Group Blog
 
All blogs
 

loVe-loVe ตอนที่ 11

ลิลลี่นั่งอยู่บนโซฟาหน้าเตาผิง มองนาฬิกาเรือนทองในมือ คิดว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บมันไว้อีกต่อไป แม้จะยังจดจำค่ำคืนที่ได้ครอบครองมันไว้ได้อย่างแม่นยำ หากแต่สถานภาพของตนและเวรุตได้เปลี่ยนไปแล้ว โดยที่ไม่มีวันจะกลับมาเป็นเช่นเดิมได้อีก

หญิงสาวมองนาฬิกาเรือนสวยเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเงื้อมือขึ้นตั้งใจจะชูทเข้าไปในกองเพลิง ให้ทุกอย่างมอดไหม้ไปกับความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีต่อผู้ให้ และจากนี้หวังว่าเขาจะรักพี่สาวเธอด้วยความจริงใจ

"ลี่จะทำอะไร" วินระวีคว้าข้อมือหญิงสาวไว้ แล้วก้าวข้ามพนักโซฟาหุ้มด้วยผ้าโทนสีน้ำตาลลายใบเมเปิ้ล ลงมานั่งข้างๆ หลังจากที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ

"ก็แค่ไม่อยากจะเก็บมันไว้" หญิงสาวสารภาพ แม้ว่าครั้งหนึ่งเธอจะเคยนั่งชื่นชมมันให้เขาเห็นบ่อยๆ เพื่อหลอกตัวเองว่ามีความรักแทรกอยู่ระหว่างตนและเวรุต

"เรือนนี้ซื้อมาแพงมากเลยนะ ถ้าโยนทิ้งคงน่าเสียดายแย่" วินระวีหยิบนาฬิกาจากมือหญิงสาวขึ้นมาพินิจ เป็นเพราะเธอ เขาจึงต้องเก็บเรือนของตัวเองไว้ แต่ถึงตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อะไรแล้วที่จะปิดบังความจริงว่าคนที่เธอหลงเพ้อถึงนั้น แท้จริงเป็นใครกันแน่

"พูดยังกับคุณไปช่วยเขาเลือกซื้ออย่างนั้นแหละ" หญิงสาวมองค้อนแล้วว่าเหน็บให้

"ไม่ได้เลือกอย่างเดียว จ่ายตังค์เองด้วย" ชายหนุ่มยิ้มขำ

"คุณหมายความว่ายังไง" ลิลลี่ชักเอะใจอะไรขึ้นมา

วินระวีขยับหญิงสาวให้หนุนหมอนที่เธอวางเตรียมไว้ เพราะตั้งใจจะนอนที่นี่ในคืนนี้ ส่วนตัวเขาเองก็ขยับตาม ขึ้นไปทาบทับบนร่างเล็ก แล้วใช้ศอกค้ำยันไว้ ไม่ให้น้ำหนักกดทับจนคนข้างล่างหายใจไม่ออก

ลิลลี่ดันอกเขาไว้ด้วยใบหน้าร้อนผ่าวรู้สึกว่าอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนแทบเป็นไข้

"ผู้หญิงที่ผมเห็นวันนั้น สวมชุดราตรีสีทอง สวยยังกับนางฟ้า" วินระวีสวมนาฬิกาลงบนข้อมือเล็กอีกครั้ง แล้วจุมพิตลงกลางฝ่ามือเบาๆ

"น่าจะกำลังยืนคอยใครอยู่... ผมโอบกอดเธอจากด้านหลังแล้วสูดกลิ่นหอมจากไหล่เธอ" ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วไปบนแก้มนวล จ้องมองดวงตาคู่สวยฉายแววประหลาดใจ เพราะสิ่งที่เขาพูดก็คือภาพเดียวกับที่เธอจดจำได้ชัดเจน

"เธอคงคิดว่าผมเป็นใครซักคน... ใบหน้าเธอดูมีความสุขจน... ผมอยากให้เป็นอย่างนั้นตลอดไป" ชายหนุ่มหยุดบรรยายไปชั่วขณะ เลื่อนสายตาลงมาที่ริมฝีปากบางระเรื่อ

"แล้ว..." ลิลลี่รู้สึกราวบรรยากาศในค่ำคืนนั้นได้หวนกลับมาอีกครั้ง หัวใจเธอเต้นแรงจนกลัวว่าชายหนุ่มจะได้ยิน

"แล้วผมก็จูบเธอ...แบบนี้"

วินระวีแนบริมฝีปากลง ท่ามกลางเปลวเพลิงในเตาที่ลุกโชน หากแต่ความรู้สึกจากสัมผัสแผ่วเบานั้นระอุยิ่งกว่า ลิลลี่โอบแขนไปรอบคอชายหนุ่ม จูบตอบเขาเหมือนที่เธอทำในวันนั้น และเริ่มตระหนักแล้วว่าชายที่เธอรักก็คือคนที่อยู่ตรงนี้ หาใช่คนที่เธอคบหามาแรมปี และเกือบจะฝากชีวิตไว้กับเขา


"ลี่...ง่วงนอนแล้วค่ะ" หญิงสาวหาข้ออ้างเมื่อมองสบดวงตาคม รู้สึกหวั่นไหวระคนหวาดกลัว ถ้าเขาทำอะไรไปมากกว่านี้ เธอก็ไม่รู้จะต้านทานอย่างไร ทั้งที่เขาไม่เคยบอกรักหรือให้ความหวังเธอเลยซักครั้ง หากเธอถล้ำลึกลงไป ท้ายสุดแล้วเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสวยงามนี้ คงนำไปสู่หายนะที่ยากจะแก้ไข

วินระวีมองดวงหน้าสวยแล้วต้องแพ้ใจตัวเองทุกครั้ง ทั้งที่มีโอกาสตั้งแต่วันแรกที่ลิลลี่มาถึงที่ไร่ ทว่าความน่ารักมองโลกในแง่ดี ทำให้เขาอยากถนอมให้เธอดูงดงามไร้ราคีเช่นนี้ต่อไป ในใจพร่ำบอกว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม แม้ร่างกายจะพร้อมมานานแล้วก็ตาม

"ออกไปดูดาวข้างนอกกันไหม" ชายหนุ่มชวนเปลี่ยนบรรยากาศเพราะหากอยู่ตรงนี้อีกซักนาที เขาอาจไม่สามารถตัดใจได้อีกต่อไป

"ค่ะ" ลิลลี่ยิ้มรับด้วยความรู้สึกโล่งอก

ทั้งคู่ถือหมอนและผ้าห่มเดินเลาะระเบียงเล็กๆ รอบตัวบ้านมานั่งลงบนพื้นระเบียงฝั่งที่เป็นผนังกระจกหันออกสู่วิวขุนเขาและผาลึก

"น่ากลัวจังเลยค่ะ" หญิงสาวชะโงกมองลงไปด้านล่าง

"มานั่งนี่ดีกว่า" วินระวีวางหมอนพิงกับผนังแล้วกางผ้าห่มออก ให้หญิงสาวซุกตัวเข้ามาแนบชิดอยู่กลางอก

"ไม่น่าเชื่อนะคะว่าเมืองไทยจะมีที่อากาศเย็นขนาดนี้" ลิลลี่แหงนหน้าแล้วพ่นควันออกมาจากปากเล่น ท่ามกลางท้องฟ้าปลอดโปร่งสีดำสนิทไร้แสงไฟรบกวน และดวงดาวมากมายที่สุดเท่าที่หญิงสาวเคยเห็นส่องประกายเจิดจ้างดงาม

"ลี่ชอบที่นี่ไหม" ชายหนุ่มจ้องมองไปที่จุดเดียวกันแล้วเอ่ยถาม

ลิลลี่เงียบไปชั่วครู่ ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการคำตอบจริงๆ หรือแค่ชวนคุยเล่นๆ คำตอบคงไม่มีความหมายอะไร หากคนที่เขาอยากให้มาอยู่ด้วยไม่ใช่เธอ...

หากแต่วินระวีตีความหมายของสูญญากาศนั้นต่างออกไป คิดว่าคงทำให้หญิงสาวอึดอัดใจที่จะตอบ จึงพูดออกไปว่า

"แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ อีกไม่นานเวก็คงจะขายที่แปลงนี้ไป"

"ถึงตอนนั้น ลี่คงกลับบ้านได้แล้วใช่ไหม" หญิงสาวกลั้นหายใจรอคำตอบ อยากให้เขาพูดจาเหนี่ยวรั้งเธอบ้างอะไรบ้าง

"ผมไม่มีวันปล่อยให้ลี่กลับไปหาเวอยู่แล้ว"

"คุณคิดว่าผู้ชายทั้งโลก เหลือแค่คุณสองพี่น้องหรือไงนะ" ลิลลี่เสียงเขียวขึ้นมาทันที หันมองคนข้างหลังด้วยอารมณ์ขุ่น เพราะเหตุผลของเขา ไม่ตรงกับสิ่งที่เธออยากได้ยินเลยซักนิด

"ถ้าคิดจะไปหาคนอื่นก็ยิ่งไม่ได้" วินระวีกระชับอ้อมแขนขึ้น รู้ตัวว่าคำตอบนั้นฟังเข้าหูขึ้นมาหน่อยจากสีหน้าของหญิงสาว

"ทำไมคะ?" ลิลลี่ให้โอกาสเขาอีกครั้ง

"เพราะลี่เป็นสมบัติของผมแล้ว เรื่องอะไรจะยกให้คนอื่นง่ายๆ"

หญิงสาวอยากจะกรี๊ดใส่หน้าเขา เป็นคำตอบที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในโลก ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะยั่วโมโหเธอ หรือว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ

"ลี่จะไปนอนแล้ว เชิญคุณบ้าสมบัติไปคนเดียวเถอะ" ลิลลี่ผลักอกเขา พยายามตะกายตัวออกจากอ้อมแขน

"ผมล้อเล่นน่า" วินระวีกลั้นหัวเราะกระซิบที่ข้างหู หญิงสาวหยุดขัดขืนไปชั่วคราว ให้โอกาสเขาเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะพูดอะไรดีๆ ออกมาได้ไหม

"ผมอยากให้ลี่อยู่ด้วยตลอดไป"

ชายหนุ่มกอดร่างบางเข้ามาแนบชิดจนได้ยินเสียงหัวใจชัดเจน ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันทักท้วงอะไรอีก ส่งผ่านความรู้สึกในใจไปกับสัมผัสอ่อนโยนให้หญิงสาวได้รับรู้ เพราะเขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไร มันอาจจะเป็นความรัก หรือเป็นได้มากกว่านั้น...






เวรุตและโรสอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก่อนจะลงมานั่งทานอาหารด้วยกัน ชายหนุ่มสั่งสลัดผัก สปาเก็ตตี้ พิซซ่า และปีกไก่มาทาน

"ผมนึกคุณจะกลัวอ้วนซะอีก" เวรุตว่าล้อเมื่อเห็นหญิงสาวผลักสลัดที่อยู่ตรงหน้าออก และละเลงทานพิซซ่าและปีกไก่ด้วยมือ

"ฉันไม่ชอบทานผักค่ะ" โรสว่าแล้วใช้ส้อมม้วนสปาเก็ตตี้เข้าปาก ดูท่าทางอร่อย

"เครื่องดื่มหน่อยไหม" ชายหนุ่มเสนอ แล้วลุกไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำผลไม้และเบียร์กระป๋องเย็นๆ มาว่างบนโต๊ะ

"ขอบคุณค่ะ" โรสว่าแล้วคว้ากระป๋องเบียร์ออกเปิด ดื่มเข้าไปอึกใหญ่

ชายหนุ่มมองตามแล้วยิ้มขำ ก่อนจะลงมือใช้ส้อมและมีดจัดการกับอาหาร เพราะเขาไม่ชอบให้มือเลอะเทอะ

"คุณไม่ทานหน้าพิซซ่าเหรอคะ" โรสเห็นเขาเขี่ยหน้าออกกินแต่ส่วนที่เป็นแป้ง

"อืม" ชายหนุ่มตอบในลำคอ แล้วตัดแป้งพิซซ่าเข้าปาก

"งั้นขอฉันนะ แล้วคุณเอานี่ไป" โรสใช้นิ้วหยิบหน้าพิซซ่าในจานชายหนุ่มมา แล้วลอกหน้าออกจากแป้งของตน ไปวางไว้ในจานเขา

"คุณล้างมือหรือเปล่าเนี่ย"

"ล้างมากกว่ามือซะอีกค่ะ"

เวรุตส่ายหน้าแล้วเปิดกระป๋องน้ำผลไม้ออกดื่มเสียเอง เริ่มชินกับนิสัยล้นๆ ไม่เป็นกุลสตรีของหญิงสาวตรงหน้า



"คุณอยากรู้ไหมว่าใครจะเป็นคนล้างจาน" โรสถามหลังจากที่ทานจนอิ่มกันทั้งคู่แล้ว

"ผมเป็นคนโทรสั่ง เป็นคนออกไปรับ เป็นคนหาจานและเครื่องดื่มให้ เพราะฉะนั้นคุณเป็นคนล้างก็สมควรแล้วนี่" เวรุตให้เหตุผล

"ว้า! เล่นงี้ก็ไม่สนุกสิ ก็ได้ ฉันจะได้ล้างมือไปด้วย แต่คุณต้องอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าฉันจะล้างเสร็จนะคะ"

"ครับผม" ชายหนุ่มยิ้มกว้าง

"ยกจานมานี่คะ แล้วเก็บโต๊ะด้วยนะคะ" โรสสั่งแล้วเดินตัวปลิวไปที่อ่างล้างจาน ทำให้ชายหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจในชัยชนะของตนเสียแล้ว

เวรุตถือจานเปล่าเข้ามาในครัวขณะที่หญิงสาวกำลังยืนล้างมืออยู่ เขาตั้งใจยืนจนชิดแผ่นหลังหญิงสาว แล้วเอื้อมเอาจานวางไว้ในซิ้งค์

"จะให้ผมช่วยล้างไหม" ชายหนุ่มกระซิบถามที่ต้นคอ

"ก็ดีค่ะ" โรสตั้งท่าจะเดินเลี่ยงออกไป เพราะรู้สึกว่าเขาเข้าใกล้เธอมากเกินไปแล้ว

"จะไปไหน คุณต้องอยู่เป็นเพื่อนผมก่อน" เวรุตย้อนศรหญิงสาว คว้าจานขึ้นล้าง ล้อมกรอบร่างบอบบางไว้ในอ้อมแขน ไม่ว่าเขาจะขยับมือไม้ไปทางไหน อกแข็งแรงก็มีอันต้องเสียดสีกับแผ่นหลังเธอทุกครั้งไป นี่ยังไม่นับรวมอวัยวะส่วนอื่นๆ อีกล่ะ

โรสยืนตัวแข็งใบหน้าร้อนเรื่อขึ้นมาทันที ไม่แน่ใจว่าเบียร์กระป๋องนั้นมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ ที่มั่นใจคือเวรุตต้องจงใจกลั่นแกล้งเธอแน่ๆ แค่จานสองใบ เขาลงฟองขัดล้างราวกับเป็นงานระดับชาติ แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่ ท่าที่เขาใช้ล้างนี่น่ะสิที่เป็นปัญหา

ชายหนุ่มยิ้มเยาะอยู่ด้านหลังด้วยความสะใจ ดูซิว่าคราวหน้าโรสจะกล้าเกี่ยงงอน หรือออกคำสั่งให้เขาทำเรื่องพวกนี้อีกไหม


