Group Blog
 
All blogs
 

Love-Love ตอนที่ 1





"พี่ก็รู้ว่าผมรักที่แปลงนี้มาก ครอบครัวเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แล้วทำไมต้องขายมันด้วย" ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้ม รูปร่างแข็งแรง ด้วยผิวสีแทนจากการทำงานในไร่มาแรมปี มองหน้าพี่ชายด้วยแววตาดุเดือด

วินระวีเดินทางมาหลายร้อยกิโลเมตรเพื่อเค้นความจริง หลังทราบข่าวร้ายนี้ทางโทรศัพท์ ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายสก๊อตริ้วน้ำเงินสลับขาว การเกงยีนส์ และรองเท้าบู๊ท สรีระเต็มไปด้วยมัดกล้ามบึกบึน สีผิวเกรียมแดด และอารมณ์คุกรุ่นในตอนนี้ ทำให้ออฟฟิสเย็นเฉียบบนตึกระฟ้าใจกลางเมืองหลวงซึ่งเป็นที่ทำงานของพี่ชายฝาแฝด ร้อนระอุขึ้นทันตา

เวรุตในชุดสูทสีเงินเรียบหรู หน้าตารูปร่างละม้ายคล้ายน้องชาย หากแต่นิสัย บุคลิกและผิวพรรณแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มดูนิ่งเก็บอารมณ์ได้ดีตลอดเวลา ยากจะคาดเดาว่าเขาคิดคำนวณอะไรอยู่ ภายนอกดูเย็นชาจนบางครั้งเหมือนไร้หัวใจ ทุกการตัดสินใจของชายหนุ่มจะออกมาในรูปแบบของตัวเลข ใช้เป็นเหตุผลสนับสนุนการกระทำ

ส่วนวินระวีนั้นเปิดเผยทุกอย่างที่ใจคิด เป็นคนมุทะลุ เอาแต่ใจ ดื้อรั้น มักจะไม่ยอมรับเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้นถ้ามันค้านกับความรู้สึก เขาจึงไม่ยอมปิดกั้นตัวเองอยู่กับธุรกิจครอบครัว หากแต่ออกไปทำสิ่งที่ใจรัก แม้จะไม่มีใครสนับสนุนเลยก็ตาม

"เพราะสิ่งที่แกกำลังทำ มันไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้อะไรเลย เมื่อเทียบกับเงินมหาศาลจากการขายมันไป" เวรุตตอบกลับวินระวีด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางเดือดดาลของน้องชายที่ต้องการปกป้องสิ่งที่ตนสร้างมากับมือ คุณค่าทางใจที่ทุ่มเทลงไปนั้นประเมินค่าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่คนอย่างเวรุตหรือจะเข้าใจเรื่องแบบนี้

"เมื่อไหร่พี่จะเลิกตีราคาทุกอย่างเป็นตัวเงินเสียที ที่เรามีอยู่มันก็มากเกินความจำเป็นอยู่แล้ว"

"อย่าลืมว่าที่แกกินใช้สบายอยู่ทุกวันนี้ ก็มาจากธุรกิจที่พี่ทำ ยังมีที่อีกตั้งหลายแปลง แกก็เลือกเอาใหม่สักแปลงสิ"

"พี่พูดง่ายดีนี่ เพราะพี่มัวแต่นั่งดีดลูกคิดในออฟฟิส พี่จะไปเข้าใจอะไร ว่าผมทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายแรงใจกับมันไปขนาดไหน"

"แล้วแกเข้าใจงานของฉันแค่ไหน ถ้ามัวแต่ดีดลูกคิดอย่างที่แกว่า ฉันคงต้องไปนั่งกินแกลบที่แกปลูกไว้เป็นร้อยๆ ไร่นั่นแล้ว"

ทั้งสองหนุ่มจ้องตากันไม่ลดละ คิดว่าคงพูดกันไม่รู้เรื่องแน่ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน วินระวีดูจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบในชั่วโมงนี้ และต้องหาผู้ช่วย

"ผมจะขอเบิกมรดกล่วงหน้าจากพ่อ พี่ไม่มีสิทธิ์แตะต้องที่ดินผืนนี้"

"ฉันคุยกับพ่อเรียบร้อยแล้ว แกไม่ต้องเสียเวลาหรอก"

