Group Blog
อริ...ที่รัก (บท 3/1)



อลิสาเริ่มต้นเช้าวันต่อมาอย่างไม่สดใสนักเมื่อเสียงโทรศัพท์ของวิมลเลขากรีดดังตั้งแต่เช้า เธองัวเงียควานมือออกไปกดรับ “ลิสพูดค่ะ”

“ยัยลิส! ยังไม่ตื่นอีกเหรอ จะเที่ยงอยู่แล้ว”

“รู้ได้ไงว่ายังไม่ตื่น” ส่งเสียงงัวเงียออกไป

“รู้สิแม่ตัวดี…เสียงแกงัวเงียออกยังงี้”

“เหรอ” พึมพำรับอย่างไม่รู้สึกรู้สานัก เอ่ยต่อว่า “ว่าแต่มีอะไร” พูดพลางส่งเสียงหาวหวอดๆ

“จะมีอะไรก็ไหนว่าจะมารับที่สนามบิน”

“อ้าว…มาถึงสนามบินแล้วเหรอ” หน้าตาตื่น หายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง อลิสาดีดตัวลุกจากที่นอนราวกับติดสปริง

“ไม่ใช่แค่สนามบิน…ฉันมาถึงที่พักแล้วด้วยย่ะ”

“อ้าว…มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่โทรบอกวะ ก็ฉันบอกแล้วจะไปรับที่สนามบิน” หญิงสาวพูดพลางสลัดเสื้อผ้าและก้าวไปทางห้องน้ำ

“โทรไปแล้ว แต่แกไม่รับ เช็กมิสคอลได้เลย”

“เหรอ...คงไม่ได้ยินจริงๆ โทษทีวะ เมื่อคืนนอนดึก เช้านี้เลยหลับเป็นตาย” ออกตัวกับเพื่อนแล้วทรุดนั่งในอ่างพร้อมกับเปิดน้ำอุ่นและเย็นผสมกัน เมื่อคืนหลังปะทะกันเล็กๆ กับเควิน เธอก็เก็บเอามาครุ่นคิดตลอดคืน มาผล็อยหลับตอนรุ่งสาง ด้วยความเพลีย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเคี่ยวเข็ญให้เธอเรียกเขาว่าพี่และที่ไม่เข้าใจมากไปกว่านั้นคือ เขาพยายามจะจูบเธอ…ทำไมต้องทำอย่างนั้น? เธอไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาเสียจนไม่เข้าใจว่าพฤติกรรมเขาสื่อถึงอะไร แล้วยังจะนัยน์ตากรุ้มกริ่มคู่นั้นอีก… ฉายแววมุ่งมาด ท้าทาย หากในคราวเดียวกันก็อ่อนหวานแปลกๆ ยิ่งกว่านั้นเธอมั่นใจว่ามีนัยอะไรบางอย่างอยู่หลังม่านตาสีสนิมคู่นั้น ซึ่งเห็นแล้วชวนให้หนาวๆ ร้อนๆ ชอบกล และตอนนั้นเธอรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วตัวจริงๆ รู้สึกว่าสถานการณ์น่าอึดอัดใจไปทุกขณะจึงได้เตะเข้าไปที่กลางลำตัว

เมื่อคืนเธอพยายามขบคิดว่าทำไมเขาถึงทำพฤติกรรมแปลกๆ อย่างนั้นกับเธอ แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดจนหัวแทบระเบิดเธอก็ไม่อาจหาคำตอบได้ ท้ายที่สุดจึงต้องนอนตาค้างและลากยาวมาจนรุ่งสาง นึกมาถึงตรงนี้เจ้าตัวก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่รู้เลยว่าเสียงสะท้อนเข้าไปในโทรศัพท์ด้วย

“เป็นอะไรยัยลิส ถอนหายใจเฮือกเชียว”

เจ้าตัวสะดุ้ง “ปละเปล่า แกยังอยู่ในสายอีกเหรอ” ถามอย่างประหลาดใจ

“อ้าว…แกนี่พูดแปลกคนจริง ก็ยังไม่จบนี่”

“เหรอ…” ส่งเสียงหัวเราะอ่อยๆ แก้เก้อ “งั้นเดี๋ยวให้ฉันไปหาแกที่โรงแรมใช่ไหม”

“ใช่… รีบมาล่ะ”

อลิสารับคำแล้ววางสาย เธออาบน้ำชำระร่างกายแล้วจึงสวมชุดสบายๆ ลงมาจากชั้นสอง รู้สึกโล่งใจแกมประหลาดใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นเขาซุกกายอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน แม้กระทั่งริมระเบียงที่เห็นวิวทะเลชัดเจน ซึ่งเป็นมุมโปรดปรานของเขา ก็ไม่เห็น อลิสาเดินหาอีกรอบ การตื่นสายไม่ใช่นิสัยของเขา เธอจึงย้อนกลับเข้าไปในครัวอีกรอบ คราวนี้เห็นโน้ตที่เขาแปะไว้บนตู้เย็น ดึงโน้ตออกมาพินิจลายมือหวัดแกมบรรจงของเขาซึ่งเขียนด้วยภาษาอังกฤษ ‘อาหารเช้าวางอยู่บนโต๊ะ พี่ทำเผื่อไว้ให้ลิส…มีงานเลี้ยงของโรงแรมเพื่อนพี่ เจอกันตอนค่ำนะ หวังว่าเมื่อคืนหลับฝันดี ลงชื่อพี่เคล…’ อลิสาทำหน้าไม่ถูกกับคำตบท้ายนั้น เธอเก็บโน้ตซุกในกระเป๋าสะพายแล้วเดินไปดูบนโต๊ะกลางห้องด้วยความอยากรู้ว่าเขาทำอาหารเช้าอะไรให้กับเธอ ซึ่งพบว่าเมนูเขาเป็นอาหารฝรั่งเป็นส่วนใหญ่ อลิสาวางฝาชีครอบอาหารตามเดิม แล้วเดินออกจากครัวด้วยรู้สึกแปลกๆ ในจิตใจ

หญิงสาวก้าวออกมาจากบ้าน เลือกรถสปอร์ตแล้วขับตรงดิ่งไปหาวิมลเลขา การจราจรแถบป่าตองคับคั่งไปด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล ตลอดจนรถรับจ้าง ตุ๊กตุ๊กและจักรยานยนต์ เธอจึงใช้เวลานานกว่าปกติเล็กน้อยกว่าจะขับมาถึงโรงแรมที่เพื่อนพักอยู่

“มาเร็วดีนี่” วิมลเลขาลุกยืนทักทายในทันทีที่อลิสาเดินเข้าในล็อบบีโรงแรม

“กินอะไรหรือยัง…จะให้ฉันพาไปหาอะไรรองท้องก่อนไหม”

“ไม่ล่ะ…ยังไม่หิว แกล่ะหิวหรือเปล่า”

“ยังไม่หิวเหมือนกัน”

“งั้นไปหาพ่อหนุ่มสุดหล่อเควินกัน สายของบอก.สืบได้ความมาแล้วว่าเขาพักอยู่โรงแรมไหน” วิมลเลขาเอ่ยชื่อโรงแรมแล้วกล่าวต่อว่า “โรงแรมนี้เป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่มีดาราฮอลลีวูดเป็นหุ้นส่วนอยู่ แว่วว่าเวลาคนดังมาภูเก็ตที ก็จะพักที่โรงแรมนี่แหละ”

“เควินไปทำอะไรที่โรงแรมนั่น” อลิสาเอ่ยถามขณะเดินเคียงคู่ไปทางลานจอดรถ

“เออร์ไวน์ดาราฮอลลีวูดเพื่อนของเควินเป็นหุ้นส่วนโรงแรมนั้น เขามาจัดงานเทศกาลอาหารทะเลเพื่อโปรโมทโรงแรมเขา แล้วก็จะไปร่วมงานรำลึกสึนามิที่สุสานไม้ขาวเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี งานนี้เออร์ไวน์เลยชวนเควินและบรรดาเพื่อนฮอลลีวูดร่วมก๊วนไปด้วยร่วมงาน แต่บก.อยากได้เควิน ส่วนคนอื่น จะได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร”

“ทำไมต้องเป็นเขา”

“ก็เขากำลังฮอตสุดเวลานี้ ค่าตัวแพงเป็นอันดับต้นๆ ทั้งมีรางวัลออสการ์และรางวัลนักแสดงหุ่นเซ็กซี่แห่งปีเป็นเครื่องการันตี”

อลิสาไหวไหล่ “แกบอกฉันเมื่อวานว่าเขามาเพื่อพักผ่อนเป็นการส่วนตัว เพราะงั้นเขาจะไปงานพวกนั้นเหรอ รู้อยู่งานอย่างนั้นสื่อเพียบ เควินเป็นดาราฝรั่ง แถมหน้าตาหล่อเหลาน่าสะดุดตาอย่างนั้น เป็นจุดสนใจอยู่แล้ว”

“อ๊ะๆ… แล้วไหนว่าไม่สนใจเขา”

อลิสาหน้าแดงซ่าน “ฉันเปล่าสนใจ แค่พูดไปตามเนื้อผ้า” แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ แล้วเธอก็พาเพื่อนขึ้นรถ ขับตรงไปยังโรงแรมที่เพื่อนบอกว่าเควินกำลังเปิดตัวงานเทศกาลอาหารทะเล ถึงจุดหมาย จึงหันไปบอกเพื่อนว่า “รอแกอยู่แถวนี้นะ เสร็จแล้วโทรตามฉัน”

“อะไรจะไม่เข้าไปด้วยกันเหรอ”

“ไม่ดีกว่า…ฉันอยากสูดอากาศนอกโรงแรมมากกว่า เป็นโรคแพ้ความสวยความหล่อน่ะ”

“น่า…ไปเป็นเพื่อนกันหน่อยเถอะ งานนี้คนมาร่วมงานคงมีชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย ฉันอาจจะเข้าไม่ถึงตัวเควินถ้าไม่มีแกช่วย เพราะแกเก่งอังกฤษกว่าฉันเยอะ ไปด้วยกันเถอะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกถ้าเรื่องนั้น เควินพูดไทยได้”

วิมลชะงัก มองเพื่อนอย่างพิจารณา “แกรู้ได้ไงว่าเควินพูดไทยได้ ขนาดฉันแฟนคลับเขายังไม่รู้เลย”

อลิสาอึ้ง เสกระแอมแก้เกี้ยว “จำไม่ได้แล้วว่าอ่านเจอจากนิตยสารไหน”

“น่าสนใจ นิตยสารอะไรน่ะถึงได้สัมภาษณ์เจาะลึกได้ขนาดนั้น ถ้าเขาพูดไทยได้จริงก็น่าแปลกใจนะ พ่อแม่เขาไม่ได้เป็นคนไทย เพราะงั้นไม่น่าจะพูดไทยได้เลย”

อลิสาเงียบ เลี่ยงที่จะตอบกับข้อสังเกตนั้น ด้วยเธอตอบปัดไปให้พ้นตัวเท่านั้น ไม่ได้อ่านจากนิตยสารเล่มไหนแต่รู้เพราะเป็นคนใกล้ตัวต่างหาก ส่วนว่าจะมีสื่อไหนสัมภาษณ์เขาได้เจาะลึกถึงขนาดนั้นหรือไม่ เรื่องนี้เธอไม่รู้จริงๆ และไม่คิดอยากจะรู้ด้วย อย่างไรก็ดีแม้จะหาข้ออ้างมาร้อยแปดอย่างไร เธอก็ยังถูกฉุดเข้าไปในงานจนได้

ในงานมีแขกเหรื่อมากมายอย่างที่วิมลว่า ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ฉะนั้นเมื่อมีสาวเอเชียรูปร่างสูงโปร่งอย่างพวกเธอสองคนพลัดหลงเข้าไป จึงตกเป็นเป้าสายตาอย่างง่าย หลายคนมองมาทางพวกเธอซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่บริกรนายหนึ่งปรี่เข้ามาหา

“ขอสูจิบัตรด้วยครับ” บริกรพูดขึ้นเมื่อพวกเธอเดินผ่านซุ้มประตูมา ซึ่งจัดตกแต่งด้วยดอกกุหลาบละม้ายงานแต่งงาน

“ต้องใช้บัตรเชิญด้วยเหรอคะ?” วิมลเลขาถามออกไปอย่างสงสัย

“ครับ” บริกรตอบ แล้วกวาดสายตามองทั่วตัว “ผู้ที่ร่วมงานได้ จะต้องมีสูจิบัตรเท่านั้นครับ ต้องขอโทษด้วย แต่นี่เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของทางโรงแรม”

อลิสาอึ้งเพียงเสี้ยววินาที อาศัยความมีไหวพริบ จึงตอบกลับไปอย่างฉะฉานว่า “ต้องขอโทษทีค่ะ...พวกเราได้รับเชิญทางวาจาจากเควิน เลยไม่มีบัตรเชิญเป็นลายลักษณ์อักษรมายืนยัน แต่รับรองได้ว่าเราไม่ใช่แขกไม่ได้รับเชิญแน่นอน”

วิมลเหลียวมามองเพื่อนแต่ยังคงรักษาสีหน้าสงบไว้ได้ ประหลาดใจที่เพื่อนงัดลูกไม้นั้นมาใช้ และความรู้สึกที่ตามมาคือ กังวลใจกับวิธีแก้ผ้าเอาหน้ารอดของเพื่อน เพราะอาจถูกจับโยนออกไปยังกับผ้าขี้ริ้วราคาถูกๆ ได้

“ขอโทษคุณชื่ออะไรครับ” บริกรหันมามองอลิสาอย่างสนใจกึ่งพินิจ ใคร่ครวญว่าคำพูดของอีกฝ่ายเชื่อถือได้หรือไม่

“อลิสา หงส์กาญจนาค่ะ” อลิสาบอกไปตามความจริง น้ำเสียงนิ่งๆ

บริกรมองทั่วตัวอีกครั้ง แล้วจึงเงยหน้าตอบว่า “งั้นรอตรงนี้แป๊บนะครับ”

“โรงแรมดี แต่บริกรมารยาทแย่ชะมัด มีอย่างที่ไหนมองลูกค้าหัวจดเท้า” อลิสาบ่นลับหลังเมื่อบริกรเดินจากไปแล้ว