"เมื่อคืนผมหลับสบายมากเลย คงเพราะได้นอนห้องตัวเอง สงสัยคืนนี้คงต้องขอยึดพื้นที่คืนซะแล้ว" ชายหนุ่มล้างจานเสร็จพอดี จึงปล่อยหญิงสาวเป็นอิสระ แล้วเดินไปเช็ดมือ โรสถอนหายใจโล่งปอด

"ก็เราตกลงกันแล้วนี่ คุณจะมาขี้โกงแบบนี้ไม่ได้นะ" หญิงสาวว่าขณะเดินตามออกมาจากห้องครัว

"เอาเป็นว่าใครวิ่งขึ้นไปถึงห้องก่อนชนะเป็นไง" ชายหนุ่มเสนอเกมสนุกๆ

"งั้นคุณก็ต้องกลับไปนอนห้องเดิมแล้วล่ะ" โรสซึ่งยืนอยู่ใกล้บันไดกว่ารีบหันกลับ แล้ววิ่งขึ้นบันไดไปทันที ส่วนชายหนุ่มขายาวกว่าวิ่งขึ้นบันไดทีละสองขั้นตามไปอย่างกระชั้นชิด

โรสกรี๊ดตกใจเมื่อเขาวิ่งไล่ตามมาติดๆ หญิงสาวรีบคว้าลูกบิดประตูเมื่อถึงจุดหมาย หากแต่ชายหนุ่มกลับแทรกตัวเข้าไปในห้องได้ก่อนที่ประตูจะปิดลง

"ฉันถึงก่อน คุณออกไปเดี๋ยวนี้เลย" หญิงสาวขึ้นไปยืนบนเตียง ชี้นิ้วสั่ง

"เสียใจ ผมเข้ามาแล้ว และไม่คิดจะออกไปด้วย"

"ก็เราตกลงกันแล้ว" หญิงสาวทวงสัญญา

"ทำเป็นเด็กไปได้น่าโรส เอางี้ มาเสี่ยงดวงกันซักตา ถ้าผมแพ้ ผมจะออกจากห้องนี้ แต่ถ้าผมชนะคุณต้องให้ผมจูบทีนึง" ชายหนุ่มหยิบไพ่ออกมาจากลิ้นชัก แล้วแจกให้หญิงสาวทันที โดยไม่ฟังการตัดสินใจของเธอ

"ถ้าคุณไม่เล่น ผมก็จะนอนห้องนี้อยู่ดี" เวรุตมองไพ่ที่คว่ำอยู่ แล้วมองหน้าท้าทายให้หญิงสาวเปิดไพ่

โรสนั่งลงแล้วหยิบไพ่ตรงหน้าขึ้นดู หญิงสาวยิ้มกว้าง ก่อนจะหงายออกด้วยท่าทีสะใจ อวดไพ่ควีนและเอดข้าวหลามตัด

"ฉันป๊อก" โรสเน้นเสียงแล้วยิ้มเยาะ ชายหนุ่มหยิบไพ่ตัวเองขึ้นมาดูบ้าง แล้วยิ้มกว้างไม่แพ้กัน

"ผมต่างหากที่ป๊อก สองเด้งเลย" ชายหนุ่มทิ้งไพ่เก้าและแจคโพแดงลงบนที่นอน

"คุณขี้โกงนี่!" โรสลุกขึ้นยืนบนที่นอนอีกครั้ง

"ก็เห็นอยู่ว่าผมชนะ" เวรุตยิ้มเจ้าเล่ห์ แกล้งมองหญิงสาวด้วยสายตาสื่อความหมาย ก่อนจะโยนไพ่ที่เหลือทั้งสำรับเกลื่อนกระจายเต็มพื้น

"นี่! อย่าเข้ามานะ" โรสเริ่มถอยเมื่ออีกฝ่ายก้าวเท้าขึ้นมาบนที่นอน หญิงสาวกรี๊ดแล้วกระโดดลง ขว้างหมอน ขว้างผ้าห่มใส่เขา แล้วเกมแมวไล่จับหนูก็เริ่มต้นขึ้น และกว่าจะมีฝ่ายที่ตกเป็นเบี้ยล่าง ก็ทำเอาทั้งสองเหนื่อยหอบ ข้าวของกระจุยกระจายเต็มห้อง

"ยอมแพ้หรือยัง" เวรุตยิ้มสบตา กดข้อมือทั้งสองข้างของหญิงสาวลงบนที่นอน แล้วใช้น้ำหนักตัวทับไว้ไม่ให้ขยับ

"ฉันไม่ได้แพ้ คุณต่างหากที่ขี้โกง" โรสเมินมองไปทางอื่น

"ยังไงเธอก็ต้องทำตามสัญญา" ...
















 

Create Date : 24 สิงหาคม 2554    
Last Update : 25 สิงหาคม 2554 14:04:07 น.
Counter : 319 Pageviews.  

lovE-lovE ตอนที่ 10

ลิลลี่กลับออกมาจากห้องนอนหลังจากตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไปจากไร่แห่งนี้ โดยที่ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าจะไปทางไหน มีเพียงกระเป๋าถือติดตัวเพียงใบเดียว แต่นั่นก็คิดว่าเพียงพอแล้ว หากเดินไปถึงถนนใหญ่คงต้องมีรถประจำทางวิ่งผ่านมาบ้าง ยังไงเธอก็คงไปถึงกรุงเทพฯ ได้อย่างแน่นอน

"ลี่! นั่นจะไปไหน" วินระวีมองตามร่างที่กำลังเดินเร็วๆ ลงจากเรือนไป ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย

"นี่ คุยกันก่อนสิ" วินระวีวิ่งตามลงไปถึงชั้นล่าง

"ไม่ต้องมายุ่ง! ฉันจะกลับบ้าน" ลิลลี่ตวัดเสียงใส่

"แล้วจะไปยังไง" วินระวียืนกอดอกถามแล้วยิ้มขำ ไม่แน่ใจว่าหญิงสาวรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

"ให้ฉันยืมรถหน่อยได้ไหม" ลิลลี่แอบหวังว่าเขาจะใจดี

"ได้.." ชายหนุ่มลากเสียงเล็กน้อย

"จริงอ่ะ" ลิลลี่มองหน้าเขา ถามด้วยน้ำเสียงมีความหวัง

"อืม.. คันนั้นน่ะ ขี่ไปได้เลย รับรองว่าถึงกรุงเทพฯ ได้สบายๆ" วินระวีชี้ไปที่มอร์เตอไซค์ผู้ชายคันใหญ่ ซึ่งจอดเคียงคู่อยู่กับรถกระบะออฟโรด และรถสปอร์ตคันงาม

"ฉันขี่ไม่เป็น!" หญิงสาวเริ่มอารมณ์เสียเพราะรู้ว่าเขาตั้งใจจะกวนประสาทเธอ

"งั้นก็คง...เหลือแค่ขาสองข้างแล้วล่ะ" ชายหนุ่มอมยิ้มเมินหน้าว่า

"อย่าคิดนะว่าฉันจะง้อ" ลิลลี่กระแทกเท้าเดินก้าวยาวๆ ออกไปตามทางลูกรังที่คิดว่าคงจะถึงถนนใหญ่ในไม่ช้า

วินระวีไม่ห้ามปรามแต่เดินเนิบๆ กลับขึ้นบนบ้านเก็บชุดนอนและเสื้อผ้าของตัวเองและลิลลี่ลงกระเป๋าเป้ เพราะนึกเดาเหตุการณ์ได้ทุกอย่างว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่หญิงสาวเดินจนขาลากแล้ว

ชายหนุ่มตรงกลับไปที่มอเตอร์ไซค์คู่ใจ สวมแจคเก็ทและหมวกกันน๊อคที่วางพาดอยู่บนเบาะแล้วสตาร์ทเครื่องเสียงกระหึ่ม

"เย็นนี้จะรับอาหารไหมคะ" ป้าแต้วรีบวิ่งมาถาม

"คืนนี้ผมกับลี่จะค้างข้างนอก ป้าปิดบ้านแล้วกลับได้เลย" วินระวีสั่งแล้วเคลื่อนรถออกจากโรงจอดทันที



ลิลลี่เดินไปพักไปเป็นระยะๆ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเห็นถนนลาดยางซักที ในขณะที่วินระวีก็จอดมอเตอร์ไซค์รอเป็นช่วงๆ ไม่ให้หญิงสาวคาดสายตาไปได้ หลังจากเดินมาได้สามสี่ชั่วโมงจนเท้าเริ่มปัดไปมาด้วยความปวดระบม อากาศเริ่มเย็นลง และท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกที ลิลลี่อยากจะร้องไห้ ด้วยทั้งเหนื่อยทั้งหิว ไม่รู้ว่าทำไมตนเองต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลยซักนิด

หญิงสาวปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนใจร้ายมาตลอดทาง และในที่สุดก็ต้องนั่งฟุบลงกับพื้น เพราะไม่เหลือแรงจะเดินต่อ วินระวีวนรถกลับมาอีกครั้ง แล้วจอดลงข้างทาง

"เอาล่ะ หมดชั่วโมงเดินทางไกลแล้วเด็กดื้อ" ชายหนุ่มอุ้มร่างบางขึ้นในอ้อมแขน

"ปล่อยฉันนะ!" หญิงสาวยังเหลือแรงกระชากเสียงใส่

"ปล่อยก็ได้" วินระวีแกล้งปล่อยมือออกเร็วๆ แล้วรีบอุ้มรับไว้อีกครั้งก่อนหญิงสาวจะร่วงลงพื้น ลิลลี่กรี๊ดตกใจรีบคว้ารอบคอเขาไว้ ชายหนุ่มหัวเราะอาการตื่นตระหนกของอีกฝ่ายอย่างกลั้นไม่อยู่

"สนุกนักใช่ไหม" ลิลลี่ทุบอกเขาแรงๆ ด้วยน้ำตาซึม

"ผมขอโทษ ขึ้นรถเถอะนะ ลี่เดินไม่ไหวแล้วล่ะ" วินระวีปล่อยหญิงสาวลงยืน แล้วรวบร่างบางเข้ามากอดปลอบ

"ฉันจะกลับบ้าน" ลิลลี่ยังคงยืนยันเจตนาเดิม

"อยู่เที่ยวที่นี่ก่อนนะลี่ บ้านมันไม่หนีไปไหนหรอก" ชายหนุ่มเริ่มหว่านล้อม

"คุณก็แค่อยากจะเอาชนะเว ไม่เคยคิดหวังดีอะไรกับฉันจริงๆ หรอก" ลิลลี่ปล่อยโฮออกมาเต็มๆ ด้วยความอัดอั้น ทำให้วินระวีรู้สึกผิดมากมาย ที่ใช้หญิงสาวเป็นเครื่องมือในเกมนี้ ทั้งที่เธอไม่ได้รับรู้อะไรด้วย

"ผมไม่เคยคิดร้ายกับลี่มาตั้งแต่ต้น เชื่อผมนะ แม้สิ่งที่ทำมันอาจจะเกินเลยไปซักหน่อย" ชายหนุ่มสารภาพ

"คุณทำลายชีวิตฉันพังพินาศหมดแล้ว ฉันควรจะมีครอบครัวที่สุขสงบ ไม่ใช่มาอยู่ในสภาพที่ไม่มีใครต้องการแบบนี้" ลิลลี่ร้องไห้ฟูมฟายระบายความในใจ

"มีครอบครัวที่สุขสงบ กับคนที่ไม่ได้รักลี่เลยนะเหรอ" วินระวีขยับหญิงสาวออกมองสบตา

"แล้วมันเป็นกงการอะไรของคุณ ฉันจะแต่งกับคนที่รักฉันหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ" ลิลลี่ตอกกลับทั้งน้ำตา

"งั้นถ้าต้องอยู่กับคนที่ลี่ไม่รัก มันก็คงไม่ต่างกันสินะ" วินระวีว่าด้วยอารมณ์ขึ้นมาบ้าง

เขาโน้มลงจูบหญิงสาวหนักหน่วง ราวกับจะทำโทษที่เธอพูดจาไม่ดี ลิลลี่ขัดขืน โกรธที่เขาเจตนาทำรุนแรงกับเธอ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า โหยหาความรู้สึกว่ายังเป็นที่ต้องการของใครซักคน และใครคนนั้นก็คือคนที่อยู่ตรงหน้า ในช่วงเวลาเช่นนี้ หากเพียงเขาจะแสดงออกให้อ่อนโยนกว่านี้ เธอก็คง... และเหมือนเขาจะเริ่มรับรู้ถึงความรู้สึกเธอแล้ว... ลิลลี่หยุดต่อต้านจุมพิตอ่อนโยนรุกล้ำกระหายความใกล้ชิดอบอุ่น ที่ค่อยๆ แผ่ขยายความรู้สึกไปถึงปลายนิ้ว

บนถนนสายเปลี่ยวโดดเดี่ยวและว่างเปล่า ท่ามกลางความมืดที่กำลังโรยตัวลงมาทุกขณะ ความรู้สึกภายในของคนทั้งสองกลับอบอุ่นเกินคำบรรยาย และนั่นทำให้ทั้งคู่งุนงงไปชั่วขณะ สายตาสบประสานกันโดยปราศจากคำพูดใดๆ นานนับนาที เพื่อประมวลความรู้สึกที่เกิดขึ้น แต่แล้วความทรงจำถึงเหตุก่อนหน้านี้ก็กลับมาฉุดรั้งให้ต้องก้าวถอยกลับไปอีก

"ขึ้นรถเถอะ ถ้ามืดกว่านี้จะเดินทางลำบาก" วินระวีถอดแจคเก็ทให้หญิงสาวสวมไว้ แล้วขึ้นไปสตาร์ทรถรอ ลิลลี่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยอมขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย หญิงสาวนั่งเกรงตัวไว้จนเมื่อย สายตาจับจ้องอยู่บนแผ่นหลังกว้าง ก่อนจะหมดความอดทนแนบใบหน้าลงไปแล้วโอบแขนไปรอบเอวชายหนุ่ม ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ไม่ใส่ใจอีกต่อไปว่าเขาจะคิดยังไง





เครื่องยนต์ขับเคลื่อนไปในความมืดสลัว ท่ามกลางเสียงลมและอากาศหนาวเย็นเพียงไม่นานก็ออกมาถึงทางลาดยางขนาดสองเลน และใช้เวลาอีกเกือบชั่วโมงเพื่อวนขึ้นสู่ยอดเขา ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ

วินระวีจอดรถลงที่หน้าบ้านไม้ชั้นเดียว ตกแต่งด้วยสไตล์ตะวันตกดูแข็งแรง ตั้งอยู่บนเนินผามองเห็นวิวหุบเขาและต้นไม้สีทะมึนได้โดยรอบ ภายในบ้านมีแสงไฟสีเหลืองนวลตาสะท้อนผ่านกระจกหน้าต่างออกมา ดูอบอุ่นจนหญิงสาวแทบอดใจไม่ไหว เพราะความเย็นแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายจนทำให้มือเท้าชาไปหมดแล้ว

ชายหนุ่มคว้ากระเป๋าเป้แล้วโอบรอบเอวเล็กพาขี้นบันไดสองสามขั้นก็ถึงระเบียงเล็กๆ หน้าประตูบ้าน ภายในสว่างไสวด้วยแสงสีทองอัมพัน กระทบผนังไม้และพื้นที่ขัดจนเป็นเงางาม มีพรมหนานุ่มปูในส่วนรับแขก ซึ่งมีเพียงโซฟายาววางอยู่หน้าเตาผิงที่ติดไฟอบอุ่นไว้รอแล้ว ราวกับรู้ว่าทั้งคู่จะมาเยือน อีกด้านก็มีเพียงเตียงนอนหลังใหญ่วางชิดติดขอบหน้าต่างบานกว้างเกือบตลอดแนวผนัง หันออกสู่วิวขุนเขา

