเริ่มตอนหนึ่งทุ่ม คาเรน แมนดิค และไดแอน ไวล์เดอร์มาพบเคนนี่ที่ห้องตอนหนึ่งทุ่มคามนัดหมาย และเมื่อถึงเวลาสามทุ่ม ทั้งสองก็กลายเป็นศพ แต่งานนี้ไม่หมูอย่างที่คิด เคนนี่หัวปั่น เขาใช้พลังงานจัดการกับผู้หญิงทั้งสองจนหมดแรงที่จะข่มขืน เขาต้องลากทีละร่างขึ้นรถนำไปทิ้ง

ตำรวจสืบหาตัวเคนนี่ด้วยเวลาอันรวดเร็วหลังพบศพ เพราะคาเรนบอกคนไปทั่วว่าเธอได้งานพิเศษเงินตอบแทนงาม เธอทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของเคนนี่ไว้ในห้องนอนด้วย หลักฐานมัดตัวเคนนี่จนดิ้นไม่หลุด ครั้งแรกเขาสร้างเรื่องโกหกเพื่อพ้นผิด ว่าอยู่ที่โน่นที่นี้ แต่ครั้นคิดได้ว่าหากตำรวจสืบพยานก็ไม่มีใครช่วยโกหก วันรุ่งขึ้นเขาจึงรีบกลับคำให้การใหม่ โดยแต่งเรื่องให้สมจริงที่สุด เมื่อเห็นว่าเอาตัวไม่รอดแน่นอนแล้ว เคนนี่ก็ใช้ความรู้ทางจิตวิทยาที่ศึกษามาใช้เป็นประโยชน์ เขาอ้างว่าป่วยทางจิต มีบุคลิกภาพซ้อน มีชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในร่างของตนชื่อว่าสตีฟ สตีฟเป็นคนเลวและเป็นคนฆ่าผู้หญิงทั้งสอง ตัวเขาไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น เคนนี่ถูกส่งไปให้นักจิตวิทยาเพื่อทดสอบ ความขี้โกหกทำให้นักจิตวิทยาที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญหลงกลถึงสองคน และเกือบออกใบรับรองให้ว่าเป็นคนวิกลจริต ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง กฎหมายก็เอาผิดไม่ได้ แต่โชคดีแต่เป็นความโชคร้ายของเคนนี่แผนการต้มจิตแพทย์ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะนักจิตวิทยาคนที่สามได้ทำการสะกดจิตและวางแผนซ้อนจนเคนนี่ตกหลุม


เมื่อแผนล้มเหลว เคนนี่ก็โยนความผิดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบกาย คือการใช้ไม้ตายสุดท้ายคือการโยนความผิดให้กับคนอื่น และคนนั้นก็คือแองเจโล บัวโน ซึ่งตำรวจเองก็สาวไปถึงตัวอยู่แล้วเพราะพบว่าสถิตจำนวนผู้หญิงที่ถูกฆ่าในบ้านเดิมของเคนนี่ลดจำนวนลงทันทีที่เขาย้ายมาเบลลิงแฮม และแหวนพลอยสวมนิ้วของเคนนี่ก็มีรูปพรรณเหมือนแหวนของโยลันดา วอชิงตัน เหยื่อรายแรก แองเจโล บัวโน หรืออีแร้ง ถูกจับกุมโดยมีเคนนี่เป็นพยานปรับปรัมแต่เพียงผู้เดียวและ พยานรู้เห็นคนอื่น ๆ หลีกไปเลย เพราะไม่มีน้ำหนักทางกฎหมาย หลังจากพิจารณาคดีนานสองปี แองเจโล บัวโนต้องจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีการลดหย่อน และสำหรับเคนนี่ผู้ที่ไม่เคยเห็นผิดของตัวเอง แม้จะปรักปรำแองเจโลทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ แต่คณะลูกขุนก็เห็นความกลอกกลิ้ง และประกอบกับหลักฐานจากการฆ่าผู้หญิงสองคนโดยแองเจโลไม่รู้เห็น จึงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตเช่นกัน แต่มีสิทธิลดหย่อนได้ ขณะนี้เคนนี่ได้รับการลดหย่อนสองครั้งแล้ว อีกไม่นานเขาคงออกมาเดินในสังคมพร้อม ๆ กับคนอื่น ๆ ไม่นานเกินรอ !?








 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 20 ตุลาคม 2558 13:27:58 น.
Counter : 1065 Pageviews.  

โดโรเธีย พูเอนเต้ : แม่พระนักฆ่าแห่งซาคราเมนโต (ตอนที่ 2 จบ)

◄ จอมวางแผน

และแล้วการฆาตกรรมครั้งแรกของชีวิตโดโรเธียก็มาถึง! รูทย้ายเข้ามาอยู่บ้านพักชราของโดโรเธียในเวลาต่อมา เธอถูกโดโรเธียหลอกให้มาเป็นหุ้นส่วนร้านอาหารกลางวันเล็ก ๆ ทำให้เธอต้องสูญเสียเครื่องเพชรและเงินทองเกือบทั้งหมดมูลค่า 6,000 เหรียญ เธอเขียนระบายความรู้สึกนี้ให้กับสามีที่กำลังป่วยในโรงพยาบาลทหารผ่านศึกแต่ก็มีความหวังว่าธุรกิจที่เธอเป็นหุ้นส่วนอาจมีอนาคตดีในวันข้างหน้า แต่หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ มันโรกลับวิ่งไปหาเพื่อนในร้านทำผมแล้วโพล่งขึ้นว่า "ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังจะตาย" หลังจากนั้น 16 วัน รูท มันโร ก็ตายเพราะยาไทลินนิลและโคเคอีนเกินขนาด!

เดือนเมษายน 1982 หญิงชรานามรูท มันโร ได้ขอชมกิจการบ้านเลี้ยงดูชราบนถนนเอฟ เธอรู้สึกชื่นชมมาก บ้านหลังนั้นเปรียบเสมือนสวรรค์ของคนชรา เจ้าของบ้านท่าทางมีน้ำใจ ห้องนอนก็นอนพร้อมทีวี รูทถามเธอว่า 

"ถ้าดิฉันเข้ามาอยู่ที่นี้ จะต้องจ่ายรายเดือนอย่างไรคะ?"
"โอ..........ที่รัก" โดโรเธียตอบ
"โดยทั่วไปดิฉันคิดสามร้อยห้าสิบเหรียญต่อเดือน แต่ถ้าเป็นคุณดิฉันแน่ใจว่าน่าจะลดลงได้เพียงสามร้อยเหรียญ ถ้าคุณมีบัตรประกันสังคม"

อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งเดือนต่อมาโดโรเธียถูกจับในข้อหาแอบหย่อนยานอนหลับเกินขนาดลงไปแก้วเครื่องดื่มของชายชราสี่คนที่พบกันในบาร์ 
เหยื่อรายหนึ่งของเธอเป็นชายวัยเจ็ดสิบสี่นามว่า มัลคอล์ม แม็คเคนซี ข้าราชการบำนาญ อายุ 74 ปี มัลคอล์มเล่าว่าขณะที่เขานั่งจิบเบียร์คุยกับเพื่อนที่ซิบบราคลับ เขาเห็นโดโรเธียเดินเข้ามา ท่าทางเป็นผู้ดี ไม่เหมือนพวกอีตัว เขารู้สึกชอบเธอตั้งแต่แรกเห็น เธอแต่งกายประณีต เซ็ตผมสวยงาม กระโปรงพลิ้วสีชมพู เครื่องประดับราคาแพง ทั้งสองคุยกัน หยอกล้อ เล่าเรื่องตลก จากนั้นก็จบโดยการคุยเรื่องทรัพย์สิน จนมัลคอล์มไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคุยเรื่องนี้ ชายชราชวนโดโรเธียไปดูอพาร์ตเมนต์ของเขาและเธอก็รับคำเชิญ 

เมื่อทั้งสองไปถึงบ้านหลังเล็ก ห้องนอนเดียว มัลคอล์มนั่งที่เก้าอี้ตัวโปรดและบอกให้เปิดเบียร์ในตู้เย็นตามสบาย หลังจากนั้นเขารู้สึกเวียนหัวอย่างแรง ขยับตัวไม่ได้แต่ยังรู้สึกตัว เขาได้แต่เฝ้าดูแม่พระรื้อค้นลิ้นชักกระจุยกระจายเพื่อหาของมีค่า เอาแม้แต่เหรียญสะสมเธอกวาดของทั้งหมดในกระเป๋าถือสีแดง และก่อนอำลาจากไปเธอยังปลดแหวนเพชรของมัลคอล์มเป็นของแถม กิจการบ้านพักคนชรา ณ บ้านเลขที่ 2001 ถนนเอฟยุติโดยปริยายโดโรเธีย ถูกจำคุกอีกครั้งเป็นเวลานานถึง 5 ปี เธอยอมรับสารภาพในความผิด 3 กระทง ตำรวจเจ้าของคดีกล่าวถึงเธอว่าเป็นเสมือนขวดยาพิษปิดฉลากว่า "น้ำผึ้ง"

◄ แมงมุมแม่ม่ายดำ
ระหว่างอยู่คุก จู่ ๆ โดโรเธียก็ได้เหยื่อ เขาเป็นชายชื่อเอเวอร์สัน กิลเม้าท์ วัย 77 ปี เธอรู้จักเขาจากเพื่อนทางจดหมาย เอเวอร์สันทำพลาดอย่างร้ายแรงเมื่อเขียนจดหมายถึงเธอว่าเขามีเบี้ยบำนาญใช้และเป็นเจ้าของรถพ่วง เขาไม่รู้ตัวเลยว่าทุกครั้งที่เขาเช็นชื่อในจดหมายถึงเธอ นั้นคือการลงนามพินัยกรรมมรณะของตัวเอง และแล้วเช้าวันที่ 9 กันยายน 1985 หลักจากถูกจำคุก 3 ปี โดโรเธียก็ออกมาสูดอากาศข้างนอกอย่างสบายใจ เอเวอร์สันประทับใจโดโรเธียครั้งแรกที่เห็น ทั้งการแต่งกายและบุคลิก ซึ่งช่วงนี้โดโรเธียผอมลงมาก แต่เอเวอร์สันชื้นชมโดโรเธียไม่นานนัก ครั้นถึงเดือนพฤศจิกายน โดโรเธียเรียกช่างไม้นาม อิสมาเอล ซีฟลอเรซ มาต่อหีบใบใหญ่ และขอให้เขาช่วยยกขึ้นรถในวันรุ่งขึ้น เธอบอกว่ากล่องนี้ใส่สำภาระจำพวกหนังสือ เสื้อเก่าที่เก็บรวบรวมไว้ โดโรเธียปิดฝาตอกตะปูเรียบร้อย 

ครั้นเมื่อถึงแม่น้ำซัตเตอร์เคาน์ตี้เธอกลับสั่งหยุดรถ "ฉันไม่อยากได้สมบัติในกล่องนี้แล้ว โยนทิ้งไว้ดีกว่า" สองเดือนถัดมา ปี 1986 มีคนพบหีบไม้ลอยปริ่นน้ำ ข้างในมีศพชายอายุราวแปดสิบ ไม่มีร่องรอยการทำร้ายซากศพเน่าเปื่อยไม่สามารถจำแนกว่าผู้ตายเป็นใคร คดีนี้จึงกลายเป็นคดีปริศนา ปล่อยให้แม่พระปลอมเงินสามีของตัวเองนานถึง 10 ปีเต็ม ระหว่างนั้นเธอยังเขียนจดหมายถึงน้องสาวของเอเวอร์สันว่า "สบายดี น้ำหนักลดลง 15 ปอนด์ร่างกายฟิตเปรี๊ยะ" 



◄ บ้านฆ่าคนชรา
เดือนมีนาคมปีถัดมา โดโรเธีย ดำเนินกิจการเต็มรูปแบบ จากบ้านหลังเล็ก ขยับขยายใหญ่ขึ้น จนวันหนึ่งเธอรู้จักกับริคาโด ออโดริก้า และล้างสมองเขาสำเร็จ เธอได้เช่าบ้านหลังใหม่อัตราเดือนละ 600 เหรียญเท่านั้น โดโรเธียมีสองบุคลิกในตัว ฉากหนึ่งเป็นหญิงชราใจดีและสูงสง่า ส่วนอีกร่างหนึ่งเป็นฆาตกรใจเหี้ยม บ้านพักคนชราของเธอเป็นเสมือนหอพักรับเฉพาะคนแก่ที่จ่ายค่าเช่าโดยหักบางส่วนจากเงินบำนาญหรือเงินประกันสังคม เธอยินดีรับคนที่มีปัญหาทางจิต ขี้เมาอาละวาด และคนที่นักสังคมสงเคราะห์ส่ายหนา ดังนั้นเธอจึงเป็นขวัญใจขององค์กรการกุศลหลายแห่ง 

ระบบการเงินในบ้านพักชราเป็นดังนี้ เมื่อเช็คประกันสังคมส่งมาถึงผู้อยู่อาศัย โดโรเธียจะเก็บมันเอาไว้เพื่อนำไปขึ้นเงิน เป็นกฎของบ้านว่า เธอเท่านั้นที่มีอำนาจเปิดตู้จดหมาย แล้วหลังจากได้รับเช็คเธอจะทำบัญชีเงินฝากของแต่ละคน แต่ถ้าใครกินเหล้าเมาอาละวาดจะถูกริบเงินบางส่วนหรือตัดเงินบางส่วนและบ่อยครั้งที่ผู้สูงอายุเหล่านี้เดินอาระวาดบนท้องถนน เมื่อถูกตำรวจจับ แน่นอนเงินบำนาญของเดือนนี้จะถูกโดโรเธียริบหมด