“ใจเย็นๆ น่าเพื่อน เขาก็ต้องทำไปตามหน้าที่”

“เย็นอะไร... ไม่เห็นสายตาบ๋อยเหรอ พอเป็นคนไทยเข้าหน่อยล่ะ ทำหน้าบูดเป็นตูดไก่เชียว น่าเตะชะมัด ไม่เกิดเป็นฝรั่งบ้างให้รู้ไป”

“บ่นเป็นคนแก่เชียว… อย่าอารมณ์เสียไปหน่อยเลยน่า ว่าแต่โกหกไปอย่างนั้น จะเอาตัวรอดได้เหรอ ไม่กลัวบ๋อยเดินไปถามเควินจริงๆ เหรอ เดี๋ยวก็ถูกจับได้หรอก”

“ไปถามสิดี”

“อ้าว….ดียังไง” หน้าเพื่อนเหลอหลา “นั่นจบเห่กันพอดี”

“ใจเย็นๆ น่า เรื่องไม่น่ากลัวอย่างนั้นหรอก” ปลอบเพื่อนอย่างมั่นใจ น้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนนัก ต่างกับวิมลเลขาที่สีหน้าเดือดร้อนเป็นอันมาก

เวลาผ่านไปไม่ถึงนาที บริกรไม่ทิ้งให้อลิสาและวิมลเลขาวิตกกังวลนาน เขาเดินกลับมาพร้อมกับเควินที่เดินตามหลัง หากแต่ด้วยความสูงใหญ่กว่ามาก จึงโดดเด่นเห็นมาแต่ไกล อลิสาขยับตัวอย่างเตรียมรับมือ ขณะที่วิมลเลขาหน้าแดงซ่านอย่างเจอคนที่ถูกใจ เจ้าตัวอุทานอย่างตื่นเต้นแล้วโผเข้าไปหา แต่ไม่ทันถึงตัว บอดี้การ์ดจากที่ไหนไม่ทันสังเกตเห็น ก็ก้าวเข้ามาดักหน้าวิมลเลขาเสียก่อน เธอชะงักกึกถอยหลังกรูดกลับไปยืนข้างอลิสา ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เควินยิ้มมุมปากกับอากัปกิริยาของวิมลเลขาอย่างคนใจดี แต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา มองไปทางอลิสาด้วยแววตาประหลาดใจแกมใคร่รู้ชัดเจน

“คนนี้แหละครับ” เสียงบริกรเอ่ยขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นนักเพราะเควินมองอลิสาอยู่ก่อนแล้ว

เขาหันไปพยักพเยิดให้กับบริกร “ไปเถอะ…เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”

“แต่พวกเธออ้างว่าคุณเชิญมา…จริงหรือเปล่าครับ”

เควินพยักหน้าโดยไม่เสียเวลาคิด “ครับ ผมเชิญพวกเธอมาเอง เดี๋ยวค่าใช้จ่ายทั้งหมดเก็บที่ผมแล้วกัน”

“โอ๊ะ…ไม่เป็นไรครับ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ถือว่าเป็นแขกของเราด้วย ทางผมเสียอีกต้องขอโทษเป็นอย่างมาก” บริกรหน้าตาแดงก่ำเมื่อหันไปทางสองสาวพลางเอ่ยว่า “ผมต้องขอโทษเป็นอย่างมากที่เสียมารยาทกับพวกคุณ ขอโทษอีกครั้งครับที่ไม่ทราบว่าพวกคุณเป็นแขกของคุณคูปเปอร์ ทางโรงแรมยินดีต้อนรับ แขกคุณคูปเปอร์ก็เหมือนแขกของเรา เชิญตามสบายครับและถ้าขาดเหลืออะไร ก็อย่าลังเลที่จะบอกผมครับ” บริกรเอ่ยอย่างนอบน้อมแล้วโค้งคำนับก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้คนข้างหลังมองตามด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

เควินละสายตากลับมามองบอดี้การ์ดข้างตัวซึ่งเป็นคนของเกรย์ เออร์ไวน์ “ไปเถอะเรย์ ไม่มีอะไรแล้ว ขอบคุณมาก”

บอดี้การ์ดพยักหน้า โน้มศีรษะเล็กน้อยแล้วจึงเดินจากไป เควินมองตามจนลับสายตาแล้วจึงหันมาทางอลิสา ทำท่าจะเอ่ยทักแต่ไม่ทันได้ส่งเสียงภาษาไทยออกไป อีกฝ่ายก็รีบร้องทักขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ น้ำเสียนุ่มชวนฟัง

“สวัสดีค่ะคุณคูปเปอร์ ขอบคุณนะคะที่ช่วยรับสมอ้างว่าเชิญพวกเรามา คุณเป็นดาราดังที่จิตใจดีมาก ในนามคนไทยรู้สึกซาบซึ้งใจ ฉันอลิสา หงส์กาญจนา นี่เพื่อนฉันวิมล ภูษาเจริญค่ะ” เอ่ยแนะนำตัว พร้อมกับยื่นมือออกไปให้เขาสัมผัส

เควินทำหน้ามึนงงกับกิริยาน้องสาวอย่างเห็นได้ชัด หรี่ตามองอย่างพยายามค้นความหมายเบื้องหลังพิธีรีตองที่ไม่จำเป็นนั่น ครู่เดียวก็ไหวตัวทัน เขาปรับท่าทีใหม่ด้วยการส่งยิ้มหล่อเหลาให้กับสองสาว ก่อนจะก้าวเข้าไปสวมกอดอลิสา แทนการจับมืออย่างที่อีกฝ่ายเสนอ นั่นทำให้อลิสาทำหน้าเหวออย่างดูออกชัด แขนตกข้างลำตัว ฟังเควินโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษอย่างทำอะไรไม่ได้

“ยินดีที่ได้รู้จักคุณหงส์กาญจนา” ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้นแต่เควินกลับทักทายด้วยการกอดกระชับร่างบางของหญิงสาวอย่างแนบแน่นไปทีหนึ่ง ลดริมฝีปากฉกจูบที่ริมฝีปากนุ่มสีโอลโรสอย่างรวดเร็ว อลิสามึนงงเกินกว่าจะฉากหลบได้ทัน ยังไม่หายตกตะลึง เควินก็ผละไปสัมผัสมือกับวิมล จากนั้นต่างฝ่ายก็เอ่ยแนะนำตัวเอง

อลิสาเช็ดปากตัวเองแรงๆ อย่างพยายามลบความรู้สึกออกจากริมฝีปาก ทว่าดูจะไม่ยอมออกเพราะความรู้สึกติดตรึงอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ที่กาย หญิงสาวปรายตามองคู่อริด้วยแววตาคาดโทษ อยากจะกินเลือดกินเนื้อ เควินไม่อนาทรนักหรือหากจะรู้ตัว เขาก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ ชายหนุ่มก้าวไปเขย่ามือกับวิมลเลขาและเอ่ยแนะนำตัวเอง ภาพนั้นทำให้วิมลเลขามองอย่างไม่เข้าใจอยู่เหมือนกัน ด้วยเข้าใจว่าเควินจะโผเข้ามาสวมกอดเหมือนอย่างที่ทำกับเพื่อนเธอ แต่นี่พอเป็นเธอซึ่งเตรียมอ้าแขนสวมกอดเขาอยู่แล้ว ฝ่ายนั้นกลับคว้ามือเธอไปกระตุกเขย่า นั่นทำให้วิมลเลขาลดวงแขนลงอย่างเก้อๆ อยู่เหมือนกัน

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณภูษาเจริญ คุณคงเป็นเพื่อนของอลิสาที่สนิทมาก”

วิมลเลขาไม่ทันสังเกตว่าเควินเรียกขานชื่อเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงที่สนิทสนมเพียงไร ด้วยสายตาเธอถูกความหล่อเหลาและหุ่นมาดแมนของเควินเข้าบดบัง วิมลเลขามองผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาชื่นชมเปิดเผย ยิ้มเกลี่ยทั่วเรียวปาก “ค่ะ…ฉันเป็นเพื่อนซี้ของลิส ว่าแต่คุณรู้ได้ไงคะ” สีหน้าวิมลเลขามีรอยเคลิ้มฝันอย่างมาก

เควินหัวเราะในลำคอ ไม่รู้ตัวเลยว่าท่วงท่าหัวเราะของเขาสะกดสายตาวิมลเลขาให้มองอย่างหลงใหลมากขึ้น เธอกำลังรู้สึกว่าโลกทั้งใบสว่างไสวด้วยเสียงหัวเราะของเขา ในหนังว่าเขาหล่อคมคายยังกับเทพบุตรกรีกแล้ว มาเจอตัวจริงอย่างนี้ดูเหมือนความหล่อในหนังจะชิดซ้ายไปเลย วิมลเลขานึกอย่างปลาบปลื้ม เควินเป็นหนุ่มยิ้มง่าย มีอัธยาศัยดี ไม่ถือตัวกับแฟนคลับ และนั่นทำให้เขามีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างมาก เธอรู้สึกตกหลุมรักเขาอย่างง่ายดาย แววตาที่มองเควินจึงเหมือนสาวคลั่งรัก

เควินพูดคุยตอบกลับไปอย่างเป็นกันเอง บอกว่าเดาได้จากท่าทางของคนทั้งสอง เขารู้สึกเอ็นดูเป็นอย่างมากกับอากัปกิริยาของวิมลเลขา เธอดูออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่าไม่มีพิษเป็นภัย ซึ่งนั่นดูจะแตกต่างจากน้องสาวเขาที่ดูเจ้าเล่ห์มากกว่า นึกมาถึงตรงนี้ก็พลันฉุกใจคิดว่าอะไรกันคือสิ่งที่อลิสาต้องการถึงได้บากหน้ามาพบเขาที่นี่ หรือไม่อาจเป็นเพื่อนเธอหรือเปล่าที่ต้องการอะไรบางอย่างจากเขา? เพียงแต่ความที่รักเพื่อนมากจึงยอมลงทุนพามาพบ? เขาไม่เข้าใจอลิสานัก แต่บอกกับตัวเองว่าจะต้องหาทางรู้เรื่องนี้ให้เร็วที่สุดให้ได้

ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายเหลียวไปสบตาแววตาคมซึ้งตรงๆ เขายักคิ้วให้อลิสาอย่างล้อเลียน ซึ่งมีผลให้อีกฝ่ายหน้าร้อนผ่าว เธอถลึงตาตอบกลับมา เขาจ้องตอบอย่างไม่ลดละ แถมด้วยแววตากรุ้มกริ่มกลับไปด้วย อลิสาถลึงตอบกลับมาอย่างดุดันยิ่งขึ้น เขาก็จ้องตอบอย่างไม่กลัวเกรง เสี้ยววินาทีถัดมาอลิสาก็เสมองรอบกายอย่างยอมแพ้ นั่นทำให้เควินหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างถูกใจ คนทั้งคู่ไม่รู้เลยว่ากิริยาของพวกเขาอยู่ในสายตาของวิมลเลขาตลอดเวลา เธอมองคนทั้งสองสลับกันไปมาอย่างไม่เข้าใจนัก อะไรบางอย่างบอกกับเธอว่าคนทั้งคู่มีท่าทีแปลกๆ ต่อกัน น่าแปลกใจนักทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรก








Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2553 13:13:35 น.
Counter : 437 Pageviews.

13 comment
อริ...ที่รัก (บท 2/2)



ตลอดบ่ายเควินใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินเล่นริมหาด ว่ายน้ำและวาดภาพเขียนของอลิสาที่วาดค้างอยู่ จากนั้นก็เก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน แล้วจึงทำกับข้าวมื้อเย็นเตรียมไว้ให้หญิงสาวและกับตัวเขาเอง เขาชินกับการทำงานบ้านเพราะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาโดยตลอด แม้จะมีพ่อบ้านมาเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านอาทิตย์ละสองครั้ง แต่เวลาที่เหลือส่วนใหญ่เขาทำเอง บ้านเขาที่อเมริกาอยู่ในย่านเศรษฐี มีอาณาเขตกว้างขวาง เขาสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาเองจากเงินรายได้ในการแสดงหนัง

เควินก้าวมานั่งริมระเบียงหลังจากทำกับข้าวเสร็จแล้ว อดนึกถึงเหตุผลที่บินมาภูเก็ตไม่ได้ ทั้งที่เขามีงานเปิดตัวอยู่ที่ลอนดอน แม้เป็นงานที่ไม่สำคัญนักเพราะเขาแสดงเป็นตัวรอง แต่กระนั้นเขาก็คงเป็นบ้าไปแล้วอย่างที่อลิสาว่าเพราะสละงานเป็นหลักแสนเหรียญเพื่อมาเจออลิสา…ลูกติดของแม่เลี้ยงที่ไม่ชอบหน้าเขาสักนิด เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ…ไม่เข้าใจทั้งตัวเองและตัวอลิสานั่นแหละ

เควินสลัดความคิด ก้าวไปยกหูโทรศัพท์กดทางไกลไปยังโรงแรมที่คุณโรเจอร์และครอบครัวพักอยู่ เวลาไปอเมริกา พ่อเขามักพักโรงแรมซ้ำๆ กันสามสี่ที่แค่นั้นเพราะเป็นโรงแรมโปรด ปลายทางเป็นคู่แฝดรับ ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาตามสาย

“พี่เคลเหรอครับ…แม่ครับพี่เคลโทรมา” เสียงใสๆ หันไปตะโกนบอกคุณอุษาแล้วจึงหันมาคุยกับเขาต่อ “พี่เคลรู้ไหมครับวันนี้เราไปไหนกันมาบ้าง พ่อพาไปดิสนีย์แลนด์ ไปพาร์คแล้วก็ไปทานอาหารอร่อยๆ พ่อบอกว่าเสียดายที่พี่ลิสไม่ได้มากับพวกเราด้วย ไม่งั้นพี่ลิสอาจจะชอบไอศกรีมรสใหม่นี้ พ่อยังบอกว่าโรงเรียนที่พาไปเซอร์เวย์ดูน่าสนใจหลายที่ ถ้าพี่ลิสมาคงจะเขียนสารคดีโรงเรียนกินนอนในอเมริกาได้สบาย พ่อบอกว่าพี่ลิสเก่ง มีพรสวรรค์ด้านขีดเขียน สามารถหยิบเรื่องที่น่าเบื่อเขียนออกมาให้ดูตื่นเต้นมีชีวิตชีวาได้ นี่พ่อก็ว่าจะ…”