"บ้านใครคะเนี่ย" ลิลลี่มองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ แม้ภายในจะดูโล่งไปหน่อย

"หลังนี้เพิ่งสร้างเสร็จ ผมกะจะเก็บไว้เป็นเรือนหอ" วินระวีวางกระเป๋าลงบนโซฟา แล้วขยับไปนั่งหน้าเตาผิง

ลิลลี่ใจกระตุกขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อฟังคำบอกกล่าวของชายหนุ่ม คิดว่าเขาคงมีใครอยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่เตรียมการขนาดนี้ หญิงสาวเดินไปนั่งที่โซฟามองแผ่นหลังคนที่กำลังผิงไฟอยู่ ไม่รู้ว่าเขาจะพาเธอมาที่นี่ทำไม ทั้งที่น่าจะส่งเธอขึ้นรถกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอดไป

"มานั่งนี่เถอะลี่" วินระวียื่นมือออกรับ

"ฉัน..." ลิลลี่ลังเล ไม่อยากเข้าใกล้เขามากไปกว่านี้อีกแล้ว

"อย่าดื้อน่า" วินระวีขยับไปดึงมือ จนหญิงสาวต้องยอมลงมานั่งบนพรมตรงหน้าเตา

"มือเย็นจนเขียวแล้ว" ชายหนุ่มประกบมือนุ่มไว้ตรงกลางระหว่างฝ่ามือตนเอง ถูไปมาให้เกิดความร้อน แล้วยกขึ้นเป่าลมอุ่นๆ ลงไป

"อุ่นขึ้นไหม ถ้าไม่อุ่นก็ยังมีอีกวิธี" วินระวียิ้มกว้าง ขณะที่หญิงสาวทำหน้าไม่ถูกกับความห่วงใยที่เขาแสดงออก

"ฉันไม่เป็นไรแล้ว" ลิลลี่รีบดึงมือออก แล้วยื่นเข้าไปใกล้เตาไฟ สายตาจับจ้องที่เปลวเพลิงสีนวลสวย

วินระวีจึงขยับไปนั่งด้านหลังหญิงสาว เบียดจนแผ่นหลังบอบบางแนบชิดอกกว้าง ยืดขาออกล้อมกรอบคนที่นั่งชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น เขาโอบแขนไปรอบเอวเล็ก วางคางก่ายเกยไว้บนไหล่จนแก้มแนบชิดติดกัน

"นี่!" ลิลลี่ร้องประท้วงการกระทำของเขา

"ก็ลี่ไม่เป็นไรแล้ว แต่ผมยังหนาวอยู่นี่นา" ชายหนุ่มเอียงหน้าเพียงนิดเดียว ริมฝีปากและปลายจมูกก็กดลงบนแก้มใส

ลิลลี่เอียงหน้าออกสบสายตายิ้มพรายของชายหนุ่ม ดวงตากลมคู่สวยดูสับสน และใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อเขาเลื่อนสายตาลงมาจับจ้องที่ริมฝีปาก

หญิงสาวเอื้อมมือขึ้นตั้งใจจะทัดทาน ทว่าถูกฝ่ามือใหญ่เกาะกุมไว้เสียก่อน ตามมาด้วยริมฝีปากอบอุ่นที่ประทับลงอย่างอ่อนโยน มิได้เรียกร้องรุนแรงไปด้วยราคะ ทุกการเคลื่อนไหวละมุนละไม แต่กลับทำให้จิตใจไหวสะท้านได้อย่างประหลาด ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกแผ่วเบา ทั้งสองสื่อภาษากันทางสายตา แทนความรู้สึกที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้ ลิลลี่ยิ้มเขินแล้วขยับซบหน้าลงกับอกอุ่น


"ไปหาอะไรทานกันดีกว่า" วินระวีเสนอความคิด แม้จะอยากนั่งกอดหญิงสาวอยู่อย่างนี้ตลอดกาล

"ต้องออกไปข้างนอกหรือเปล่าคะ" ลิลลี่ขยับออกมองรอบๆ ห้องโล่งๆ อีกครั้ง ใจจริงไม่อยากจากไปไหน เพราะภายนอกนั้นหนาวสุดๆ

"ผมให้คนเตรียมไว้หมดแล้วล่ะ" ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วยื่นมือให้

ผนังห้องที่ดูราบเรียบที่แท้ก็เป็นประตู เปิดเข้าไปเป็นห้องครัวแบบบิวท์อินกระทัดรัด มีโต๊ะเตรียมอาหารทำจากหินแกรนิตเนื้อดี คิดว่าคงใช้เป็นโต๊ะทานอาหารไปด้วยในตัว ตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมอาหารปรุงสุกน่าทานหุ้มห่อด้วยพลาสติกวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

"ลี่อยากจะอาบน้ำก่อนไหม ผมจะอุ่นอาหารพวกนี้รอ"

"แล้วเสื้อผ้า" หญิงสาวก้มมองชุดมอมแมมคลุกฝุ่นที่สวมอยู่ ไม่คิดว่าจะใส่ซ้ำไหว

"ผมเตรียมมาด้วย" วินระวีเดินกลับไปที่โซฟาหยิบกระเป๋าเป้ ไปวางที่เตียง แล้วเปิดประตูอีกบานที่อยู่ฝั่งปลายเตียงออกเป็นห้องอาบน้ำ ภายในมีสุขภัณฑ์ครบครัน มีตู้อาบน้ำขนาดใหญ่เป็นทั้งอ่างแช่และอาบฝักบัวในตัว

ชายหนุ่มแนะนำที่ทางเสร็จก็เดินกลับไปที่ครัว ลิลลี่เปิดประเป๋าใบใหญ่ออก เทของทุกอย่างลงบนเตียง เพราะไม่รู้ว่าเขาหยิบอะไรมาบ้าง ปรากฏว่าชายหนุ่มรอบคอบกว่าที่คิด มีเสื้อผ้าจำเป็นทุกชิ้น ทั้งของเขาและของเธอปนกันไปหมด หญิงสาวแอบยิ้มค้อนไปทางห้องครัว ก่อนจะเลือกหยิบเป็นบางชิ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป





เวรุตและโรสกลับมาถึงบ้านเป็นเวลาเกือบสองทุ่ม โดยที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง

"โทรสั่งอาหารให้หน่อยได้ไหมคะ ฉันจะว่ายน้ำซักชั่วโมง" โรสว่าก่อนเดินขึ้นชั้นบน ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

"คุณจะทานอะไรล่ะ"

"อะไรก็ได้ค่ะ ฉันไม่เกี่ยง"

เวรุตถอนหายใจ สงสัยว่าทำไมโรสถึงไม่มีความเป็นกลุสตรีเหมือนลิลลี่ซักนิด หากเขาแต่งกับเธอจริงๆ คงต้องทานอาหารเดลิเวอร์ลี่ไปตลอดชีวิตเป็นแน่

หญิงสาวสวมเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นเผยต้นขาขาวนวล ตั้งท่าจะลงไปในสระน้ำแบบอินดอร์ซึ่งอยู่ในบริเวณห้องรับแขก

"คุณจะใส่ชุดอย่างนั้นลงไปเล่นน้ำเหรอ" เวรุตนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาเอ่ยทักขึ้น เพราะเขาเห็นหญิงสาวเซ็กซี่มาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน

"ฉันไม่มีชุดว่ายน้ำติดมาน่ะ ทำไมคะ สระในบ้านตัวเอง ฉันจะแก้ผ้าเล่นก็ไม่เห็นแปลก" หญิงสาวว่าประชด

"ผมคงชอบเห็นคุณแก้ผ้ามากกว่า" เวรุตว่าหน้าตาเฉย

"ทะลึ่ง!! แต่ถึงฉันจะทำอย่างนั้นจริงๆ คุณก็คงไม่รู้สึกวูบวาบอะไรหรอกมั้ง" หญิงสาวยิ้มเยาะว่าประชดไปอีกชุดใหญ่ แล้วเดินลงน้ำดำผุดดำว่ายสบายอารมณ์

เวรุตคิดคำนวณในใจว่าต้องเอาคืนหนักขนาดไหน กับการที่ปล่อยให้โรสสบประมาทเขามาตั้งแต่เช้า และยังไม่มีโอกาสสะสางบัญชี หากจะออกกำลังกายก่อนมื้อค่ำบ้างก็คงดี คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต...

เขาพุ่งตัวลงไปในสระน้ำแล้วว่ายอย่างคล่องแคล่วแม้จะอยู่ในชุดกางเกงและเสื้อเชิ้ตแขนยาว ไล่มาจนถึงตัวหญิงสาวในจุดที่คิดว่าลึกพอแล้วจึงคว้าร่างเล็กซึ่งกำลังแวกว่ายจนจมลงใต้น้ำ โรสตะเกียดตะกายด้วยอาการตกใจจนสำลัก พอโผล่ขึ้นมาได้ก็เกาะยึดไหล่ชายหนุ่มไว้โดยไม่รู้ตัว เพราะความลึกระดับอกเขา ก็ปริมๆ ล้นจมูกเธอขึ้นมาแล้ว

"ทำบ้าอะไรของคุณ!" โรสทั้งโกรธทั้งตกใจ

"ก็แค่อยากจะลงมาเล่นน้ำเป็นเพื่อน" เวรุตโอบแขนไปรอบเอวบาง ร่างทั้งสองจึงแนบชิดกันภายใต้สายน้ำเย็น

"ลงมาเล่นชุดนี้อ่ะนะ" หญิงสาวยิ้มเยาะเอาคืน เพราะชุดที่เขาสวมนั้นยิ่งกว่าที่เขาว่าเหน็บเธอไว้เสียอีก

"หรือคุณอยากเห็นผมแก้ผ้า"

"เก็บไว้ให้คนอื่นดูเถอะค่ะ ฉันขอบาย ว่าแต่จะปล่อยได้หรือยังคะ ไหนบอกจะว่ายน้ำ" โรสรู้สึกแปลกๆ เมื่อเริ่มรู้ตัวว่ากำลังกอดกับเขาอยู่

"ถ้าผมเคลียร์บัญชีกับคุณเสร็จเมื่อไหร่ จะว่ายให้ถึงเช้าเลยก็ได้" ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์

"บัญชีอะไร?? แล้วต้องมาเคลียร์กันตรงนี้ด้วยเหรอ" โรสถามงงๆ เพราะไม่รู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร

"ใช่ ต้องเคลียร์ที่นี่ และเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเก็บไว้นาน เกรงว่าเธอจะรับดอกเบี้ยไม่ไหว" เวรุตกระชับอ้อมแขนข้างหนึ่งขึ้นมารอบไหล่หญิงสาว บังคับให้ร่างทั้งสองแนบชิดกันยิ่งขึ้น ขับไล่ความเย็นของคลื่นน้ำรอบกายให้อุ่นระอุขึ้นมาได้อย่างประหลาด

โรสมองสบตาชายหนุ่มรู้แน่แก่ใจว่าเขาคิดจะทำอะไร และกำลังชั่งใจว่าเธอควรจะต่อต้านออกแนวบู๊ หรือวัดใจกันดู เวรุตอาจแค่อยากแกล้งให้เธอกลัวและดูโง่ไปเลย แต่ถ้าเขาคิดจะจูบจริงไม่อิงมุมกล้อง เธอก็อยากรู้อีกเหมือนกันว่าเกย์อย่างเขาจะทำให้เธอหวั่นไหวได้อย่างไร

ชายหนุ่มโน้มริมฝีปากลงมาใกล้ด้วยท่วงท่าอ่อนโยน เพราะอีกฝ่ายไม่ได้แสดงอาการขัดขืนอย่างที่คิด และเพียงสัมผัสแรกจากผิวนุ่มบอบบางที่แนบประทับลงมา ก็ทำให้ทั้งสองหลุดเข้าสู่ภวังค์แห่งมนต์เสน่หาทันที ทุกอย่างรอบตัวดูจะนิ่งสนิทไปหมด เหลือเพียงใจที่เต้นรัวจากสัมผัสอ่อนหวานเรียกร้อง ทุกการเคลื่อนไหวปลุกเร้าให้อยากใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ทั้งสองหลงลืมความตั้งใจในการกระทำครั้งนี้ไปหมดสิ้น

จุมพิตดูดดื่มหวานละมุมนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงง่ายๆ จนกระทั่ง... มีเสียงกริ่งดังขึ้น เมื่ออาหารเดลิเวอร์ลี่ส่งมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว ทั้งสองมองสบตากันนิ่งอีกพักใหญ่ ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกเมื่อครู่เกิดขึ้นได้อย่างไร

"รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวเขาขนกลับหมด" โรสไม่อยากให้เขามองเธอนานกว่านี้ เพราะเกรงว่าทุกอย่างอาจฟ้องออกมาทางสายตา

"เราน่าจะทานมาม่าที่บ้านกันมากกว่านะ" เวรุตว่าด้วยรอยยิ้ม ดูใบหน้าเขามีเสน่ห์ขึ้นมาถนัดตา ไม่เหมือนคนเดิมที่ชอบทำหน้าเครียดตลอดเวลา

เขาโน้มลงจูบเธอเร็วๆ อีกครั้งแล้วว่ายไปที่ขอบสระ เพื่อออกไปรับอาหารด้วยเนื้อตัวเปียกปอนอย่างนั้น โรสมองตามด้วยรอยยิ้มขำ ก่อนจะรีบออกจากสระขึ้นชั้นบนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
























 

Create Date : 20 สิงหาคม 2554    
Last Update : 22 สิงหาคม 2554 23:27:53 น.
Counter : 365 Pageviews.  

loVe-loVe ตอนที่ 9

"คุณมานอนที่นี่ได้ไง" โรสว่าเสียงงัวเงีย พยายามจะคลายอ้อมแขนที่กอดกระชับมาจากด้านหลังออก

"เมื่อคืนคุณคะยั้นคะยอให้ผมนอนเองไม่ใช่เหรอ" เวรุตกุมมือบางทั้งสองข้างไว้ไม่ให้ขยับ

"ฉันเปล่านะ ฉันปลุกคุณแล้ว"

"คุณคงจะเรียกเบาไปหน่อย อาจไม่อยากให้ผมกลับห้อง"

"ใครว่าล่ะ ฉันใช้เท้าถีบก้นคุณด้วย" โรสแกล้งพูดเพื่อความสะใจ

"นี่คุณทำขนาดนั้นเลยเหรอ??"