ดูเหมือนเวรุตจะปิดทางนั้นเรียบร้อยไปแล้ว แต่มีหรือคนอย่างวินระวีจะยอมแพ้ เขาต้องหาข้อต่อรองที่ทำให้พี่ชายไม่อาจปฏิเสธให้ได้

"เรื่องนี้จะไม่จบแค่นี้แน่ ถ้าพี่ยังคิดจะขายที่ของผมจริงๆ เราจะได้เห็นดีกัน"

"ฉันคอยดูมาตลอดอยู่แล้ว ว่าแกมีดีอะไรจะอวดให้ฉันเห็น" เวรุตยักไหล่

"ฝากไว้ก่อนเถอะ" วินระวีชี้หน้าพี่ชาย มองด้วยสายตาขุ่นเคืองเอาจริง แล้วเดินตรงไปที่ประตู



"โอ้ย!" เสียงอุทานของหญิงสาวซึ่งอยู่อีกฝั่งของประตูดังขึ้น เมื่อร่างถลาเข้าปะทะอกชายหนุ่ม ซึ่งดึงประตูห้องเปิดอย่างแรงในจังหวะเดียวกัน

"ขอโทษ" วินระวีว่าเสียงห้วนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ก่อนจะก้มมองคนที่อยู่ในอ้อมแขน ใบหน้าขาวนวลงดงาม และดวงตากลมโตมองสบตาชายหนุ่ม ทำให้เขาลืมความรู้สึกขุ่นมัวเมื่อครู่ไปชั่วขณะ

"ไม่เป็นไรค่ะ" ลิลลี่รีบขยับตัวออก รู้สึกประหม่ากับสายตาเปิดเผยของอีกฝ่ายอยู่พอประมาณ แต่แล้วชายหนุ่มก็ผละออกไปไม่พูดไม่จา



"ขอโทษค่ะ ลี่ไม่รู้ว่าคุณมีแขก" หญิงสาวหน้าตาสวยปนน่ารัก รูปร่างกระทัดรัดเมื่อเทียบกับส่วนสูงไซส์ตะวันตกของชายหนุ่มทั้งสอง ก้าวไปหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงาน

"นั่นวินระวี น้องชายผมเอง" เวรุตว่าไม่ใส่ใจ

"คุณคงงานยุ่งมากสินะคะ" ลิลลี่ว่าด้วยน้ำเสียงที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นมอง

"คบกันมาตั้งเกือบปี คุณยังไม่มีเวลาแนะนำน้องชายให้ลี่รู้จักเลยค่ะ"

"เจ้าวิน มันมัวแต่มุดหัวอยู่ในไร่ จนบางทีผมก็ลืมไปเหมือนกันว่าตัวเองมีน้องชาย" เวรุตโยนความผิดให้วินระวีซะงั้น

"แล้ว...คุณลืมงานแต่งของเราด้วยหรือเปล่าคะเว"

"ผมให้เลขาจดบันทึกไว้แล้วล่ะ" ชายหนุ่มแกล้งกระเซ้า

"ลี่คิดถูกไหมคะเนี่ย ที่จะร่วมหอลงโลงกับคนบ้างานอย่างคุณ"

"คำนวณดูแล้ว คุณจะได้กำไรนิดหน่อย"

"ยังไงคะ" ลิลลี่ถามสงสัย

"เพราะคุณจะมีเวลาส่วนตัวมากกว่าผูุ้หญิงทั่วๆ ไปถึงร้อยละห้าสิบ"

"นั่นหมายความว่า งานจะแย่งเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันไปร้อยละห้าสิบด้วยหรือเปล่าคะ"

เวรุตยิ้มกว้างแทนคำตอบ

"ลี่นั่งรอก่อนนะ ผมยังมีงานค้างอยู่"

"ลี่ชินแล้วค่ะ ที่ต้องทานอาหารกลางวันตอนบ่ายสอง"

ชายหนุ่มไม่ตอบแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ลิลลี่เดินไปนั่งลงตรงโซฟาอย่างรู้หน้าที่ ว่าต้องไม่รบกวนจนกว่าเขาจะทำงานจนพอใจ หรือเมื่อท้องเขาเริ่มประท้วงถึงจะยอมลุกออกจากเก้าอี้

ทั้งสองคบกันมาเกือบปี ด้วยความสัมพันธ์แบบเรื่อยๆ ไม่มีอะไรหวือหวา เจอกันตามงานเลี้ยงสังสรรเสียมากกว่านัดเดทกันด้วยซ้ำเพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ทั้งผู้ใหญ่ก็เห็นว่าทั้งคู่เหมาะสมกันดี ทุกอย่างจึงดูลงตัวไปหมด