เควินหัวเราะในขณะที่น้องแฝดอาโรนยังคงส่งเสียงเล่าเจื้อยแจ้วไปตามเรื่อง เวลาเขาคุยโทรศัพท์กับคู่แฝดมักจะเป็นอย่างนี้เสมอคือ ฟังอย่างเดียวไม่มีโอกาสพูดแทรก และประโยคที่คุ้นหูของคู่แฝด…พี่ลิสอย่างโน้น…พี่ลิสอย่างนี้ นี่ยังดีไม่มีแอลลี่พูดโทรศัพท์ด้วย สงสัยไม่อยู่แถวนั้น ไม่งั้นป่านนี้คงแย่งกันพูดน้ำไหลไฟดับแล้ว

“พี่เคลว่าไงครับซื้อของขวัญมาให้ผมเหรอเปล่า”

เสียงน้องแฝดแทรกเข้ามาในความคิด เควินหัวเราะก่อนตอบว่า “เปล่า…ของฝากอะไร ไม่มีหรอก ไม่ได้บอกพี่ล่วงหน้านี่”

อีกฝ่ายส่งเสียงโอดครวญมาตามสาย “โธ่…พี่เคล ทำไมต้องบอกด้วยล่ะ ทีพี่ลิสไม่เห็นต้องบอก…ของอย่างนี้นะมันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ทีพี่ลิสมาทีซื้อของฝากเต็มไม้เต็มมือมาฝาก แล้วอย่างนี้ของขวัญวันเกิดผมจะได้มั้ยเนี่ย แย่จังมีพี่ชายขี้ลืมอย่างนี้…”

เควินหัวเราะลงคอ ด้วยอาโรนพูดมาถึงตรงนี้ คุณอุษาก็ดุคู่แฝดดังเข้ามาในโทรศัพท์ว่า “จุ๊ๆ…ไม่เอาน่าอาร์อย่ากวนพี่เขาอย่างนั้น แล้วก็พูดจาดีๆ กับพี่เคลเขาด้วย อย่าก้าวร้าว”

ทว่าพ่อตัวดีจะเชื่อฟังก็หาไม่ โต้กลับไปอีกว่า “น่า…แม่ พี่เคลเขาไม่ว่าหรอก” เสียงนั้นลอยห่างออกไป ราวกับเจ้าตัวหันไปพูด จากนั้นก็หันกลับมาพูดต่อว่า “แล้วตกลงพี่เคลซื้อของขวัญให้ผมหรือเปล่าครับ”

“อาร์ไม่เอาลูก...อย่ากวนพี่เขาอย่างนั้น พี่เขามีเรื่องพูดกับแม่หรือเปล่า ไหนส่งโทรศัพท์ให้มาสิ”

เสียงนั้นใกล้เข้ามา ราวกับคุณอุษาพูดอยู่ข้างๆ ลูกชาย

“ไม่ครับ…พี่เคลยังพูดกับผมไม่จบ”

เควินหัวเราะเมื่อได้ยินประโยคนั้นลอยเข้ามาในหู ชะรอยคุณอุษาจะคิดเหมือนกับเขากระมัง เพราะได้ยินแม่เลี้ยงเอ็ดลูกชายเข้ามาในสายว่า “เราหรือพี่เคลที่ยังพูดไม่จบ?”

“พี่เคลสิ…พี่เคลเป็นคนโทรมาหาผมนะครับ”

“พี่เขาโทรทางไกลนะลูก…อย่าพูดเล่น เปลืองเงิน”

“พี่เคลรวย ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก”

“รวยยังไงเจอเราผลาญอย่างนี้ ก็เลี้ยงไม่ไหวเหมือนกัน ดูยังไม่ยื่นโทรศัพท์มาให้แม่อีก”

“ก็พี่เคลยังมีเรื่องพูดกับผม”

เควินหัวเราะอีกระลอก ขืนไม่เฉลย เห็นทีศึกน้ำลายครั้งนี้จะไม่สงบโดยง่ายแน่ ส่งเสียงไปว่า “พี่ซื้อเตรียมไว้ให้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก มาถึงก็แกะได้เลย อำเล่นแค่นี้ก็ต้องโวยวายด้วย ว่าแต่จะยื่นโทรศัพท์ให้แม่คุยกับพี่ได้หรือยัง”

อีกฝ่ายคงพอใจกับคำตอบเขา เพราะตอบรับอย่างนอบน้อมแล้วยื่นโทรศัพท์ให้คุณอุษาแต่โดยดี เขาได้ยินแม่เลี้ยงส่งเสียงนุ่มนวลมาตามสาย “เคลหรือลูก ฟังลิงทโมนคุยเสียจนแสบแก้วหูเลยสิ”

เควินหัวเราะในลำคอ “เปล่าหรอกครับ เพลินดี ว่าแต่ทางนั้นเรียบร้อยไหมครับ เห็นอาร์ว่าพาไปเซอร์เวย์ที่เรียนหลายที่”

“จ๊ะ…ก็หลายที่อยู่ แต่โรเจอร์ยังไม่พอใจนัก บอกว่าอยากจะไปดูอีกสักสองสามที่ ว่าแต่ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีไหม ยังไงอาก็ฝากบ้านอีกสักระยะนะ”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ว่าแต่อาจะอยู่ที่นั่นอีกกี่วันครับ”

“ก็คงอีกสองสามวัน ไม่น่าจะเกินกว่านั้น เพราะทางนี้ก็ตะแง้วๆ อยากจะกลับบ้านไปเจอพี่ลิสพี่เคลจะแย่อยู่แล้ว”

“ครับ...” เควินตอบรับยิ้มๆ อึกอักครู่หนึ่งด้วยนึกชั่งใจว่าจะถามดีหรือไม่ ราวกับปลายสายรู้ใจ เธอถามกลับมาเสียเอง

“เจอลิสแล้วใช่ไหมลูก”

“เจอแล้วครับ ผมว่าจะถามเรื่องนี้อยู่พอดี อลิสรู้ได้ไงครับว่าผมขอให้คุณอากับทุกคนเก็บงำเรื่องของผมไว้”

“เจอฤทธิ์เดชยัยลิสเข้าให้สิท่าถึงได้ถามอาอย่างนี้… เคลอย่าถือสาน้องนะลูก ยัยลิสก็ตะแง้วๆ ไปอย่างนั้นเอง แต่เนื้อแท้แล้วไม่มีอะไรหรอก เป็นคนไม่มีพิษไม่มีภัยกับใคร”

เควินหัวเราะ “ผมทราบครับ คุณอาอย่าห่วงไปเลย ผมเข้าใจดี ที่ถามเพราะนึกอยากรู้น่ะครับว่าอาษาพูดอะไรกับอลิส รายนั้นถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนั้น”

“ลิสแผลงฤทธิ์กับเคลเยอะเลยเหรอ” ถามด้วยน้ำเสียงเกรงใจเป็นอย่างมาก

“ไม่หรอกครับ นิดหน่อย…” เควินพูดแล้วหัวเราะตบท้าย

“บอกอาก่อน…ลิสไปวีนอะไรกับเคล”

เควินหัวเราะอีกระลอก “แค่เข้ามาขู่ใส่ผมฟ่อๆ แล้วบอกว่าต่อไปอย่ายัดความคิดผิดๆ ใส่อาษาอีก คืออลิสเข้าใจว่าผมเป็นคนยัดเยียดเรื่องเธอเบี้ยวนัดใส่ความคิดอาษาน่ะครับ”

“ไม่เห็นต้องยัดเยียดอะไรกันเลย เรื่องอย่างนี้ใครก็มองออก”

“ครับ…” รับคำอย่างขำๆ

“อาเข้าใจว่าลิสคงโกรธเรื่องที่อาให้ความร่วมมือกับเคลน่ะ เพราะพอรู้ว่าอารู้เรื่องเคลมาภูเก็ตล่วงหน้านิดหน่อย รายนั้นก็ใส่อาฉอดๆ ทันที”

“ผมต้องขอโทษที่ทำให้วุ่นวายไปกันหมด”

“ไม่เลย เคลไม่ได้ทำให้วุ่นวายแต่ลูกอาต่างหาก เจ้ายศเจ้าอย่างไม่เข้าเรื่อง” ปลายท้ายพูดแล้วหัวเราะอย่างไม่จริงจัง น้ำเสียงบ่งบอกว่ารักและเอ็นดูคนที่ตัวเองพูดถูกอยู่มาก

เควินหัวเราะจนกล้ามเนื้ออกกระเพื่อม “ผมว่านะ...ถ้าเจ้าตัวมาได้ยินคำชมอาษาตอนนี้ คงอกแตกตาย”

คุณอุษาหัวเราะขานรับเป็นลูกคู่ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “เคลมีเรื่องอะไรจะพูดกับอาอีกไหมลูก”

“ไม่ครับ…แค่อยากรู้ว่าอาษาจะกลับเมื่อไหร่แค่นั้น”

“โอเค…ถ้างั้นคุยกับพ่อหน่อยนะลูก… ดูเหมือนมีเรื่องอยากปรึกษาเคลหลายเรื่องทีเดียว

“ได้ครับ”

คุณอุษายื่นสายให้คุณโรเจอร์พ่อเขา แล้วจากนั้นแผนการอะไรบางอย่างก็เริ่มต้น…อันที่จริงมันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว เพียงแต่เจ้าตัวไม่รู้เท่านั้น...




ฮัดเช้ย! เสียงจามดังมาจากหญิงสาวที่กำลังนั่งกินอาหารอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถบป่าตอง อลิสาคว้าผ้าเช็ดปากปิดเสียงจามก่อนจะรวบช้อน เธอเพิ่งจะกินอาหารเสร็จและกำลังเช็กปฏิทินกิจกรรมของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญๆ ของภูเก็ต หาอะไรทำยามว่างระหว่างรอครอบครัวบินกลับมาจากอเมริกา สายตาสะดุดเข้ากับกิจกรรมรำลึกสึนามิ เธอหยิบปากกามาขีดเส้นใต้ทำไฮไลต์ ก่อนจะเช็คบิลและหนีบแผ่นพับใบนั้นใต้รักแร้ เดินออกมาจากร้านอาหาร

เธอวางแผ่นพับข้างตัวและสตาร์ทรถขับออกมาสู่ถนนใหญ่ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น “ลิสพูดค่ะ” อลิสารับสาย

“ลิสนี่ฉันนะ”

“ว่าไงมล มีอะไรให้ช่วยเหรอ?” ตอบกลับไปอย่างจำเสียงอีกฝ่ายได้ มลหรือวิมลเลขา เป็นเพื่อนร่วมงานที่ค่อนข้างสนิทของเธอ

“งานเข้าฉันว่ะลิส…หินโคตรๆ”

“งานอะไร...” อลิสาถามอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเลี้ยวรถไปอีกถนน มุ่งสู่ห้างจังซีลอน เพื่อหาซื้อของขวัญวันเกิดให้กับคู่แฝด ความจริงเธอเตรียมของขวัญให้กับคู่แฝด แต่พอรู้ว่าเควินบินมาร่วมงานวันเกิดของพวกเด็กๆ ด้วย เลยต้องหาของขวัญชิ้นใหม่เพราะรู้ว่ารายนั้น ต้องเตรียมของขวัญแพงหูฉี่มากำนัลคู่แฝดแน่ เธอไม่อยากน้อยหน้าเขา ไม่อยากถูกลิงทโมนสองตัวนั่นเอามาเปรียบเทียบกัน เลยต้องหาซื้อของขวัญชิ้นใหม่แทน

“บก.มอบหมายให้ไปสัมภาษณ์เควิน คูปเปอร์ ดาราฮอลลีวูด คนที่กำลังแสดงหนังเรื่อง… ที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังน่ะ บก.ได้ข่าวว่าเขาบินมาพักผ่อนที่ภูเก็ต นัยว่าเพื่อนดาราเป็นเจ้าของโรงแรมดังแถวป่าตอง เลยชวนเขามาร่วมงานเทศกาลอาหารทะเลที่โรงแรม ประมาณว่าจะได้ช่วยโปรโมตโรงแรมไปในตัว”

อลิสาชะงักทันควันเมื่อได้ยินงานของเพื่อน อึกอักเสี้ยววินาทีแล้วปฏิเสธออกไปโดยไม่เสียเวลาคิด “ฉันไม่รู้เรื่องนี้ด้วยหรอก…เห็นทีคงช่วยอะไรแกไม่ได้” เธอใช้นามสกุลตามพ่อ ไม่ได้ใช้ของพ่อเลี้ยง จึงไม่มีใครรู้ว่าเธอมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกับเควินอย่างไรบ้าง ซึ่งก็ดี เธอจะได้ใช้ชีวิตที่ปกติสุขอย่างนี้ไปอีกนาน อลิสานึกในใจ

“ไม่เจอเควินที่ภูเก็ตบ้างหรือ ข่าวว่าเขาบินมาถึงตั้งแต่เมื่อวาน การข่าวบก.เขาดี ไม่น่าผิดพลาดหรอก แล้วอีกอย่างภูเก็ตก็เล็กเท่าที่แมวดิ้นตาย ไม่น่าถึงกับต้องงมเข็มในมหาสมุทร”

“แกมั่วแล้วมล…ถ้าคิดว่าภูเก็ตเล็กแค่นั้นก็หาเองเลย”

“ฉันพูดเล่น…ก็ลองถามแกไปงั้นเผื่อจะเจอเขาบ้าง”

อลิสาเลือกที่จะไม่สนใจคำถามนั้น เธอเปลี่ยนเรื่องว่า “แล้วนี่จะมาภูเก็ตเมื่อไหร่ มีอะไรให้ฉันช่วยได้บ้าง”

“ให้ที่พักฉันไง”

อลิสาแทบสำลักน้ำลายตัวเอง ปฏิเสธออกไปวุ่นวาย “เฮ้ย...ไม่ได้หรอกยัยมล ไม่ใช่ว่าฉันงกที่อยู่หรอกนะ แต่ฉันเองก็ต้องมาอาศัยบ้านพ่อเลี้ยง ช่วงนี้เขามีงานเลี้ยงส่วนตัวของครอบครัวด้วย ให้แกไปค้างด้วยไม่ได้จริงๆ ว่ะ ต้องขอโทษทีเพื่อน ให้ช่วยอย่างอื่นเถอะอย่างเช่นช่วยจองโรงแรม เป็นสารถีขับรถรับส่ง หรือไม่อะไรก็ว่าไป”