"ก็แน่ล่ะสิ ใครบอกให้คุณขี้เซา"

"งั้นผมคงต้องเอาคืนบ้างล่ะ"

เวรุตหยิกก้นหญิงสาวเข้าอย่างแรง จนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง รีบพลิกตัวกลับมามองหน้า

"นี่!! คุณกล้าทำกับฉันขนาดนี้เลยเหรอ" โรสว่าหน้างอ

"ผมไม่ถีบคุณคืนก็ดีแล้ว" ชายหนุ่มยิ้มยักคิ้วให้

"นี่แน่ะ! กล้าหยิกฉันเหรอ" โรสลุกยืนบนเข่าแล้วใช้หมอนฟาดเวรุตแบบไม่ยั้ง ชายหนุ่มหัวเราะใช้ลำแขนบังไว้ แล้วจับหมอนอีกด้านดันจนร่างหญิงสาวหงายลงตรงปลายเตียง

"ตาผมบ้างล่ะ" เวรุตนั่งคร่อมไม่ให้หญิงสาวขยับหนี ยกหมอนขึ้น ทำท่าจะกดลงบนใบหน้าเพื่อให้ขาดอากาศหายใจ

"กรี๊ดดด! นี่คุณคิดจะฆ่าฉันใช่ไหม" โรสร้องเสียงหลง

"ใครว่าล่ะ" เวรุตหัวเราะแล้วทุ่มหมอนลงแรงๆ เหนือศีรษะหญิงสาว

"แกล้งฉันอีกแล้วนะ" โรสหยิกร่างที่คร่อมอยู่ด้านบนเป็นพัลวัน

"โอ้ย! ยังไม่เข็ดใช่ไหม?" เวรุตทิ้งน้ำหนักตัวลงอย่างแรง ทับคนตัวเล็กกว่าที่อยู่ด้านล่างจนแทบหายใจไม่ออก

"คนบ้า! ลุกเดี๋ยวนี้นะ" โรสสั่งเสียงอู้อี้ พยายามจะดันร่างเขาออกไป

"ยอมแพ้หรือยัง?" เวรุตกดร่างหญิงสาวไว้อย่างนั้น ราวกับอยู่บนสังเวียนมวยปล้ำ

"นี่แน่ะ! ยอมแพ้" โรสจี้เอวชายหนุ่ม แต่แทนที่เขาจะลุก กลับดิ้นขรุกขรักอยู่บนตัวเธอ แล้วจี้คืนบ้าง

เสียงหัวเราะคละเคลาเสียงทะเลาะดังจนกลบเสียงเคาะประตู กระทั่งมีคนมาปรากฏตัวภายในห้องนอน ทั้งสองถึงได้แหงนเงยหน้าขึ้นมาดูพร้อมๆ กัน

"คุณแม่!!"

หนุ่มสาวรีบกระโดดลงจากเตียง เกรงว่าคุณรัศมีจะเข้าใจอะไรผิดๆ จากภาพที่เห็น แต่คงไม่ทันแล้ว เพราะสายตาหญิงสูงวัยสื่อความหมายหนักใจพิกล

"วันนี้แม่มาแต่เช้าเลยนะครับ" เวรุตเอ่ยทักหน้าตาเฉย

"แม่พาเด็กมาทำความสะอาดบ้านน่ะ นึกว่าไปทำงานกันแล้วเสียอีก"

"งั้นหนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ" โรสรีบไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำทันที

"เว แม่ขอคุยด้วยหน่อย" คุณรัศมีว่าแล้วเดินนำลงไปยังห้องทำงาน



"ลูกคิดยังไงกับหนูโรส" คุณรัศมีถามออกไปตรงๆ เมื่ออยู่เพียงลำพังกับลูกชาย

"ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ แม่ก็รู้ว่าเราเพิ่งพบกัน" เวรุตตอบเสียงเรียบด้วยบุคลิกประจำตัวที่มารดาเห็นจนชินตา

"แต่สิ่งที่แม่เห็นมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนี่ บอกตรงๆ ว่าแม่ชอบลูกสาวบ้านนี้ทั้งสองคน แต่ถ้าลูกคิดจะเป็นพญาเทครัว แม่ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องเสียใจกันทุกฝ่าย"

"ผมทราบครับ แม่ไม่ต้องห่วง"

"แล้วนี่ลูกจะจัดการยังไงเรื่องหนูลี่"

"คิดว่าอีกซักพักวินคงพาลี่กลับมาส่งเองแหละครับ ยิ่งผมแสดงให้เห็นว่าเดือดร้อนเท่าไหร่ วินก็จะยิ่งได้ใจมากขึ้นเท่านั้น"

"แล้วลูกไม่ห่วงความรู้สึกหนูลี่บ้างหรือไงนะ มัวแต่จะเอาชนะคะคานกันเองระหว่างพี่น้อง"

"ผมจะอธิบายเรื่องนี้กับลี่เองครับ ลี่เป็นคนมีเหตุผล เรื่องแค่นี้คงเข้าใจได้ไม่ยาก"

"เรื่องแบบนี้ไม่มีใครเข้าใจหรอกนะเว ลูกเคยถามตัวเองบ้างไหมว่ารักหนูลี่หรือเปล่า แม่ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวหรอกนะ ทำได้แค่เตือนเท่านั้นแหละ"

คุณรัศมีให้สติแล้วจากไป เวรุตคิดว่าเขารู้จักลิลลี่ดีพอ เท่าที่คบกันมาหญิงสาวรับฟังเหตุผลและเชื่อมั่นในตัวเขามาโดยตลอด ทั้งไม่เคยงอแงสร้างปัญหาให้เขาเลยซักครั้ง และครั้งนี้ก็เหมือนกัน หากลิลลี่กลับมา โรสก็คงเดินจากไป แล้วสิ่งที่วางแผนไว้แต่แรกจะกลับเข้ารูปเดิมโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง




"คุณแม่คุณว่าไงบ้างคะ" โรสรีบถามเมื่อเห็นเวรุตกลับมาที่ห้อง ขณะที่หญิงสาวยังนั่งแปรงผมอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ

"แม่ถามว่าเมื่อไหร่คุณจะมีหลานให้ท่านอุ้ม" เวรุตอำหญิงสาว พลางนั่งลงที่ขอบเตียง

"เฮ้อ..น่าเห็นใจท่านนะคะ เลี้ยงมาจนป่านนี้ยังไม่รู้ว่าลูกชายเป็นเกย์" โรสว่าด้วยน้ำเสียงจริงจังไร้แววประชดประชัน

"ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนี้เหรอนะ (เพราะคุณนั่นแหละ) สัญญาได้ไหมว่าคุณจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร" เวรุตแกล้งตีหน้าเศร้า

"ถ้าคุณเชื่อฟังฉัน ฉันจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก็ได้ แต่ถ้าทำให้ฉันไม่พอใจล่ะก็ คุณเตรียมขุดหลุมไว้ได้เลย" โรสหันมายิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า

"ตัวแค่นี้ จะทำอะไรผมได้" เวรุตยิ้มขำ นอนราบลงกับที่นอน

"ทำให้คุณอยู่ไปก็อับอาย สู้ตายไปเลยจะดีกว่าไงล่ะ" โรสลุกมายืนกอดอกมองหน้าชายหนุ่ม พลางกลั้นยิ้มเมื่อนึกถึงภาพที่แอบถ่ายไว้เมื่อคืน แต่นั่นคงยังไม่พอ ถ้าได้เป็นคลิปเขาจะได้ดิ้นไม่หลุด ดังนั้นเธอจะต้องจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด คงต้องมีหลุดแต๋วแตกหรือไม่ก็แอบเฟลิร์ทกับผู้ชายด้วยกันเป็นแน่

"ผมไม่เคยปล่อยให้ใครทำร้ายฟรีๆ ซะด้วย ถ้าคุณทำกับผมอย่างนั้น คุณจะได้รับคืนเป็นสองเท่าแน่นอน" เวรุตลุกขึ้นยืนใช้ส่วนสูง วาจา และสายตาเข้าข่มคนตัวเล็กกว่า

"ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า!!" โรสเปลี่ยนเรื่องเสียงเขียว ดูเหมือนกลยุทธของเขาจะได้ผล ชายหนุ่มยิ้มเยาะแววหวาดหวั่นในดวงตาคู่สวย ก่อนจะผละไปอาบน้ำ



"วันนี้ไม่ไปไหนต่อหรือคุณ กลับบ้านแต่หัววัน" คุณอดุลย์เอ่ยทักภรรยาพลางพับหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านอยู่

"เรื่องที่คุณบอกว่าจะไปหาลูกที่ไร่น่ะ ว่ายังไงคะ" คุณรัศมีถามเข้าประเด็นที่อยากรู้ทันที เพราะเกิดร้อนใจขึ้นมาหลังจากกลับมาจากบ้านลูกชายคนโต

"ทีแรกผมก็ว่าจะไป แต่คิดไปคิดมา อย่าไปยุ่งดีกว่า ไม่งั้นคงต้องโดนหนูลี่ถอนงอกเอาแน่ ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง" คุณอดุลย์รับออกมาตรงๆ

"ฉันกลัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างเวกับหนูโรสจะเกินเลยน่ะสิคะ แล้วถ้าเกิดหนูลี่กลับมา มันจะไม่วุ่นกันใหญ่เหรอคราวนี้"

"เอ..พูดแบบนี้ คุณไปรู้ไปเห็นอะไรมาหรือเปล่า"

"ฉันเห็นสองคนนั้นนอนกอดกัน"

"ลูกเรา เห็นนิ่งๆ มันไวไฟขนาดนั้นเชียวรึ"

"นี่คุณ อย่ามาพูดเป็นเล่นนะคะ"

"อย่าคิดมากน่ะคุณ ถ้ามันจะสลับคู่กัน ก็ไม่เห็นเสียหายอะไร"

"คุณก็พูดง่ายดีนี่คะ ถ้าเกิดไม่เป็นอย่างนั้น แล้วทีนี้จะทำยังไง"

"คุณคิดว่าจะพูดให้เวปล่อยหนูโรสกลับบ้านได้ไหมล่ะ"

"คงยอมหรอกค่ะ"

"แล้วตาวินล่ะ"

"ยากค่ะ"

"นั่นน่ะสิ คุณก็รู้นิสัยลูกตัวเองดี"

"แล้วคุณไม่คิดจะทำอะไรเลยเหรอคะ"

"ดูสถานการณ์ไปก่อนเถอะ อาจไม่แย่อย่างที่คุณคิดก็ได้"

คุณอดุลย์ว่าแล้วผละไปด้วยอารมณ์ดี ไม่ได้ดูเดือดร้อนเหมือนภรรยาเลยซักนิด






"หนังสือพิมพ์วันนี้ค่ะ เมื่อคืนฝนตกหนัก ทางเละ เลยมาส่งช้าค่ะ" ป้าแต้ววางหนังสือพิมพ์ไว้บนโต๊ะอาหาร ที่ศาลากลางระเบียงเรือน ขณะลิลลี่และวินระวีกำลังรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่

ชายหนุ่มรับมาพลิกออกดูคอลัมหน้าสังคม แล้วก็ต้องพบกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน เพราะข่าวงานวิวาห์ของเวรุตปรากฏเด่นชัด และเจ้าสาวก็หน้าตาเหมือนลิลลี่ไม่ผิดเพี้ยน

"เป็นไปได้ยังไง!" ชายหนุ่มพับหนังสือพิมพ์ลงด้วยอารมณ์ขุ่นขัดใจ ลิลลี่เห็นท่าทางอีกฝ่ายจึงรีบคว้าหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดูด้วยความสงสัย แล้วก็อึ้งไปพักใหญ่เช่นกัน

"คงเป็นพี่โรสน่ะ" ลิลลี่ว่าเสียงเรียบเฉย พยายามเก็บความรู้สึกเสียใจที่เวรุตทำกับตนเช่นนี้

"ลี่มีพี่สาวฝาแฝดด้วยเหรอ" วินระวีถามประหลาดใจ

"ไม่เห็นแปลก คุณเองก็ยังมีพี่ชายฝาแฝดได้" ลิลลี่ตอบแล้วกลับไปสนใจเม็ดข้าวที่อยู่ในจาน ทั้งที่ทานไม่ลงแล้วตอนนี้

"บ้าที่สุดเลย! มิน่าล่ะ ทำไมเวถึงยังใจเย็นอยู่ได้" วินระวีมัวแต่คิดโกรธที่พลาดท่าพี่ชายจนได้ โดยมิได้หันมองคนข้างๆ ว่าจะรู้สึกอย่างไร

ท่าทีของวินระวีทำให้ลิลลี่รู้สึกจุกขึ้นมาถึงหน้าอก เวรุตทำกับเธอเช่นนี้ก็แย่พออยู่แล้ว แต่คำพูดของวินระวีกลับทำให้เจ็บยิ่งกว่า หญิงสาวไม่แน่ใจว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้น แล้วน้ำตาเม็ดโตก็ร่วงลงบนหลังมือโดยไม่รู้ตัว

"ฉันคงไม่มีประโยชน์สำหรับคุณแล้วสินะ" ลิลลี่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชา

"ใครว่าล่ะ ถ้าผมต้องเสียที่ผืนนี้ไป ผมจะไม่ยอมเสียลี่ไปอีกคน ผมไม่มีวันยอมให้เวได้ไปทุกอย่าง" ชายหนุ่มพูดตรงจนกระทั่งหญิงสาวแทบรับฟังไม่ได้

"พวกคุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ชีวิตเป็นของฉัน ไม่ใช่ของพวกคุณ" ลิลลี่ลุกขึ้นยืน ด้วยความอดทนอดกลั้นที่มีอยู่หมดสิ้นลงแล้ว และตั้งใจจะไปเก็บข้าวของกลับกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้เลย

"เดี๋ยวสิลี่" วินระวีลุกเดินตามไปเร็วๆ แล้วคว้าแขนหญิงสาวไว้

"ปล่อยฉัน!!" ลิลลี่สะบัดอย่างแรง จนป้าแต้วซึ่งนั่งดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ถึงกับใจหายใจคว่ำไปด้วย ทั้งที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จู่ๆ ทั้งคู่ก็ทะเลาะกันยกใหญ่

"ถ้าอยากถูกจูบต่อหน้าป้าแต้ว ก็ลองดู" วินระวีรวบหญิงสาวไว้ทั้งตัว แล้วกระซิบเสียงดุที่ข้างหู

"พวกคุณพี่น้องน่ารังเกียจที่สุด ฉันเกลียดคุณได้ยินไหม" ลิลลี่หยุดขัดขืน แต่ใช้คำพูดหมางเมินไร้เยื่อใยจนทำให้อีกฝ่ายสะท้านไปเหมือนกัน

"ไว้ลี่อารมณ์ดีแล้วเราค่อยคุยกันใหม่ดีกว่า" วินระวีคลายอ้อมแขนออก แล้วปล่อยให้หญิงสาวได้สงบสติอารมณ์เพียงลำพังภายในห้องนอน






"คงคิดถึงฉันมากสินะ ถึงได้โทรหา" เวรุตนั่งยิ้มพิงพนักเก้าอี้ทำงานเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย และรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์ใด

ท่าทางและน้ำเสียงของชายหนุ่ม กระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นในตัวหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งเล่นแท็บเล็ทอยู่บนโซฟาภายในห้องทำงานเข้าอย่างจัง โรสหันมองหน้า และนั่นทำให้ชายหนุ่มลดเสียงลงทันที ราวกับกำลังมีความลับ

"คุณช่วยออกไปก่อนได้ไหมโรส ผมมีธุระส่วนตัว" เวรุตใช้มือปิดโทรศัพท์

"ได้...ไงคะ" โรสรีบลุกจากโซฟาเดินตรงมาที่โต๊ะทำงาน ต้องรู้ให้ได้ว่าเขาคุยอยู่กับใคร

"พี่อย่าคิดนะว่าจะชนะผมได้" วินระวีว่าด้วยเสียงท้าทาย

"ไม่ได้แค่คิด แต่มั่นใจเลยล่ะ" เวรุตว่าเสียงยียวน มองหน้าหญิงสาวซึ่งเดินมานั่งอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขาแล้ว

"งั้นฟังไว้เลย พี่ไม่มีวันได้ตัวลี่คืน ถ้าพี่อยากได้ที่นัก ลี่ต้องเป็นของผม"

เวรุตอึ้งไปซักพักด้วยสีหน้าเครียด คิดไม่ถึงว่าวินระวีจะเล่นไม้นี้ แต่เขาจะไม่ยอมแพ้เป็นอันขาด เขาจะต้องชนะเกมนี้โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนใดๆ

"เที่ยงนี้ไปทานอะไรกันดี ที่รัก" เวรุตปรับสีหน้าแล้วเอื้อมมากุมมือเรียวเล็ก ตั้งใจจะให้คนที่ปลายสายได้ยินคำสนทนา

"แล้วแต่คุณสิคะ" โรสตอบไปงงๆ กับท่าทีที่เปลี่ยนไป

"ไว้คุยกันใหม่นะ ฉันต้องพาโรสไปทานข้าว" เวรุตตัดบท แสร้งให้วินระวีเห็นว่าเขาไม่ใส่ใจว่าจะได้ตัวลิลลี่คืนหรือไม่ และเพื่อไม่ให้โรสสงสัยอะไรไปมากกว่านี้

"หึ! ถึงผมจะไม่ได้ที่คืน แต่ได้ฉีกหน้ากากคนอย่างพี่ก็ถือว่าคุ้ม" วินระวีพูดใส่อารมณ์ทิ้งทวน แล้วกระแทกโทรศัพท์ลงบนโต๊ะด้วยอารมณ์ขุ่น

เวรุตรีบขยับโทรศัพท์ออกห่างหูจากเสียงกระแทกที่ดังเข้ามา ชายหนุ่มถอนหายใจหน้าเครียดก่อนโยนมันลงบนโต๊ะ

"ใครโทรมาคะ" โรสมองท่าทางไม่สบอารมณ์หลังจากวางสาย คิดเดาเรื่องไปว่าคงเป็นกิ๊กของชายหนุ่ม

"ผมบอกแล้วไงว่าเป็นเรื่องส่วนตัว" เวรุตว่าหน้าเครียด

"ดี!" หญิงสาวขึ้นเสียงสูง "ถึงทีฉันคุณอย่าโวยก็แล้วกัน" แล้วขยับลงจากโต๊ะ ตั้งท่าจะเดินหนี

"วินระวี น้องชายผมเอง" เวรุตรีบคว้ามือหญิงสาวไว้ ไม่อยากหาเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้น

โรสไม่พูดอะไร มองไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะ แล้วมองหน้าชายหนุ่ม เขารู้ว่าเธอต้องการอะไร แต่แทนที่จะหยิบยื่นสิ่งที่หญิงสาวต้องการให้ง่ายๆ เขากลับดึงมือเธอจนเซลงมานั่งบนตักแล้วรวบกอดเอวเธอไว้

"นี่! คุณจะทำอะไร" โรสหันมองหน้าเขาซึ่งตอนนี้เปลี่ยนจากสีหน้าเครียดเป็นเจ้าเล่ห์ไปแล้ว

"คุณอยากจะดูโทรศัพท์นั่น ก็ต้องนั่งดูตรงนี้ ผมไม่คิดจะเสียอะไรฟรีๆ อยู่แล้ว คุณก็รู้"

"เรื่องของเรื่องคือ ฉันไม่รู้ว่าคุณคิดว่าตัวเองได้อะไรต่างหาก" โรสโอบแขนไปรอบคอชายหนุ่ม โน้มริมฝีปากเข้าไปใกล้จนเกือบสัมผัสกัน

"ชิ!" หญิงสาวขยับออกเพราะคิดแค่จะแกล้งเขาเท่านั้นเอง แล้วหันไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดดูหมายเลขสุดท้ายที่เขาติดต่อด้วย แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะชื่อที่ปรากฏไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่เขาบอกเธอ

ท่าทีผิดหวังนั้นอยู่ในสายตาของคนที่เธอหลอกล่อเมื่อครู่นี้โดยตลอด เพราะเขากำลังรอเวลาทวงคืนสิ่งที่เธอแกล้งหยอกเย้าทำราวเขาเป็นตัวตลก

"ไม่เห็นมีอะไรเลย" โรสรำพึงกับตัวเอง วางโทรศัพท์ลง

"ดูหลายๆ เบอร์สิ อาจจะมีอะไรดีก็ได้" เวรุตแนะนำ ราวกับเป็นผู้หวังดี

"จริงด้วย" โรสคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาใหม่

"ไม่ต้องรีบหรอก ผมให้คุณนั่งดูนอนดูทั้งวันเลยก็ได้" ชายหนุ่มว่าประชด จนหญิงสาวสิ้นความสนใจ เพราะถ้าเขาพูดแบบนี้ คงไม่มีประโยชน์แล้ว

"ปล่อยฉันได้แล้ว" โรสกระแทกโทรศัพท์กลับลงที่เก่า

"ปล่อยเหรอ? คุณคิดจะมาหลอกล่อผมแล้วจากไปเฉยๆ น่ะ ไม่มีทาง" เวรุตกระชับอ้อมแขนขึ้น

"หึ! งั้นก็จูบฉันเลยสิ" โรสว่าท้าทาย หลับตาแล้วทำปากจู๋ยื่นเข้าไปใกล้ด้วยหน้าตาตลก

เวรุตผงะไปเล็กน้อยนึกว่าจะทำให้หญิงสาวกลัว แต่การแสดงออกของเธอกลับทำให้เขาถึงกับอมยิ้ม และคิดว่าจะจูบเธอให้หนักทีเดียว หากว่าไม่มีเสียงเคาะประตูขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

"นึกว่าจะแน่!" โรสยิ้มได้ใจ ก่อนจะขยับลุกออกจากตักชายหนุ่มไป





















 

Create Date : 10 สิงหาคม 2554    
Last Update : 20 สิงหาคม 2554 15:39:23 น.
Counter : 446 Pageviews.  

lOve-lOve ตอนที่ 8

"ขับรถดีๆ นะคะ" ลิลลี่เดินมาส่งวินระวีที่บันไดเรือนขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะออกไปบ้านกำนันจักร แต่ด้วยบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ทำให้หญิงสาวรู้สึกเป็นห่วง

"ถ้าผมเป็นอะไรไป ลี่น่าจะดีใจนะ จะได้กลับบ้านเสียที" ชายหนุ่มว่าแล้วรอบเอวเล็กไว้ในอ้อมแขน

"อย่าพูดบ้าๆ นะคะ ถึงฉันอยากจะกลับบ้าน แต่ก็ไม่เคยอยากเห็นคุณเป็นอะไรไป" หญิงสาวหยิกแขนเขาเป็นการปราม

"เพราะอะไร"

"เพราะ..เออ คุณเป็นน้องเว ยังไงฉันก็เอ็นดูคุณเหมือน...น้องชาย" ลิลลี่ให้เหตุผลข้างๆ คูๆ

"น้องชายเหรอ! ผมจำได้ว่าอายุห่างกับเวแค่ห้านาทีเท่านั้นนะ แต่น่าจะมากกว่าลี่ซักสามสี่ปี" วินระวียิ้มขำ

"ไปได้แล้วค่ะ" ลิลลี่ดันอกชายหนุ่มเตือนให้เขาคลายอ้อมแขนออก

"อยู่กันดีๆ นะสามสาวสามวัย เห็นอะไรก็อย่ากรี๊ดกันจนบ้านแตกล่ะ" ชายหนุ่มว่าล้อ ก่อนจะผละไปขึ้นรถออฟโรดคันใหญ่




"กลางคืน ที่นี่วิวสวยนะคะ" โรสรูดมู่ลี่ที่อยู่หลังโต๊ะทำงานเวรุตขึ้น มองออกไปภายนอก ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท เน้นให้แสงไฟหลากสีดูโดดเด่น ท่ามกลางตึกระฟ้าและแม่น้ำเจ้าพระยา

"ผมไม่เคยมองซักที" เวรุตว่า ยังก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

"คุณคิดว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์หรือไงนะ" โรสหันมองชายหนุ่มแล้วขยับตัวขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานเขา ไม่ใส่ใจว่าจะทับเอกสารกี่ฉบับที่วางเกลื่อนอยู่บนนั้น

"คุณไม่มีที่อื่นจะนั่งแล้วหรือไง" ชายหนุ่มมองใบหน้าสวยใส พลางเลื่อนเก้าอี้ออกเล็กน้อย รู้ว่าหญิงสาวตั้งใจจะก่อกวนเขาอีกแล้ว

"ปกติฉันก็เป็นคนบ้างานนะ แต่ฉันว่าคุณบ้าแบบไม่มีลิมิต"

"คุณก็เห็นว่างานผมยังไม่เสร็จ" เวรุตมองสบตาหญิงสาว ดูอารมณ์ขุ่นเครียด

"คุณต่างหากที่ยังไม่ยอมปล่อยวาง นี่มันจะสามทุ่มแล้วนะคะ ฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว" หญิงสาวว่าพลางลูบท้องตัวเองไปด้วย

"นี่ถ้าเป็นลี่..." เวรุตถอนใจ คิดว่าถ้าเป็นลิลลี่คงคอยเขาได้แบบไม่ปริปากซักคำ

"ก็เพราะยัยลี่ไม่พูดไง ถึงได้หนีไปเลย คุณยังไม่สำนึกอีกเหรอ"

"หึ นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ลี่หนีไปหรอกนะ"

"แล้วเพราะอะไร" โรสมองหน้าท้าทายให้เขาพูดออกมา

"เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ หิวแล้วไม่ใช่เหรอ" เวรุตลุกยืน

"คุณอย่ามาเปลี่ยนเรื่องดีกว่า พูดออกมาเลยสิ ที่ยัยลี่หนีไปเพราะรู้ว่าคุณเป็น..." โรสหยุดคำพูดไว้แค่นั้น คิดว่าถามไปเขาก็คงไม่รับสารภาพ

"เป็นอะไร" เวรุตมองด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ว่าลิลลี่บอกอะไรพี่สาว จึงตีกลับเป็นฝ่ายตั้งคำถามเสียเอง

"เป็นอะไร คุณก็รู้อยู่แก่ใจ" โรสมองเมินไปทางอื่น ทำให้อีกฝ่ายยิ่งต้องการรู้ให้ได้

"ถ้าไม่พูดมาให้หมด เราคงไม่ต้องไปไหนกัน" เวรุตขยับไปยืนตรงหน้า มองด้วยสายตาจริงจัง

"ฉันแค่สงสัยว่าคุณจะเป็นลูกผู้ชายพอจะยอมรับความจริงหรือเปล่า" โรสมองตอบไม่หวั่นไหว

"พูดมาเลย" เวรุตผายมือออก สื่อความหมายว่าเขาเป็นลูกผู้ชายพอที่จะรับฟังความจริงที่หญิงสาวจะบอก

"คุณเป็นเกย์ใช่ไหม" โรสถามออกไปตรงๆ ทำเอาอีกฝ่ายอึ้งไปพักใหญ่ มิใช่เพราะมันเป็นความจริง หากแต่เพราะไม่คาดว่าเป็นเรื่องที่หญิงสาวจะถาม เวรุตถึงกับต้องก้มมองพิจารณาตัวเอง ว่าเขามีส่วนไหนที่ทำให้โรสคิดไปทำนองนั้น

"ตอบมาสิ" โรสเห็นว่าเขาไม่ปฏิเสธทันที ก็ยิ่งทำให้มั่นใจยิ่งขึ้น

"ผมดูเป็นเกย์ตรงไหน" เวรุตไม่ตอบแต่ถามกลับ

"สมัยนี้มันดูกันออกที่ไหน เกย์ที่ไหนก็แอ๊บแมนกันทั้งนั้นแหละ"

"ถ้าผมตอบว่าไม่ คุณจะเชื่อไหม" เวรุตเริ่มยิ้มที่มุมปาก เห็นเป็นเรื่องตลก

"ไม่เชื่อ!" โรสตอบกลับทันควัน

"ก็นั่นน่ะสิ เพราะคุณปักใจเชื่อแต่แรกแล้วว่าผมเป็นอะไร"

"หรือไม่จริง" โรสลอยหน้าถาม

"จริง" เวรุตนึกสนุก จึงตอบไปเช่นนั้นเพื่อหวังผลบางอย่าง

"นี่คุณ!" แม้จะคิดมาตลอด แต่พอเขายอมรับออกมาตรงๆ ก็ทำให้หญิงสาวช็อคไปเหมือนกัน

"แค่นี้ใช่ไหมที่เธออยากรู้ ไปทานข้าวกันดีกว่า" เวรุตว่ายิ้มๆ ทำให้หายเครียดจากเรื่องงานไปได้โดยปริยาย

"ก็ยังดีที่คุณกล้ารับความจริง" โรสว่าออกมาในที่สุด




"แล้วเรื่องของเราจะว่ายังไง" โรสถามชายหนุ่มต่อ ขณะทั้งสองนั่งทานข้าวด้วยกันในร้านอาหารกึ่งผับ ในบรรยากาศสลัวและเสียงเพลงคลอเบาๆ

"เรื่องอะไร"

"ถ้าคุณเป็น... ก็ไม่ใช่ความผิดของน้องฉันที่หนีการแต่งงาน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรแล้วใช่ไหม"

"ถ้าคุณทิ้งไปตอนนี้ ข่าวลือที่แพร่ออกไปก็ไม่เป็นผลดีกับลี่อยู่ดี นอกจากคุณจะพิสูจน์ให้ชาวโลกเห็นได้ว่าผมเป็นเกย์" ชายหนุ่มว่าหน้าตาเฉย

"คุณนี่มันร้ายกาจจริงๆ ฉันจะกระชากหน้ากากคุณออกมาให้ได้" โรสมองด้วยสายตาขุ่นเคือง

"ทานข้าวเถอะ พูดไปคุณก็อารมณ์เสียเปล่าๆ เก็บแรงไว้กระชากหน้ากากดีกว่านะ" เวรุตว่าแล้วยิ้มขำ



"เต้นรำกันซักเพลงไหม" เวรุตมองไปที่ฟลอร์แล้วเอ่ยชวน เพราะเขานั่งมาทั้งวัน อยากจะลุกขยับตัวบ้าง

"คุณมีจุดประสงค์ซ่อนเร้นล่ะสิท่า" โรสมองตามไปที่ชายหนุ่มหน้าตาดีกำลังเต้นอยู่กับคู่ของตนอยู่แล้ว จึงคิดว่าเวรุตอาจอยากเลียบเคียงเข้าไปใกล้

"ฉันจะคิดซะว่าเป็นการทำบุญ" หญิงสาวว่าประชด แล้วลุกนำไป เวรุตถอนหายใจส่ายหน้าเมื่อรู้ความคิดของอีกฝ่าย





"ฉันเต้นไม่เก่งนะคะ ถ้าเหยียบเท้าคุณ ห้ามโกรธกันด้วย" โรสออกตัวไว้ก่อน

"ผมมีวิธีป้องกันตัวเอง" เวรุตว่าแล้วรั้งร่างหญิงสาวเข้าแนบชิด แล้วโยกตัวเบาๆ มากกว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวไปรอบฟลอร์

"มันจะไม่ใกล้ไปหน่อยเหรอคะ" โรสดันอกชายหนุ่มแล้วแหงนมองหน้าเขา

"ไม่ต้องกลัวหรอก ผมก็แค่ทำไปตามหน้าที่ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเกินเลยอยู่แล้ว คุณก็รู้" ชายหนุ่มโน้มลงกระซิบที่ข้างหู เน้นย้ำสิ่งที่คิดว่าเขาเป็น ทำให้โรสรู้สึกสบายใจขึ้น

หญิงสาวซบหน้าลงบนอกกว้าง จินตนาการไปเรื่อยเปื่อยตามประสาสาวโสด คิดว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลยจริงๆ เพราะเขาดูแมนและหน้าตาดีออกอย่างนี้ ใครๆ คงคิดว่าทั้งคู่เหมาะสมกันราวกาแฟกับคอฟฟี่เมดผสมน้ำผึ้ง หารู้ไม่ว่า... โรสคิดแล้วอดยิ้มขำไม่ได้