ลิลลี่่คอยย้ำกับตัวเองเสมอว่าเวรุตบ้างาน ก็ยังดีกว่าบ้าอย่างอื่นในทางเสียหายเป็นไหนๆ ผู้ชายที่เป็นผู้นำครอบครัวก็ต้องมีคุณลักษณะเช่นนี้ แม้บางครั้งจะอดสงสัยไม่ได้ว่า ระหว่างตนและหนุ่มบ้างานคนนี้ มีคำว่า 'รัก' ซ่อนอยู่ส่วนใดในความสัมพันธ์ที่ดำเนินอยูู่นี้หรือไม่ เพราะเขาไม่เคยล่วงเกินเธอเลย จนบางทีแอบนึกสงสัยด้วยความละอายว่าเขาอาจเป็นเกย์ก็ได้




เสียงเครื่องยนต์รถสปอร์ตสีดำขลับเบรคเอี๊ยดดดดังสนั่นอยู่หน้าประตูบ้าน ชายหนุ่มก้าวลงจากรถ แล้วโยนกุญแจให้คนงานซึ่งรับไว้ได้อย่างรู้หน้าที่ ก่อนเดินเข้าบ้านไปด้วยอารมณ์ค้างมาจากออฟฟิสของพี่ชาย

"ถ้าไม่มีเรื่องขายที่ แกคงไม่คิดจะโผล่มาให้พ่อแม่เห็นหน้าเลยใช่ไหม" อดุลย์ชายวัยจวนหกสิบเอ่ยทักลูกชาย

"ดูหน้าพี่เวก็เหมือนกันแหละ พ่อทำมาบล็อกเดียวกันนี่ แม่ไม่อยู่เหรอครับ" วินระวีเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พ่อบนโซฟายาวกลางห้องรับแขก

"ก็ออกไปสังสรรกับเพื่อนๆ ตามประสาเขานั่นแหละ"

"พ่อเห็นด้วยกับพี่เวใช่ไหม เรื่องขายที่" วินระวีถามย้ำความตั้งใจของบิดา

"อืม คุยรายละเอียดกันเรียบร้อยแล้ว พ่อก็เห็นด้วยเพราะมันจะทำเงินมหาศาลให้เราเลยล่ะ"

"ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะไม่เคยมีใครเห็นด้วยกับผมอยู่แล้ว"

"อย่าให้ถึงขั้นแตกหักกันเลยนะ ยังไงก็เป็นพี่น้องกัน เวหาที่แปลงใหม่ไว้ให้แล้วล่ะ"

"ว่างๆ พ่อพาแม่ไปอยู่กับผมที่โน่นบ้างนะครับ แล้วพ่อจะรู้ว่าไม่น่าขายมันเลยจริงๆ"

"ถ้าไม่ไปตามที่แกขอ แกคงคิดว่าพ่อลำเอียง แต่ยังไงก็ต้องรอให้ผ่านงานแต่งพี่แกก่อน หลังจากนั้นพ่อคงหมดธุระไปเปลาะหนึ่ง"

"เวจะแต่งงานหรือครับ!" ชายหนุ่มว่าเสียงเซอร์ไพรส์สุดๆ เพราะไม่เคยทราบข่าวมาก่อน

"อืม วันที่ 5 เดือนหน้านี้แล้ว แกคงว่างมางานพี่เขานะ"

"ผมไม่พลาดอยู่แล้ว" วินระวียิ้มขบริมฝีปาก นึกแผนการดีๆ ขึ้นมาได้ ณ บัดนั้น

"ว่าแต่เจ้าสาวเป็นใครครับ"

"ลูกสาวคุณกิตติ บ้านนี้เขามีลูกสาวสองคน ถ้าแกได้ลงเอยกับอีกคนก็ดี ต่อไปเรือล่มในหนอง ทองก็เป็นของเราหมด"

ใครจะไปสนอีกคน วินระวีนึกในใจ คนที่จะแต่งกับเวต่างหากที่เขาสนใจ งานนี้คงได้แก้เผ็ดพี่ชายให้สาแก่ใจ นึกพลางอยากจะเห็นใบหน้าที่มักจะวางเฉย ว่าจะเฉยได้สักกี่น้ำ คงจะเหมือนปลาโดนน้ำร้อนลวก ดี! จะได้รู้เสียทีว่าการเสียของรักไป รสชาติมันเป็นอย่างไร