งั้นจองโรงแรมกับช่วยขับรถให้ฉันแล้วกัน” วิมลเลขาตอบ พร้อมกับบอกชื่อโรงแรมที่ต้องการเข้าพักซึ่งอยู่แถบป่าตองให้

อลิสานึกสะดุ้งในใจเพราะอยู่ใกล้บ้านพ่อเลี้ยงเธอเหลือเกิน นึกภาวนาให้เขาหรือไม่ก็เธอบินกลับไปก่อนที่วิมลเลขาจะมาเจอ นึกในใจขณะที่ปากตอบไปว่า “ได้เดี๋ยวจัดการให้ ว่าแต่จะมาถึงเมื่อไหร่ อยู่กี่วัน”

วิมลเลขาบอกรายละเอียดกลับมา จากนั้นก็ขอตัว อลิสาตัดสายเพื่อนทิ้ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่รถเลี้ยวเข้ามาจอดที่ห้างจังซีลอนพอดี ห้างแห่งนี้ เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะให้เป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์แห่งแรกของไทย จึงมีความแตกต่างจากห้างสรรพสินค้าทั่วไป โดยเฉพาะการออกแบบภายในและภายนอก มีพื้นที่ธรรมชาติมากกว่าร้อยละสี่สิบของพื้นที่ทั้งหมด ภายในห้างมีทั้งร้านอาหาร สถานบันเทิง โรงหนัง โรงแรม ศูนย์การค้าตลอดจนสถานที่พักผ่อนตามมุมนั่งเล่นต่างๆ ข่าวว่าใช้งบประมาณก่อสร้างไปเกือบสี่พันล้านบาท

อลิสาเดินเลือกซื้อของเล่น ตั้งใจเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาสูงกว่าหลักพันเข้าไว้ ก็ไม่รู้ว่างานนี้ใครจะบ้ากว่ากัน ระหว่างคนหนึ่งกลัวน้อยหน้า กับอีกคนชอบอวดรวย… เจ้าตัวคิดอย่างติดตลกปนละเหี่ยใจ หลังได้ของขวัญที่ถูกใจแล้ว เธอก็ตรงดิ่งกลับบ้าน พลันที่รถจอดสนิทในโรงจอดรถ เธอก็ต้องนิ่งอึ้งเมื่อเควินปรี่เข้ามาช่วยถือกล่องของขวัญ

“ไม่เป็นไร…” เธอปฏิเสธแล้วรีบเบี่ยงตัวหนี ทว่าอีกฝ่ายกลับยื้อไปช่วย ท้ายสุดเธอต้องปล่อยให้เขาถือทั้งสองกล่อง เดินนำเข้าไปในบ้าน “ขอบคุณค่ะ” อลิสาเอ่ยขอบคุณอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดินตามหลังเขา

“ไม่เป็นไร…ว่าแต่อะไรอยู่ข้างใน ทำไมเบาจัง กล่องใหญ่แต่เบาหวิว”

“ไม่บอก…”

เควินเหลียวกลับมามองคนข้างหลัง เป็นเหตุให้อีกฝ่ายเดินชนแผ่นหลังเข้าจังเบ้อเริ่ม

“ขอโทษ” อลิสาเอ่ยอุบอิบ แก้มแดงซ่าน แล้วรีบทิ้งระยะห่างระหว่างกันมากขึ้น

เควินเดินต่อ ราวกับไม่รู้สึกรู้สาถึงก้อนเนื้อนุ่มที่กระแทกเข้าแผ่นหลังเต็มรัก ทั้งที่ภายในร้อนฉ่าราวกับมีประจุไฟฟ้าแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เขาเอ่ยต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “บอกว่าไปทำธุระ ที่แท้ไปหาซื้อของขวัญให้กับเจ้าลิงทโมนนี่เอง เรายังไม่ได้เตรียมของขวัญมาเหรอ ไหนเจ้าแฝดคุยนักคุยหนาว่าพี่ลิสของเขาไม่เคยลืมเรื่องสำคัญๆ ของพวกเขา” น้ำเสียงที่ถามไม่มีแววกระทบกระทั่ง หากแต่เรียบเฉยอย่างชวนคุย

“เตรียมมา…แต่ไม่ชอบ ก็เลยซื้อใหม่ คนมีกะตังค์หง่ะ มีอะไรมั้ย”

เควินปรายตามามองอีกครั้ง หากคราวนี้อีกฝ่ายไม่ยอมตกหลุมพรางอีกแล้ว เพราะถอยออกไปเดินตามห่างๆ เสียไกลเป็นโยชน์ เขาเลิกคิ้วกับระยะห่างนั้น ไม่พูดอะไร ก้าวขานำต่อไป “จะให้ไปเก็บไว้ที่ไหน”

“ไปเก็บไว้ในห้องนอนคุณล่ะมั้ง” ปากไวอีกตามเคย เพราะพลันที่หลุดปากออกไป อีกฝ่ายก็เถรตรงเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนเขาจริงๆ ห้องนอนพวกเขาอยู่คนละปีกแต่อยู่บนชั้นสองเหมือนกัน “เฮ้... ฉันพูดเล่น” อลิสาพูดแล้วรีบถลาไปดักหน้าเขาหน้าประตูห้องนอน กางแขนกับขอบประตู

เควินกลั้นยิ้ม “มุกอยากเข้าห้องนอนพี่หรือเปล่า” เควินส่งเสียงยั่วเย้า

อลิสาขมวดคิ้วมุ่น “เอ๊ะ…คุณนี่ยังไงนะ มุกไม่ขำเลย”

ผู้ที่มีศักดิ์เป็นพี่หัวเราะกลั้วคอ “ก็จะให้ขำได้ไง พี่ไม่ใช่ตลก”

“ไม่ขำเลย”

“ก็ขำหน่อยสิ จะเครียดไปทำไมนักหนา”

“ถ้าคุณเป็นตลกเมื่อไหร่ ฉันจะขำ”

“ว้า…เรานี่ขาดอารมณ์ขันชะมัด”

อลิสาขึงตาใส่เขาแทนคำตอบ บอกเป็นนัยว่าไม่ขำไปด้วย

เควินกลับยิ้มใส่หน้า แล้วถามว่า “จะให้พี่ไปเก็บไว้ที่ไหน”

“ห้องนอนฉัน…แต่ไม่เป็นไร ฉันเอาไปเก็บเองดีกว่า” อลิสาพูดแล้วจะยื้อกล่องของขวัญจากมือเขา แต่เขาอาศัยช่วงตัวที่สูงใหญ่กว่าเบี่ยงหนีมือเธอไปได้ “เคล…เอามานะ” จ้องเขาตาขุ่น

“ก็พี่จะเอาไปเก็บให้” เควินพูดแล้วออกเดินนำไปทางห้องนอนของอลิสาโดยมีอีกฝ่ายเดินแกมวิ่งตาม เขาก้าวไปวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วหันกลับมาเผชิญหน้าอลิสาซึ่งกำลังยืนมองตาเขียวปั๊ด เควินพยายามไม่ชายตามองไปทางชุดชั้นในตัวเล็กที่เจ้าตัววางพาดอยู่บนเตียง เอ่ยว่า “ห้องนอนลิส กว้างกว่าห้องพี่อีก แต่จัดได้น่ารักกว่ามาก พี่ชอบพวกชุดชั้นในที่วางเรี่ยราดอยู่รอบห้อง มันศิลป์ดี”

อลิสาหน้าแดงก่ำ เธอรู้ว่าเธอไม่ใช่คนเรียบร้อยนัก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยย้ำ “ฉันรีบออกไปทำธุระเมื่อตอนเที่ยง เลยไม่ทันได้จัดห้อง”

“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย แค่ชมว่ามันศิลป์ดี” เควินพูดเสียงอ่อนโยน

“คำพูดคุณมันสื่อให้คิดไปในทางนั้น”

“คิดมาก” เควินต่อว่ายิ้มๆ

“จะหาว่าฉันร้อนตัวล่ะสิ”

“พี่เปล่า…เราพูดเองเออเองทุกอย่าง” ยังคงยิ้มหล่อเหลาทั่วเรียวปาก ก่อนกล่าวต่อว่า “ว่าแต่ไปกินรังแตนที่ไหนมาถึงได้อารมณ์เร่าร้อนอย่างนี้…”

“ร้อนแรง…” อลิสาแก้คำพูดเควิน

“ร้อนแรงก็ร้อนแรง” เควินยอมว่าตามอย่างง่ายๆ “ว่าแต่ไปทำอะไรมา ถึงได้อารมณ์ผิดสำแดงอย่างนี้ หรือว่าหิวข้าวจัด พี่ทำมื้อค่ำเผื่อเราด้วยนะ ไปกินด้วยกันไหม พี่เองก็ยังไม่ได้กินเลย มัวแต่รอเรา”

“ใครสั่งให้รอล่ะ”

“อ้าว…เรานี่ คนมีน้ำใจนะ…”

“จะว่าฉันไม่มีน้ำใจงั้นสิ”

เควินหัวเราะจริงจัง “เรานี่อารมณ์เสียง่ายจริงๆ นะเนี่ย…”

“ก็ใช่สิ ใครจะอารมณ์ดีได้ตลอดเวลาเหมือนพ่อพระเอกหนังอย่างคุณ”

เควินค่อยๆ หยุดเสียงหัวเราะเมื่อน้ำเสียงนั้นมีแววจริงจังอย่างมาก เขากล่าวอย่างเป็นการเป็นงานขึ้นว่า “ประชดพี่เหรอ ถามหน่อยเป็นพระเอกหนังแล้วมันเสียหายตรงไหน”

“ฉันก็ไม่ได้ว่ามันเสียหาย”

“แต่เราใช้น้ำเสียงประชดพี่นี่นา”

“คิดไปเอง”

เควินแบมือข้างหน้าสองข้างอย่างยอมจำนน “เอาล่ะ…พี่ยอมแพ้ เรามาเจรจาหย่าศึกกันเถอะลิส พี่เองก็เครียดกับสภาพนี้เต็มทนแล้ว เรามาทำความตกลงกันดีกว่า… อันดับแรกบอกพี่มาเลยว่าอะไรในตัวพี่ที่ทำให้เราหงุดหงิดนักหนา พี่จะได้ปรับปรุงตัว เพราะดูเหมือนพี่อยู่ตรงไหนหรือทำอะไรในบ้านหลังนี้ ก็ดูจะขวางหูขวางตาเราไปหมด บอกพี่มาว่าเราจะมีวิธีสงบศึกกันได้ไหม จะให้พี่ทำยังไงหรือปรับปรุงตรงไหน ถึงจะเอาป้าย ‘ไม่ชอบขี้หน้าพี่’ ที่มันโชว์หราอยู่บนหน้าผากเราออกไปได้ ก็บอกพี่มาได้เลย”

อลิสากัดริมฝีปาก แววตาเขาจริงจังเสียจนเธอนึกหวั่น สะบัดหน้าแล้วทำท่าจะก้าวออกมาจากห้องเพื่อหนีเขา ทว่าเขากลับกระตุกมือกลับ เธอเซถลาเข้าปะทะอ้อมแขนเขา เพราะไม่ทันระวัง เสียงเข้มยังตามมาอีกว่า

“เราจะเดินหนีทุกครั้งที่เขม่นหน้าพี่ไม่ได้หรอกนะลิส เราไม่ใช่เด็กสาววัยสิบห้าปีคนนั้นอีกแล้ว หัดโตเป็นผู้ใหญ่ซะบ้าง”

“แรงนะนั่น…”

“ก็เราไม่ยอมโต”

อลิสาขึงตาใส่เขาแล้วยกส้นเท้าเตรียมบดขยี้ “ปล่อยฉัน…” เสียงเย็นๆ ร้องเตือน ดวงตากลมโตฉายแววกรุ่นโกรธชัดเจน

เควินกอดกระชับร่างบางแน่นขึ้นเป็นเท่าตัวราวกับแกล้ง แววตาคมยังคงจ้องหน้าอย่างท้าทาย “ก็ถ้าพี่บอกว่าไม่ล่ะ” เควินตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

“อยากลองดีหรือไง”

“ถ้าคำตอบคือใช่ล่ะ”

“นี่ไง…ใช่เหรอ” อลิสาพูดแล้ววางส้นบดขยี้บนเท้าเขา ทว่าเควินไม่มีทีท่าจะสะดุ้งสะเทือน ยังคงยืนปักหลักกอดเธอแน่นหนา แน่นอน…เขาย่อมไม่สะดุ้งสะเทือนแน่เพราะเท้าที่บดขยี้เขาเป็นเท้าเปล่าปราศจากรองเท้า อลิสาดิ้นขลุกขลัก จะกระทุ้งกลางลำตัวเขาก็ไม่ถนัดนักเพราะเขารัดแน่นหนา ที่สุดเธอจึงขึงตามองเขาอีกครั้ง “ปล่อยฉันเควิน… ฉันไม่ใช่ผู้หญิงข้างถนนที่คุณนึกอยากจะกอดเมื่อไหร่ก็กอดได้”

“เราเข้าใจผิดไปใหญ่โตแล้วนะอลิส ความเข้าใจผิดแรก…พี่ไม่เคยคิดว่าเราเป็นผู้หญิงข้างถนน ตรงกันข้ามพี่ชื่นชมเราว่าเป็นผู้หญิงที่น่านับถือ วางตัวดี ไม่เคยเสื่อมเสียเรื่องผู้ชาย และความเข้าใจผิดที่สอง...การเอามือโอบเอวหลวมๆ อย่างนี้ เขาไม่เรียกว่ากอดหรอกนะอลิสที่รัก เพราะภาษาบ้านพี่ถ้ากอดต้องอย่างนี้” เควินพูดแล้วก้มหน้าสาธิต แกล้งเอาจมูกไปโฉบพวงแก้มเนียน พร้อมๆ กับที่ริมฝีปากไม่ห่างจากเรียวปากนุ่มนัก ได้กลิ่นหอมรอยระรินโชยมาจากพวงแก้มสุกปลั่งของหญิงสาว เขาลอบสูดเข้าปอด แล้วว่า “ถ้ากอด…มันจะตามมาด้วยจูบเสมอ”