แล้วความคิดก็มีอันสะดุดลงเมื่อหนุ่มหน้ามนที่เห็นเต้นรำอยู่ก่อนแล้ว ขยับเข้าใกล้จนแผ่นหลังชนกันกับเวรุต ชายหนุ่มจึงต้องหันไปมอง

"ขอโทษครับ" ชายหนุ่มเอ่ย แล้วส่งสายตาชื่นชมเวรุตอย่างเปิดเผย จนโรสรู้สึกเลี้ยนขึ้นมา

"ไม่เป็นไรครับ" เวรุตตอบกลับแล้วพาหญิงสาวขยับออกห่าง

"ผีคงเห็นผีด้วยกันแล้วสิคะ" โรสกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น

"กลับกันดีกว่า" เวรุตเริ่มเสียอารมณ์

"จะรีบไปไหนล่ะคะ เขาอุตส่าห์ทอดสะพานให้คุณขนาดนั้นแล้ว" โรสว่าแนบอกแข็งแรง

"ผมกลัวอดใจไม่ไหว (ซัดหน้ามัน) น่ะสิ" เวรุตว่าทีเล่นทีจริง

"รอให้จบเพลงก่อนนะคะ" โรสอยากแกล้งชายหนุ่ม หารู้ไม่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรเลย กับการมีเธอแนบชิดเช่นนี้

"งั้นคุณต้องช่วยแสดงละครซักฉาก" เวรุตว่าแล้วซุกไซ้ไปที่ซอกคอหญิงสาว

"คุณทำอะไรน่ะ" โรสเริ่มรู้สึกแปลกๆ จากการเคลื่อนไหวริมฝีปากและปลายจมูกของชายหนุ่ม

"จะได้ไม่มีใครสงสัยไง ว่าผมเป็นพวกเดียวกันหรือเปล่า" เวรุตแก้ตัว ยังคงไล้สัมผัสวาบหวิวไปบนลำคอขาวนวล

"พอได้แล้ว กลับกันดีกว่าค่ะ" โรสเริ่มเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง

"อ้าว ไม่รอให้จบเพลงก่อนเหรอ" เวรุตถามแล้วยิ้มขำ

"กลับเดี๋ยวนี้เลย!" โรสว่าหน้าบึ้ง โกรธที่รู้สึกหวั่นไหววูบวาบไปกับการกระทำของเขา




ป้าแต้วและจันทร์แรมเข้ามานั่งดูทีวีเป็นเพื่อนภายในห้องนอน ทั้งสองต่างอินไปกับละครเรื่องโปรด ส่วนลิลลี่กลับนั่งไม่ติด เพราะฝนเริ่มเทลงมาอย่างหนักบวกกับแสงวูบวาบของสายฟ้าที่สะท้อนเข้ามาทางระเบียง ก็ยิ่งทำให้เป็นกังวลเข้าไปใหญ่ว่าป่านนี้ทำไมวินระวียังไม่กลับ

"แรมเดินไปปิดม่านทีซิ" ป้าแต้วสั่งหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างเตียงดัวยกัน ระหว่างละครพักโฆษณา

"ป้าก็ไปปิดเองสิ ฉันก็กลัวเหมือนกันนะ" จันทร์แรมเกี่ยงงอน

"เองนั่นแหละไป เองยังไม่เคยเห็นอะไรจะมากลัวทำไม" ป้าแต้วว่า

"อ้าว ป้าเคยเห็นมาแล้วจะกลัวอะไรล่ะ" จันทร์แรมตอบกลับ

"ไปกันทั้งสองคนนั่นแหละจ่ะ จะได้ไม่ต้องกลัว" ลิลลี่ขัดขึ้น ขี้เกียจฟังทั้งสองคนเกี่ยงกันไปมา ป้าหลานจึงจับมือกันแน่น เดินไปที่ประตูระเบียงซึ่งเป็นกระจกใสบานใหญ่

ครั้นพอจะเอื้อมมือไปดึงม่าน แสงสีเงินจากภายนอกก็วาบขึ้นอีกครั้ง ปรากฏเป็นใบหน้าชายหนุ่มสวมชุดไทย ยื่นหน้าเข้ามาชิดจนติดกระจก

"นังแรม!!" ป้าแต้วเบิกตากว้าง พูดออกไปได้เพียงเท่านั้น

"ผะ..ผี ป้า!" จันทร์แรมร้องแทบไม่เป็นคำพูด ทั้งสองหันหลังกลับวิ่งตรงไปที่ประตูห้องทันที

"นั่นจะรีบไปไหนกัน ป้าแต้ว จันทร์แรม" ลิลลี่มองตามทั้งสองไปที่ประตู

"อยู่ไม่ไหวแล้วค่ะคุณลี่" ป้าแต้วหันมาพูดประโยคสุดท้าย ก่อนจะแข่งกันวิ่งออกจากห้องไปทั้งคู่

ลิลลี่หันมองไปที่ระเบียงอีกครั้ง รู้ว่าทั้งสองคงเห็นอะไร หญิงสาวรีบก้าวลงจากเตียง ตรงไปที่ประตูห้อง พอก้าวพ้นธรณีย์ก็มีเสียงฟ้าผ่าลงมาโครมใหญ่ พร้อมกับร่างสูงใหญ่ยืนขวางอยู่ ลิลลี่กรี๊ดอย่างไม่คิดชีวิตด้วยความกลัว เพราะมั่นใจว่าร่างที่เห็นในความมืดสลัวนั้นคืออะไร หญิงสาวยืนปิดหน้าตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง

"กรี๊ดดดดดด" ลิลลี่กระโดดกระเสือกกระสนขาดสติ เมื่อรู้สึกเหมือนถูกจับยึดไว้

"ลี่! นี่ผมเอง" ชายหนุ่มร่างกายเปียกโชก ร้องตะโกนแข่งกับเสียงฝน

ลิลลี่ไม่ฟังเสียงอะไรทั้งนั้น สลัดจนหลุดจากการเกาะกุมแล้ววิ่งฝ่าระเบียงโล่งในความมืด ตั้งใจจะไปสมทบกับป้าแต้วและจันทร์แรมที่ห้องนอนของทั้งสอง ซึ่งอยู่ชั้นล่าง

"เดี๋ยวสิลี่" วินระวีวิ่งตามคว้าแขนไว้ได้ทันตรงกลางระเบียงบ้านเปิดโล่งท่ามกลางสายฝนที่กำลังตกกระหน่ำอย่างหนัก คิดว่าลิลลี่คงตกใจจนสติแตกไปแล้ว เขาดึงร่างบอบบางเข้ามากอดแล้วจูบหนักหน่วง ลิลลี่พยายามผลักไสอย่างไร้ผล แล้วสัมผัสจากริมฝีปากคุ้นเคยก็ค่อยๆ เรียกสติหญิงสาวกลับคืนมา

"วิน.." ลิลลี่เรียกชื่อเขาดังเพียงเสียงกระซิบ หากแต่ความกลัว ความกังวลก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะค่อยมลายหายไป เพียงมีเขายืนอยู่ตรงหน้า หญิงสาวรู้สึกราวไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีกต่อไป

"วิ่งหนีผีกันมาล่ะสิ" วินระวีว่าอย่างรู้ทัน

"ก็ป้าแต้ว จันทร์แรมน่ะสิ วิ่งนำก่อน ลี่ก็เลย" หญิงสาวโผเขากอดเขาระล่ำระลักบอก รู้สึกหัวใจยังเต้นแรงไม่หาย

"เข้าบ้านเถอะ เปียกหมดแล้ว" ชายหนุ่มโอบรอบเอวบางแล้วพาเดินตรงกลับไปยังห้องที่เพิ่งวิ่งชุลมุนกันออกมา ลิลลี่ดันเขาเข้าไปก่อน แล้วหลบอยู่ข้างหลัง ทั้งที่ไม่อยากกลับเข้าไปอีก แต่บ้านทั้งหลังก็มีเพียงสองห้อง หนีเสือปะจระเข้แท้ๆ


"ลี่จะอาบน้ำก่อนหรือจะให้ผมอาบก่อน"

"ลี่อาบก่อน" หญิงสาวรีบตอบ

"งั้นผมไปคอยข้างนอก พื้นห้องเปียกหมดแล้ว"

"ไม่ได้ค่ะ"

"งั้นเร็วหน่อยนะ ผมหนาว"

"เอาผ้าขนหนูห่มไปก่อนค่ะ แล้วรออยู่หน้าประตูด้วยนะคะ ถ้าลี่เรียกแล้วคุณต้องตอบด้วย" หญิงสาวยื่นผ้าให้ แล้วกำชับเป็นมั่นเหมาะ

"ครับผม" ชายหนุ่มรับคำแล้วดึงม่านปิดประตูระเบียง คิดว่าคงทำให้หญิงสาวกลัวน้อยลง ลิลลี่หายเข้าไปในห้องน้ำ เพียงสามนาทีก็กลับออกมา

"คุณห้ามอาบนาน เปิดประตูไว้ด้วยนะคะ"

"ถ้าลี่สัญญาว่าจะไม่แอบดู"

"บ้า"

ลิลลี่เอาไดร์มานั่งเป่าผมบนที่นอน ไม่กล้านั่งอยู่หน้ากระจก เพราะหากมีเงาสะท้อนอย่างอื่นเข้ามา เธอคงหัวใจวายพอดี แม้กระนั้นสายตาก็ยังกวาดไปทั่วห้องเป็นระยะๆ จนเห็นวินระวีเดินออกมาจากห้องน้ำ ถึงได้รู้สึกดีขึ้น ชายหนุ่มเช็ดผมสองสามทีแล้วเดินมาทิ้งตัวลงบนที่นอน

"คุณจะนอนทั้งผมเปียกๆ ยังงี้เลยเหรอคะ" ลิลลี่เป่าผมตัวเองเสร็จพอดี

"ผมง่วงแล้วอ่ะลี่" ชายหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างว่าเสียงเพลียจัด

"งั้นนอนคว่ำค่ะ" ลิลลี่ขยับเข้าใกล้

วินระวีทำตามอย่างว่าง่าย ขณะที่หญิงสาวช่วยเป่าผมให้จนแห้งสนิท

"นอนได้แล้วใช่ไหม" ชายหนุ่มดึงปลั๊กไดร์เป่าผมออก แล้วปิดไฟทันที

"กู๊ดไนท์ค่ะ" หญิงสาวเอาหมอนข้างกั้น พอทิ้งตัวลงนอนปั๊บ หมอนก็อันตรธานหายไป แล้วอ้อมแขนแข็งแรงก็เข้ามาแทนที่

"กู๊ดไนท์" ...







เวรุตเคาะประตูห้องโรส เพื่อจะเข้าไปหยิบชุดนอนและผ้าเช็ดตัว หากแต่ไม่มีเสียงตอบรับและเห็นว่าประตูไม่ได้ล็อค ชายหนุ่มจึงเปิดเข้าไปเงียบๆ เขาเห็นกระเป๋าใบใหญ่เปิดวางไว้บนที่นอน นอกจากเสื้อผ้าแล้วคงเป็นพวกของฝาก ซึ่งแพ็คไว้จนเต็ม ชายหนุ่มมองเลยไปบนโต๊ะไม้สีขาวหน้ากระจก เห็นกระปุกสีทะมึนใบใหญ่ จึงหยิบขึ้นมาอ่านดูว่ามันเป็นอะไรกันแน่

"โคลนพอกหน้าน่ะ" โรสบอก เพราะคิดว่าหนุ่มอย่างเขาก็คงรักสวยรักงามเหมือนกัน พลางนึกแผนฉีกหน้ากากเขาขึ้นมาได้

"ผมเห็นกระปุกมันแปลกๆ ดี" เวรุตว่าแล้ววางไว้ที่เดิม

"สนใจใช่ไหม ยี่ห้อนี้ดีมากๆ หาซื้อในเมืองไทยไม่ได้เลยนะ พอกทีเดียว หน้าเด้งเป็นอาทิตย์เลย" หญิงสาวรีบบอกสรรพคุณให้เขาสนใจ

"เหรอ" ชายหนุ่มว่าแล้วเดินหายเข้าไปในห้องแต่งตัว เพื่อหยิบชุดนอนและผ้าขนหนู

"เอางี้ คุณไปอาบน้ำ เสร็จแล้วฉันจะพอกให้" โรสรีบดันหลังเขาเข้าไปในห้องน้ำ

"ผมจะไปอาบห้องโน้น" ชายหนุ่มว่า

"ไม่เป็นไร อาบที่นี่แหละค่ะ" โรสคะยั้นคะยอ กลัวเหยื่อจะไม่ย้อนกลับมาอีก

หลังจากจัดการให้เขาเข้าไปอาบน้ำได้แล้ว หญิงสาวจึงรีบปิดประเป๋าแล้วย้ายลงจากเตียง ล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าถือมาไว้ใกล้มือ

"อาบเสร็จแล้วเหรอคะ" หญิงสาวยิ้มกว้าง ดึงแขนชายหนุ่มมาที่เตียง

"นี่คุณจะให้ผมพอกไอ้โคลนนั่นจริงๆ เหรอ" เวรุตนึกว่ามันชอบกล

"ไม่ต้องอายหรอกค่ะ ครั้งนี้ฉันบริการฟรี ถ้าติดใจคราวหน้าฉันคิดตังนะบอกให้" โรสบังคับให้เขานอนลงตรงหมอนที่เตรียมไว้

"งั้นก็ตามสบายล่ะกัน" เวรุตยอมนอนลงเพราะรู้สึกเพลียเต็มทีแล้ว

หญิงสาวจัดการสวมที่คาดผมให้เขา แล้วนำโคลนมาละเลงนวดลงบนใบหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ ให้ความรู้สึกเย็นทำให้ชายหนุ่มเคลิ้มหลับไปโดยไม่รู้ตัว

โรสลุกไปล้างไม้ล้างมือ ก่อนจะกลับมาเก็บภาพหนุ่มรักงามลงในมือถือ

"แค่นี้อาจยังดูไม่พอ" โรสพูดกับตัวเอง ก่อนจะเปิดกระเป๋าเดินทางออกอีกครั้ง นึกถึงเครื่องสำอางชุดใหญ่ ที่ตั้งใจจะซื้อฝากน้องสาวขึ้นมาได้

"ให้เวใช้ก่อนนะลี่" หญิงสาวว่าแล้วยิ้มกว้าง นำเครื่องสำอางกลับไปวางบนเตียง

โรสเช็ดโคลนออกจากใบหน้าชายหนุ่มอย่างเบามือ เพราะกลัวเขาจะตื่น

"หลับไปเลยนะคะ เดี๋ยวฉันเช็ดออกให้" หญิงสาวพูดไปเช็ดไป เมื่อเห็นเวรุตเริ่มขยับตัว

"อืม.." ชายหนุ่มตอบรับในลำคอแล้วหลับต่อ



"ฝีมือเรานี่ก็ไม่เลวเลยนะนี่" โรสชื่นชมตัวเอง ขณะมองใบหน้าสวยพริ้มของชายหนุ่มขณะหลับ

"ถ้าฉันเป็นผู้ชาย คงขอคุณแต่งงานไปแล้ว" หญิงสาวกลั้นหัวเราะ แล้วรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปใบหน้านักธุรกิจใหญ่ ในภาพลักษณ์ที่คงไม่มีใครเคยได้เห็นมาก่อน

ครั้นพอเวรุตเริ่มขยับตัวอีก หญิงสาวตกใจแทบทำโทรศัพท์หล่น รีบจัดแจงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า

"เหลือนวดครีมบำรุงอีกทีก็เสร็จแล้วค่ะ" โรสรีบกระโดดขึ้นไปนั่งประจำที่ คว้าครีมล้างหน้าขึ้นบีบใส่มือแล้วละเลงขัดถูลงบนใบหน้าชายหนุ่ม

"ยังไม่เสร็จอีกเหรอโรส" เวรุตว่าเสียงงัวเงียเต็มที

"ใกล้แล้วค่ะ"

"อะไรเนี่ย เนอะๆ" ชายหนุ่มยกมือขึ้นจะแตะริมฝีปากตัวเอง

"อย่าค่ะ เดี๋ยวมือเปื้อน ฉันจะเช็ดออกให้นะคะ" โรสรีบดันมือเขาออก แล้วใช้แผ่นสำลีเช็ดทั่วใบหน้าจนสะอาดหมดจด ก่อนจะลุกไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดอีกที ชายหนุ่มจึงเคลิ้มหลับยาวไปอีกครั้ง เพราะรู้สึกสบายขึ้น

โรสเก็บข้าวของให้เข้าที่ พอกลับมาถึงเตียงอีกทีก็พบว่าชายหนุ่มหลับเป็นตายไปเสียแล้ว ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมลุก

"เอาเถอะ หลับขนาดนี้แล้ว คงไม่มีพิษสงอะไรแล้วมั้ง" โรสเดินไปทิ้งตัวลงนอนอีกฝั่ง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างตัวเองแล้วหลับไป ปล่อยให้ชายหนุ่มนอนหนาวจนต้องลุกขึ้นมาแย่งชิงผ้าห่มตอนกลางดึก ยื้อยุดฉุดกระชากกันจนร่างทั้งสองมานอนรวมกันอยู่กลางเตียงใหญ่เป็นหมอนข้างให้กันและกัน และหลับไปจนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่















 

Create Date : 07 สิงหาคม 2554    
Last Update : 7 สิงหาคม 2554 21:47:28 น.
Counter : 337 Pageviews.  