นอกจากนี้โดโรเธียจังเป็นคนชอบดื่มเหล้าจัดด้วย และถ้าเธอเมา จากหญิงชราจะกลายเป็นปีศาจหยาบคาย ขว้างสิ่งของ เช่น ขวดอัดลมก็เคยเป็นระเบิดมือที่เธอขว้างใส่คนชราจนบาดเจ็บมาแล้ว และเธอพร้อมระเบิดอารมณ์ทุกเมื่อว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม เช่น เช้าวันหนึ่งชายช
รามากินอาหารเช้าโดยไม่โกนหนวด โดโรเธียโกรธด่ารุนแรงจนทะเลาะกัน เธอไล่เขาออกจากบ้านโดยไม่ฟังคำแก้ตัวคำอ้อนวอนขออภัย ชายชราออกจากบ้านทั้งน้ำตาล และอาทิตย์ต่อมา เขาฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดดึกจากชั้นแปดของโรงแรม แต่เรื่องทั้งหมดนี้สังคมภายนอกไม่เคยรับรู้เพราะคนชราในบ้านไม่กล้าต่อกรกับเธอ และแล้วบ้านทรงวิคตอเรียนสีฟ้าซีด เลขที่ 1426 ถนนเอฟ ซึ่งเป็นบ้านพักคนชราโดยมีโดเรเธีย พูเอนเต้เป็นเจ้าของก็ถือกำเนิด 

เดือนเมษายน ปี 1988 เบนจามิน ฟิงค์ วัย 55 เมาเอะอะอาละวาดตอนดึก ทุบผนังจนทุกคนตื่น โดโรเธียโกรธมาก จนเช้าวันรุ่งขึ้นเบนจามินหายไป สี่วันต่อมาปรากฏว่ามีกลิ่นเหม็นจากพื้นดิน การหายตัวของคนชรายังดำเนินต่อไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 1988 เมื่อเจ้าหน้าที่องค์กรการกุศลเกิดความสงสัยการหายไปของชายชราโรคจิตนาม อัลวาโร เบิร์ด มอนโทย่า

อัลวาโร เบิร์ด มอนโทย่าไม่ใช่คนชราประเภทไร้ญาติขาดมิตร เขาถูกส่งจากองค์กรการกุศลมาที่นี้เพราะประทับใจในฉากหน้าสวยหรู และเมื่อเขาหายไป โดยไม่มีเหตุผล เรื่องจึงถึงมือตำรวจ จนพบซากศพดังที่กล่าวข้างต้น โลกถึงได้รับรู้เบื้องหลังแม่พระนักฆ่าคนนี้ และหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นในบ้านพักทรงวิกเตอเรียแห่งนี้




◄ ขึ้นศาล
ตำรวจต้องใช้เวลาถึงสี่ปีในการรวบรวมหลักฐาน พยาน กว่าจะเริ่มมีการพิจารณากันในเดือนกุมภาพันธุ์ ปี 1993 และย้ายที่พิจารณาคดีจากซาคราเมนโต้มาเป็นมอนเทอเรย์แทน แต่แทนที่กระบวนจะรวดเร็วกลับเป็นช้ากว่าเดิม ร่วมจากกระบวนการคัดเลือกลูกขุนกินเวลาไปกว่าสามเดือน พยานกว่า 153 ปาก หลักฐานกว่า 3,100 ชิ้น ถึงขนาดมีการจำลองบ้านทรงวิคตอเรียนประกอบกันในศาลเลยที่เดียว เมื่อเริ่มกระบวนการศาล ทนายจำเลยของโดโรเธีย แก้ต่างว่าผู้เช่าของเธอตายด้วยเหตุธรรมชาติ ส่วนสาเหตุที่ต้องจัดการฝังศพเพราะไม่อยากติดคุก เนื่องจากเธอเปิดบ้านพักโดยมีทัณฑ์บนติดหลัง ถ้าใครมาเห็นก็คงต้องบอกว่าเธอฆ่า โดโรเธียไม่ใช้คนโลภ เธอเป็นคนใจดี แม้ว่าเธอจะทำผิดฐานปลอมเช็คผู้ตาย แต่เธอทำไปเพราะความจำเป็นเพื่อชดใช้หนี้บ้านพัก โดโรเธีย พูเอนเต้ สวมชุดสีฟ้าและสร้อยไข่มุก เธอถูกนำตัวมาขึ้นศาลสู้คดีฆาตกรรม 9 คดี ที่ศาลเมืองซาคราเมนโต้เมื่อ 31 มีนาคม 1989 เธอให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมโปรยยิ้มและทำหน้าเหมือนคุณยายใจดี



◄ ความผิด
และนี้คือโฉมหน้าที่แท้จริงของแม่พระใจดี เป็นผู้ดีทุกกระบียดนิ้ว ผู้เสียสละ อุทิศชีวิตให้แก่สังคม และจุดอ่อนเพียงประการเดียวของคดีนี้คือ ไม่มีพยานรู้เห็นว่าโดโรเธียฆาตกรรมผู้สูงอายุเจ็ดคนที่พบในบ้านพัก จากการชันสูตรทางห้องปฏิบัติการ ตำรวจพบหลักฐานสำคัญอย่างเดียวคือทุกศพมียาดัลเมน (ฟรูราซิแปม) ยานอนหลับอย่างแรงที่แพทย์เท่านั้นที่สั่งใช้ได้เท่านั้น และยาดัลเมนเป็นหลักฐานเดียวที่ผู้เช่าหลายคนกล่าวว่าเธอบังคับให้พวกเขาทาน 

นอกจากนี้ตำรวจยังติดตามการปลอมเช็ค ขอรับเงินบำนาญทั้งหมด 60 ใบกลับมาครบได้อีกด้วย วันที่ 10 ธันวาคม 1993 โดโรเธีย พูเอนเต้ แม่พระนักฆ่า ถูกพิพากษาต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ข้อหาฆาตกรรมโดโรธี มิลเลอร์ เบนจามิน ฟิงค์ และลีโอนา คาร์เพนเตอร์ แต่คณะลูกขุนยกฟ้องการฆาตกรรม 4 ชีวิตโดยไม่ให้เหตุผล ทั้ง ๆ ที่น่าจะสืบพยานได้ง่ายกว่า โดโรเธียซึ่งตอนนี้เธออายุ 64 ปีแล้ว เธอถูกส่งเข้าคุกเซ็นทรัส แคลิฟอเนีย ใกล้เมืองเชาว์ซิลล่า คุกหญิงที่ใหญ่ที่สุดในเมือง โดยไม่รับอนุญาตให้ลดหย่อนผ่อนผัน แต่ด้วยอายุของโดโรเธีย เธอคงชดใช้ชีวิตที่เหลือในคุกนั้นไม่กี่ปี









 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 20 ตุลาคม 2558 14:04:18 น.
Counter : 1238 Pageviews.  

โดโรเธีย พูเอนเต้ : แม่พระนักฆ่าแห่งซาคราเมนโต (ตอนที่ 1)



สาวใหญ่วัย 57 พูดภาษาสเปนคล่อง เช่าบ้านหลังหนึ่งทำหอพักสำหรับคนสูงอายุไร้ญาติจากกรมประชาสังเคราะห์ ฉากหลังเป็นแม่พระสำหรับคนทั่วไป แต่ฉากหลังเป็นอสูรกายที่ฆ่าคนเพียงเพื่อโกงเงินสวัสดิการเพื่อขึ้นเงินเป็นของตนเอง เธอทำอยู่นาน นานมากจนกระทั้งสังคมได้รับรู้พฤติกรรมและความโหดร้ายของเธอเพราะ "กลิ่น" ทำให้เพื่อนบ้านตรงข้ามทนไม่ไหวจึงแจ้งตำรวจ

◄ ปัญหาของส้วมแตก
พฤศจิกายน 1988 .. กลิ่นเหม็นคลุ้งลอยตลบอบอวลอยู่เหนือแถบบ้านที่ซาคราเมนโต้ มันเป็นกลิ่นสะอิดสะเอียนผสมระหว่างกลิ่นเน่าและกลิ่มหอมแหลม ใคร ๆ ที่อยู่ในแถบนั้นรู้ว่า มันลอยมาจากบ้านทรงวิคตอเรียนสีฟ้าซีด เลขที่ 1426 ถนนเอฟ ซึ่งเป็นบ้านพักคนชราโดยมีโดเรเธีย พูเอนเต้เป็นเจ้าของ กลิ่นนั้นเหม็นร้ายกาจมากขึ้นในหน้าร้อน เพื่อนบ้านหลายคนถึงขนาดต้องปิดเครื่องปรับอากาศ ยอมทนความร้อนแผ่ออกมาจากสามเหลี่ยมปากแม่น้ำดีกว่าจะให้พัดลมในเครื่องปรับอากาศดูดกลิ่นเน่าเข้าไปในบ้านของตัวเอง หลายคนในชุมชนถนนเอฟทนไม่ไหว จนต้องขอร้องโดโรเธียให้กำจัดกลิ่นนี้ โดโรเธียบอกว่ากลิ่นนี้มาจากปัญหาส้วมแตกในบ้านตัวเอง แต่เพื่อนบ้านไม่เชื่อเพราะกลิ่นเน่านั้นมันมาจากใต้พื้นบ้านมากกว่า

◄ ซากศพ
เช้าวันที่ 11 พฤศจิกายน 1988 บ้านสองชั้นทรงวิคตอเรียนสีฟ้าซีด ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่ที่นั้น เมื่อก่อนบ้านหลังนี้เคยโอ่อ่า สวยงาม แต่เดี่ยวนี้มันหักพังซอมซ่อเริ่มผุพัง วันนี้นักสืบจอห์น คาเบร์รา และเพื่อนร่วมงาน เดินทางมาหาโดโรเธียเพื่อไถ่ถามหาตัวอัลวาโร เบิร์ด มอนโทย่า ผู้เช่าโรคความจำเสื่อม ตามที่เจ้าหน้าสังเคราะหืซึ่งดูแลเขาแจ้งความไว้ ทั้งหมดปรากฏตัวที่รั้วเหล็กหน้าบ้านแสดงตัวและแจ้งความประสงค์แก่โดโรเธีย เมื่อเข้าไปในบ้าน สภาพในบ้านไม่แตกต่างจากบ้านพักคนชราทั่ว ๆ ไป แม้บ้านดูยุ่งเหบิง เต็มไปด้วยเข้าของกระจัดกระจาย แต่เมื่อออกไปสวนข้างหลัง จึงพบว่าที่นั้นผิดสังเกต ตรงมุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ พื้นดินเหมือนเพิ่งถูกขุดคุ้ยไม่นานมานี้ เสมือนฝังอะไรสักอย่าง พวกเขาสังหรณ์ใจไม่ดี จึงกลับไปที่รถคว้าพลั่วกับเสียมที่ติดมาด้วยเพื่อเริ่มต้นขุด เพียงไม่กี่นาที พวกเขาได้พบอะไรบางอย่าง มันดูเหมือนเศษผ้าและเศษเนื้อ!??... และเมื่อพยายามขุดลงไปอีก ก็พบอะไรบางสิ่งมันดูคล้ายกับรากไม้ คาเบร์ราเอาพลั่วตีและพยายามสับ แต่มันแข็งเกินจะทำให้ละเอียดได้ เขาเลยตัดสินใจลงไปในหลุมเพื่อดึงมันออก "ผมพยายามดึงมันเต็มแรงจนมันหลุด แต่พอผมขึ้นมาดู พระเจ้าช่วย...! นี้มันกระดูกมนุษย์นี้น่า ผมตกใจมากรีบกระโจนขึ้นมาจากหลุมเชียวละครับ"