อลิสาตัวแข็งทื่อเมื่อเข้าใจตอนนั้นเองว่าเขาคิดจะทำอะไร “ไม่…อย่านะเควิน คุณอย่าทำอย่างนั้นนะ” เธอร้องเสียงหลง น้ำเสียงมีแววตื่นตระหนกจนเควินจับได้

ผู้ที่แก่วัยกว่า ยิ้มเป็นต่อ “เรียกพี่ว่าพี่ก่อนอลิส แล้วพี่จะปล่อยเรา แค่นี้ไม่ยากไม่ใช่เหรอ” พูดพร้อมกับจ่อริมฝีปากเตรียมจูบอลิสา โดยที่อีกฝ่ายทำได้เพียงเบี่ยงหน้าหนี เนื้อตัวร้อนผ่าว

“ไม่นะ…อย่าทำอย่างนี้ ฉันจะฟ้องพ่อคุณ”

“คิดว่าพี่กลัวหรือ?” ถามยิ้มๆ แววตาเจ้าเล่ห์ เห็นดวงตาหญิงสาวฉายแววหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก เขาก็พูดเสียงอ่อนๆ ราวกับปลอบประโลมว่า “เรียกพี่ว่าพี่…อลิส เราไม่มีทางเลือก” พูดเสียงนุ่ม ในใจรู้สึกอ่อนหวานยิ่งนัก เมื่อตระหนักแล้วว่าร่างนุ่มในอ้อมแขนไม่เคยผ่านมือชายคนไหน เจ้าลิงทโมนพูดผิด อลิสาไม่เคยมีแฟน เขาน่าจะรู้ไม่ควรไว้ใจน้องแฝดให้ทำงานสำคัญๆ อย่างนี้ ใจนึกหากริมฝีปากกลับลดระดับหาเรียวปากนุ่มทุกขณะ

อลิสารีบละล่ำละลัก “พี่”

เควินแสร้งทำหน้าผิดหวัง “พูดหวานๆ ด้วยสิ...ให้หวานเหมือนหน้าตาเรา อย่ากระชากเป็นมะนาวหน้าแล้งอย่างนั้น”

อลิสาทำหน้าพะอืดพะอม “คุณนี่ได้คืบจะเอาศอกเชียวนะ”

เควินหัวเราะเสียงดัง “ถ้าไม่ทำ…ก็ไม่มีใครว่านะ” ขู่ยิ้มๆ จ้องใบหน้าสวยพลางพูดว่า “เรียกพี่เคล…ไม่ใช่พี่เฉยๆ แล้วเรียกด้วยเสียงหวานๆ ด้วย”

“เอ๊ะ...คุณนี่ยังไงนะ”

“ก็เป็นยังงี้แหละ” ต่อปากต่อคำยิ้มๆ

อลิสามองอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “พี่เคล”

“หวานๆ ด้วยสิ”

“พี่เคลขา” อลิสาพูดพร้อมกับทำตาหวานใส่

เควินยิ้ม ซ่อนความรู้สึกเสียดายที่ต้องปล่อยวงแขนเป็นอิสระ “ต้องอย่างนี้สิ ต่อไปต้องเรียกพี่เคลไปตลอดด้วยนะ ห้ามเรียกเคลเฉยๆ หลุดออกมาเมื่อไหร่ถูกทำโทษแน่”

“แล้วพี่เคลคิดว่าน้องจะกลัวเหรอคะ?”

เควินมองผู้ที่มีศักดิ์น้องเลี้ยงอย่างเริ่มกลัวใจเพราะเสียงที่พูดอ่อนหวานเสียจนไม่น่าใช่อลิสา มองอย่างระแวง “แล้วทำไมจะไม่กลัวล่ะ?” ถามอย่างหยั่งเชิง แล้วก็จริงตามคาด พูดไม่ทันจบอลิสาก็ให้คำตอบด้วยการเหวี่ยงเท้าเตะที่กลางลำตัวเขาป้าบหนึ่ง โดนเต็มๆ จนจุกลงไปนอนกับพื้น มือกุมกล่องดวงใจด้วยสีหน้าที่บอกความเจ็บปวด เจ้าตัวกลั้นเสียงโอดครวญขณะชายตามองตามหลังอลิสาที่วิ่งตึงๆ ออกจากห้องนอนด้วยแววตาคาดโทษอย่างมาก เหมือนจะบอกได้ด้วยสายตาว่า…

ฝากไว้ก่อนเถอะ วันพระไม่ได้มีหนเดียว…







Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 31 พฤษภาคม 2552 0:40:40 น.
Counter : 508 Pageviews.

6 comment
อริ...ที่รัก (บท 2/1)



“เขามาทำอะไร ทั้งที่เขาควรอยู่ที่อเมริกาหรือไม่ก็ลอนดอนโน่น..แต่นี่กลับมาโผล่ที่ภูเก็ตอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หนูล่ะเกลียดนักพวกที่ชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ” อลิสาขึ้นมาชั้นสองได้เธอก็ใส่คุณอุษาทางโทรศัพท์อย่างไม่ยั้ง มือหนึ่งกระชากเสื้อผ้าถอด ส่วนอีกมือก็ถือกระบอกโทรศัพท์

“ใจเย็นๆ มาถึงก็ใส่ไม่ยั้งเชียว มีอะไรเกิดขึ้นเหรอลิส”

“ก็ใครเสียอีกล่ะ…นายเควินลูกรักของแม่สิคะ” น้ำเสียงประชดประชันอย่างฟังออกชัด

คุณอุษาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ถามต่ออย่างใจเย็นว่า “เคลทำอะไรลูก...ไหนบอกแม่สิ” น้ำเสียงนุ่มนวลอย่างปลอบประโลม

อลิสาไม่ทันสังเกตว่าน้ำเสียงของคุณอุษาอ่อนโยนและแสดงออกถึงความปลื้มยิ่งนักเมื่อพูดถึงเควิน “เขามาภูเก็ตโดยไม่บอกใครสักคำว่าจะมา” อลิสายังคงฟ้องต่อ

“แล้วไง...เขามาภูเก็ตก็ดีแล้วนี่ลูก จะได้ฉลองวันเกิดเจ้าแฝดได้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา”

“แต่เขาควรจะบอกแม่หรือบอกใครสักคนล่วงหน้าว่าจะมา”

“แล้วไงถ้าเขาบอกแม่กับโรเจอร์ล่วงหน้าแล้วไง…จะเกิดอะไรขึ้น”

“ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกค่ะ ลิสจะได้รู้ล่วงหน้าไงคะว่าเขาจะมา”

“รู้ล่วงหน้าหรือไม่รู้มันจะต่างกันตรงไหน ในเมื่อยังไงลูกก็ต้องมาเยี่ยมแม่อาทิตย์นี้วันยังค่ำ”

“ต่างสิคะ ก็ถ้าลิสรู้ล่วงหน้าลิสก็จะ...” อลิสาพูดแล้วชะงัก เกือบตกหลุมที่คุณอุษาขุดพรางไว้

“จะได้อะไร...ไหนบอกแม่สิ”

“แม่น่ะ…หลอกถามลิส” ตอบกลับไปเสียงอ่อยๆ

คุณอุษาหัวเราะ ต่อคำพูดบุตรสาวยิ้มๆ “จะได้หลบหน้าเคลใช่ไหม”

เจ้าตัวอ้าปากค้าง ก่อนจะหุบปากฉับในเสี้ยววินาทีถัดมา “เปล่าสักหน่อย แม่ล่ะหาความ ลิสก็แค่จะ... เฮ้… “ อลิสาอุทานอย่างเพิ่งนึกอะไรได้ เริ่มสะกิดใจกับท่าทีของผู้เป็นมารดา “น้ำเสียงแม่ดูไม่ตื่นเต้นหรือแปลกใจเลยนะคะกับการที่เคลมาปรากฏตัวที่ภูเก็ต ทั้งที่แม่บอกเองว่าเขากำลังเปิดตัวหนังเรื่องใหม่อยู่ที่ลอนดอน”

“…”

“ใช่ไหมคะแม่ๆ รู้ล่วงหน้าใช่ไหมคะว่าเคลจะบินมา แม่รู้อยู่แล้วว่าเคลไม่ได้ไปเปิดตัวหนังเรื่องใหม่ที่ลอนดอนสักหน่อย แต่ตั้งใจบินมาที่ภูเก็ตต่างหาก”

คุณอุษาอึกอักแล้วว่า “ก็ไม่เชิงหรอกลูก”

“นั่นไง…แม่ตอบแบ่งรับแบ่งสู้นะนั่น”

“เอ๊ะ…ลูกล่อลูกชนจริงเชียว เจ้าลูกคนนี้ยังไงนะ ชอบข่มแม่จริง เอ้า... ยอมรับก็ได้ว่าแม่รู้ล่วงหน้าว่าเคลจะมาร่วมงานวันเกิดน้องแฝดนั่น แล้วไงมันจะมีผลต่างกันตรงไหน ในเมื่อยังไงลูกก็ตั้งใจบินมาเยี่ยมแม่อยู่แล้ว”

“ต่างกันสิ...ลิสไม่อยากให้แม่ทำอะไรลับๆ ล่อๆ อย่างนี้”

“แม่ก็ไม่ได้ตั้งใจปิดบังอะไรหรอก... แต่เราไม่สังเกตตัวเองเหรอว่าทุกครั้งที่เคลบอกล่วงหน้าว่าจะมาเยี่ยมแม่ หรือแม่บอกเราล่วงหน้าว่าเคลจะมา เราก็มักจะหาเรื่องเบี้ยวหนีในนาทีสุดท้ายเสียทุกครั้ง ครั้งนี้เคลก็เลยขอร้องแม่และคนอื่นๆ ว่าอย่าเพิ่งบอกเรา แล้วความจริงแม่ก็เพิ่งรู้ด้วยว่าเคลจะบินมาภูเก็ต…แม่มารู้ก็ตอนที่เขาเดินทางมาถึงสนามบินภูเก็ตแล้ว”

อลิสาอ้าปากค้าง ผ่านไปหลายอึดใจจึงว่า “นี่แปลว่าทุกคนรู้ล่วงหน้ากันหมดเลยสิคะว่าเคลจะมา มีแต่ลิสคนเดียวที่ไม่รู้”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ลูก”

“ทำไมจะไม่เป็นละคะ”

“มันจะเป็นยังไง ไหนบอกแม่สิ”

อลิสากัดริมฝีปาก

“ตอบไม่ได้ เพราะหาเหตุเบี้ยวหนีไม่ทันใช่ไหมล่ะ” คุณอุษาดักคออย่างรู้ทัน

“ใช่สิ...ลิสมันแย่ในสายตาแม่วันยังค่ำ ไม่เหมือนนายเคลลูกรักของแม่หรอก ดีตลอด...ทำอะไรก็ถูกไปหมด” น้ำเสียงประชดประชันแกมน้อยใจ

“ก็เคลดีจริงนี่นา” คุณอุษาพูดราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวกับอารมณ์ของลูกสาว กล่าวต่อว่า “คิดดูนะเป็นถึงนักแสดงฮอลลีวูดดังระดับโลก แต่ไม่เคยหยิ่งกับแม่กับน้องๆ เทศกาลวันสำคัญที ก็กริ๊งกร๊างมาอวยพรตลอด ไม่เคยทำตัวห่างหาย วันก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว แม่กำลัง...”

“แม่คะ…เคลมาถึงภูเก็ตตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เธอรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่ผู้เป็นแม่จะร่ายยาวความดีงามของอีกฝ่ายไปมากกว่านั้น เพราะพอสรรเสริญถึงเรื่องนี้เมื่อไร เป็นต้องร่ายยาวเป็นกัณฑ์มหาชาติ ดูจะเป็นอะไรที่คุ้นหูเจนใจเธอไปแล้ว ตั้งแต่เป็นสาวน้อยตราบจนเป็นสาวเต็มตัว คุณอุษาจะต้องชื่นชมเควินให้ได้ฟังอยู่เสมอๆ เคลดีอย่างนั้น เคลดีอย่างนี้ เธอฟังมานานจนเอือมปนระอา หนักเข้าก็แอบเบนหูโทรศัพท์ออกห่าง หรือไม่ถ้าพูดคุยกันอยู่ตรงหน้า ก็จะเดินหนีให้เห็นโต้งๆ

ยิ่งเจ้าน้องแฝดยิ่งไปกันใหญ่ ทุกครั้งที่เธอโทรศัพท์มาหา เป็นต้องแย่งกันเล่าถึงเรื่องของเควิน ก็ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรให้พูดถึงนักหนาในเมื่อเควินก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ทำยังกับอีกฝ่ายเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ก็ไม่ปาน เธอหมั่นไส้...ยอมรับว่าหมั่นไส้จริงๆ

ก็แน่ล่ะสิที่น้องแฝดจะหลงใหลได้ปลื้มหมอนั่น มาเมืองไทยทีก็ขนแต่ของเล่นแพงๆ มาปรนเปรอ ราคาไม่ต่ำกว่าเรือนพันเรือนหมื่น ก็ไม่รู้ว่าจะอวดร่ำอวดรวยไปถึงไหน จะทำให้เสียนิสัยกันอยู่แล้วเพราะเคยตัวกับของฝากราคาแพง ก็ลองคิดดูพอเธอซื้อของฝากที่ราคาต่ำกว่าหลักพันเข้าหน่อย แน่ะ…เดี๋ยวนี้มีเมิน ทำเชิดใส่ ก็แหงสิ... เธอไม่ได้รวยเงินถุงเงินถังเหมือนอย่างนายเควินนี่ ที่ได้รับเงินค่าตัวไม่ต่ำกว่าหลักล้านในการแสดงหนังแต่ละเรื่อง ถึงทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่มได้ เธอมันเป็นพวกยาจก เงินเดือนเศษขี้ปะติ๋วของเขา เพราะงั้นจะไปแข่งรัศมีอวดร่ำอวดรวยซื้อของฝากทุ่มแข่งอะไรกับเขาได้ อลิสานึกอย่างหมั่นไส้แกมอิจฉา

หญิงสาวไม่รู้เลยว่ามีความริษยาเควินแฝงอยู่ในใจลึกๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ไม่ลงรอยกับเขามาตลอดสิบปีเต็ม เดิมทีตอนที่รู้จักกับเขาครั้งแรกในงานแต่งงานของคุณอุษานั้น ความรู้สึกเหล่านั้นยังไม่เด่นชัดและเข้มข้น แต่พอเขาบินมาเยี่ยมบ้านบ่อยครั้งขึ้นในระยะหลัง ตอนนั้นเธออายุสิบหกสิบเจ็ด ส่วนเขาประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้า เธอเริ่มไม่ชอบหน้าเขาหนักขึ้น ด้วยเริ่มเป็นที่ถูกกล่าวขวัญของคุณอุษา แม่เธอเริ่มพูดถึงเขาในแง่บวกถี่ขึ้น สรรหาเรื่องได้ร้อยแปดมาเยินยอให้ฟัง แรกๆ ยังพอทนฟังได้ แต่พอหนักเข้าเธอชักเอือมระอา ยิ่งเขาเข้าวงการนายแบบนักแสดง อาการเห่อของแม่ก็ยิ่งชัดขึ้น ถึงขนาดเก็บสะสมข้าวของของเขาทุกอย่าง โปสเตอร์หนังเอย ซีดีหนังเอย นิตยสารหนังสือพิมพ์เอย เธอเห็นแล้วรู้สึกว่ามันมากเกินไป นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเริ่มหงุดหงิดพานไม่ชอบหน้าเขา หนักเข้าจากความไม่ชอบหน้าจึงกลายเป็นอริในที่สุด เธอเกลียดเขาที่แย่งความรักความสนใจของแม่และของทุกคนไปจากเธอ

“ตกลงเราเจอเคลกี่โมง”

เสียงแม่เธอแทรกเข้ามาในความคิด อลิสาถามกลับไปว่า “แม่ว่าอะไรนะคะ?”