Love-Love ตอนที่ 7

งานวิวาห์ระหว่างเวรุตและโรสผ่านไปด้วยดี โดยไม่มีใครระแคะระคายว่าเจ้าสาวไม่ใช่ลิลลี่ และเข้าใจว่าโรสไม่สามารถกลับมาร่วมงานสมรสครั้งนี้ได้เพราะติดพายุ และไม่มีตั๋วเดินทางกลับ จึงมีเพียงคนในครอบครัวของทั้งสองฝ่ายที่รู้ความจริง

งานหมั้นในตอนเช้าจัดขึ้นที่บ้านหญิงสาว โดยไม่มีการจดทะเบียนสมรส และมีเพียงญาติสนิทของทั้งสองฝ่ายมาร่วมงาน ส่วนงานเลี้ยงในช่วงเย็นจัดขึ้นที่เรือนหอบนพื้นที่กว่าห้าไร่ ตามที่ได้วางแผนกันมาเป็นแรมเดือน

กว่าจะส่งแขกหมดและได้เวลาเข้าหอ หญิงสาวก็แทบสลบเพราะยังไม่ได้พักเลยตั้งแต่ลงจากเครื่องมาเมื่อตอนเช้ามืด

"คุณช่วยปลุกฉันด้วยนะ ถ้าญาติๆ กลับหมดแล้ว" โรสไม่รอคำตอบ ทิ้งตัวนอนคว่ำลงบนที่นอนนุ่มแล้วหลับไปทันที ด้วยความอ่อนเพลียแทบขาดใจ

เวรุตมองหญิงสาวด้วยความเห็นใจ และคิดว่าเป็นเพราะวินระวีแท้ๆ ทุกคนถึงต้องลำบากกันไปหมด และไม่รู้ว่าป่านนี้ลิลลี่จะเป็นอย่างไรบ้าง หากแต่โชว์ก็ต้องดำเนินต่อไป เขาไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด




"พ่อกับแม่เห็นจะต้องพายัยโรสกลับซะทีล่ะนะ" คุณกิตติเอ่ยกับชายหนุ่มหลังจากส่งญาติกลับกันหมดแล้ว

"โรสหลับไปแล้วครับ คงจะเพลียจัด" เวรุตว่า "คือผมมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณพ่อคุณแม่"

"ว่ามาเถอะ พ่อแม่ยินดีนะ" คุณวันเพ็ญว่า เพราะรู้สึกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความผิดของลูกสาวตน และรู้สึกซาบซึ้งที่ชายหนุ่มไม่เอาเรื่องอะไรเลย แถมยังช่วยคิดหาทางออกเสียอีก

"ผมอยากให้โรสอยู่ที่นี่ จนกว่าลี่จะกลับมาครับ เพราะถ้าแยกกันอยู่ คงมีข่าวลือเรื่องเตียงหักแพร่ออกไปทันที แล้วสิ่งที่เราอุตส่าห์ทำในวันนี้ทั้งหมดก็จะสูญเปล่า"

"แต่ว่ายัยโรส..." คุณกิตติลังเล

"ไว้ใจผมเถอะครับ ผมจะไม่ทำให้โรสเสียหายเป็นอันขาด ยังไงผมก็จะรอลี่กลับมานะครับ" ชายหนุ่มว่าด้วยแววตาจริงจัง จนทั้งสองต้องยอมตามนั้น เพราะปลื้มในตัวเวรุตอยู่ไม่น้อย และหากลูกสาวอีกคนได้ลงเอยกับชายหนุ่มแทน ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร

"งั้นแม่ฝากดูแลน้องด้วยนะ" คุณวันเพ็ญฝากฝังก่อนจะลากลับบ้านไปพักผ่อน




"ทำไมพ่อกับแม่ไม่คิดจะมาตามฉันเลยนะ คุณว่าไหม" ลิลลี่เอ่ยขึ้นขณะนอนหันหลังให้ชายหนุ่ม คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่เธอออกจากบ้านมา

"ไม่รู้สิ" วินระวีพลิกตัวกลับเอื้อมมือข้ามหมอนข้างที่กั้นอยู่ตรงกลางมากุมมือหญิงสาวไว้ แม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนส่งข้อความเองกับมือ และคิดว่าเวรุตไม่มีวันบอกครอบครัวของลิลลี่ว่าเธออยู่กับเขา

"เมื่อไหร่คุณจะพาฉันกลับบ้าน คุณรู้แล้วนี่ว่าฉันมีค่ากับเวแค่ไหน" ลิลลี่ว่าด้วยเสียงสั่นเครือ เพราะถึงวินาทีนี้ ความหวังนั้นมอดมลายไปหมดแล้ว

"นี่อาจเป็นแผนเว ผมจะปล่อยลี่ไปก็ต่อเมื่อแน่ใจแล้วเท่านั้น"

"แต่นี่เป็นชีวิตของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์..."

วินระวีดึงหมอนข้างออกแล้วขยับให้หญิงสาวหันมาสบตาในความมืดสลัวมีเพียงแสงจันทร์จากภายนอก

"อย่าบังคับให้ผมหาความชอบธรรมให้ตัวเอง" ชายหนุ่มโน้มลงซุกไซ้ที่ซอกคอ แล้วอารมณ์อ่อนไหวของหญิงสาวก็เริ่มกระเจิดกระเจิง รู้ว่าไม่อาจต้านทานเขาได้

"ฉันจะอยู่.." ลิลลี่ตอบออกไป หวังว่าเขาจะเลิกสร้างความหวั่นไหวให้เธอเสียที

วินระวีขยับขึ้นสบตาหญิงสาวอีกครั้ง ทำให้ลิลลี่รู้ว่าเธอก็สร้างความปั่นป่วนให้เขาได้ไม่น้อย

"นอนได้หรือยัง" หญิงสาวถามกลบอาการเขิน ที่เขาเอาแต่จ้องหน้าเธออย่างนั้น และดูเหมือนเขาจะลังเลอยู่นานกว่าจะยอมทิ้งตัวลงนอน หากแต่ยังไม่วายโอบกอดเธอแนบชิดเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา และเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเพลงดังขึ้น ลิลลี่จึงคิดว่าอยู่อย่างนี้จะปลอดภัยกว่า






เวรุตนั่งดื่มกาแฟอยู่บนโต๊ะอาหาร เตรียมตัวออกไปทำงานในตอนเช้า แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า ในชุดเจ้าสาวซูฟ่องที่สวมเมื่อวาน ผมเผ่าหลุดลุ่ย ขอบตาเลอะด้วยมาสคาร่าและอายไลเนอร์เป็นวง

"ไม่ต้องมองขนาดนั้นก็ได้ ทำไมคุณไม่ปลุกฉัน จะได้กลับไปนอนที่บ้าน" หญิงสาวเดินมานั่งลงตรงหัวโต๊ะอีกด้าน

"ผมเห็นคุณหลับไปแล้วเลยไม่อยากปลุก" เวรุตว่าพลางดื่มกาแฟต่อ คิดขำๆ ว่าถ้าเป็นลิลลี่ คงไม่มีวันให้เขาเห็นเธอในสภาพนี้แน่

"ฉันเพลียจัดนี่นา ตั้งแต่ตีสี่ถึงเที่ยงคืน ขอกาแฟซักถ้วยได้ไหมคะ" โรสมองหน้าชายหนุ่ม เขาจึงจำต้องลุกไปจัดการให้เธอ

"ขอบคุณค่ะ ที่นี่ไม่มีคนรับใช้เหรอคะ" เวรุตวางกาแฟไว้ตรงหน้าแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม

"ผมไม่ชอบให้มีคนอื่นมาจุ้นจ่าน คุณแม่จะส่งคนมาทำความสะอาดบ้านกับเสื้อผ้าอาทิตย์ละสองครั้ง วันจันทร์กับพฤหัส"

"แล้วเรื่องอาหารการกินล่ะคะ" โรสถามเหมือนชวนคุย ไม่ได้คิดว่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเอง

"ทีแรกก็วางแผนไว้ว่าลี่จะรับหน้าที่นี้ทั้งหมด" เวรุตพูดหยั่งเชิง ยังไม่ได้บอกโรสว่าเธอจะต้องมารับหน้าที่นี้แทน

"ถ้าเป็นยัยลี่สบายอยู่แล้วค่ะ ถ้าเป็นฝีมือฉันล่ะก็สุนัขยังไม่รับประทาน" หญิงสาวยอมรับขำๆ หากแต่ว่าคนฟังมองหน้าเธอนิ่งคิดว่าโครงการนี้คงต้องพับไป

"ฉันพูดอะไรผิดคะ มองหน้าฉันทำไม" โรสถามออกไปตรงๆ ตามสไตล์

"คุณคงจะชอบชุดนี้มากสินะ ป่านนี้แล้วยังไม่ยอมถอด" เวรุตเปลี่ยนเรื่องไปดื้อๆ

"ถ้ามีมือหลังก็คงถอดได้ค่ะ คุณดูสิกระดุมเป็นแผงเลย จะติดอะไรกันนักกันหนา" หญิงสาวเอี้ยวหลังให้ดู

"งั้นเดี๋ยวผมช่วย"

"ดีค่ะ ขอยืมเสื้อผ้าด้วยนะคะ ฉันไม่มีติดมาซักชุด ไม่อยากกลับบ้านชุดนี้ค่ะ เดี๋ยวแม่จะหาว่าเห่อ"

"คุณแม่ให้คนเอาเสื้อผ้าคุณมาส่งตัังแต่เช้าแล้วล่ะ" เวรุตบอกกล่าวเสียงเรียบ

"เหรอคะ อยู่ไหนล่ะคะ" หญิงสาวนึกประหลาดใจ

"กระเป๋าวางอยู่โน่น เดี๋ยวผมช่วยยกขึ้นไป" เวรุตชี้ไปที่กระเป๋าเสื้อผ้ากลางห้องรับแขก

"นั่นมันอะไรกัน" โรสมองไปที่กระเป๋าใบใหญ่ แล้วถามสงสัย ไม่คิดว่าแม่จะให้คนขนมาหมดอย่างนี้

"ผมคุยกับคุณพ่อคุณแม่แล้ว ท่านอนุญาติให้คุณอยู่ที่นี่จนกว่าลี่จะกลับมา ไม่งั้นชาวบ้านคงเอาไปเล่าลือกันต่อว่าเราแยกกันอยู่ตั้งแต่หลังแต่งงาน"

"แต่นี่ไม่ได้อยู่ในข้อตกลง" โรสเริ่มสีหน้าไม่ดี เพราะเธอไม่คิดว่าจะทนอยู่กับคนแปลกหน้าอย่างเขาได้ แม้จะร่วมพิธีบ้าบอหลอกชาวบ้านกันมาแล้วก็ตาม

"นี่แหละข้อตกลง อย่าลืมว่าฝั่งคุณเป็นฝ่ายสร้างความเสียหายครั้งนี้" เวรุตว่าย้ำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความรับผิดชอบ

"คุณไม่อึดอัดบ้างหรือไง เราก็แค่คนแปลกหน้ากัน"

"ไม่เลยซักนิด"

"แต่ฉันอึดอัด โดยเฉพาะคนอย่างคุณ คิดอะไรก็ไม่พูด ฉันไม่ชอบเกมทายใจซะด้วย"

"ก็อย่าคิดทาย คุณมีอิสระทุกอย่าง แค่อย่าทำให้ผมเสื่อมเสีย เราจะออกงานด้วยกันบ้างเป็นครั้งคราว คุณจะกลับบ้านบ้างก็ได้ แต่ต้องกลับมานอนที่นี่" เวรุตออกคำสั่งราวกับเขาเป็นเจ้านายเธอทันที

โรสเคยคิดว่าชายหนุ่มดูไม่เลวร้ายอะไรกับมาดนิ่งๆ เขาดูเป็นคนสุภาพและมีมารยาทดี การร่วมงานแต่งเฉพาะกิจ เธอก็ยังยอมรับได้ เพราะคิดว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นเพียงข้ามวัน แต่ดูเขาตอนนี้สิ เธอต้องยอมรับว่าไม่รู้จักผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ

"ฉันเคยคิดว่ายัยลี่เป็นฝ่ายผิดที่ทิ้งงานแต่งไป แต่ตอนนี้เริ่มแน่ใจแล้วว่าน้องฉันคิดถูก"

"ถ้าเธอเข้าข้างลี่ ก็สมควรแล้วที่ต้องมาอยู่ตรงจุดนี้แทน" เวรุตตอกกลับ

"คุณอยากให้ฉันอยู่เองนะ แล้วอย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน ยกกระเป๋าตามขึ้นไปปลดกระดุมให้ฉัน แล้วรอฉันอาบน้ำด้วย ฉันจะออกไปเอ๊กเซอไซส์เพาเวอร์ที่ทำงานใหม่ซักหน่อย" โรสออกคำสั่งกลับทันควัน คิดว่าจะเล่นงานชายหนุ่มให้รู้สำนึกว่าแม้จะหน้าเหมือนลิลลี่แต่เธอร้ายกว่าหลายเท่า




เวรุตหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าตามหญิงสาวขึ้นไปบนห้อง แต่พอโรสจะเปิดประตูห้องที่นอนเมื่อคืนออก เขาก็เอ่ยทักขึ้นทันที

"เดี๋ยว เธอย้ายมานอนห้องนี้" เวรุตเดินตรงไปที่ประตูห้องติดกัน

"เหตุผล?" โรสแค่อยากจะยั่วโทสะเขา เธอไม่ใส่ใจอยู่แล้วว่าจะอยู่ห้องไหน

"ผมไม่ชินกับการนอนห้องอื่น"