"แกยิ้มอะไร ฟังที่พ่อพูดหรือเปล่า" คุณอดุลย์เอ่ยทัก

"เออ..เปล่าครับ กำลังคิดว่าใครหนอ เป็นหญิงอับโชคคนนั้น" วินระวีว่าเสียดสี

"แกนี่ปากเสียจริงๆ ถ้าอยากรู้ก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน"

"งั้นคืนนี้ ผมค้างที่นี่นะครับ"




เวรุตพาลิลลี่มาทานอาหารเย็นที่บ้าน เพื่อทำความรู้จักกับสมาชิกคนสุดท้ายของครอบครัว ก่อนจะเป็นทองแผ่นเดียวกันในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า

"ที่จริงคืนนี้ผมมีงานเลี้ยงต่อ แต่ถ้าไม่กลับมาทานข้าวบ้านก่อน ลี่คงไม่มีโอกาสได้รู้จักคุณชายตัวจริงของบ้านก่อนงานแต่ง" เวรุตว่าเหน็บน้องชาย ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม จนลิลลี่ต้องรีบเอื้อมมือไปสะกิดแฟนหนุ่มว่าพูดแรงไปหรือเปล่า

"งั้นทานเสร็จก็เชิญพี่ตามสบายเถอะ ผมอาสาไปส่งคุณลี่เอง ดีไหม" วินระวีเสนอตัวประชดประชัน

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลี่กลับแท็กซี่เองก็ได้ ไม่ต้องลำบากหรอกนะคะ" หญิงสาวรีบออกตัว เพราะดูแล้วคนเสนอตัวก็ไม่ได้เต็มใจสักเท่าไร

"ทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะหนูลี่ ให้วินไปส่งหนูน่ะดีแล้ว อีกหน่อยก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ่ะ" รัศมี มารดาของหนุ่มทั้งสองเอ่ยขึ้น ขณะนั่งฟังคำสนทนาอยู่ข้างลูกชายคนเล็ก

"รู้จักทำตัวให้มีประโยชน์บ้างก็ดี" เวรุตว่าหน้าตาเฉย ทำให้คนข้างๆ อดน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ เขาเป็นคนพาเธอมาเอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะเป็นภาระสำหรับเขาเสียแล้ว

"ก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ" ลิลลี่หันไปบอกรัศมีและวินระวีเพื่อตัดบท

วินระวีแอบยิ้มที่มุมปาก เพราะรู้จักเวรุตดีว่าเขาจะไม่เสียเวลากับ 'ของตาย' ที่อยู่ในมือ เพราะคำนวณดูแล้วคงไม่คุ้มค่า ถ้าจะเสียเวลาไปส่งลิลลี่ สู้เอาไปทำมาหากินในงานเลี้ยงไม่ได้




หญิงสาวนั่งมาในรถสปอร์ตเย็นยะเยือก ช่วงหัวค่ำในเมืองหลวง ระยะทางเพียงไม่กีกิโลเมตรคงต้องใช้เวลากว่าชั่วโมง หนำซ้ำฝนก็ยังมาตกหนักอีก ทำให้การจราจรคับคั่งติดขัดไปกันใหญ่ สายฝนดูราวจะปิดกั้นคนทั้งสองจากโลกภายนอก เพราะไม่ว่าจะมองไปด้านไหนก็ดูเลือนลางไปหมด

"หนาวไหม" วินระวีไม่รอคำตอบ เพราะดูจากท่าทางอีกฝ่ายก็รู้ เขาขยับถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออก เหลือไว้เพียงเสื้อยืดสีขาวตัวใน คลุมให้ก่อนหญิงสาวจะทันปฏิเสธ

"เออ ขอบคุณค่ะ" ลิลลี่จำต้องรับไว้ หญิงสาวก้มมองเสื้อตัวใหญ่ยักษ์บนร่าง แล้วเหลือบมองมัดกล้ามชายหนุ่มด้วยความชื่นชม แต่แล้วก็ต้องรีบเมินหน้าไปทางอื่น เมื่อเห็นเขาหันมามองหน้าเธอ

วินระวีแอบยิ้มเยาะที่มุมปาก นึกเวทนาหญิงสาวที่จับพลัดจับผลูจะมาตกล่องปล่องชิ้นกับพี่ชายตน แต่ก็คงสมกันดี คนบ้างานกับคนจืดชืดมาเจอกัน ชีวิตคงแห้งเหี่ยวหัวโตกันน่าดู