“ใจลอยไปถึงไหน แม่บอกว่าเคลมาถึงภูเก็ตก่อนลูกสักครึ่งวันได้ เพียงแต่ลูกกลับดึก ก็เลยอาจคลาดเจอกับพี่เขา”

“ค่ะเมื่อคืนอาจคลาด แต่เที่ยงนี้ได้เจอแล้ว”

อลิสาเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เมื่อได้ยินเสียงคุณอุษาพูดต่อไปว่า “อย่าทำอารมณ์เสียไปหน่อยเลยลูก แม่รู้ว่าลิสไม่ปลื้มพี่เขา แต่แม่ก็อยากให้ลองเปิดใจดูบ้าง เคลเป็นคนดีน่ารักมาก เขาอยากเจอลูกมากด้วย ลองคิดดูเขากลัวว่ากลับมาหนนี้จะไม่ได้เจอลูก กลัวว่าลูกของแม่จะเบี้ยวไม่กลับบ้านในนาทีสุดท้ายเหมือนกับทุกๆ ครั้ง เลยลงทุนแคนเซิลงานทางโน้น เพื่อจะได้บินมาเซอร์ไพรส์พวกเรา เคลทำทั้งหมดก็เพื่อพวกเรานะลูก ลิสควร….”

“แม่คะ...” อลิสาตัดบทก่อนที่แม่เธอจะพูดจบประโยค “ถ้าแม่ยังชมหมอนั่นอีกคำเดียว ลิสจะร้องกรี๊ดให้บ้านแตกเดี๋ยวนี้…. แค่นี้นะคะลิสมีสายเข้า” อลิสาพูดแล้วตัดสายทันที เป็นวิธีตัดบทสนทนาทุกครั้งของเธอ อลิสาเบื่อแล้วที่จะฟังความดีงามของเขา เธอเดินไปแหวกเสื้อผ้านับร้อยตัวในตู้บิวต์อินซึ่งทอดยาวติดต่อกันตลอดแนวผนังห้องนอน คว้าเสื้อเชิ้ตกับยีนมาได้ก็สวมอย่างกระแทกกระทั้น ก่อนจะเดินอาดๆ ลงบันไดไปอย่างพร้อมจะเอาเรื่องตลอดเวลา




สอดส่ายสายตามองหาเควิน พบกำลังนั่งวาดรูปอยู่ที่ระเบียง เธอก็ปรี่เข้าไปเปิดศึกทันที “คุณใช่ไหมเควินที่บอกให้แม่ปิดบังฉันเรื่องที่คุณบินมาภูเก็ต”

เควินสะดุ้งสุดตัว รีบเก็บภาพวาดที่เขียนลายเส้นอยู่ซ่อนไว้ข้างหลัง ตอนที่หญิงสาวลงมาเขากำลังทอดสายตามองไปยังผืนน้ำทะเลที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ พร้อมกับจินตนาการลูกติดแม่เลี้ยงอยู่ในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย กำลังเดินทอดหุ่ยไปตามริมหาด เป็นความสามารถบวกกับพรสวรรค์ที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด สามารถจินตนาการกว้างไกลถึงสิ่งที่มองไม่เห็น แล้ววาดออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ เขามักได้รับเสียงชื่นชมถึงภาพวาดเหล่านั้นด้วยว่าสวย ดูดี ครบองค์ประกอบศิลป์

“มีอะไร มาถึงก็ฉุนเฉียวเชียว” เควินใช้เสียงอ่อนๆ กล่อม ก่อนจะพินิจอีกฝ่ายตรงๆ อลิสาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนอวดเรือนร่างสูงโปร่งสมส่วน ดูออกว่าภายใต้เชิ้ตมีบราเซียอยู่ข้างใน เขาไม่ค่อยชินกับหุ่นหญิงเอเชียนัก ด้วยหลายรายที่หลับนอนด้วยกันมักเป็นสาวตะวันตกที่รูปร่างอวบอัดมากกว่า

อลิสาขึงตาใส่เขา “คุณได้ยินแล้วพ่อคนรูปหล่อ ฉันถามว่าคุณมีเหตุผลอะไรถึงต้องบอกแม่ให้ปิดบังฉันเรื่องที่คุณบินมาภูเก็ต”

เควินนิ่วหน้าจนหัวคิ้วติดกัน เขามักสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินคำชมจากปากเธอ ด้วยน้ำเสียงที่เธอใช้มันเตือนให้เขารู้สึกว่าเธอหมายความตรงข้าม เควินยิ้มใจดีสู้เสือแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เอง ไม่เห็นต้องหงุดหงิดเลย ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสักหน่อย อย่ามีโมโหไปหน่อยเลยน่า นั่งลงแล้วค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันดีกว่า” เควินตบเก้าอี้ข้างตัวประกอบคำพูด ตาเหลียวมองรอบตัว บิดขี้เกียจไปพลาง ก่อนจะเอ่ยชวนคุย “อากาศดีจนน่าอาบแดดว่าไหม พี่ว่าจะไปเดินเล่นริมหาดเสียหน่อย สนใจจะไปด้วยกันไหม”

“ไม่...แล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องพูดเลย คุณยังไม่ตอบคำถามฉันว่าทำไมต้องสั่งให้ใครๆ ปิดบังฉันเรื่องที่คุณเดินทางมาภูเก็ต”

“พี่เปล่า…”

“คุณทำ…” อลิสาพูดพร้อมกับเดินไปจิ้มอกเขาแรงๆ ฉับพลันต้องชะงักตัวแข็งทื่อเมื่อรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อแข็งแกร่งใต้เชิ้ตบางๆ… ถอยห่างออกมาราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ทว่าทันได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาจากตัวเขา

เควินแบมือขึ้นมาข้างหน้าสองข้างอย่างยอมแพ้ “โอเคพี่ทำ…แล้วไง มันผิดตรงไหนเพราะถ้าเรารู้ล่วงหน้า ถามหน่อยเถอะเราจะหาเหตุเบี้ยวหนีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาหรือเปล่า? ทุกครั้งที่อลิสตั้งใจมาเยี่ยมบ้าน แต่พอรู้ว่าพี่จะมาด้วย อลิสเป็นต้องหาเหตุเบี้ยวหนีได้ทุกครั้ง”

อลิสาอ้าปากค้าง “ไม่นะ…ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้น ก็แค่มีงานด่วนเข้ามาพอดี มันไม่แฟร์ด้วยที่คุณไปยัดเยียดความคิดนั้นให้แม่”

“พี่เปล่า… ไม่มีใครยัดเยียดความคิดใครให้กับใครได้ทั้งนั้นแม่ตุ๊กตาอลิส ทุกคนเห็นตรงกันทั้งนั้นว่าเราไม่ชอบขี้หน้าพี่ ถามหน่อยเถอะพี่ไปเหยียบตาปลาเราตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงได้เกลียดขี้หน้านัก”

“ไม่ใช่…”

“ใช่…”

“เอ๊ะ…คุณนี่”

“เอ๊ะ…เรานี่”

“อย่ามากวนโอ๊ยนะเควิน” อลิสาถอนฉุน

“พี่เปล่ากวน” เควินปฏิเสธยิ้มๆ อย่างไม่อนาทรนัก

“คุณ!” อลิสาโกรธจนพูดไม่ออก

เควินมองท่ากำหมัดแน่นของหญิงสาว แววตาปลาบปลื้ม “อยากชกพี่ล่ะสิท่า”

“ใช่…”

“งั้นก็ชกเลย… ถ้าคิดว่าสิ่งที่พี่ทำมันผิดนักล่ะก็...เชิญชกเลย” พูดแล้วมองอลิสา เมื่อเห็นหญิงสาวยังยืนเฉย เขาก็ชี้แจงต่อว่า “พี่ก็แค่อยากเจอเรา… พี่ผิดนักเหรอ” เสียงทุ้มอ่อนลง

อลิสานิ่วหน้า “ทำไมต้องอยากเจอ”

“ก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว…เราไม่อยากเจอพี่บ้างเหรอ” เควินทำเสียงอ่อนเสียงหวานราวกับมอดกัดไม้

อลิสาอึ้ง มองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก เมื่อเห็นแววตาคมกริบจ้องกลับมาอย่างจริงจัง อลิสาก็สะบัดหน้าหนี ยอมรับว่าไม่เข้าใจเขานัก “ฉันจะไปล่ะ…”

“จะหนีหน้าซะดื้อๆ อย่างนี้เหรอ”

“ใช่…จะทำไม” อลิสาตอบโดยที่ไม่เหลียวกลับมามองเขา ยังคงเดินตรงไปยังประตู

“ขี้กลัว”

“ใครกลัวคุณ”

“เราไงอลิส…จะใครเสียอีก”

“พูดให้สวยนะ” อลิสาเดินกลับมาอีกรอบ ท่าทางกร่างอย่างพร้อมเอาเรื่อง

“งั้นพิสูจน์สิว่าไม่กลัว”

“ลูกไม้อย่างนี้มันใช้ไม่ได้ผลแล้วเคล ประเภทยั่วผู้หญิงให้โกรธ จะได้เผลอรับคำท้าน่ะ มันล้าสมัยไปแล้ว ฉันไม่ไร้เดียงสาขนาดนั้น”

เควินแสร้งทำตาโตอย่างที่ดูออกชัดว่าล้อเลียน ก่อนจะส่งยิ้มหล่อเหลาให้กับอีกฝ่าย “อย่างนั้นหรือแม่น้องรัก? พี่ก็ไม่ได้ท้าเรานี่นะ แค่อยากชี้ให้เห็นว่าเราน่ะกลัวพี่จนต้องหาเหตุเบี้ยวหนีทุกครั้ง”

“บอกแล้วฉันไม่ได้กลัวคุณ ไม่มีเหตุผลต้องกลัวด้วย คุณก็รู้ฉันมีงานยุ่งแค่ไหน ก็แค่งานเข้าพอดีก็แค่นั้น”

“ทุกครั้งที่พี่มาเลยเหรอ?”

“ใช่…ทุกครั้ง” อลิสาหน้าแดงก่ำ

“ว้าว…ความบังเอิญที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยสินะ”

“ก็แหงล่ะ…ขึ้นชื่อว่าบังเอิญมันก็ต้องบังเอิญได้ตลอดเวลา” โบกมือไปมาตรงหน้า “อย่าคิดมากน่า คุณน่ะไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับชีวิตฉันหรอก ถึงขนาดต้องเปลี่ยนแผนกะทันหัน”

“ก็ได้พี่จะไม่สำคัญตัวผิด…งั้นไปเดินเล่นริมหาดกับพี่ พิสูจน์หน่อยอลิสที่รักว่าเราไม่ได้กลัวพี่”

อลิสากลอกตาไปมา “ไม่เห็นเกี่ยวกัน”

“งั้นเป็นแบบภาพนู้ดให้พี่”

“อะไรนะ!” เสียงสูงอย่างตกใจยิ่ง กับคำขอไม่มีปี่มีขลุ่ยนั่น

เควินส่งเสียงหัวเราะอย่างยั่วเย้า “พี่ล้อเล่น…”

อลิสาหน้าแดงก่ำ พูดเสียงต่ำในลำคอ “คุณไม่ควรเอาเรื่องอย่างนี้มาพูดเล่น”

เควินหัวเราะอีกระลอก “พี่บอกแล้วว่าล้อเล่น…เรามีอะไรต้องทำก็ไปเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปเดินเล่นริมหาดเสียหน่อย เว้นแต่เราจะเปลี่ยนใจไปกับพี่?”

“ไม่…เชิญตามสบาย”

เควินพยักหน้า “งั้นเจอกันค่ำนี้…พี่จะทำมื้อเย็นเผื่อ”

“ไม่ต้อง…ฉันอาจกลับดึก”

เควินพยักหน้ารับรู้ มองตามแผ่นหลังบอบบางที่เดินหายไปจากระเบียงในทันทีที่พูดจบ ชายหนุ่มมองตามด้วยสายตาเข้มข้น มีเสียงพึมพำลอยไปตามลม…พี่จะชนะเราอลิส…เควินนึกให้สัญญากับตัวเอง










Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 31 พฤษภาคม 2552 0:36:28 น.
Counter : 539 Pageviews.