◄ สวนศพ 

เสียงเอะอะของตำรวจจากสวนหลังบ้าน ทำให้โดโรเธียเดินเข้ามา พอคาเบร์ราบอกว่าพบชิ้นส่วนศพมนุษย์ เธอถึงกับช็อก ยกมือทั้งสองข้างปิดแก้มในท่าไม่น่าเชื่อ...... นักสืบหยุดขุด และตัดสินใจกันว่าจะกลับมาในวันพรุ่งนี้พร้อมกับเครื่องมือที่ดีกว่า รุ่งขึ้น วันนี้เป็นวันเสาร์ ที่บ้านพักคนชราถูกรายล้อมด้วยฝูงคน มีทีมนิติเวซ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตำรวจ และรวมถึงพนักงานของรัฐต่างมากันพร้อมหน้า พร้อมกับเครื่องมือหนักรถขุดบุลโดเซอร์และซะแลงกว่า 20 คน สำหรับขุดแซะ และแล้วการขุดก็เริ่มขึ้นทุกส่วนของบ้าน บ้านถูกงัดแงะ สิ่งปลูกสร้างถูกรื้อถอน ผนังถูกทุบลงกองบนพื้น ศพแรกที่ขุดได้เมื่อวานก็ปรากฏออกมาเป็นหญิงร่างเล็กผมสีเทา แต่ไม่สามารถระบุได้เพราะร่างนั้นเหลือแต่โครงกระดูก บรรดานักข่าวและคนมากมายต่างออกันอยู่ข้างรั้วเหล็กของบ้าน เด็กบางคนถึงกับปีนต้นไม้ขึ้นมาดู และในขณะที่คณะขุดหากำจังขุดเจาะนั้นเอง โดโรเธีย พูเอนเต้ ในชุดโอเวอร์โค๊ตสีแดงและรองเท้าสีม่วงถือร่มสีชมพูราวกับดาราหนังก็ปรากฏออกมาต่อหน้านักสืบคาเบร์รา "ฉันจะถูกจับหรือยัง", "ยังหรอกครับคุณนาย", "ถ้างั้นฉันขอไปจิบกาแฟที่โรงแรมคลาเรียนหน่อยนะ" หล่อนว่า โรงแรมคลาเรียนอยู่ห่างจากบ้านหลังนี้ไม่ไกลมากนัก โดโรเธียเดินจากไปโดยมีนักข่าวและคนมุงตามไปด้วย แต่เพียงสองถึงสามนาทีพวกนั้นก็กลับมาเพราะสนใจสิ่งที่ขุดในสวนมากกว่า คล้อยหลังโดโรเธียไม่นาน เจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานอย่างว่องไวที่สุด ก็พบศพรายแล้วรายเล่า บ้างก็ถูกฝังอยู่ใต้แผ่นคอนกรีต บ้างก็ฝังอยู่ใต้แท่นตั้งกระถางต้นไม้ จำนวนศพมากจนน่าประหลาดใจสำหรับสวนหลังบ้านของหญิงชรา และศพเหล่านี้เป็นไปได้ว่าไม่ได้ตายโดยธรรมชาติ แต่น่าจะถูกการฆาตกรรมมากกว่า แต่สิ่งที่พวกเขานึกขึ้นมาอีกอย่างตอนนี้คือเจ้าของบ้านคือนางโดโรเธียไม่กลับมาแล้ว เธอหายไปไหน? ในขณะที่ตำรวจมัววุ่นอยู่กับการขุดศพ โดโรเธียถือโอกาสนี้เรียกแท็กซี่ไปสถานีขนส่ง นั่งรถเกรย์เฮานด์ไปยังลอสแองเจลิส หลังจากนั้นอีกหลายชั่วโมงตำรวจเพิ่งไหวตัว หมายจับเพิ่งออกมาเมื่อเธอระเหยเป็นไอไปแล้ว! นักข่าวรุมถามนายกรัฐมนตรีว่า ท่านทำงานช้าเกินไปหรือเปล่า? ประมาณเกินไปหรือเปล่า? และแน่นอนตำรวจถูกตำหนิอย่างรุนแรงที่ปล่อยหญิงชราหลุดมือไปได้ อย่างน้อยน่าจะมีใครสักคนประกบติดตัวไปด้วย วัวหายล้อมคอกจริง ๆ




◄ ศพ 7 ศพ

ในที่สุด การขุดค้นส่วนหลังบ้านของโดโรเธีย พูเอนเต้ก็เสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ได้ศพ 7 ศพ ทั้งหมดล้วนเป็นผู้เช่าบ้านพักของโดโรเธียทั้งสิ้น และศพที่พบในท้ายสวนทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ในสภาพเน่า หลายศพอวัยวะภายในยุ่ยจนรวมเป็นก้อนเนื้อเดียว โดยทั้ง 7 ศพ ได้ถูกระบุชื่อ ดังนี้คือ 

- อัลวาโร "เบิร์ด" มอนโทย่า ชายชราอายุ 51 โรคความจำเสื่อม ชอบส่งเสียงภาษาสเปนคนเดียวกับตัวเอง เขาเรียกพูเอนเต้ว่า "มาม่า" ศพของเขาถูกค้นพบใต้ต้นแอพริคอตปลูกใหม่ด้านข้างสวน

- โดโรธี มิลเลอร์ วัย 64 ชาวอเมริกันอินเดียนที่มีปัญหาเรื่องดื่ม ชอบพร่ำกลอนอกหัก ศพถูกพบในท่าที่แขนพันติดไว้กับอกด้วยเทปพันท่อประปา ครั้งสุดท้ายที่พบเห็นเธอ เธอนั่งอยู่ที่พักผ่อนสูบบุหรี่อย่างสบายใจที่เก้าอี้หน้าบ้าน

- เบนจามิน ฟิงค์ วัย 55 เป็นโรคติดเหล้า ศพแต่งตัวด้วยกางเกงบ็อกเซอร์สั้นลายทาง เขาหายตัวไปเมื่อเดือนเมษายน ปี 1988

- เบ็ตตี้ พาล์มเมอร์ วัย 78 ศพถูกพบ โดยมีส่วนหัว มือ และขาท่อนล่างของศพหายไป พบแต่ลำตัวในชุดนอนแขนกุดสีขาว พบที่ใต้รูปปั้นเซนต์ฟรานซิส เดอ แอสสิสิ ซึ่งอยู่ห่างจากทางเดินหน้าบ้านเพียงสองสามฟุต

- ลีโอ คาร์เพนเตอร์ วัย 78 เธออาศัยอยู่บ้านพักของโดโรเธียตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 1987 เธอนอนทรมานอยู่บนโซฟาอยู่นานหลายสัปดาห์ก่อนจะหายตัวไป ศพของเธอถูกฝังใกล้รั้วด้านหลังและก็เป็นเจ้าของกระดูกที่นักสืบจอห์น คาเบรราเข้าใจผิดว่าเป็นรากไม้

- เจมส์ แกลลอป วัย 62 เธออุตสาห์รอดชีวิตจากอาการหัวใจวายและการผ่าตัดเนื้องอกในสมอง แต่สุดท้ายเธอไม่รอดเงื้อมมือของโดโรเธีย

- วีร่า เฟย์ มาร์ติน วัย 64 นาฬิกาของเธอยังเดินอย่างเที่ยงต้นในขณะที่เธอไม่มีชีวิตอยู่ในโลกอีกต่อไปแล้ว

และนี้คือที่มาของกลิ่นเน่าสุดเหม็นที่ชาวชุมชนถนนเอฟต่างสงสัย และแล้วต้องมาศพทั้งหมดเหล่านี้ ได้ถูกส่งไปให้เจ้าหน้าที่เทคนิคเขียนระบุหลักฐานต่างๆ ในห้องเก็บศพ เจ้าหน้าที่ถึงกับอาเจียนเมื่อเห็นสภาพและกลิ่นสุดเหม็นยากจะบรรยายเหล่านี้

"รู้สึกเหมือนตัวฉันไม่เคยสะอาด.............."

"ที่แย่ที่สุดคือ ฉันยังรู้สึกถึงรสชาติแห่งความตาย"

"และที่แย่กว่านี้คือฉันกินผักที่ปลูกกับดินไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันทำให้ฉันนึกถึงศพที่ขุดค้นพบที่สวนหลังบ้านของโดโรเธีย มันแย่จริง ๆ ฉันเป็นพวกมังสวิรัติเสียด้วย"



◄ หญิงหม้าย
ในขณะที่การขุดศพในซาคราเมนโตยังดำเนินต่อไป อีกมุมหนึ่งของอเมริกา ชาร์ลส์ วิลลีกส์ วัย 67 อดีตช่างไม้กำลังนั่งคุยกับหญิงสูงวัยท่าทางสุภาพในบาร์เล็กๆ เขารู้สึกตงิดๆ ในหัวใจ เธอดูเป็นมิตรและมีระดับ แต่มีอะไรบางอย่างรบกวนความคิด เหมือนเขาเห็นเธอที่ไหน เธอบอกว่ามาจากซานฟรานซิสโก เป็นหญิงหม้าย สามีเพิ่งตายเมื่อเดือนที่แล้ว และถูกแท็กซี่ชิงกระเป๋าเดินทางจนหมด และตอนนี้เธออยากซ่อมรองเท้าส้นสูงสีม่วงคู่สวยของเธอ 

"ฉันไม่รู้ทางไปลอสแองเจลิส คุณช่วยแนะนำร้านซ่อมร้องเท้าราคาไม่แพงได้ไหม เอาใกล้ ๆ โรงแรมโรยัลไวกิ้ง บนถนนหมายเลข 3 นะคะ ฉันพักอยู่ที่นั้น
ชาร์ลส์ วิลลีกส์ฟังเรื่องชักสงสาร เลยเอารองเท้าเธอไปซ่อมให้ที่แผลตรงข้าม พอเขาเอารองเท้าไปคืน ผู้หญิงคนนั้นก็รุกถามว่า 

"คุณคงได้รับเงินตอบแทนสังคมของรัฐสม่ำเสมอ มากพอสมควรเลยสิค่ะ"

"ครับ ก็พอประทังชีวิตได้แบบกระเบียดกระเสียร ประสาคนตัวคนเดียวแหละครับ"เขาถ่อมตัว

"ทำไมเราไม่ลองอยู่ด้วยกัน" เธอว่า

"ผมมีทุกอย่างที่ผมอยากได้แล้วครับ" ชาร์ลส์ วิลลีกส์ว่า

เขาหยุดเงียบไปอีกนานแล้วเริ่มเปลี่ยนบทสนทนา จากนั้นเขาก็รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน และตกลงที่จะออกไปซื้อของวันรุ่งขึ้น สิ่งเดียวที่วิลลีกส์เก็บเงียบไม่แสดงออกคือความสงสัยว่า ทำไมหญิงแปลกหน้าคนนี้ถึงทำท่าสนิทสนมคุ้นเคยกับเขาง่ายเหลือเกิน และความแปลกใจนี้ทำให้เขาครุ่นคิดไม่เลิกจนกระทั้งเขาถึงอพาตเมนต์จึงนึกออกว่า เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวกับในข่าวทีวี เธอเป็นคนเดียวกันกับทางการที่ประกาศจับ วิลลีกส์เสียวสันหลังวาบ เขารีบโทรไปหาสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นเพื่อแจ้งเรื่อง และก็แจ้งตำรวจลอสแองเจลิสทันที "ผมนึกขอบใจตัวเองจริง ๆ ที่ไม่ไต่สะพานที่เธอทอดให้" วิลก์ว่า


◄ การจับกุม
วันที่ 17 พฤศจิกายน 1977 สี่ทุ่มสี่สิบนาที รถตำรวจหกคันกระจายล้อมรอบโรงแรมรอยัลไวกิ้ง จ่าตำรวจพอล ฟอนรอเพื่อนตำรวจร่วมงานเข้าประจำตำแหน่งครบแล้วจึงเคาะประตูห้องพัก

"ใครคะ?"

"ตำรวจ....กรุณาเปิดประตู"

ประตูเปิดออกช้า ๆ หญิงผมขาวออกมามอง เธออยู่ในชุดสีชมพู จ่าพอลแสดงบัตรประจำตัว เธอรับไปดูอย่างสงบ แล้วจึงเชิญเขาเข้าไปในห้อง

"ผมขอดูบัตรประจำตัวหรือใบขับขี่หรือบัตรประกันสังคมได้ไหมครับ"

หญิงชราไม่มีสะทกสะท้าน เธอเดินช้า ๆ ไปที่เตียง เปิดกระเป๋าโดยไม่พูดอะไร ส่งบัตรให้ตำรวจ หลังจากเห็นชื่อในบัตรแล้ว จ่าตำรวจพอล ฟอนลักซอว์จึงพูดอย่างเป็นทางการว่า "คุณโดโรเธียคุณถูกจับกุม ทราบสิทธิตามกฎหมายของคุณหรือเปล่า" โดโรเธียยังไม่สะทกสะท้านและไม่แสดงท่าทีขัดขืนใจ เธอเพียงหยิบเสื้อคลุมสีแดง และเดินตามตำรวจออกไปเงียบ ๆ หลังจากนั้นเธอถูกสวมกุญแจมือ ก่อนที่ถูกส่งไปยังท่าอากาศยานเบอร์แบงก์เพื่อส่งกลับไปที่ซาคราเมนโต "ฉันไม่ได้ฆ่าใครสักคน" เธอพูดหนักแน่นกับตำรวจ "ฉันแค่เอาเช็คของพวกเขาขึ้นเงินสด คุณรู้ไหม ฉันเป็นคนดี เป็นคนดีแค่ไหน ฉันคือแม่พระของคนยากไร้ และสังคมจะตัดสินฉัน ไม่ใช้พวกคุณ" เธอกล่าว

◄ แม่พระ
31 มีนาคม 1989 ศาลเมืองซาคราเมนโต้ "ดิฉันไม่เคยฆ่าใครหรอกค่ะ" โดโรเธีย พูเอนเต้ ในชุดสีฟ้าและสร้อยไข่มุก ยืนยันหนักแน่นกลางศาล เธอผู้นี้ได้รับฉายาจากนักข่าวว่า "แม่พระนักฆ่าแห่งซาคราเมนโต"

การพิจารณาคดีของโดโรเธียได้ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ของซานคราเมนโต้ว่าเป็นคดีที่สะเทือนอารมณ์มากที่สุด เพราะหญิงคนนี้ครั้งหนึ่งสังคมได้ยกย่องว่า เป็นแม่พระของคนยาก เธออุทิศชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อคนในวัยเดียวกับเธออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บ้านพักคนชราบนถนนเอฟถือกำเนิดขึ้นและดำเนินอยู่ได้ด้วยความอุตสาหะ เป็นที่น่าชื่นชมขององค์การกุศลและองค์การประกันสังคม คนชราในบ้านพักทั้งหมดคือคนเสพยา ติดสุรา ไร้ถิ่นฐาน สภาพจิตทรุดโทรม คนที่แม้แต่สังคมรังเกียจแต่สำหรับโดโรเธียไม่เคยปฎิเสธคนเหล่านั้น 
บ้านพักคนชราและผู้ด้อยโอกาสทางสังคม เลขที่ 1426 ถนนเอฟ เคยเป็นบ้านส่วนตัวของริคาโด ออโดริก้า ชาวเม็กซิกันอพยพ ต่อมาโดโรเธียได้เจรจาขอเชาเดือนละ 600 เหรียญ ริคาโดก็ยอมย้ายลูกเมียออกจากบ้านไปเช่าบ้านหลังใหม่เพราะเห็นน้ำใจประเสริฐของเธอ โดโรเธียวิ่งติดต่อขอใบอนุญาตจากราชการ ต้อนรับคนชราทุกประเภท ทุกเชื้อชาติ เพราะเธอพูดได้หลายภาษา เธอเก็บเงินค่าใช้จ่ายน้อยนิดโดยหักจากเงินประกันสังคมที่พวกเขาได้รับจากรัฐบาล เธอเป็นประชาชนตัวอย่าง เป็นผู้ปิดทองหลังพระ และเป็นนักบุญ ทนายแก้ต่างตั้งคำถามที่ทำให้ลูกขุนนิ่งงันว่า
"คนดีที่หายากแบบนี้หรือ คือคนที่ท่านกำลังตัดสินเป็นฆาตกร?" 