"คุณคบกับเวมานานแล้วเหรอ" ชายหนุ่มชวนคุย

"ก็เกือบปีแล้วค่ะ" หญิงสาวตอบไม่มองหน้า

"เวเคยจูบคุณบ้างไหม" วินระวีถามราวกับเป็นการไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันธรรมดา

"คุณไม่มีอะไรจะถามแล้วหรือไง" ลิลลี่แสดงความพอใจออกมาทางน้ำเสียง รู้สึกว่าชายหนุ่มไร้มารยาทสิ้นดี ถึงจะเป็นน้องชายคนรักก็เถอะ

วินระวีคิดว่าตนเองคงเดาสถานการณ์ถูกทางแล้ว เขาจึงรุกต่อทันที เพื่อจะไซโครลิลลี่เป็นสเต็ปแรก ก่อนจะดำเนินการตามแผนขั้นต่อไป

"ผมหวังดีหรอกนะ ผมรู้จักพี่ชายตัวเองดี ถ้าคุณเป็นแฟนผม ผมคงทำมากกว่านั้นไปแล้ว ผู้ชายนะครับ ไม่ใช่พระอิฐพระปูน คุณเองก็...สวยน่ารักขนาดนี้"

"คุณต้องการจะพูดอะไรกันแน่ อย่าใช้มาตรฐานตัวเองมาตัดสินดีกว่านะ เวเขาเป็นสุภาพบุรุษต่างหาก" ลิลลี่เริ่มเปลี่ยนเป็นนางแมวป่าขึ้นมาทันที

"สุภาพบุรุษหรือพวกเก้งกวางบางทีก็แยกยากนะคุณ เส้นแบ่งมันก็แค่ ศูนย์จุดศูนย์ห้ามิลลิเมตร"

"ฉันจะถามเว" หญิงสาวเริ่มลังเล เพราะในใจลึกๆ ก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน

"คุณทำเหมือนไม่รู้จักพี่ชายผมอีกแล้วนะ ถ้าคุณถามเขาตรงๆ ภาพพจน์กุลสตรีของคุณในสายตาเขา จะดร็อปจากร้อยเปอร์เซ็นต์ เหลือซัก... หกสิบเป็นไง เขาคงคิดว่าที่คุณพูดน่ะ เพราะอยากให้เขาทำอะไรคุณ"

"ที่คุณเริ่มเรื่องนี้ขึ้นมา ตั้งใจจะให้ฉันล้มเลิกการแต่งงานหรือว่าอะไรกันแน่ บอกจุดประสงค์ของคุณมาเลยดีกว่า" ลิลลี่ไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป

"นั่นเป็นทางออกสุดท้ายต่างหาก ถ้าคุณอยากจะพิสูจน์เรื่องนี้ก็ไม่ยาก" วินระวีเริ่มเติมฟืนในเชื้อไฟแห่งความสงสัยและลังเลของอีกฝ่าย

"พิสูจน์ยังไง"

"ตอนนี้คงยังไม่เหมาะ เดี๋ยวถึงหน้าบ้านคุณแล้วผมจะบอก" ชายหนุ่มยิ้มอมพะนำ ส่วนหญิงสาวมองค้อนด้วยแววตาขุ่นเคือง

ทั้งสองนั่งมาเงียบกริบอีกพักใหญ่ กระทั่งรถแล่นมาจอดที่หน้ารั้วสูงทึบ ชายหนุ่มดับไฟหน้ารถลง ลิลลี่มองการกระทำของเขาด้วยความสงสัย ว่าทำไมไม่ขับเข้าบ้าน เพราะฝนก็ตกหนักออกอย่างนี้

"จะบอกหรือยัง" ลิลลี่ทวงคำพูดของชายหนุ่ม

"อย่าใจร้อนสิครับคุณผู้หญิง" วินระวีเปิดประตูรถออก แล้วเดินอ้อมฝ่าสายฝนมาเปิดประตูให้หญิงสาว

"จะทำอะไร เปียกหมดแล้วเห็นไหม"

"ออกมาเถอะน่า" วินระวีฉุดข้อมือหญิงสาว จนต้องยอมลงจากรถ เขาปิดประตูแล้วขยับเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ขึ้นคลุมศีรษะลิลลี่ เบียดร่างหญิงสาวจนแผ่นหลังแนบไปกับส่วนสูงของตัวรถ

