Hotel California - โลก Dystopia ของพญาอินทรี
ผมมองว่าอนาคตของสังคมโลกคงจะออกมาในแบบ Dystopia มากกว่า Utopia
Hotel California เป็นเพลงมือวางอันดับหนึ่งที่แฟนเพลงสากลทุกคนรู้จักดี สำหรับผมเพลงนี้มันมีความอมตะอยู่ในตัวตรงที่ท่วงทำนองอันเวิ้งว้างและเนื้อหาที่ตีความไปได้มากมายหลายแบบ - ผมทั้งอ่านหนังสือ พูดคุย และดูในอินเตอร์เนต มีคำอธิบายต่อเพลงนี้ตั้งแต่ เป็นเรื่องสยองขวัญ / เป็นความฝันของพวกเมากัญชา / ผู้หญิงหากิน / การค้นหาแดนศิวิไลย์ ไปจนถึง กับดักศิลปินและการล่มสลายของวงการดนตรี
ผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกอยู่ ม.ปลาย ฟังอย่างไม่ทราบความหมายอะไรชัดเจน พอโตมาเรื่อยๆ จึงพอเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น จนถึงปัจจุบันนี้ผมคงตีความเพลงนี้ได้นับสิบแบบแต่รูปแบบที่ผมออกจะเชื่อถือที่สุดในขณะนี้ คงเป็นเรื่องการพูดถึงสังคม Dystopia ของนักแสวงหาที่อ่อนล้ากันเต็มทน
อนาคตจะถูกมองกัน 2 แบบสำหรับฮิปปี้ยุคแสวงหา utopia คืออนาคตแห่งความหวัง มีแต่ความสุข ไม่มีความอดอยาก ไม่มีอาชญากรรม ไม่มีการกดขี่ ไม่มีสงคราม มีเสรีภาพทุกหนแห่ง ส่วนดินแดน Dystopia คือทุกอย่างที่ตรงกันข้าม
คณะ ดิ อีเกิ้ล ก็ไม่เคยบอกถึงความหมายแน่นอนของเพลงนี้แต่มีระบุความหมายบางประโยคให้ตีความกันไปเอง - ซึ่งเมื่อมองถึงสังคมอันวังเวงในปัจจุบัน ผมคิดว่า.......
On a dark desert highway, cool wind in my hair Warm smell of colitas, rising up through the air Up ahead in the distance, I saw a shimmering light My head grew heavy and my sight grew dim I had to stop for the night
ท่อนแรกพูดถึงบุปผาชนหรือคนที่หวังจะปฎิวัติโลกเก่าไปสู่ยุคใหม่ ( colitas - หมายถึงยอดกัญชา ของโปรดพวกบุฟผาชน) ความเหน็ดเหนื่อยและอยากพักผ่อนเต็มทน โรงแรมหมายถึงจุดพัก - ในที่นี้คือระบบทุน ธุรกิจที่ชาวแสวงหาต้องยอมรับ - ส่วนท่อนที่ 2 น่าจะหมายถึงโลกทุนนิยมในตัวแทนของ"หญิงสาว" ที่เชิญชาวแสวงหาให้มาลองทางธุรกิจเงินทุนดู - There she stood in the doorway
เมื่อแรกพวกเขาคงจะลังเลใจอยู่ จึงไม่แน่ใจว่าเป็นสวรรค์หรือนรก - And I was thinking to myself, this could be heaven or this could be hell
แต่เสียงเชิญชวนก็ยั่วใจเหลือเกิน ว่ามันยังมีพื้นที่พอให้มากอบโกยกันนะ - Welcome to the hotel california - Such a lovely face - Plenty of room at the hotel california - Any time of year, you can find it here
ระบบนี้ทำให้จิตใจบิดเบี้ยว (tiffany twisted - ดอกไม้ที่บิดเบี้ยว) แต่มันมีทั้งรถเบนซ์ ฯลฯ ตอบแทน โอเค คุณต้องเหน็ดเหนื่อยหน่อย และบางทีก็น่าจดจำ บางทีก็ลืมๆมันไป ยอมขายวิญญาณไปเถอะน่า
Her mind is tiffany-twisted, she got the mercedes bends She got a lot of pretty, pretty boys, that she calls friends How they dance in the courtyard, sweet summer sweat. Some dance to remember, some dance to forget
อันนี้สืบต่อในท่อนสุดเด็ดท้ายตรงประโยคที่ว่า -So I called up the captain please bring me my wine He said, we havent had that spirit here since nineteen sixty nine - ผมคิดเหมือนกับหลายๆคนว่าหมายถึงเหตุการณ์ วู๊ดสต๊อก แต่ในแง่มุมที่ว่า หลังจากนั้น( ปี 1969 ) ก็ไม่มีใครทำอะไรเพื่อ "จิตวิญญาณ"อีกต่อไป หลังจากนั้นอะไรๆมันคือธุรกิจ ระบบทุนนิยมล้วนๆ !!!