"เป็นที่รู้กันดีว่า โดโรธี มิลเลอร์ เบนจามิน ฟิงค์ และลีโอ คาร์เพนเตอร์ สามในเจ็ดของผู้เสียชีวิตในบ้านพักคนชราเป็นคนมีปัญหาทางจิต สุขสภาพเสื่อมโทรมเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง เป็นไปได้ไหมว่า ศพทั้ง 7 ที่ขุดพบอาจเป็นศพที่ตายด้วยสาเหตุธรรมชาติ และไม่ว่าผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จะเป็นอย่างไร ท่านขณะลูกขุนจะกรุณาต่อจำเลยที่ประกอบคุณความงามความดี โดยปล่อยให้โดโรเธีย ได้ใช้ชีวิตในปั้นปลายที่เหลือเพียงเล็กน้อย ในที่ซึ่งปราศจากการคุมขัง เพื่อเป็นการทดแทนความดีของเธอที่ได้กระทำต่อสังคม.........." 
แท้จริงแล้วโดโรเธีย มีความเป็นมาอย่างไร? เธอคือแม่พระหรือซาตาน?

ทำไมโดโรเธีย หญิงผมขาวที่พูดจาอ่อนหวานจึงเปนฆาตกรใจเหี้ยม ถ้าเธอโหดร้ายจึง ทำไมจึงเลือกอาชีพนักสังคมสังเคราะห์ แต่ถ้าเป็นแม่พระ ทำไมจึงพบศพอย่างน้อยเจ็ดศพที่ฝังทั้งในและนอกบ้านพักคนชรา เลขที่ 1426 ถนนเอฟ เรามาลองรู้จักประวัติของโดโรเธียดีกว่าว่า สิ่งใดที่เป็นตัวหล่อหลอมความโหดเหี้ยมให้เธอเป็นแม่พระนักฆ่า

◄ กำเนิดแม่พระ
โดโรเธีย แม่พระถือกำเนิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 1929 ในเมืองเรดส์แลนด์ ซานเบอร์นาดิโน มลรัฐแคลิฟอร์เนีย์ เธอมีชื่อจริงคือ โดโรเธีย เฮเลน เกรย์ พ่อชื่อ เจสซี เกรย์ แม่ชื่อ ทรูดี้ มีอาชีพเกษตรกร รับจ้างเก็บฝ้าย ทั้งคู่เป็นพวกขี้เมาหยำเป ฐานะในครอบครัวจึงอยู่ในสภาพแย่ ดังนั้น สิ่งแรกที่โดโรเธียจำความได้ตอน 3 ขวบ คือการสาละวนกับการอาเจียนของบิดามารดา และเก็บผลไม้เอาเงินเป็นค่าขนมของตนเอง น่าสงสารที่ชีวิตในวัยเด็กของโดโรเธีย เธอต้องประสบเคราะห์กรรมไม่น้อย เริ่มจากพ่อเป็นวัณโรคตายเมื่อเธออายุ 8 ขวบ อีกปีต่อมาแม่ก็ตายด้วยอุบัติเหตุมอเตอร์ไซต์ ทำให้พี่น้องตระกูลเกรย์ถูกแยกไปเลี้ยงตามที่ต่าง ๆ ส่วนโดโรเธียเป็นลูกหนึ่งในเจ็ดที่ถูกนำมาเลี้ยงในสถานเด็กกำพร้า และถูกญาติไปอุปการะในเมืองเฟรสโน แคลิฟอร์เนีย โดยภายหลังเธอได้สร้างเรื่องวัยเยาว์ขึ้นมาใหม่ โดยใช้จินตนาการ เช่น เป็นลูกในสิบแปดคนของครอบครัวเม็กซิกันที่อบอุ่น

ตามบันทึกสำมะโนครัวพบว่าโดโรเธียนั้นย้ายบ้านเป็นว่าเล่นมาก โดยครั้งแรกอยู่ที่เมืองปานา เมื่ออายุ 13 เป็นนักเรียนลอสแองเจลิส เมื่ออายุ 16 ย้ายไปอยู่โอลิมปีย วอชิงตัน ทำงานเป็นพนักงานเขย่ามิลค์เชคในร้านไอศกรีมระหว่างฤดูร้อนปี 1945

โดโรเธียแต่งงานมาแล้วสี่ครั้ง ครั้งแรกเมื่ออายุ 17 ปี สามีชื่อ เฟรด แม็คฟอล เป็นนายทหารที่พึ่งกลับจากฟิลิปปินส์เขาพบกับโดโรเธียในช่วงที่เธอทำอาชีพขายตัว โดโรเธียได้แต่งงานกับแม็คฟอลหลังพบกันสองสามเดือน และหลังจากแต่งไม่นานเธอก็ออกฤทธิ์อาจเป็นเพราะความยากจนในวัยเด็ก โดโรเธียจึงนิสัยเสีย คืออยากมีชีวิตที่สุขสบาย เธอชอบแต่งตัวด้วยเครื่องประดับราคาแพงเพื่อให้ดูยั่วยวน แต่ที่แย่กว่านั้นคือเธอเป็นคนขี้โกหกจนเข้าสายเลือด ชอบแต่งเดิมอดีตตัวเองเพื่อที่จะมีหน้ามีตาในสังคม เช่นโม้ว่า เคยอยู่โหดการณ์ต่าง ๆ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โม้ว่าเป็นน้องสาวของทูตสวีเดน หรือบางทีก็โม้ว่าเป็นเพื่อนกับดาราภาพยนตร์ชื่อดังสมัยนั้น

โดโรเธียมีลูกกับแม็คฟอลสองคน แต่ชีวิตคู่สมรสเริ่มล่มจม เพราะเขาจับได้ว่าโดโรเธียตั้งครรภ์ปริศนาหลังจากหนีไปลอสแองเจลิสหลังคลอดบุตรคนที่สอง แต่เธอทำแท้งเอาเด็กออกก่อน แม็คฟอลรับไม่ได้ เขาขอหย่าหลังแต่งงานแค่ 2 ปี จนเครียดต้องหันไปพึ่งเหล้า จนในที่สุดแม็คฟอลก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ

ปี 1942 โดโรเธียแต่งงานอีกครั้งกับแอ็กแซล โจแฮนสัน ชาวร่างยักษ์ ชาวสวีเดน พ่อค้าเดินทะเล นิสัยหยาบคาย ความสัมพันธ์คู่สมรสนี้แปลกประหลาดและรุนแรง แต่สามารถครองรักยาวนานถึง 40 ปี

◄ เงิน เงิน เงิน
ปี 1948 โดโรเธียอายุ 19 จึงเป็นแม่ม่าย ขณะที่วัยเพียงแค่นี้ เธอจำเป็นต้องมีเงินดำรงชีพ ด้วยสัญชาติญาณเอาตัวรอดสอนให้เธอฝึกวิธีการปลอมแปลกเช็คของสามีหรือจากคนรู้จักมาขึ้นเงิน และนี้คือผลงานครั้งแรกบนแฟ้มอาชญากร เธอถูกตำรวจจับอย่างรวดเร็ว ต้องติดคุกถึงสี่ปี แต่เอาเข้าจริงเธอติดคุกแค่ 1 ปีเท่านั้นและเธอได้รับการภาคทัณฑ์หลังจำคุกแค่ 6 เดือน แต่เธอก็เดินทางเข้าเมืองอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายเพราะเธอคิดว่ากฎหมายเอาผิดเธอไม่ได้ การได้เงินง่าย ๆ จากการอ่อยเหยื่อทำให้โดโรเธียเคยตัวจนหยุดไม่อยู่ 

ปี 1960 โดโรเธียต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 90 วันที่เรือนจำกลางเมืองซาคราเมนโตในข้อหาเป็นโสเภณี ตำรวจพบเธอในซ่อง แต่เธออ้างว่าไปเยี่ยมเพื่อนเท่านั้น ศาลไม่เชื่อ ชีวิตในคุกไม่ได้ทำให้โดโรเธียเดือดร้อนสักนิด เธอใช้เวลาหมดไปกับการอ่านตำราในสวน การโม้ชีวิตเฟ้อฝันแก่เพื่อนร่วมคุกจนหลายคนหมั่นไส้ เธอโดนเจ้าถิ่นทำร้าย แทงด้วยกรรไกร จนแยกขังเดี่ยว ต่อมาเมื่อโดโรเธียพ้นโทษ เธอก็ต้องโทษจำคุกอีก 90 วัน เนื่องจากตำรวจพบว่าเธอเดินเร่ขายตัวอยู่ โดยที่แอ็กแซล โจแฮนสัน ยังเป็นสามีอยู่นั้น มิให้ความสนใจในพฤติกรรมของภรรยา เพราะเขามักไม่อยู่ติดกับบ้าน นาน ๆ จะกลับบ้านสักครั้งและทุกครั้งที่กลับมาก็พบชายอื่นอยู่กับเมียเขา หลายเดือนก่อนออกจากคุก โดโรเธีย ได้วางแผนไว้ในหัวว่าเมื่อพ้นโทษ เธอจะทำกิจกรรมสถานเลี้ยงดูคนชราสำหรับคนด้วยโอกาสในสังคม และนี่คือชีวิตคุกครั้งแรกและแน่นอนมันไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

ปี 1966 โดโรเธียหย่ากับแอ็กแซล โจแฮนสัน และแต่งงานกับโรเบิร์ด โฮเซ่ พูเอนเต้ ที่เม็กซิโก ในปีเดียวกันนั้นเอง เธอรักโรเบิร์ด กว่าสามีทุกคนที่ผ่านมา แต่มีปัญหาโรเบิร์ดอายุอ่อนกว่าโดโรเธีย 19 ปี

ช่วงนั้นเองโดโรเธียอ้วนมาก ไม่สามารถควบคุมน้ำหนักตัวได้ แต่เธอพยายามทำดีที่สุดเพื่อดึงสามีไว้กับตัว เธอพยายามปกปิดร่างกายด้วยผ้าพรางตา จนดูคล้ายกับดารานักแสดง เธอมีท่าทางดั่งนางเอกหนัง จนคนข้าง ๆ ต้องหันไปมอง และแล้วความสัมพันธ์ของเธอกับคนรักหนุ่มละตินโรเบิร์ตสิ้นสุดลงเมื่อเธอชกหน้าเขา ชายหนุ่มหนีออกจากบ้าน ขับรถปอนเตียมอนติคาร์โลคันใหม่ของเธอหายไป และไม่กลับมาอีกเลย และในปีต่อมาธุรกิจบ้านพักฟื้นของเธอเริ่มทำให้เธอมีหนี้ถึง 10,000 เหรียญ

ปี 1976 โดโรเธีย ย้ายเข้าไปบริหารหอพักที่ถนน 21 และถนนเอฟซาคราเมนโต้ ปี 1976 และแต่งงานใหม่คนเช่าคนหนึ่ง นามว่า เปโดร แองเจล มอนทาลโว ที่รีโน รัฐเนวาดา เปโดรเป็นชายร่างใหญ่ ดื่มเหล้าเหมือนอูฐดื่มน้ำ แต่เธอไม่รังเกียจเพราะชีวิตเธอเคยชินกับพวกขี้เหล้า ปี 1978 โดโรเธียต้องโทษคดีโกงเช็ค 34 ใบจากผู้เช่า เธอถูกทัณฑ์บน 5 ปี แถมคำสั่งให้รักษากับจิตแพทย์ เธอเคยบอกกับเพื่อนในคุกว่า "นี่คือวิธีหาเงินได้ง่ายที่สุด!" 1 ปีที่ออกจากคุก โดโรเธียตั้งท้องและคลอดลูกสาว แต่เธอกำจัดลูกสาวไปอย่างรวดเร็วโดยยกให้เป็นบุตรบุญธรรมคนอื่น เธอไม่อาลัยอาวรณ์ลูกตัวเองสักนิด ต่อมาโดโรเธียก็แยกทางกับเปโดรอีกครั้งหนึ่ง แต่ในเวลานั้นเธอขึ้นเป็นเจ้าของและผู้บริหารงานแต่เพียงผู้เดียว เงินสดทั้งจากกองทุน คนชราที่เข้ามาอาศัย และผู้ศรัทธาเริ่มเข้ามาหาที่เธอไม่เว้นแต่ละวัน แต่โดโรเธียต้องการเงินมากกว่านั้น!



#ต่อตอนที่ 2 (จบ)















 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 20 ตุลาคม 2558 13:54:38 น.
Counter : 2190 Pageviews.  