"ฉันจะจูบเธอ" ชายหนุ่มบอกความตั้งใจชัดเจน วางมือทั้งสองข้างไว้บนหลังคารถคร่อมร่างบางไม่ให้หลบหนี

"ปล่อยฉันนะ" ลิลลี่เบิกตากว้างด้วยความตื่นกลัว แม้ใบหน้าเขาจะเหมือนหนุ่มคนรัก แต่เขาก็ไม่ใช่อยู่ดี

"ถ้าเวรุุตไม่จูบเธอแบบนี้ เขาก็ไม่ใช่ผู้ชาย" ชายหนุ่มโน้มลงบังคับจูบริมฝีปากหญิงสาวได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่ได้ออกแรงต่อต้านเต็มกำลัง

วินระวีเคลื่อนไหวริมฝีปากล้ำลึก ดื่มด่ำไปกับความอบอุ่นภายใน ท่ามกลางสายฝนฉ่ำเย็นสัมผัสผิวกาย ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาพึงใจในตัวลิลลี่ตั้งแต่แรกเห็น แต่กลับบอกตัวเองว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแก้แค้นพี่ชาย

ลิลลี่ใจสั่นไหวเต้นรัวไปกับความแนบชิดซึ่งไม่เคยมีชายใดได้เข้าใกล้เธอขนาดนี้ แม้แต่เวรุต หญิงสาวหยุดต่อสู้ไปชั่วขณะ พอใจกับสัมผัสรุกล้ำ อ่อนหวานนั้น แต่แล้วความละอายก็พุ่งปี้ดขึ้นมาในหัว แรงต้านจึงมารวมกันที่ฝ่ามือ แล้วผลักอกชายหนุ่มออกห่างในทันที

"เพี้ยะ!!" หญิงสาวตบหน้าเขาอย่างแรง และผลตอบแทนคือถูกกระชากร่างเข้ามาจูบหนักหน่วงอีกครั้ง

"ถ้าเธอตบฉันอีก รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น" ชายหนุ่มเตือนชิดริมฝีปาก แล้วคลายอ้อมแขนออก

"ฉันไม่ตบก็ได้!" ลิลลี่ใช้กำปั้นซัดเข้าที่ท้องเขาอย่างแรง ทำเอาชายหนุ่มจุกเล็กน้อย

"เก่งนักใช่ไหม" วินระวีดึงหญิงสาวเข้าไปกอดรุนแรง ตั้งใจจะรัดให้หายใจไม่ออกเลยทีเดียว

"ไอ้คนบ้า ปล่อยฉันนะ!!" ลิลลี่ทุบไหล่เขา ดิ้นรนเตะขาอีกฝ่ายพัลวัน เพราะเขาอุ้มกอดเธอจนตัวลอย



"อ้าว มาทำอะไรกันตรงนี้คะ คุณเว คุณหนู" เสียงแม่บ้านเปิดประตูรั้วบานเล็กถือร่มออกมา เห็นทั้งสองกำลังกอดปล้ำกันอยู่ในความมืดสลัว

ทั้งสองหยุดต่อสู้กันชั่วขณะ หันไปมองคนที่เข้ามาขัดจังหวะ

"คนรักกัน ก็อย่างนี้แหละป้า" วินระวีสวมรอยว่าออกไป เพราะคิดว่าหญิงสูงวัยคงไม่รู้ว่าแท้จริงตนเป็นใคร

"ป้าช่วย.." ลิลลี่ตั้งท่าจะร้องขอความช่วยเหลือ

"หยุดนะ ถ้าไม่อยากจะฉีกหน้าตัวเอง" วินระวีว่าขู่เสียงเบา

"เข้าบ้านเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบาย" ป้าสมใจว่าด้วยเสียงห่วงใย

"งั้นผมไปล่ะนะ ที่รัก" วินระวีกดจมูกลงบนแก้มนวลอย่างแรง แล้วจึงคลายอ้อมแขนออก

"รีบไปให้พ้นเลยไป" ลิลลี่กระซิบมองด้วยสายตาอาฆาต หากแต่ชายหนุ่มกลับยิ้มหวานเดินไปขึ้นรถ



















 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 25 กรกฎาคม 2555 20:38:31 น.
Counter : 891 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

Kim-Ha
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จิ้นกระจาย ^^


Smileymissmynovel@gmail.com






Friends' blogs
[Add Kim-Ha's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.