12 comment
อริ...ที่รัก (บท 1)





เสียงโทรศัพท์กรีดดังระรัวไปทั่วห้องนอนหรูหรากว้างขวางแห่งนั้น ร่างสูงโปร่งสมส่วนที่กำลังนอนเหยียดกายอยู่บนเตียงนอนรูปทรงโบราณกำลังพลิกกายไปมาอย่างไม่สบายตัวนัก ก่อนจะคว่ำหน้ากับหมอนราวกับต้องการปิดกั้นเสียงที่กำลังลอดเข้ามาในโสตประสาทยามนี้ เจ้าของหุ่นนางแบบไม่ได้เอื้อมมือไปกดรับในทันที แต่กลับกระชากหมอนขึ้นมากดแนบใบหูทั้งสองข้างราวกับไม่ต้องการรับรู้เสียงใดๆ เธออยากจะให้เสียงที่ดังก้องกังวานไปทั่วห้องนั้นหยุดเสียที จวบจนกระทั่งหลายวินาทีผ่านไป เสียงจากระบบตอบรับก็พลันดังขึ้นอัตโนมัติเมื่อไม่มีใครรับสาย เป็นเสียงของผู้หญิงที่ตั้งระบบฝากข้อความเอาไว้ทั้งเสียงภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

“บ้านคูปเปอร์ กรุณาฝากข้อความ แล้วอุษาจะโทรกลับค่ะ” เป็นเสียงฝากข้อความที่กล่าวเป็นภาษาไทยรอบหนึ่งแล้วจึงกล่าวซ้ำเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นมีเสียงตู๊ดยาวเป็นสัญญาณให้ฝากข้อความ ตามด้วยเสียงจากปลายสายดังขึ้นว่า “ลิสนี่แม่นะ มาถึงบ้านหรือยัง โทรกลับหาแม่ที่หมายเลข...”

อลิสาไม่รอให้คุณอุษาพูดจนจบประโยค เธอรีบคว้าโทรศัพท์เหนือหัวเตียงมากดรับ “ลิสพูดค่ะแม่” เจ้าตัวกรอกเสียงอย่างงัวเงียลงไป ก่อนจะหาวหวอดๆ ใส่โทรศัพท์ไปอีกคำรบหนึ่ง

“เพิ่งตื่นหรือ น้ำเสียงงัวเงียเชียว” คุณอุษาเย้ามาตามสาย

“ค่ะแม่” ตอบคำแล้วหาวรับอีกรอบ ก่อนจะกล่าวสืบไปว่า “แม่มีอะไรหรือเปล่าคะ โทรมาแต่เช้าเชียว” เจ้าตัวพูดแล้วเหลือบมองนาฬิกาฝาผนัง เข็มสั้นและเข็มยาวชี้บอกเวลาหกโมงครึ่งซึ่งยังเช้าอยู่มากสำหรับเธอ

“เช้าอะไรจะเจ็ดโมงอยู่แล้ว… แล้วนี่เรามาถึงบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ลิส”

“สามทุ่มได้ค่ะ มาถึงก็หลับเป็นตาย ว่าแต่…แม่จะกลับพรุ่งนี้แล้วใช่ไหมคะ” อลิสาถามออกไป ขณะที่มือหนึ่งนวดคลึงท้ายทอยไปมาแก้เมื่อยขบ เธอเพิ่งจะมีวันหยุดยาวๆ ครั้งแรกในรอบหลายปีก็ช่วงนี้ จึงถือโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านและฉลองวันเกิดของน้องแฝดไปด้วยในคราวเดียวกัน หลังจากถูกรบเร้าอย่างหนักจากคุณโรเจอร์และเจ้าแฝด พวกเขาบ่นให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่าเธอไม่ค่อยกลับมาเยี่ยมบ้านที่ภูเก็ตนัก

ก็เธอหาเวลาว่างไม่ได้จริงๆ นี่นา…อลิสานึกหาคำแก้ตัวให้กับตัวเอง ด้วยหน้าที่การงานในฐานะนักข่าวและคอลัมนิสต์ของนิตยสารชื่อดัง ทำให้เธอต้องบินทั้งในประเทศและนอกประเทศอยู่บ่อยครั้งเพื่อทำสารคดีท่องเที่ยว จึงแทบไม่มีเวลาของตัวเองเลย ฉะนั้นอย่าว่าแต่บินมาหาพวกเขาเลย แม้แต่หาเวลาว่างให้กับตัวเองก็แทบไม่มี ด้วยเหตุนี้แม้ว่าจะอยู่ในประเทศเดียวกัน ก็หาโอกาสเจอกันไม่ได้เลย แต่กระนั้นเธอก็หมั่นติดต่อกับพวกเขาอยู่เสมอๆ อย่างน้อยก็ทางโทรศัพท์หรือไม่ก็ทางอินเตอร์เน็ต เพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกว่าเธอห่างเหินกับครอบครัว

ที่จริงแม่เธอไม่ใช่คนภูเก็ต แต่มาแต่งงานกับสามีใหม่ซึ่งเป็นชาวอเมริกันที่มาทำธุรกิจอยู่ที่ภูเก็ต เธอจึงต้องตามมาตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ที่นี่ตามไปด้วย คุณโรเจอร์ทำกิจการรีสอร์ตและโรงแรมติดริมหาดมาหลายสิบปีแล้ว เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อยู่ในวัยสี่สิบตอนต้น เขาเป็นพ่อหม้ายลูกติดเหมือนๆ กับแม่เธอ

หลังหย่าขาดกับภรรยาคนแรก คุณโรเจอร์ก็ย้ายมาอยู่เมืองไทย โดยที่ลูกชายอยู่กับแม่ที่อเมริกา ส่วนแม่เธอนั้น หลังจากสูญเสียพ่อเธอในอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอก็ครองตัวเป็นโสดมาระยะหนึ่ง กระทั่งพบรักกับคุณโรเจอร์ แม่เธอคบหาดูใจกับเขามาอีกหลายปีจวบจนมั่นใจว่าเขาจะเข้ากับพวกเธอสองแม่ลูกได้ จึงตัดสินใจเข้าพิธีแต่งงานกับเขา อลิสาเข้ากับพ่อเลี้ยงได้ดี แม้ว่าขณะนั้นเธออยู่ในช่วงวัยรุ่น อายุแค่สิบกว่าปีก็ตาม

“ลิสฟังแม่อยู่หรือเปล่า… ทำไมถึงเงียบไป”

เสียงคุณอุษาปลุกเธอจากภวังค์ “ฟังค่ะ…” อลิสาอึกอักแล้วกล่าวต่อว่า “ว่าแต่...แม่ว่าอะไรนะคะ ลิสไม่ทันฟัง” น้ำเสียงตอนท้ายเก้อเขินเป็นอย่างมาก

“นั่นไง...แล้วมาบอกว่าฟัง” คุณอุษาส่งเสียงหยอกเย้าแกมหัวเราะมาตามสาย ก่อนกล่าวต่อว่า “แม่บอกว่าคงต้องอยู่ต่อที่อเมริกาอีกสักระยะเพื่อหาที่เรียนให้กับแอล อาร์ ตอนนี้ยังหาที่เรียนที่ถูกใจไม่ได้เลย เพราะงั้นดูแลบ้านให้แม่ไปอีกหน่อยแล้วกันนะลิส อีกวันสองวันแล้วแม่จะกลับ”

“ว้า...ก็ไหนแม่ว่าอยากให้ลิสกลับมาเยี่ยมบ้าน พอลิสมาแล้วก็ชิ่งหนีอย่างนี้เหรอ รู้งี้ไม่กลับมาก็ดีหรอก” เธอบ่นกระปอดกระแปด ตอนที่ตกลงกันคือแม่เธอจะกลับถึงเมืองไทยวันพรุ่งนี้

แอลกับอาร์ที่คุณอุษาพูดถึงคือน้องหญิงชายฝาแฝดของเธอ แอลชื่อจริงว่าแอลลี่เป็นหญิง ส่วนอาร์ชื่อจริงว่าอาโรนเป็นชาย เด็กทั้งคู่เกิดจากแม่เธอกับคุณโรเจอร์ ตอนนี้อายุได้เจ็ดขวบแล้ว กำลังซนได้ที่ พวกเขาไปอเมริกาหนนี้ก็เพื่อดูลู่ทางเตรียมหาที่เรียนให้กับน้องฝาแฝดของเธอ

“พูดอะไรอย่างนั้น แม่กับโรเจอร์อยากเจอลูกจริงๆ นะลิส…อยากให้กลับมาเยี่ยมบ้านบ้าง กี่ปีแล้วที่เราไม่ได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาเลย น่า...ฝากดูแลบ้านแทนแม่สักวันสองวันจะเป็นไรไป เดี๋ยวอาทิตย์หน้าแม่ก็กลับแล้ว”

“อาทิตย์หน้า? โหอีกตั้งหลายวัน”

“น่า...อย่าแก่บ่นไปหน่อยเลยน่า อายุเพิ่งจะยี่สิบห้าขยันบ่นจริงเชียว ลูกมีวันหยุดหลายวันไม่ใช่เหรอ ยังไงก็ยังเหลือวันหยุดอยู่ด้วยกันอีกตั้งเยอะ”

คนที่ถูกหาว่า ‘แก่บ่น’ ย่นจมูกใส่โทรศัพท์ “ลิสเปล่าบ่น...แม่กับโรเจอร์เองที่เคี่ยวเข็ญอยู่นั่นแหละให้ลิสกลับมาบ้าน แล้วพอลิสมาถึง....ดูที่แม่กับโรเจอร์ทำสิ ชิ่งหนีไปอเมริกาซะอย่างนั้น”

“ใครบอกว่าชิ่งหนี แม่บอกแล้วต้องหาที่เรียนให้เจ้าคู่แฝด ปีหน้าน้องของลูกก็จะเข้าเรียนที่อเมริกาแล้ว”

“ค่ะๆ รับทราบค่ะ”

“เอาน่า…อยู่บ้านแค่สองสามวันเดี๋ยวก็เจอกันแล้ว แม่รักลูกนะจ๊ะลิส” คุณอุษาทำเสียงปลอบประโลม

“ค่ะ...หนูก็รักแม่ค่ะ”

“จ๊ะ...งั้นเดี๋ยวลูกพูดกับโรเจอร์หน่อยนะจ๊ะ เขามีอะไรจะพูดกับลูก”

“ได้ค่ะ” อลิสาพูดสายกับคุณโรเจอร์ต่อ พ่อเลี้ยงของเธอขอโทษขอโพยที่ต้องอยู่อเมริกาต่ออีกสองสามวันซึ่งนานกว่าระยะเวลาที่รับปากเธอไว้ น้ำเสียงเขาฟังออกว่าเดือดเนื้อร้อนใจเป็นอย่างมากที่ไม่สามารถกลับมาเจอเธอได้ตามกำหนด อลิสาพูดคุยซักถามสารทุกข์สุกดิบรวมถึงน้องฝาแฝดหญิงชายอีกพักใหญ่ๆ แล้วจึงขอตัวนอนต่อ เธอครูดตัวลงมานอนซุกหน้ากับหมอนซึ่งเป็นท่าที่หญิงสาวโปรดปรานที่สุด

อลิสาหวังจะนอนให้เต็มอิ่มชดเชยกับวันเวลาเก่าๆ ที่แทบหาเวลาว่างให้กับตัวเองไม่ได้เลย ด้วยต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำตลอด เธอเป็นคนทุ่มเทกับการงาน เป็นเวลาหลายปีติดต่อกันแล้วที่ทำงานหนักชนิดที่เรียกว่าโงหัวไม่ขึ้น ไม่ต่างจากเครื่องจักร จนหัวหน้าสั่งแกมบังคับกลายๆ ให้ออกไปเที่ยวพักผ่อน เปิดหูเปิดตาข้างนอก อย่าจับเจ่าอยู่แต่ในออฟฟิศเลย แต่เธอก็เถียงว่าไม่ได้จับเจ่า เพราะการออกไปทำงานนอกประเทศก็เหมือนการพักผ่อนอยู่ในตัวอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามผลจากการขยันและทุ่มเทให้กับการงานอย่างจริงจัง ทำให้เธอเติบโตในหน้าที่การงานเร็วมาก โดยได้รับเงินเดือนสูงกว่าเพื่อนร่วมงานวิชาชีพที่เข้ามาทำงานพร้อมกัน

หญิงสาวสนิทกับพ่อใหม่ แม้ไม่คุ้นกับการเรียกเขาว่าพ่ออย่างที่เจ้าตัวคะยั้นคะยอ แต่เธอก็รักเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพ่อคนที่สอง สมัยที่อายุสิบกว่าขวบจำได้ว่าเขาคอยดูแลอบรมสั่งสอนเธอ กระทั่งจบไฮสคูลที่โรงเรียนนานาชาติและเข้ามาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงเทพฯ ถึงได้ห่างๆ กัน ฉะนั้นเมื่อถูกรบเร้าให้กลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงนี้ให้ได้ เธอจึงพยายามปลีกตัวจากการงานและสุดท้ายก็สามารถมาเยี่ยมเยียนพวกเขาได้ในที่สุด

อลิสาลุกจากที่นอนในเวลาเกือบเที่ยง เธอตรงไปล้างหน้าแปรงฟันโดยที่ยังไม่อาบน้ำ แล้วซอยเท้าถี่ๆ ลงบันไดไปยังชั้นล่างเพื่อมุ่งสู่ห้องครัวซึ่งอยู่ติดกับฝั่งทะเล บ้านหลังนี้ปลูกอยู่บนเนินเขาที่สูงมาก มีอาณาเขตกว้างขวาง เมื่อมองข้างหน้าจากผืนดินข้างล่างขึ้นมา จะเห็นเป็นบ้านสามชั้นที่บุด้วยกระจกสีชารอบด้าน ตั้งอยู่กลางแมกไม้ ด้วยความที่คุณโรเจอร์ชอบสิ่งก่อสร้างที่ทันสมัย โรงแรมและรีสอร์ตจึงเป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัย นอกจากนั้นเขายังจ้างสถาปนิกระดับโลกคนเดียวกันนั้นมาออกแบบแปลนบ้านให้เหมือนกับโรงแรมและรีสอร์ตด้วย กล่าวได้ว่าที่พักอาศัยหลังนี้ตลอดจนลักษณะการตกแต่งรวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้สอยภายในบ้าน จึงได้รับอิทธิพลจากความคิดและความชื่นชอบของเขาเต็มๆ คือเน้นความเป็นสถาปัตยกรรมที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โปร่งโล่ง หากในเวลาเดียวกันก็พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

เธอชอบบ้านกึ่งคฤหาสน์หลังนี้ ไม่ใช่เพราะความใหญ่โตหรือทันสมัย แต่ชอบที่อยู่ท่ามกลางแมกไม้และบนเนินเขาสูง มองออกไปโดยรอบเห็นทิวทัศน์ของเกาะภูเก็ตร้อยแปดสิบองศา ทิวทัศน์ส่วนใหญ่เป็นชายหาดโดยเห็นเกลียวคลื่นเป็นริ้วสีขาวตัดกับขอบทะเลสีเขียวและท้องฟ้าสีคราม เป็นภาพที่สวยงามไม่ต่างจากจิตรกรที่ตั้งใจรังสรรค์ภาพเขียนอย่างวิจิตรบรรจง สวยงามและบรรยากาศดีเสียจนถูกนิตยสารรายปักษ์ทาบทามบ้านหลังนี้ขึ้นปกหลายครั้ง แต่คุณโรเจอร์ก็ปฏิเสธเสียทุกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าครอบครัวต้องการความเป็นส่วนตัวประการเดียว

อลิสาก้าวตามกลิ่นหอมของกาแฟเข้าไปในครัว เป็นกลิ่นที่แสนคุ้นเคยและน่าโปรดปรานเป็นอย่างมาก ไม่ทันได้เฉลียวใจว่าบ้านที่กว้างขวางและแสนจะมีบรรยากาศเวิ้งว้างอย่างนี้ ด้วยมีเธอเพียงคนเดียวนั้น จะมีกลิ่นหอมของกาแฟลอยมาได้อย่างไร? กว่าจะมาฉุกใจคิดได้ ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว...