The DC Sniper : สไนเปอร์อำมหิต

ครั้งหนึ่งเคยมีคำกล่าวว่า สไนเปอร์หนึ่งคนมีค่ายิ่งกว่าทหารหลายพันคน เพราะกระสุนเพียงนัดเดียวของพวกเขาสามารถสร้างความหวาดกลัวแก่ทหารกองทัพได้

เมื่อเดือนตุลาคม 2002 ได้เกิดเหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญในประวัติศาสตร์ฆาตกรต่อเนื่องในอเมริกาที่เรียกว่า The DC Sniper : The Beltway Sniper Attacks เหตุการณ์นี้มีคน 10 คนถูกฆ่าตายและบาดเจ็บหลายราย ด้วยปืนสไนเปอร์ที่ซุ่มยิงตามจุดต่างๆ กลางเมืองวอชิงตัน และทางหลวงเวอร์จีเนีย เชื่อว่าฆาตกรดังกล่าวทำการซุ่มยิงจากในรถสีขาวหรือรถบรรทุก ฆาตกรดังกล่าวไม่มีเหตุจูงใจในการฆ่า จุดประสงค์ในการฆ่าก็เพื่อความสนุกสนานล้วน ๆ ส่งผลทำให้ประชาชนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตและอยู่อย่างหวาดระแวงในช่วงสามสัปดาห์ดังกล่าวหลายราย

ความจริงแล้วก่อนที่จะถึงเหตุการณ์นี้ช่วงเดือนตุลาคม ก็มีเหตุการณ์ยิงในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว เพียงแต่เกิดคนละพื้นที่ และคดีเหมือนจะเป็นการฆ่าเพื่อชิงทรัพย์มากกว่า โดยเหตุการณ์เริ่มขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม 220 เมื่อจอห์น กาเอตา กำลังเปลี่ยนล้อยางอยู่ที่ลานจอดรถในแฮมมอนด์ รัฐหลุยเซียน่า จู่ ๆ เขาก็ถูกยิงที่ลำคอโดยโจรวัยรุ่นผิวสีคนหนึ่ง หากแต่โชคดีที่เขาไม่ตาย แค่บาดเจ็บเล็กน้อย เขาจึงแกล้งตาย โดยปล่อยให้โจรขโมยเงินจากกระเป๋าเงินของเขา และเมื่อโจรจากไปเขาก็รีบวิ่งไปที่สถานีดำรวจและถูกส่งไปโรงพยาบาลทันที และในเวลาต่อมาเขาก็ได้รับจดหมายขอโทษจากโจรดังกล่าว แต่เรื่องราวยังไม่จบ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2002 เวลา 10.30 น. นายพอล ลาลูฟา อายุ 55 ปี เจ้าของร้านพิซซ่าในคริสตัน แมรี่แลนด์ถูกยิง 6 นัดซ้อนในขณะกำลังปิดร้าน จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ เพราะพบว่าคอมพิวเตอร์ถูกขโมยไป ต่อมาวันที่ 21 กันยายน คลอดีน ปาร์คเกอร์ พนักงานร้านเหล้าในอลาบาม่า เขาและเพื่อนร่วมงานถูกยิงตายในระหว่างถูกปล้นร้าน เพื่อนร่วมงานรอดชีวิตหากแต่เขาตายในทันที คดีดังกล่าวตอนแรกไม่ได้ถูกนำมาเชื่อมโยงกับคดี DC สไนเปอร์ เนื่องจากที่อเมริกามีคดีปล้นฆ่าในลักษณะแบบนี้เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว หากแต่เมื่อการมีการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ในคดี DC สไนเปอร์ก็เริ่มมีขยายผลเชื่อมโยงคดีเหล่านี้ได้ในที่สุด

ในเดือนตุลาคมถือว่าเป็นช่วงที่ DC สไปเดอร์ออกอาละวาดอย่างแท้จริงและส่งผลทำให้คนในรัฐแมรี่แลนด์เกิดความหวาดกลัว การออกอาละวาดเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม เวลา 5:20 น. มีการยิงผ่านหน้าต่างร้านไมเคิลส์ขายสินค้าหัตถกรรมในแอสเพนฮิลส์ แมรี่แลนด์ แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บและไม่มีการแจ้งเตือนภัยจากร้าน หากแต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เวลา 18:30 น. เจมส์ มาร์ตินนักวิเคราะห์โครงการขององค์การมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ 55 ปี ถูกยิงและถูกฆ่าตายในลานจอดรถของร้านขายอาหารปลีกและเภสัชกรรม ในช่วงเช้าวันที่ 3 ตุลาคม ฆาตกรได้ฆ่าคนถึง 4 รายซ้อนในช่วงเวลาเพียง 2 ชั่วโมง และทั้งหมดถูกยิงในขณะทำกิจวัตรประจำวันแบบปกติทั้งสิ้น เริ่มจากในช่วง 7.21 นาที เจมส์ เอล.บูคานัน อายุ 39 ปีถูกยิงตายในขณะกำลังตัดหญ้าที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ร็อกวิล ต่อมาเวลา 8.12 นาที คนขับรถแท็กซี่ เปรม คูมาร์ วอล์กเกอร์ อายุ 54 ปี ถูกยิงเสียชีวิตในขณะเติมน้ำมันแท็กซี่ของเขาที่ปั๊มน้ำมันแอลฮิลล์ ต่อมาอีกไม่กี่ไม่ไกลจากปั๊มที่เกิดเหตุ ซาร่าห์ รามอส แม่บ้านอายุ 34 ปี ก็ถูกยิงเสียชีวิตในระหว่างทำความสะอาดรถในปั๊มเซลล์ ต่อมาหญิงคนหนึ่งชื่อ โลลี่แอน ลูอัสริเวอร่า ก็ถูกยิงเสียชีวิตในขณะกำลังเดินข้ามถนน 



หลังจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่าเหยื่อทั้งหมดถูกฆ่าด้วยกระสุนชนิดเดียวกันที่ถูกยิงมาจากระยะไกล แสดงให้เห็นว่าตอนนี้รัฐแมรี่แลนด์กำลังมีฆาตกรต่อเนื่องออกอาละวาด สถานที่ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือจุดบริการน้ำมัน ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และโรงเรียน ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะถูกสุ่มยิง โดยไม่เลือกอายุ เพศ เชื้อชาติ สภาวะทางเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งสถานที่ซุ่มโจมตีส่วนมากอยู่ใกล้ฟรีเวย์ เชื่อว่าฆาตกรไม่รู้จักเส้นทางมากนักและคงใช้แผนที่จากสถานีออนไลน์ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลทำให้ความหวาดกลัวครอบคลุมไปทั่วทันที ผู้ปกครองหลายคนต้องไปรับบุตรหลานเองที่โรงเรียน โดยไม่ปล่อยให้เด็กกลับมากับรถโรงเรียน อีกทั้งกิจกรรมการแจ้งของโรงเรียนก็ถูกยกเลิก

หลังจากนั้น DC สไปเนอร์ก็เริ่มขยายพื้นทีเป็นวงกว้างขึ้น เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม แคโรไลน์ ซีเวลล์ หญิงสาวอายุ 43 ปี ถูกยิงในขณะยกสินค้าขึ้นรถตู้ในห้างโชคดีที่เธอรอดชีวิตมาได้ ต่อมาในวันที่ 7 ตุลาคม ในตอนเช้าเด็กชายชื่อ อิหร่าน บราน์ อายุ 13 ปี ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ท้องและหน้าอกในขณะลงจากรถโรงเรียน จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจในที่เกิดเหตุก็พบหลักฐานที่คาดว่าเป็นของฆาตกร เป็นปลอกกระสุนและไพ่ทาโรต์ 1 ใบ ที่เขียนข้อความว่า “เรียกฉันว่าพระเจ้า” 



ไพ่ทาโรต์ “มรณะ” ที่มือปืนทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุ 
สังเกตว่ามีคำว่า “Call me God” อยู่ด้านบน

DC สไนเปอร์ยังคงไม่หยุดอาละวาด 2 วันต่อมาแฮโรลด์ เมเยอร์ ถูกยิงเสียชีวิตในขณะเติมน้ำมันในปั๊ม สองวันต่อมาในตอนเช้า เคนเนธ บริดเจส อายุ 53 ปี ถูกยิงเสียชีวิตในขณะเติมน้ำมันในปั๊มเหมือนเหยื่อรายก่อนหน้า

วันที่ 14 ตุลาคม ลินดา แฟรงคลิน นักวิเคราะห์ข่าวกร
องของ FBI ถูกยิงเสียชีวิตในขณะกำลังช็อปปิ้งกับสามีของเธอ ต่อมาวันที่ 19 ตุลา ชายอายุ 37 ปีคนหนึ่งถูกยิงแต่รอดชีวิต และเช้าวันต่อมา คอนราด จอห์นสัน ถูกยิงในขณะอยู่ในรถบัสโดยสารและเสียชีวิตในโรงพยาบาลต่อมา 

ผลสรุปการซุ่มยิงที่เวอร์จีเนียมีผู้เสียชีวิต 10 คน แต่กระนั้นมันก็เพียงพอที่จะสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้คนทั่วทุกหนทุกแห่ง อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้ประชาชนในพื้นที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมากขึ้น หลายเบาะแสที่แจ้งเข้ามาทำให้หน่วยสอบสวนทุกฝ่ายสามารถวิเคราะห์ ตรวจตาพื้นที่ จนสามารถเข้าใกล้มือปืนดังกล่าวมากขึ้น และแล้ววันที่ 24 ตุลาคมนี้เองก็มีการจับกุมผู้ต้องสงสัย 2 คน เป็นชายผิวดำวัยกลางคนและวัยรุ่นชาย ขณะนอนหลับอยู่ในรถเชฟ-โรเล็ต คาไพรซ์ แผ่นป้ายทะเบียน NDA21Z จอดอยู่ข้างทาง จากการตรวจสอบได้พบปืนปืนไรเฟิลขนาด .223 บุชมาสเตอร์ ซึ่งเป็นอาวุธชนิดเดียวกับที่ฆาตกรในคดี DC สไนเปอร์ใช้ยิงเหยื่อ นอกจากนี้ยังพบกล้องเล็งและขาตั้ง แผนที่ วิทยุสื่อสาร และอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้ในการสังหารเหยื่อ อีกทางหนึ่งเจ้าหน้าที่ FBI ได้ยกกำลังเข้าตรวจค้นบ้านของชายต้องสงสัยทั้ง 2 คน ที่เมืองเบลลิงแฮม รัฐวอชิงตัน เพื่อตรวจค้นหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีโหด โดยใช้เครื่องไม้เครื่องมือหลายชนิดรวม ทั้งอุปกรณ์ตรวจจับโลหะ



จากการตรวจสอบประวัตติชายผิวดำสองคนที่ถูกจับกุม พบว่าชายวัยกลางคนคือ มูฮัมหมัด อัลเลน อายุ 41 ปี และลูกเลี้ยงลีบอยด์ ทั้งคู่ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง ประกอบอาชีพเป็นโจรปล้นฆ่า ก่อนที่จะก่อเหตุการณ์ร้ายดังกล่าว จอห์น อัลเลน มูฮัมหมัด มีชื่อเดิมว่าจอห์น วิลเลียมส์ อัลเลน เกิดวันที่ 31 ธันวาคม 1960 ในลอสแอนเจลิส อดีตเคยเป็นทหารกองทัพบกสหรัฐฯ ประจำการอยู่ที่ค่ายฟอร์ต ลูอิส ใกล้เมืองทาโคมา รัฐวอชิงตัน และเข้าร่วมกลุ่มมุสลิมผิวดำในอเมริกา ที่กองทัพบกมูฮัมหมัดได้รับการฝึกอบรมเป็นทหารช่าง ขับรถบรรทุก และเชี่ยวชาญโลหกรรม มีคุณสมบัติในการใช้ปืนไรเฟิลทหารราบมาตรฐาน M16 ยิงปืนแมนยำจนได้รับประเมินในระดับสูง หากแต่ในสงครามอ่าวเปอร์เซียที่เขาเข้าไปประจำการในปี 1994 เขากลับถูกกล่าวหาว่าขว้างระเบิดมือเข้าไปในเต็นท์ของเพื่อนทหาร จนถูกปลด ในฐานะมุสลิมผิวดำในอเมริกา มูฮัมหมัด จัดอยู่ในพวกอเมริกันที่ต่อต้านความไม่เท่าเทียมกัน ก่อนที่พัฒนาเป็นพวกต่อต้านอเมริกัน และเริ่มทำตัวเป็นคนนอกกฎหมาย มีส่วนร่วมในการปลอมแปลงเอกสารบัตรเครดิตและเอกสารตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งในช่วงนั้นเองเขาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นจอห์น อัลเลน มูฮัมหมัด และได้รู้จักกับลีบอยด์ และจับคู่กันจนกลายเป็นคู่หูฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมา

ลี บอยด์ สมัลโว หรือเจมส์ ลี สมัลโว เกิดเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 1985 ในคริสต์ตัน จาไมกา แม่ของเขาเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทกับมูฮัมหมัดที่รู้จักกันเมื่อปี 1999 เนื่องจากต้องการลักลอบเข้าอเมริกาโดยให้มูฮัมหมัดออกเอกสารปลอมให้ และยกสมัลโวให้เป็นลูกเลี้ยงของมูฮั
มหมัด หากแต่เขาและแม่ถูกจับได้แถวชายแดนเสียก่อน หากแต่ถูกจำคุกในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวออกมา หลังจากออกจากคุกเขาก็คอยติดตามมูฮัมหมัดในฐานะลูกเลี้ยง ซึ่งมูฮัมหมัดก็ปลอมเอกสารว่าเป็นบิดา เขาเคยเข้าโรงเรียนมัธยมแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดเพราะเรียนไม่รู้เรื่อง แต่กระนั้นเขาก็ในเก่งเรื่องอาวุธปืน เพราะพ่อเลี้ยงสอนเขายิงปืนเป็นประจำ โดยเฉพาะปืนประเภท AR - 15