They livin it up at the hotel california What a nice surprise, bring your alibis Mirrors on the ceiling, The pink champagne on ice โลกระบบทุนที่ฉาบด้วยความสวยงาม แต่ให้คนกินคนด้วยกัน และยอมรับว่าพอเข้ามาในระบบนี้ เราก็คือนักโทษดีๆนี่เอง - we are all just prisoners here, of our own device
ก่อนจะปิดท้ายเพลงด้วยการบอกว่า เมื่อคุณยอมรับทุนนิยมมันแล้ว การดิ้นรนจะหนี เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะมันมีอะไรยั่วใจให้คุณทำอยุ่ตลอดเวลา Last thing I remember, I was Running for the door I had to find the passage back To the place I was before relax, said the night man, We are programmed to receive. You can checkout any time you like, But you can never leave!
อัลบั่มนี้ออกปี 1977 แสดงความสิ้นหวังของการเปลี่ยนสังคมของบุฟผาชนอย่างชัดเจน ระบบทุนนิยมสยายปีกชนะอย่างเด็ดขาดในต้นยุค 80 จนถึงปัจจุบัน - ทั้งในตัวเพลงและอัลบั่มเหมือนจะบอกว่า ภารดรภาพ ไม่มีทางเป็นไปได้ถ้าเราจะไปมั่วกับทุนนิยมสามานต์
มองไปทุกวันนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ ผู้บริหารองค์กรใหญ่ๆทั้งไทยและทั่วโลก ใช่หรือไม่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นผู้ที่แสวงหาโลกแห่งเสรีแต่พอเดินตามระบบทุนแล้ว เขาก็กลายเป็นคนที่เราจำแทบไม่ได้ - พวกคนเดือนตุลาในพรรคไทยรักไทย เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
เมื่อผมหยิบแผ่นชุดนี้มาฟังจึงเข้าใจว่าทำไมหลังจากเพลงนี้แล้ว พวกเขาจึงวางเพลงที่พูดถึงสังคมที่เห่อคนใหม่ (หรือสินค้าใหม่) จนละเลยอะไรเก่าๆไปง่ายๆอย่าง new kid in town เป็นเพลงที่ 2 เพลงที่พูดถึงชีวิตยุคใหม่ที่รีบร้อนราวกับจะแข่งกันไปตายอย่าง life in the fast lane ในเพลงที่ 3
ก่อนจะปิดท้ายอัลบั่มด้วยเพลง The Last Resort ที่ย้ำถึงสังคม Utopia ที่เป็นได้แค่ความฝันของชาวฮิปปี้ เนื้อเพลงบอกถึงความหวังและสังคมที่พังทลาย เพราะระบบทุนนิยมที่เข้าทำลายทุกชุมชน
Where the pretty people play, Hungry for power To light their neon way And give them things to do
Some rich men came and raped the land, Nobody caught em Put up a bunch of ugly boxes, and jesus, People bought em And they called it paradise The place to be...........They watched the hazy sun, sinking in the sea
And you can see them there, On sunday morning They stand up and sing about What its like up there They call it paradise I dont know why You call someplace paradise, Kiss it goodbye...............
ว่ากันว่าอนาคตจะถูกมองกัน 2 แบบ utopia คืออนาคตแห่งความหวัง มีแต่ความสุข ไม่มีความอดอยาก ไม่มีอาชญากรรม ไม่มีการกดขี่ ไม่มีสงคราม มีเสรีภาพทุกหนแห่ง ส่วนดินแดน Dystopia คือทุกอย่างที่ตรงกันข้าม
ตอนนี้ผมว่าเรามุ่งหน้าไปสู่ยุค Dystopia
Create Date : 20 สิงหาคม 2550 |
Last Update : 20 สิงหาคม 2550 12:39:14 น. |
|
8 comments
|
Counter : 1063 Pageviews. |
|
|
|
เนื้อหาของเพลงเราว่าแรง กระแทกใจดี เป็นที่ชื่นชอบยุคบุปผาชน การซึมซับของเรา อาจไม่ได้ใจเท่ายุคเค้าอะ
ความรักทำให้เราอยู่ได้
อายจัง รู้จักอยู่เพลงเดียวววว
I was standing
All alone against the world outside
You were searching
For a place to hide
Lost and lonely
Now youve given me the will to survive
When were hungry...love will keep us alive
Dont you worry
Sometimes youve just gotta let it ride
The world is changing
Right before your eyes
Now Ive found you
Theres no more emptiness inside
When were hungry...love will keep us alive
I would die for you
Climb the highest mountain
Baby, theres nothing I wouldnt do
I was standing
All alone against the worlk outside
You were searching
For a place to hide
Lost and lonely
Now youve given me the will to survive
When were hungry...love will keep us alive
When were hungry...love will keep us alive
When were hungry...love will keep us alive