"งั้นคุณก็ควรปรับตัวเสียใหม่ ถ้าไม่ให้ฉันอยู่ห้องนี้ ฉันจะไม่อยู่ที่นี่ ใครก็ห้ามฉันไม่ได้ แม้แต่พ่อกับแม่" หญิงสาวว่าชัดเจน ก่อนจะเดินผ่านประตูเข้าไป โดยไม่สนใจชายหนุ่ม

เวรุตถอนหายใจหัวเสีย ไม่คิดว่าเธอจะทำให้เขารำคาญใจได้มากขนาดนี้ แต่คำนวณดูแล้วก็ยังคุ้มที่จะทน ชายหนุ่มถือกระเป๋าตามเข้าไป

"ปลดกระดุมให้ฉัน แล้วออกไปรอข้างนอกก่อน" โรสว่าด้วยท่าทางบอสซี่สุดๆ

"ถ้าชาตินี้ผู้หญิงอย่างคุณต้องขึ้นคาน ผมจะไม่แปลกใจเลยซักนิด" เวรุตว่าเหน็บ ขณะช่วยปลดกระดุมเสื้อด้านหลัง

"เช่นกัน ถ้าชาตินี้ไม่ได้ผู้ชายอย่างคุณเป็นสามี ฉันคิดว่าคงไม่มีใครเสียดาย" หญิงสาวโต้คืนทันควัน

"งั้นเราก็คงเหมาะสมกันสินะ" เวรุตแกล้งว่าเสียงกระซิบ ไล้ปลายนิ้วไปบนแผ่นหลังเปลือยเปล่า และดึงจังหวะการปลดกระดุมให้ช้าลง หวังจะสร้างความอับอายให้อีกฝ่าย

"เลิกแอ๊บแมนซะทีเถอะ ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้คิดพิศวาสฉันหรือผู้หญิงคนไหนทั้งนั้นแหละ.. เฮ้อ.." โรสว่าอย่างรู้ทัน เพราะในใจเริ่มเชื่อสนิทว่าเขาคงเป็นพวกเก้งกวาง อีกอย่างสภาพเธอตอนนี้ต่อให้เป็นผู้ชายแท้ๆ เห็นแล้วก็คงหมดอารมณ์

"ผมจะไปรอข้างล่าง" เวรุตเสียหน้าที่หญิงสาวจับได้ ว่าเขาเสแสร้งและทำไปโดยไม่ได้มีอารมณ์พิศวาสใดๆ

"เชอะ!" โรสรีบเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ว่าถ้าให้รอนาน เขาต้องออกจากบ้านไปก่อนแน่





"ฉันคงจะอยู่ที่นี่ต่ออีกซักพัก" ลิลลี่บอกป้าแต้วและจันทร์แรม ขณะที่ทั้งสองช่วยเตรียมอาหารอยู่ในครัว

"น่าจะอยู่ตลอดไปเลยค่ะ คุณลี่กับคุณวินดูเหมาะสมกันดีนะคะ" ป้าแต้วว่า

ลิลลี่ไม่ตอบแต่นึกในใจว่า ใครๆ ก็บอกว่าเธอกับเวรุตเหมาะสมกันดี แล้วเป็นยังไงล่ะ วินระวีเองก็คงไม่ต่างกัน พวกเขาคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น หากเธอไม่เป็นประโยชน์สำหรับเขา เขาคงไม่มาใส่ใจเธอด้วยซ้ำ

"นั่นน่ะสิคะ ถ้าคุณลี่มาเป็นคุณผู้หญิงของไร่นี้ จันทร์แรมจะดีใจที่สุดเลยค่ะ เพราะคนอื่นๆ จันทร์แรมยังไม่ถูกชะตาใครซักคนเลยค่ะ" หญิงสาวออกความเห็น

"น้อยๆ หน่อยนังแรม คุณวินจะแต่งกับใครต้องมาขออนุญาติแกก่อนหรือไง" ป้าแต้วว่าให้ด้วยความหมั่นไส้

"เถียงกันเสร็จแล้ว ช่วยยกอาหารตามขึ้นมาด้วยนะจ๊ะ" ลิลลี่ว่ายิ้มๆ แล้วยกแจกันดอกไม้และผ้าปูนำไปก่อน



ขณะที่หญิงสาวกำลังปูผ้าและจัดแจกันให้เข้าที่ เพื่อเพิ่มบรรยากาศให้ดูมีสีสันมากขึ้น ตามสไตล์คนรักสวยรักงาม ก็มีเสียงเอ่ยทักขึ้นจากแขกแปลกหน้า

"นี่ พี่วินอยู่ไหม" เสียงค่อนข้างห้วนของหญิงสาววัยไล่เลี่ยกันดังขึ้นตรงหน้า

"เขาไปดูงานในไร่ สายๆ ถึงจะกลับ" ลิลลี่ตอบกลับไม่มีหางเสียง เพราะไม่ค่อยพอใจท่าทีไร้มารยาทของอีกฝ่าย

"แล้วเธอเป็นใคร มาอยู่นี่ได้ยังไง" หญิงสาวถามคาดคั้น เพราะไม่พอใจที่เห็นอีกฝ่ายสวยกว่า และได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ทั้งที่เธอรู้จักชายหนุ่มมานาน เขาไม่เคยให้เข้ามาจุ้นจ่านในนี้เลยซักครั้ง

ลิลลี่มองหน้าฝ่ายตรงข้าม ไม่คิดว่าตนเองจำเป็นต้องตอบคำถาม เพราะหล่อนเป็นใครเธอก็ยังไม่รู้ และไม่คิดอยากจะรู้ด้วย จึงทำงานของตัวเองต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ

"นี่!! ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง!" หญิงสาวเริ่มเต้นแร้งเต้นกาด้วยความขัดใจ

ลิลลี่ยังเฉย หากแต่คิดไว้แล้วว่าถ้าอีกฝ่ายบุกเข้ามา แจกันใกล้มือคงได้ทำหน้าที่อื่นแทนการตั้งโชว์

"คิดจะลองดีกับฉันใช่ไหม!?" หญิงสาวเดินรี่เข้าหาคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ

"หยุดนะ! ชบา"

เสียงกรรมการหนุ่มดังขึ้นห้ามทัพไว้ก่อน ทั้งที่ลิลลี่ก็เตรียมพร้อมแล้วเหมือนกัน

"เออ พี่วิน" ชบาเปลี่ยนสีหน้าไปทันที

"เธอจะทำอะไร" ชายหนุ่มถามเสียงเอาเรื่อง

"ชบาก็แค่อยากรู้ว่าแม่คนนี้เป็นใคร" หญิงสาวว่าเสียงเอาแต่ใจ

"เรื่องแค่นี้ต้องลงไม้ลงมือกันด้วยเหรอ" วินระวีมองหน้าทั้งสองฝ่าย หากแต่ลิลลี่ทำเหมือนไม่ใช่ธุระของตน หญิงสาวตั้งท่าจะลุกออกจากวงสนทนา

"เดี๋ยวลี่" ชายหนุ่มคว้าแขนไว้

"ฉันไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย คุณไปเคลียร์กันเองเถอะ"

"ได้ไงล่ะ" วินระวีโอบไหล่หญิงสาวเข้ามาแนบชิด

"นี่ชบา ลูกสาวกำนันจักร ส่วนนี่ลิลลี่ ลูกสาว..."

"พ่อลี่ชื่ออะไร" ชายหนุ่มกระซิบถามที่ข้างหู

"บ้า" ลิลลี่ทุบอกเขาแล้วยิ้มขำ

"เอาเป็นว่ารู้จักกันแล้วนะ" วินระวียิ้มตอบลิลลี่แล้วหันไปบอกชบา

"พ่อให้มาเชิญพี่ไปทานข้าวที่บ้านเย็นนี้ คนเดียว" ชบาว่าธุระของตนขึ้นมากระทันหัน

"ได้ ฝากบอกพ่อด้วยว่าพี่จะไป หมดธุระแล้วใช่ไหม" ชายหนุ่มว่าอย่างไม่เกรงใจ เพราะรู้จักกันมานาน และตัวเขาเองก็นับถือกำนันอยู่ไม่น้อย ส่วนชบาเขาก็เอ็นดูเหมือนน้องสาว แม้นิสัยจะเฮี้ยวและเอาแต่ใจไปมาก



หลังจากที่ชบาจากไปแล้ว วินระวีและลิลลี่ก็นั่งทานข้าวด้วยกันตามปกติ

"มีอะไรหรือเปล่าลี่ หน้าตาดูไม่ค่อยสบายใจ" ชายหนุ่มสังเกตสีหน้ากังวลของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

"เย็นนี้ฉันจะอยู่คนเดียวได้ยังไง ป้าแต้วกับจันทร์แรมก็ไม่อยู่" ลิลลี่สารภาพ พอไม่มีใครเป็นเพื่อน บ้านหลังนี้ก็ดูน่ากลัวใช่ย่อย

"งั้นไปทานข้าวบ้านกำนันด้วยกันนะ" วินระวีเอ่ยชวน เพราะคิดว่าผู้ใหญ่อย่างกำนันต้องไม่ขัดข้องอยู่แล้ว

"เรื่องอะไรล่ะ เขาไม่ได้เชิญฉันซักหน่อย" ลิลลี่ว่าหน้างอ

"แล้วจะเอายังไงล่ะครับผม" ชายหนุ่มเอาใจไม่ถูก

"ให้ป้าแต้วกับจันทร์แรมนอนค้างที่นี่ได้ไหมคะ หรืออย่างน้อยก็จนกว่าคุณจะกลับมา"

"ลี่ถามความสมัครใจสองคนนั้นเองละกัน"

"ค่ะ" ลิลลี่ยิ้มออก เพราะคิดว่าทั้งสองต้องไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว






เวรุตและโรสนั่งมาในรถโดยไม่มีการสนทนาใดๆ แต่พอถึงที่หมาย หญิงสาวก็เริ่มมีปฏิกิริยาทันที โดยการควงแขนเขาแนบชิด ทำราวกับรักกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ทำให้กลายเป็นจุดสนใจของพนักงานทั้งบริษัท ขณะที่ทั้งสองผ่านขึ้นไปถึงยอดตึกซึ่งเป็นที่ทำงานของชายหนุ่ม

"เธอนี่น่าจะเรียนเป็นนักแสดงมากกว่ามัณฑนากรนะ" ชายหนุ่มว่าประชด เพราะหญิงสาวผละออกห่างทันทีเมื่อทั้งสองอยู่กันตามลำพัง ทำราวกับเขาเป็นโรคติดต่อ

"ความจริงฉันก็มีพรสวรรค์หลายอย่างนะ รับรองว่ามีฉันไว้ คุณไม่ขาดทุนแน่" โรสประชดกลับเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคำนวณทุกอย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้า

"แล้วไง เธอตั้งใจจะมาที่นี่ เพื่อโชว์ออฟ แค่นี้ใช่ไหม"

"นี่แค่น้ำจิ้มค่ะ ที่รัก" หญิงสาวทำเสียงหวานหว่านเสน่ห์ แต่คิดว่าเวรุตคงไม่สะดุ้งสะเทือนหรอก เพราะเขาคงไม่มีแรงดึงดูดกับเพศตรงข้าม

"เลขาหน้าห้องคุณชื่ออะไรคะ"

"เธอจะรู้ไปทำไม"

"ถ้าไม่บอก ฉันจะเรียกมั่วให้เขาสงสัยเล่นดีไหมน้า"

"ไอวี่"

"ชื่อเพราะซะด้วย"

โรสเดินตรงไปที่ประตู แล้วเปิดออกไป เวรุตมองตามแล้วส่ายหน้า เริ่มไม่แน่ใจว่าการมีหญิงสาวไว้จะคุ้มกับความเสียหายที่จะตามมาหรือไม่



"ไอวี่จ๊ะ" หญิงสาวส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

"ค่ะ คุณลี่ มีอะไรให้ไอวี่รับใช้คะ" เลขาสาวถามอย่างรู้งาน

"ช่วยตามแผนกตกแต่งภายในให้ฉันด่วนเลยนะจ๊ะ" โรสว่าแล้วเดินสำรวจไปยังห้องข้างๆ พบว่าเป็นพื้นที่ว่างเปล่า หญิงสาวยิ้มพอใจ เพราะพื้นที่กว้างขวางดีทีเดียว


"ฉันขอใช้พื้นที่สองห้องที่เหลือนะคะ" โรสกลับมารายงาน

"เธอจะใช้ทำไมตั้งสองห้อง ตัวก็แค่นี้" เวรุตพิงพนักถามสงสัย

"เป็นห้องทำงานกับห้องนอนไงคะ" หญิงสาวว่าหน้าตาเฉย

"ห้องนอน!! นี่มันที่ทำงานนะ"

"ไม่เห็นแปลก คนเราทำงานเหนื่อยแล้วก็ต้องพักผ่อน"

"ผมไม่อนุญาติ"

"คิดให้ดีนะคะ ให้คนลือว่าเอาเตียงมาไว้ที่ทำงาน ก็ยังดีกว่าลือว่าเตียงหัก จริงไหม" หญิงสาวแกล้งว่าขู่กรายๆ ขณะที่มือก็เริ่มร่างแบบห้องทั้งสองไปด้วย

"ตามใจ อยากทำอะไรก็เชิญ" และเป็นอีกครั้งที่โรสต้อนจนเขาจนมุม และต้องยอมตามที่เธอต้องการ

"เสร็จพอดีค่ะ" หญิงสาวดึงแบบร่างออกแล้วกลับออกไปนอกห้องอีกครั้ง เพื่ออธิบายรายละเอียดงานทั้งหมดให้แผนกตกแต่งภายในและช่างฟัง หลังจากที่เวรุตเปิดไฟเขียวให้แล้ว

"เริ่มงานได้ทันทีเลยนะ คุณเวต้องการให้เสร็จเร็วที่สุด" หญิงสาวแอบอ้างชื่อชายหนุ่ม และนั่นทำให้ทุกคนกระตือรือร้นที่จะทำงานให้เธออย่างเต็มที่


โรสนั่งค้นหาแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการผ่านคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของชายหนุ่ม จนกระทั่งเที่ยงวัน จึงลุกไปยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานอีกครั้ง

"อะไรอีกล่ะ" เวรุตเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวแล้วถอนหายใจ

"ฉันหิวแล้ว พาไปหาอะไรอร่อยๆ ทานหน่อยสิคะ"

"นี่มันเพิ่งเที่ยง ปกติผมทานตอนบ่ายสอง" ชายหนุ่มว่ายังห่วงงานที่ทำอยู่ตรงหน้า

"ก็ได้ แต่คนอื่นจะคิดอย่างไงน้า ถ้าคุณปล่อยให้ภรรยาสุดที่รักไปทานข้าวกลางวันคนเดียวในช่วงข้าวใหม่ปลามันแบบนี้" โรสลอยหน้าว่า

"เขาคงไม่คิดอะไรหรอกเนอะ ฉันคงคิดมากไปเอง" หญิงสาวพูดเองเออเอง แล้วคว้ากระเป๋าถือเดินไปที่ประตู

"เดี๋ยว" ชายหนุ่มตัดใจโยนปากกาลงบนโต๊ะ แล้วลุกตามไป

"ไม่คิดเลย ฉันจะมีสามีน่ารักขนาดนี้" โรสว่าเหน็บแล้วควงแขนเขา ก่อนออกจากห้องไปด้วยกัน


















 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 7:06:53 น.
Counter : 614 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

Kim-Ha
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จิ้นกระจาย ^^


Smileymissmynovel@gmail.com






Friends' blogs
[Add Kim-Ha's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.