หลังจากนั้นทั้งสองก็เป็นโจรลักเล็กขโมยน้อย ก่อนที่จะเกิดเหตุซุ่มยิงในเดือนตุลาคมนั้น ทั้งสองก่อเหตุฆ่าคนในหลายพื้นที่ แน่นอนหลังจากที่ทั้งสองถูกจับได้ คำถามที่ตามมาก็คือเหตุจูงใจในการก่อเหตุร้ายนี้คืออะไร? คำตอบของมูฮัมหมัดคือ เขาทำเพราะคิดว่าเป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ญิฮาด ส่วนลูกเลี้ยงก่อเหตุครั้งนี้เพราะเป็นคำสั่งของเขา เขายังมีความคิดอีกว่าเขามีแผนที่จะสร้างสังคมศาสนาของเขา โดยนำเด็กจรจัดมาฝึกให้เป็นผู้ก่อการร้ายและส่งไปก่อเหตุร้ายในสหรัฐฯ แน่นอนว่าหลายฝ่ายพยายามเชื่อมโยงไปยังการก่อการร้ายของพวกมุสลิมหัวรุนแรง หากแต่กระนั้นก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า หลายคนเชื่อว่าสาเหตุที่มูฮัมหมัดทำแบบนี้เพราะต้องการระบายความแค้นที่ภรรยาหย่ากับเขา ซึ่งเขาแค้นภรรยามากและก่อเหตุดังกล่าว แต่ผลสุดท้ายแรงจูงใจแท้จริงของมูฮัมหมัดก็ยังคงไม่ชัดเจน

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2003 คณะลูกขุนใช้เวลาไม่กี่นาทีในการตัดสินว่ามูฮัมหมัดและลูกเลี้ยงมีความผิดจริงในข้อหาก่อการร้ายในเวอร์จีเนียและฆาตกรรมผู้บริสุทธิ์ เพื่อเจตนามุ่งเน้นข่มขวัญประชาชนและรัฐบาล และมีอาวุธปืนผิดกฎหมายครอบครอง มูฮัมหมัดต้องโทษประหารด้วยการฉีดยาพิษให้ตาย ส่วนลูกเลี้ยงได้รับการลดโทษเพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะเหลือเพียงโทษจำคุกตลอดชีวิต วันที่ 10 พฤศจิกายน 2009 เวลาประมาณ 9 โมง 11 นาที มูฮัมหมัดถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษให้ตาย เขาปฏิเสธที่จะกล่าวคำลาสุดท้าย เขาเสียชีวิตจากการประหารชีวิตด้วยการฉีดยาต่อหน้าพยาน 27 คน โดยหนึ่งในพยานมีสมาชิกครอบครัวของเหยื่อรวมอยู่ด้วย

The DC Sniper ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจภาพยนตร์เรื่อง D.C. Sniper: 23 Days of Fear หรือชื่อไทย “นรกเดือด” (2010) กำกับโดย Ulli Lommel และเขียนบทโดย Lommel


Cr. Cammy // Writer-Dek-d.com






 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 20 ตุลาคม 2558 16:49:17 น.
Counter : 1168 Pageviews.  

120 ปี ปิดคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เผยโฉมฆาตกรตัวจริง

ความจริงแล้วถ้าสมมติคดีแจ๊คมาเกิดแบบนี้ในยุคปัจจุบันละก็ จิ๊บจ๊อย (สก็อตแลนด์ยาร์ดเป็นคนบอก) เพราะเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีการสอบสวนออกมาใหม่เยอะแยะ ซึ่งแบบว่าถ้าเทคโนโลยีนี้ไปอยู่ในช่วงปีแจ๊คอยู่ละก็คงสามารถจับแจ๊คไปแขวนคอได้นานแล้ว นั้นทำให้ฆาตกรต่อเนื่องยุคปัจจุบันพัฒนาในการฆ่าคนซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก น่าแปลกทั้ง ๆ ที่โลกนี้มีฆาตกรปริศนาที่ฆ่าคนโหดกว่าแจ๊คมากมายหลายรายนัก แต่ทำไมแจ๊คถึงดัง และคนอื่นถึงรู้จักแต่แจ๊ค ทั้ง ๆ ที่แจ๊คไม่ใช่ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของโลก และไม่ใช่ฆาตกรปริศนาคนแรกของโลกอีก นั่นเป็นเพราะสื่อ

ช่วงที่แจ๊คอาละวาดเริ่มจาก 31 สิงหาคม 1888 ช่วงนั้นสก็อตแลนด์ยาร์ดถือว่าเป็นองค์กรที่เจริญรุ่งเรื่องและขี้โม้สุด ๆ ในตอนนั้น จากคดีหมอคริปเปนฆ่าหั่นศพเมีย องค์กรนี้มีชื่อเสียงทันที พวกเขามักออกมาโม้ว่า พวกเขามีทีมงานที่มีคุณภาพ มีเทคโนโลยี เวลาสืบสวนแต่ละทีต้องละเอียดยิบ ต่อให้ฆาตกรจะฆ่าใครโดยไม่ทิ้งหลักฐาน พวกเขาก็จะลากฆาตกรมาลงโทษให้จงได้ และพอเกิดคดีแจ๊คขึ้นมา สื่อที่หมั่นไส้องค์กรตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดอยู่แล้วก็เริ่มยิ้มถึงความล้มเหลวขององค์กรนี้ และก็เริ่มเดือด เมื่อตำรวจอังกฤษไร้น้ำยาปล่อยฆาตกรฆ่าคนไปหลายราย สื่อเริ่มประโคมข่าว และเริ่มกระจายข่าวไปทั่วโลก และชื่อของแจ๊คเริ่มโด่งดังต่อมาเมื่อมีจดหมายส่งมาถึงผู้สื่อข่าว อีกทั้งคดีนี้มีการสืบสวนพลาดค่อนข้างเยอะ และไม่รู้เพราะอะไรตำรวจจึงไม่ใช้พยานวัตถุที่สำคัญคือรอยนิ้วมือมาประกอบการสอบสวนเลยสักครั้ง จนคดีจบลง ปริศนาก็เป็นปริศนาตลอดกาล

กระทั่งปัจจุบัน ก็ยังมีคำถามที่ว่าแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์นั้นแท้จริงเป็นใคร แน่นอนวันนี้เรามีคำตอบแล้ว แม้คดีของแจ๊คจะจบลงมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1892 นานแล้ว แต่ใช่ว่าหลาย ๆ คนจะหยุดการสอบสวนไป เพราะยังมีผู้สนใจซึ่งเรียกตนเองว่า “นักริปเปอร์วิทยา” และผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรม รวมไปถึงสก็อตแลนด์ยาร์ดที่ล้มเหลวยังคงสืบสวนคดีไม่รู้จักหยุดหย่อน จนกระทั่งเวลาผ่านไป 120 ปี ปลายปี ค.ศ. 2006 สก็อตแลนด์ยาร์ดก็เปิดเผยโฉมหน้าของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ในที่สุด




ภาพสเก็ตซ์นี้สก็อตแลนด์ยาร์ดไม่ได้โม้เอาเอง เพราะกว่าจะได้ภาพนี้มา เขาต้องประมวลจากหลักฐานเก่า มาอิงกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นอายุรเวช นักประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาชญากรรม ตำรวจ ฯลฯ และใช้เทคโนโลยีสมัยใ
หม่ที่เรียกว่า อี-ฟิต หรือชื่อเต็มคือ เทคนิคการพิสูจน์ใบหน้าแยกแยะด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (The Electronic Facial Identification Technigue) ซึ่งจะสเก็ตซ์ภาพออกมาจากการประมวลคำให้การของพยาน ซึ่งสก็อตแลนด์ยาร์ดใช้ข้อมูลจากพยาน 13 ราย ที่เคยและคาดว่าจะเห็นฆาตกรรายนี้เมื่อ ค.ศ. 1888 )การเปิดเผยหน้าแจ๊คครั้งนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดข่าวด้านวิทยาศาสตร์ประจำปี ค.ศ. 2006) จนได้รูปฆาตกรคนนี้ขึ้นมา ด้วยรูปลักษณ์เป็นชายอายุ 25-35 ปี สูง 5 ฟุต 5 นิ้ว ถึง 5 ฟุต 7 นิ้ว ผมสีดำหวีรวบไปด้านหลัง คิ้วหนา ไว้หนวด โหนกแก้มสูง เบ้าตาลึก คางเหลี่ยม ถามว่าข้อมูลนี้เชื่อถือได้แค่ไหน แม้จะมีคนให้ปากคำมากมายว่าเห็นแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ แต่ส่วนใหญ่มีแต่คนบอกว่า “น่าจะเห็น”, “เคยเห็น”,”หรือแค่ผ่าน ๆ” แต่ไม่เคยมีใครสักคนเห็นจะ ๆ จัง ๆ ซึ่งนอกจากเหยื่อละมั้งที่เห็นเขาแบบเต็ม ๆ แต่ก็มีพยานคนหนึ่งที่เห็นแจ๊คแบบจัง ๆ อยู่ แต่ไม่ได้ถูกฆ่าตาย น่าจะเป็นวิลเลียม สมิธ ตำรวจสายตรวจเมื่อ 120 ปีก่อน ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1888 สมิธเห็นชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย และอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมาผู้หญิงคนที่พบก็กลายเป็นศพที่ 3 ของแจ๊ค โดยชายที่สิธเห็นนั้น สูงราวๆ 5 ฟุต 7 นิ้ว ไว้หนวดเรียวเล็ก ผิวคล้ำ ซึ่งสอดคล้องกับคอมพิวเตอร์ประมวลผลในปัจจุบัน

ส่วนเรื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับตัวแจ๊ค ก็มีคนออกมาเสนอความเห็นอีกเช่นกัน โดยนายคิม รอสโม ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิประเทศบอกว่าเขาใช้เทคนิคอย่างหนึ่ง นำสถานที่เกิดเหตุแต่ละครั้งบวกกับรายงานที่มีพยานพบเห็นมาประเมินว่า ฆาตกรน่าจะอยู่ที่ไหน ผลออกมาคือ ฆาตกรรายนี้น่าจะพักอาศัยในอาณาเขตไม่เกิน 1 ตารางไมล์จากสถานที่เกิดเหตุ และมีการวิเคราะห์พันธงอีกว่า ฆาตกรนี้อยู่บนถนนฟลาวเวอร์ หรือถนนดีน ซึ่งห่างจุดเกิดเหตุแต่ละครั้งราว ๆ ไม่เกิน 100 หลา และสองถนนนี้เอง ตำรวจเมื่อ 120 ปีก่อนก็เคยเคาะประตูบ้านสอบถามเรื่องราวและตามล่าผู้ต้องสงสัยมาแล้ว แต่ต้องกลับบ้านมือเปล่าไปเพราะไม่ได้อะไรสักอย่าง และเมื่อได้รูปหน้าฆาตกรบวกกับที่อยู่แล้วผลคือเราได้ชื่อตัวฆาตกรในที่สุด เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม มีการเปิดเผยหลักฐานชิ้นสำคัญที่ถูกปกปิดหลายปี นั้นคือบันทึกส่วนตัวของโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ สอวนสัน สารวัตรใหญ่ประจำหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรม สก็อตแลนด์ยาร์ดผู้รับผิดชอบคดีนี้นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ ทายาทของสวอนสันตัดสินใจมอบบันทึกนี้ให้พิพิธภัณฑ์อาชญากรรมของสก็อตแลนด์ยาร์ดโดยบันทึกนี้เขียนด้วยมือของสวอนสันเองหลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว แต่ยังกังวลและคาใจที่คดีนี้ปิดไม่ลง เลยเขียนบันทึกนี้ไว้เพื่อเพื่อให้คนรุ่นหลังได้อ่านเพื่อหาความจริงต่อไป

ซึ่งในนั้นเขาบอกชื่อฆาตกรที่เขาคิดว่าเป็น “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์” อีกด้วย บันทึกนี้ระบุว่าฆาตกรคนนั้นชื่อ "อารอน โคสมินสกี้" เป็นช่างตัดผมชาวยิวที่อาศัยในเขตไวท์แซฟเพลย่านที่เกิดเหตุนั้นเอง สำหรับนายอารอน โคสมินสกี้ นี้มีการชี้ตัวอย่างลับ ๆ ของพยานคนหนึ
่งที่อ้างว่าเห็นตัวฆาตกร แต่พยานคนนี้ไม่ยอมร่วมมือกับทางราชการเท่าไหร่เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนทรยศเพื่อนร่วมชาติ (พยานเป็นคนยิวเหมือนกัน) อย่างไรก็ตาม ในการร่วมมือแบบไม่เปิดเผยนั้น ตำรวจพาพยานไปชี้ตัว โดยนายโคสมินสกี้ไปรวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งพยานสามารถชี้ตัวได้ถูกต้อง หลักจากนั้นตำรวจก็จับตามองโคสมินสกี้ตลอด แต่ตอนนั้นนายนั่นดันเกิดอาการโรคจิตกำเริบ จนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลรักษาอาการ

งานนี้หลานของสวอนสัน คือเนวิลล์ สวอนสัน บอกว่าคุณปู่มั่นใจเลยว่านายโคสมินสกี้เป็นฆาตกรแน่นอน แต่มีเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถจับกุมเขาได้ (อิทธิพล?) ความเห็นของสวอนสันนั้นก็สอดคล้องกับเจ้านายเขาเหมือนกัน คือเซอร์โรเบิร์ต แอนเดอร์สัน เขาก็เขียนบันทึกเหมือนกันว่า สงสัยนายโคสมินสกี้เหมือนกัน อันที่จริงชื่อของโคสมินสกี้ไม่ใช่เพิ่งจะโผล่ออกมา แต่เป็นชื่อต้น ๆ ที่เคยถูกอ้างมาก่อนโดยเจ้าหน้าที่เซอร์เมลวิลล์ แม็กนักห์ แต่เขาเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับสองเพราะเขาสนใจนายมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ ว่าน่าจะเป็นแจ๊คมากกว่า แต่โคสมินสกี้จะเป็นแจ๊ค หรือไม่นั้นไม่มีใครตอบได้ เพราะตอนนี้เจ้าตัวลาโลกไปนานแล้วจะเชิญมาสอบปากคำคงต้องขึ้นคนทรงเจ้าแหละ แถมแม้มีการเปิดเผยเรื่องมากขึ้น แต่ปริศนาก็คือปริศนา เพราะมีคนบางคนนำเสนอว่าบางที่แจ๊คนั้นไม่ได้มีคนเดียว แต่มันมีสองคนขึ้นไปดำเนินการต่างหาก นายเทรเวอร์ แมริออต อดีตนายตำรวจอังกฤษทุ่มเทเวลากว่า 10 ปี ในการศึกษาสำนวนคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ และประกาศว่า “ไม่มีทางเลยที่ฆาตกรผู้นี้จะทำงานได้โดยลำพังเพียงคนเดียว” เขาว่าจำนวนเหยื่อของแจ๊คนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกี่รายกันแน่ บางคนบอกว่ามีกว่า 10 ราย แต่เท่าที่นักริปเปอร์วิทยาทั้งหลายลงความเห็นว่าแท้จริงมีเหยื่อแค่ 5 รายเท่านั้นโดยนับจากรายแรกตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคม ค.ศ.1888 แต่สิ่งที่แมริออตสะดุดใจมากคือ เหยื่อรายที่ 3 และ 4 เพราะเกิดเหตุในคืนเดียวแต่สถานที่กัน ซึ่งมีระยะห่างกันเพียง 12 นาที ทำให้มีการคาดว่าน่าจะมีการแยกกันลงมือเพราะในเวลาที่น้อยขนาดนี้ ไม่น่าจะมีใครว่องไวพอขนาดทำงานได้ 2 ศพ ในเวลาไล่เลี่ยขนาดนี้

บางทีโคสมินสกี้อาจร่วมมือกับใครคนหนึ่งหรืออาจเป็นองค์กร สมาคม หรือใครสักคนที่มีอิทธิยิ่งใหญ่ในอังกฤษ เขาอาจได้ค่าจ้างร่วมมือกันฆ่าโสเภณีทั้ง 5 โดยมีวัตถุประสงค์บางอย่างซึ่งเราก็ไม่ทราบได้

เรียงลำดับคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์
• 31 สิงหาคม ค.ศ.1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายแรก
• 8 กันยายน ค.ศ.1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สอง
• 25 กันยายน ค.ศ.1888 จดหมายส่งถึงสำนักงานเซ็นทรัล ลงนาม “แจ๊คค เดอะ ริปเปอร์”
• 30 กันยายน ค.ศ.1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สามกับสี่ในเวลาไล่เลี่ยกัน
• 1 ตุลาคม ค.ศ.1888 ไปรษณีย์บัตร์ “แจ๊คจอมซ่าส์”ถึงสำนักข่าวเดิม
• 16 ตุลาคม ค.ศ.1888 พัสดุลงชื่อ “จากนรก” ส่งไตครึ่งซีก ไปให้จอร์ชประธานคระกรรมการป้องกันภัยไวท์แซพเพล
• 9 พฤศจิกายน ค.ศ.1888 เหยื่อรายที่ห้าคาดว่าเป็นรายสุดท้าย
• 31 ธันวาคม ค.ศ.1888 พบศพมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ๊คจมน้ำตาย สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
• ค.ศ.1890 อารอน โคสมินสกี้ ผู้ส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตและเสียชีวิตในปี ค.ศ.1919
• ค.ศ.1892 ปิดคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ โดยหาผู้กำระทำความผิดไม่เจอ
• ค.ศ.1894 เซอร์เมลวิลล์ แมคนักห์เต็นเขียนบันทึกร่ายยาวแบบลับ ๆ ว่า เขาสงสัยมองตากู จอห์น ดรูอิทท์
• ค.ศ.1901 มีการสันนิษฐานว่าจดหมายและพัสดุที่ส่งมาเป็นของปลอมทำขึ้นโดยฝีมือของนักข่าว
• ค.ศ.2006 สก็อตแลนด์ยาร์ดเปิดเผยโฉมหน้า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่

ฝีมือของแจ๊คจริงหรือ 
หลังจากคดี
ฆาตกรรมเหยื่อรายสุดท้าย (?) แมรี่ เจน ก็เกิดคดีที่คล้าย ๆ กับแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อีกจำนวนมาก แต่หลายฝ่ายไม่ยอมรับว่าเป็นแจ๊ค เนื่องจากการลงมือ และวิธีการไม่เหมือนกัน เช่น บาดแผลไม่ฉกรรจ์มาก 

- แฟรี่ เฟย์ 26 ธันวาคม 1887 ถ
ูกตอกด้วยลิ่มที่ท้อง
- อานี่ มิลวู้ด 25 กุมภาพันธ์ 1888 ถูกแทงที่ท้องและขาหลายครั้ง เธอไม่ตายทันทีแต่ก็เสียชีวิตหลังจากออกจากโรงพยาบาลในเดือนถัดมา
- เอย์ด้า วิลสัน 28 มีนาคม 1888 ถูกแทงที่คอ 2 ครั้งแต่รอดมาได้
- เอม่า อลิซาเบธ สมิธ 3 เมษายน 1888 ถูกทุบด้วยของแข็งที่ท้อง หากมีแรงเดินกลับบ้านเอง เธอให้การว่าถูกแกงค์เด็กวัยรุ่นทำร้ายและเสียชีวิตในอีก 2 วันให้หลังที่โรงพยาบาล
- มาร์ธา ทาบลัม 7 สิงหาคม 1888 ถูกแทง 39 ครั้ง มองจากลักษณะคดีและสถานที่แล้วมีความคล้ายคลึงกับแจ๊คมาก แต่เนื่องจากเหยื่อถูกแทงไม่ใช่ปาดคอ จึงถูกแยกไปต่างหาก
- "ไวท์ฮอลมิสเทรี่" 2 ตุลาคม 1888 ศพไร้หัวของผู้หญิงถูกพบที่ไวท์ฮอล แขนข้างหนึ่งถูกพบภายหลังในแม่น้ำเทมส์ และขาข้างหนึ่งถูกฝังอยู่ใกล้ที่พบศพ ส่วนอื่นหาไม่พบ
- แอนนี่ ฟาร์เมอร์ 21 พฤศจิกายน 1888 ถูกกรีดคอ แต่แผลไม่ลึกมากจึงรอดตาย ตำรวจมองว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง ไม่มีการสืบคดีต่อ
- โรส มิเล็ต 22 ธันวาคม 1888 เสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศ มีร่องรอยถูกรัดคอ แต่เนื่องจากผู้ตายเมาเหล้าอยู่ ตำรวจจึงมองว่าเกิดจากสายรัดเสื้อบังเอิญรัดตัวเองหรือไม่
- อลิซาเบธ แจ๊คสัน 31 พฤษภาคม ~ 25 มิถุนายน 188 9ศพของเธอถูกพบทีละชิ้นในแม่น้ำเทมส์
- อลิซ แม็คเค็นซี่ 17 กรกฎาคม 1889 ตายเนื่องจากถูกตัดเส้นเลือดใหญ่
- "ฆาตกรรมที่ถนนพินชิน" 10 กันยายน 1889 รูปคดีคล้ายคลึงกับ"ไวท์ฮอลมิสเทรี่" (แต่แขนไม่ถูกตัด) กล่าวว่าผู้ตายน่าจะเป็นโสเภณีชื่อลิเดีย ฮาร์ท ตำรวจมองว่าน่าจะเป็นคดีต่อเนื่องกับ"ไวท์ฮอลมิสเทรี่"และคนร้ายถูกเรียกว่า"ทอร์โซคิลเล่อร์"หรือ"ทอร์โซเมอร์เดอร์" ไม่แน่นอนว่า 2 คดีนี้เกี่ยวข้องกับแจ๊คเดอะริปเปอร์หรือไม่
- ฟรานซิส โคลส์ 13 กุมภาพันธ์ 1891 ถูกปาดคอตาย
- แครี่ บราวน์ 24 เมษายน 1891ถูกฆ่าที่แมนฮัตตัน นิวยอร์ค เธอถูกรัดคอแล้วเขือดด้วยมีด ขาและลำตัวถูกแทง มีการพบรังไข่บนเตียงแต่ไม่มีส่วนไหนถูกนำไป รูปคดีคล้ายคลึงกับแจ๊คหากตำรวจลอนดอนก็สรุปว่าคดีทั้งสองไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน

การสืบสวนของตำรวจผิดพลาดตรงไหนทำไมปล่อยให้แจ๊ครอดไปได้ สก็อตแลนด์ยาร์ด เป็นกองบัญชาการของตำรวจนครบาลมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบมหานครลอนดอน ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย ได้งบประมาณบางส่วนจากรัฐบาล ถามว่าตำรวจล้มเหลวในการไล่ล่าแจ๊คตรงไหน บอกเลยว่าไม่รู้ เพราะจากข
้อมูลที่ได้มาจากตำรวจหลายนาย และแต่ละคนเป็นถึงนักสืบระดับพระกาฬกันทั้งนั้นและทำงานหนักกันแทบทุกคน โดยเฉพาะตอนที่มีจดหมายเดอะริปเปอร์ (มั่วนิ่ม) ทะลักเข้ามา ตำรวจยิ่งทำงานหนักเป็นสองเท่าไปอีก อีกทั้งกำลังพลไม่พียงพอ เพราะตำรวจบางส่วนทำงานหนักจนล้มป่วย บางคนถูกแบ่งทำหน้าที่ในงานจราจร ทำให้มีการยืมกำลังพลต่าง ๆ จากหน่วยงานอื่น ๆ อีก ทำให้งานขาดการต่อเนื่อง สำหรับความยากของคดีนี้ จากรายงานของตำรวจในย่านไว้ท์แซพเพิลบอกว่าในย่านนี้มีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนมากถึง 8,350 คน ในจำนวนนั้นมีโสเภณี 1200 คน มีห้องแบ่งเช่า 233 หลัง ซึ่งยากที่จะหาเบาะแส ปกป้อง หรือหาผู้กระทำความผิดจากกลุ่มคนเหล่านั้น อีกปัญหาหนึ่งที่ตำรวจไม่รู้จะสืบสวนยังไงก็คือแรงจูงใจในการฆ่าโสเภณีเหล่านั้น ว่าทำไมแจ๊คถึงอยากฆ่าเหยื่อ ตลอดจนคำให้การที่ไม่เหมือนกันของพยานแต่ละคนที่บอกลักษณะแจ๊คแตกต่างกันออกไป ส่วนการสืบสวนของตำรวจ ตำรวจใช้วิธีหลายรูปแบบมากในการสืบสวน เช่น การใช้สุนัขดมกลิ่น ตั้งรางวัลนำจับ หาประวัติเหยื่อ แม้กระทั่งการถ่ายม่านตาผู้ตายโดยคิดว่าลูกตาของเหยื่อบางคนอาจบันทึกภาพฆาตกรไว้ก่อนตาย ดูเหมือนมีวิธีเดียวเท่านั้นที่ตำรวจไม่นำมาใช้ นั่นคือการหารอยนิ้วมือแฝง เนื่องจากช่วงนั้นสก็อตแลนด์ยาร์ดไม่สนใจวิธีนี้มากนัก แม้วิธีนี้จะเป็นที่ยอมรับมากว่าทศวรรษแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม แม้คดีแจ๊คจะปิดสำนวนไปนานแล้ว แต่ตำรวจทั้งหลายที่มีส่วนในการไล่ล่าหาตัวแจ๊คยังคงแค้นไม่หาย พวกเขาได้จัดเก็บพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้น มาเขียนเป็นจดหมาย บันทึกความทรงจำ หรืออัตชีวประวัติ จนนำไปสู่การถกเถียงของนักแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ในเวลาต่อมา



อารอน โคสมินสกี้ 
อารอน โคสมินสกี้ ไม่มีใครทราบประวัติของเขามากนัก รู้แต่ว่าเขาเป็นช่างตัดผมชาวยิวโบลิซ มีอาการป่วยทางจิตตั้งแต่อายุ 25 ปี 1888 ช่วงที่แจ๊คออกอาละวาดนั้น ไม่มีใครทราบข่าวว่า อารอน โคสมินสกี้ไปไหน และเป็นอย่างไรในปีนั้น กว่าจะโผล่มาอีกทีก็เมื่อ 2 ปีข้างหน้าช่วงที่แจ๊คหายตัวไปแล้ว วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม 1590 อารอน โคสมินสกี้ ถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลไมล์สเอ็นด์ โอลด์ทาวน์ หลังจากป่วยมาสองปี ตามบันทึกของโรงพยาบาลอนาถาแห่งนี้ระบุว่า เขาร่างกายแข็งแรงดี แต่เป็นโรคประสาท สามวันต่อมาเขาถูกส่งไปอยู่ในความดูแลของพี่ชายซึ่งดูเหมือนจะชื่อวู้ล์ฟ อับราฮัมส์ ปี 1891 อารอน โคสมินสกี้ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลอนาถาอีกครั้ง ในขณะนั้นเขาอาศัยอยู่กับมอร์ริส ลูบ นาวสกี้ซึ่งเป็นพี่เขย วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1891 เขาถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลโรคจิตโคลนี่ย์แฮ็ทช์ มีบันทึกอาการบอกว่าเขามักทำอะไรที่ไม่รู้ตัว และส่วนมากมักทำอะไรบ้าๆ เช่น ดื่มน้ำก๊อกประปาจากถนน กินอาหารจากขยะ ถือมีดไล่ขู่น้องสาว ทำร้ายตนเอง เนื้อตัวสกปรกไม่ยอมอาบน้ำ แต่กระนั้นเขาก็ไม่มีท่าทีที่ฆ่าตัวตายและไม่เคยอาละวาดฆ่าคน ปี 1919 อารอน โคสมินสกี้เสียชีวิตในโรงพยาบาลโรคจิตที่ลี้ฟดอน ขณะอายุ 25 ปี

อารอน โคสมินสกี้คือแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์จริงหรือ?
ในด้านนักแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์วิทยาบางคนไม่เห็นด้วยกับทฤษฏีนี้ (ตอนนั้นเขายังไม่ได้อ่านบันทึกลับ) เพราะตามบันทึกประวัติจะเห็นได้ว่าเขาเป็นเพียงคนจรจัดที่เที่ยวหาอาหารตามถังขยะกันมากกว่าจะเห็นเป็นฆาตกรโหดฆ่าโสเภณีต่อเนื่อง 4-5 ศพ นอกจากนี้ ไม่มีพยานคนไหนที่เอ่ยว่าอารอน โคสมินสกี้เหมือนแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์เลย (อย่าลืมพยานเหล่านั้นแค่เห็นผ่าน ๆ เชื่อถือไม่ค่อยได้) และสารวัตสวอนสันเองก็ไม่เคยเอ่ยชื่อพยานสักคนที่อ้างว่าอารอน โคสมินสกี้คือผู้ต้องสงสัย (ตอนนั้นไม่มีการพูดถึงบันทักลับนี้) โคสมินสกี้เป็นคนตัวเล็กและบอบบาง แต่คำให้การของพยานส่วนมากบอกว่าแจ๊คที่เขาเห็นเป็นคนรูปร่างกำยำ ไหล่กว้าง อายุราว 40 ปี แต่งตัวเหมือนเสมียนมากกว่ากรรมกร มีท่าทีเหมือนผู้ดีตกยาก ซึ่งต่างจากโคสมินสกี้ที่แต่งตัวเหมือนขอทาน ยกเว้นวิลเลียม สมิธ ตำรวจคนที่เห็นแจ๊คกับเหยื่อรายที่ 3 ให้การว่าเหมือนโคสมินสกี้มาก




องตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์ 
มองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์ เป็นชายที่หลาย ๆ คน ต่างมีความเห็นว่าเขาอาจเป็นแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์มากที่สุดในผู้ต้องสงสัยในจำนวนหลาย ๆ คนที่ว่ามา

มองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์ เกิดเมื่อ 15 สิงหาคม 1857 เป็นลูกชายคนที่สองของศัฃยแพทย์วิลเลี่ยม ดรูอิทท์แห่งวิมบอร์นในดอร์เซ็ท จบจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฝอร์ดในปี 1880 ด้วยเกียรตินิยมอันดับสามในสาขาวิชาคล้าสสิค ต่อมาเขาก็ไปเรียนเป็นแพทย์ปีหนึ่งก่อนที่จะเบนเข็มเป็นนักกฎหมายโดยสมัครเข้าเรียนอินเน่อร์ เท็มเพิ่ลเดือนพฤษภาคม 1882 และเดือนเมษายน 1885 ขณะเรียนกฎหมายเขาก็ทำอาชีพเป็นครูไปด้วย และบิดาของเขาก็เสียชีวิตในปีเดียวกัน ในปี 1888 ปีทีแจ๊คออกอาละวาด ชีวิตของมองตากูว์ช่วงนั้นถึงขั้นล้มเหลวพอดี เมื่อเขาถูกไล่ออกจากงาน เนื่องจากเขามีพฤติกรรมรักร่วมเพศและกระทำการลวนลามละเมิดเด็กนักเรียนชาย แต่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามต่อมา ยายและน้องสาวของมองตากูว์เกิดอาการผิดปกติทางจิตและฆ่าตัวตาย และแม่ต้องเข้าไปบำบัดจิตที่แคล็ปตันในเดือนกรกฎาคม ช่วงนี้มองตากูว์ทุกข์มาก ๆ และส่งผลต่อส4าวะจิตใจ แต่ด้านสถานภาพการเงินของเขายังคงมั่งคงอยู่ ในขณะนั้น มองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์ อายุ 31 ปี

31 ธันวาคม 1888 เวลา 13.00 น. มีผู้พบศพขึ้นอืดของมองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์ที่แม่น้ำเธมส์เลยท่าเรือธอร์นีย์คร้อฟท์ไปเล็กน้อย จากการสืบสวนพบว่าเขาหายตัวไปจากบ้านไป 4 อาทิตย์ และไม่มีร่องรอยถูกทำลายใด ๆ สาเหตุการตายคือจมน้ำตาย โดยมีก้อนหิน 4 ก้อนในกระเป๋าเสื้อโค้ทเป็นตัวถ่วงตนเองให้จมน้ำตาย

30 ธันวาคม ก่อนวันที่ มองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์ ตายมีการพบจดหมายลาตายของผู้ตาย มันซ่อนอยู่ในที่อยู่บ้านของมองตากูว์ ในจดหมายเขียนไว้ว่า “นับตั้งแต่วันศุกร์ ผมรู้สึกกำลังจะเป็นแม่ และสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมก็คือความตาย”

มองตากูว์ จอห์น ดรูอิทท์คือแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์จริงหรือ?
เจ้าหน้าที่เซอร์เมลวิลล์ แม็กนักห์ ตำรวจที่สืบคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ปลักใจเชื่อสุด ๆ ว่า มองตากูว์ เป็นคนร้ายแน่นอน เพียงแต่จากพยาน (ที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก) บอกว่ามองตากูว์นั้นมีรูปร่างผอมซูบซีด ไม่กำยำและไหล่กว้างเหมือนกับแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ที่พยานทั่วไปพบเห็น และแจ๊คนี้คาดว่าเป็นชาวต่างชาติแต่มองตากูว์ไม่ใช่ นอกจากนั้นเขายังมียังมีหลักฐานอ้างที่อยู่อีก คือ หนึ่งวันหลังจากแมรี่ แอนน์นิคอลส์เสียชีวิต มองตากูว์ซึ่งเป็นนักกีฬาคริกเก็ตกำลังเล่นให้ทีมในมณฑตดอร์เซ็ทอยู่ซึ่งอยู่ห่างที่เกิดเหตุไกลเหมือนกัน และตอนเกิดเหตุคดีฆาตกรรมแอนนี่ แซ็ปแมน 6 ชั่วโมง เขากำลังเล่นให้ทีมแบล็คฮี๊ธในลอนดอนตอนใต้ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ว่าเขาสามารถเดินทางข้ามเมืองไปฆ่าคนและกลับไปตอนเช้าไปเล่นคริกเก็ตได้ทันตามที่กำหนด


โรเบิร์ต เจมส์ ลีส์

✿ พลังจิตช่วยหาตัวแจ๊ค
โรเบิร์ต เจมส์ ลีส์ เขาเป็นคนดังมีชื่อเสียงในฐานะเป็นนักสืบพลังจิตหยั่งรู้อดีตและอนาคต เมื่ออายุ 19 ปี เขาเคยแสดงพลังอำนาจจิตให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของพระเนตรของพระราชินีวิคทอเรียมาแล้ว จนถึงขั้นได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาราชินีแบบลับ ๆ อีกด้วย เมื่อตอนช่วงแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ออกมาไล่ฆ่าคนรายแรกนั้น ลีส์ลองใช้พลังจิตหาตัวฆาตกรว่าในอนาคตฆตกรรายนี้จะฆ่าใครเล่นๆ ดู พบว่าเขามองเหตุการณ์อนาคตทั้งหมดก่อนเกิดคดีฆาตกรรมครั้งที่สอง เขาเห็นหญิงชายคู่หนึ่งเดินมาด้วยกันตามตรอกซอยแคบๆ นาฬิกาบอกเวลา 00.30 น. จู่ๆ ฝ่ายหญิงก็ถูกลากหลบไปที่ซุ้มประตู และฆาตกรก็ใช้มีดคมกริบบาดคอเธอ ร่างเธอแน่นิ่ง และมันก็ชำแหลจนแหลกเละ คนร้ายเช็ดเลือดออกจากตัวแล้วแจกแจงสวมเสื้อคลุมยาวปกปิดร่างก่อนหายลับ ไปในเงามืด ภาพนั้นรบกวนจิตใจของลีล์มาก เขาได้เขียนบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด แล้วตรงดิ่งไปสถานีตำรวจสก็อตแลนด์ และเล่าเรื่องเหตุการณ์ณือนาคตของคดีที่สองให้ตำรวจฟัง แต่เนื่องจากพอดีเวลานั้นไม่มีรายงานคดีฆาตกรรมแบบนี้เกิดขึ้น ลีส์เลยโดนไล่ออกไปในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมกลับตกเป็นผู้ต้องสงสัยอีก และในคืนนั้นเองที่แจ๊คออกปฏิบัติการฆ่าเหยื่ออีกครั้งในรูปแบบเดียวที่ลีส์บรรยายในสมุดพกไม่ผิดเพี้ยน! ท่านคิดว่ามันบังเอิญหรือ งั้นก็จงอ่านต่อ

หลังจากที่มีการฆาตกรรมเหยื่อรายที่สอง ลีส์ก็ได้เห็นภาพการฆาตกรรมอีก แต่ไม่ละเอียดเท่าหนแรก เขาเห็นหูผู้หญิงคนหนึ่งถูกเฉือนทิ้ง เขาตรงดิ่งไปสถานีตำรวจอีกครั้ง คราวนี้ตำรวจสนฟังเรื่องของเขามากกว่าเดิม เนื่องจากพอดีมีจดหมายลงนามแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ส่งมายังสถานี ในนั้นมีคำว่า “เฉือนหูของนังหญิงทิ้ง แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ดูเล่น ๆ สนุก ๆ”

แต่ที่แน่ ๆ วันที่ 1 ตุลาคม มีการพบเหยื่อรายที่สาม หล่อนถูกเฉือนหูทิ้งตามคำบอกเล่าของลีส์ไว้ไม่มีผิดเพี้ยน และแล้วลีส์ก็ได้มองทะลุล่วงเวลาเห็นฉากฆาตกรรมครั้งที่สามและถือว่าเป็นการมองอดีตเป็นครั้งสุดท้ายของลีส์ เพียงแต่มันเกิดขึ้นหลังจากฆาตกรรมครั้งที่สามไปแล้ว คราวนี้มันแจ่มชัดกว่าครั้งแรกเพราะเขาเห็นฆาตกรแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ชัดเจน ลีส์เดินตรงไปสถานีตำรวจ บอกว่าเขารู้ตัวว่าใครเป็นแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ คราวนี้ตำรวจประทับใจรายละเอียดที่ลีส์บรรยายให้ฟัง จากนั้นตำรวจพาลีส์ไปยังสถานที่เกิดเหตุเมื่อเร็ว ๆ นี้ จากจุดนั้น ลีส์เดินนำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามถนนในกรุงลอนดอน พลางบอกว่าเขารู้ดีว่าเขากำลังตามหาใคร ตำบลไหน และแล้วเขาก็โผล่มาที่บ้านของเซอร์ วิลเลียม กัลล์ นายแพทย์ที่นับถือหน้าถือตา แต่เบื้องหลังเป็นบุคคลเสียสติ ภรรยายอมรับว่าเขาจะหายตัวทุกครั้งที่มีการปรากฏตัวของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์


เซอร์วิลเลี่ยม กัลล์

เซอร์วิลเลี่ยม กัลล์คือใคร? เขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เพราะเขาเป็นถึงแพทย์หลวงรักษาองค์ราชินี!? และมีชื่อเป็นผู้ต้องสงสัยของตำรวจมานานแล้ว และเป็นเจ้าของทฤษฏีที่ว่าราชวงศ์อังกฤษอาจอยู่เบื้องหลังของแจ๊ค 

ไม่รู้ว่าลีล์จะพาตำรวจไปถูกบ้านหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ นายแพทย์ วิลเลียม กัลล์ถูกส่งไปอยู่โรงพยาบาลบ้าเรียบร้อย และบังเอิญเหลือเกินช่วงที่เขาถูกส่งไปโรงพยาบาลคดีฆาตกรรมเขย่าขวัญก็สิ้นสุดลงในช่วงนั้นเอง มันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องบังเอิญกันแน่?









 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2558 15:17:29 น.
Counter : 14897 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.