อลิสาก้าวขาไม่ออก ปลายเท้าเปลือยเปล่าหยุดชะงักกึกอยู่ตรงประตูครัวนั่นเองเมื่อเหลือบเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ชัดเจน คุ้นตาแสนเจนใจเสียจนต้องบอกกับตัวเองว่าต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน เธอก็ไม่เคยลืมเลือนเขาได้ ต่อให้เห็นเขาที่ไหนเมื่อไร เธอก็ยังจดจำหุ่นกำยำนั้นได้เสมอ และอาการที่เกิดขึ้นตามมาในทันทีที่ได้เจอเขานั่นคือ หัวใจเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมานอกทรวงอก ซึ่งเป็นอย่างนี้เสียทุกครั้งด้วย ให้ตายเถอะ!

อาการนั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้ชายคนไหน...นอกเสียจากเขา ทฤษฎีดังกล่าวผ่านการพิสูจน์มาแล้ว เธอเจอผู้ชายมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำให้เธอเกิดความรู้สึกหวั่นไหวได้เท่ากับเขา อย่างไรก็ดีอาการนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว ดูจะนานพอๆ กับการเจอเขาครั้งสุดท้ายเมื่อเจ็ดปีก่อนนั่นแหละ

เขาหายไปจากชีวิตเธอได้เจ็ดปีแล้ว เป็นเวลาเจ็ดปีที่เธอมีความสุขมาก...

เจ้าของเรือนร่างกำยำคนนั้นกำลังยืนจิบกาแฟ มือหนึ่งไพล่หลัง ส่วนนัยน์ตามองตรงไปข้างหน้ายังทะเลสีครามที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ เขาไม่ได้หันมาทางเธอ...เพียงแค่เอียงข้าง แต่อลิสาเชื่อว่าสายตาคมกริบคู่นั้น ไม่เคยพลาดรายละเอียดใดๆ ที่อยู่รอบตัวเขาเลยสักครั้ง หากว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องการ...ก็เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

เควินเป็นลูกติดของคุณโรเจอร์ อายุสามสิบสามปี เป็นดาราฮอลลีวูด มีงานอดิเรกที่เธอฟังแล้วจั๊กจี๊หัวใจทุกครั้ง นั่นคือ จิตรกรวาดภาพนู้ด เขาเป็นลูกเสี้ยวที่หน้าตาหล่อเหลาคมคายมากจนเธอเองแม้ไม่อยากยอมรับ ก็จำต้องยอมรับ คุณโรเจอร์เป็นชาวอเมริกัน ส่วนแม่เขาเป็นลูกครึ่งอเมริกัน-ไทย เควินหล่อเสียจนสื่อต่างชาติขนานนามว่าเทพบุตรกรีก จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ได้รับการทาบทามให้เป็นนายแบบตั้งแต่รุ่นๆ จากนั้นก็ขยับเข้าสู่วงการดาราฮอลลีวูดในเวลาต่อมาไม่นาน

ท่ายืนที่มองออกไปนอกหน้าต่างทำให้เธอเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างเด่นชัด ตาคมที่แม้มองไม่เห็นในตอนนี้ แต่เธอก็รู้ว่าเป็นคู่สีสนิม โดยมีแพขนตายาวงอนทาบทับ จมูกโด่งตรงรับกับคางบึกบึนได้รูป เควินมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำขึ้นกว่าเจ็ดปีก่อนที่เธอเจอเขาเป็นครั้งสุดท้าย น่าแปลกที่ไม่ว่าเขาจะมีรูปร่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่เธอก็ยังจดจำได้อยู่นั่นเอง...น่าเจ็บใจนัก ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่าดูหนังทุกเรื่องที่เขาแสดง...ไม่ใช่เหตุผลนั้นอย่างแน่นอน นอกจากจะไม่ดูแล้ว เธอยังพยายามปิดรับข่าวสารทุกทางที่เกี่ยวกับเขาด้วย แต่ที่จดจำเขาได้อย่างแม่นยำก็เพราะ... นึกมาถึงตรงนี้อลิสาก็ชะงัก ไม่อยากหาคำตอบต่อ เธอจึงปัดความคิดคำนึงนั้นออกไป เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่เธอพยายามเลี่ยงถามคำถามนี้กับตัวเอง และเธอก็ทำสำเร็จเรื่อยมา

“จะยืนจ้องพี่อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างนั้นไปอีกนานแค่ไหน ทำไมไม่นั่งลง แล้วให้พี่เตรียมกาแฟให้เราล่ะ” เควินพูดเสียงนุ่มทุ้ม แล้วหันมามองน้องสาวต่างสายเลือดอย่างช้าๆ

สายตาคมกริบของอีกฝ่ายที่จ้องมา ทำให้อลิสาหน้าร้อนซู่ เพิ่งนึกได้ก็ตอนเห็นสายตาเขาลดต่ำมองทรวงอกนั่นเอง เธอลงมาจากห้องนอนด้วยเสื้อยืดเก่าๆ คลุมเลยกางเกงขาสั้นมาเล็กน้อย ดูเผินๆ จึงเหมือนไม่สวมกางเกง ยิ่งกว่านั้นข้างบนเธอยังโนบราด้วย กลืนน้ำลายลงคอขณะพยายามเก็บงำความรู้สึกขัดเขิน ยืดอกเต็มความสูงอย่างที่ต้องการแสดงให้เขาเห็นว่าเธอไม่ได้กริ่งเกรงกับสายตาเขา อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่เด็กสาวขี้อายคนเดิมอีกต่อไปแล้วที่เป็นต้องประหม่าอายอย่างคนไม่มั่นใจในตัวเองทุกครั้งที่สายตาเขาจ้องมองมา

“ไม่...ฉันไม่นั่ง ว่าแต่คุณเถอะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน”

“ยังคงไม่มี ‘พี่’ สินะ เหมือนเมื่อสิบปีก่อนไม่มีผิด” เควินเย้าด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ เสียงเขานุ่มนวลราวฟองเบียร์ที่เกาะอยู่ขอบแก้ว เขาสามารถพูดภาษาไทยได้คล่องเพราะแม่เขาที่เป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันสอนให้ แถมเขายังเรียนเพิ่มเติมเอาเองจากวัดไทยด้วย

สิบปีก่อนในงานแต่งงานของพ่อเขากับแม่เธอ เขาเดินทางมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ส่วนเธอเดินโปรยดอกไม้นำหน้าแม่เข้ามาในโบสถ์ เป็นการเจอกันครั้งแรกระหว่างชายหนุ่มวัยยี่สิบสามกับเด็กสาววัยสิบห้า ตอนนั้นเธอแกล้งทำเครื่องดื่มหกเลอะเทอะชุดสูทของเขา แถมยังแกล้งพูดภาษาไทยกับเขาตลอดเวลาที่อยู่ในงานด้วย ทั้งที่ตอนนั้นเขาพูดภาษาไทยได้ไม่คล่องนัก ต่างกับเธอที่พูดภาษาอังกฤษคล่องมากเพราะไปเรียนแบบกินนอนอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษกับเขา นับจากคุณโรเจอร์แนะนำเขาให้เธอรู้จัก อลิสาก็เรียกเขาว่าคูปเปอร์ เควินหรือไม่ก็เคลตลอดมา ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเรียกว่าพี่อย่างที่เขาต้องการ ซึ่งนับเวลาถึงตอนนี้ก็ย่างเข้าปีที่สิบไปแล้ว

...เฮี้ยวอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง...เควินลงความเห็นกับตัวเอง

“ทำไมไม่เรียกว่าพี่” เควินถามต่อ

“แล้วทำไมคุณถึงชอบบังคับคนอื่นเสียจริง”

เควินเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงแบบไม่อยากญาติดีนักของเธอ ยังไม่ทันตอบ อีกฝ่ายก็ถามต่อไปว่า “ไหนโรเจอร์บอกว่าคุณไปเปิดตัวหนังเรื่องใหม่ที่ลอนดอน แล้วทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้”

เควินยิ้มเอื่อยๆ อย่างยียวน ก่อนจะตอบทีเล่นทีจริงว่า “ไม่รู้สิอลิส...พี่คงอยากเจอเรามั้ง แล้วเราล่ะ...ถ้ารู้ล่วงหน้าก็จะไม่กลับมาเยี่ยมบ้านอย่างนั้นใช่ไหม” น้ำเสียงที่ถามมีแววหยอกเย้ากึ่งท้าทายอยู่ในที

“ก็ไม่แน่...” ตอบกลับอย่างท้าทายปานกัน แล้วจ้องเขาอย่างเอาเรื่อง

“ไม่ใช่ไม่แน่...แต่จริงเลยล่ะ เพราะไม่อย่างนั้นเราก็คงกลับมาเยี่ยมบ้านแล้ว...ใช่ไหม? ถามหน่อยเถอะทำไมถึงไม่กลับมาเยี่ยมบ้านเลยตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา”

“ว้าว...เควินที่รัก คุณนี่มีเวลาเหลือเฟือจนน่าอิจฉาจริง ถึงได้ว่างมานั่งนับนิ้วเวลาที่ฉันกลับมาหรือไม่กลับมา” ทำเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างประชดประชัน

เควินนิ่วหน้าแต่เพียงครู่เดียวก็ตีหน้าตายตอบว่า “อ๋อ...แน่นอน พี่มีเวลาว่างสำหรับครอบครัวเสมอแหละ ถึงจะมีงานยุ่งแค่ไหนก็เถอะ ว่าแต่เราเถอะ สามปีมานี้ยุ่งมากเลยใช่ไหมถึงบินมาหาพวกเขาไม่ได้ทั้งที่อยู่ในประเทศเดียวกัน”

สงครามน้ำลาย… อลิสารู้ว่าเขากำลังยั่วเธอและเขาก็ทำสำเร็จแล้วด้วยเพราะเธอเริ่มเดือดปุดๆ อลิสารู้สึกว่าอุณหภูมิภายในพุ่งขึ้นสูง เธอจึงพยายามข่มอารมณ์ ขณะกล่าวว่า “ใช่...ฉันยุ่ง ฉันทำงานยุ่งตลอด แต่ก็ไม่เคยละเลยพวกท่าน ฉันโทรศัพท์มาถามสารทุกข์สุกดิบตลอด คุณล่ะตลอดเวลาที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง” น้ำเสียงเริ่มหมดความสนุกที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเขา

“พี่ก็โทรศัพท์ทางไกลมาตลอด แล้วก็หาเวลาว่างมาเยี่ยมพวกเขาได้ถี่กว่าเราด้วยซ้ำ พี่ว่าเราทิ้งพวกเขานานเกินไปแล้วนะอลิส ทุกคนคิดถึงเรา” น้ำเสียงตอนท้ายแผ่วลงเล็กน้อย ราวกับจะบอกว่า ‘ทุกคน’ ที่เขาพูดถึงหมายถึงตัวเขาเองด้วย

“ฉันบอกแล้ว ฉันโทรศัพท์มาหาพวกท่านทุกอาทิตย์นั่นแหละ อย่ามาหาความกันหน่อยเลย” อลิสาเถียงปากคอสั่นพร้อมกับเชิดหน้ามองเขาอย่างดูหมิ่น

เควินอึ้งกับอากัปกิริยานั้น เรียวปากสวยราวอิสตรีไม่พูดอะไรแต่หันไปหยิบแก้วมาชงกาแฟให้อีกฝ่ายเงียบๆ ผ่านไปหลายวินาทีโดยไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศตลอดเวลานั้นเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด แล้วเควินก็เลื่อนแก้วกาแฟหอมกรุ่นไปวางบนโต๊ะตรงหน้าหญิงสาว “นั่งลงลิส... เราน่ะหน้าซีดจนจะเป็นลมได้อยู่แล้ว นั่งลงแล้วกินกาแฟแก้วนี้ให้หมด อารมณ์จะได้เย็นขึ้น”

อลิสาเลื่อนพนักเก้าอี้นั่งตามคำแนะนำเขา เพิ่งรู้ตัวว่าเธอกำขอบพนักเก้าอี้ไว้แน่น จนข้อนิ้วปูดโปนซีดขาว “โรเจอร์กับแม่รู้หรือเปล่าว่าคุณเดินทางมาเยี่ยมบ้าน” ถามออกไปอีกเรื่อง

“กินกาแฟให้หมด แล้วพี่จะตอบเรา”

“ไม่! ตอบฉันว่าโรเจอร์กับแม่รู้หรือเปล่า...” อลิสากระชากเสียงย้อนถามกลับไปทันควัน

เควินลอบผ่อนลมหายใจกับความเอาแต่ใจของเจ้าตัว “พี่บอกแล้วว่าจะยังไม่ตอบคำถามเราจนกว่าจะกินกาแฟแก้วนี้ให้หมด กินกาแฟซะอลิส” หางเสียงมีแววบังคับแกมข่มขู่ เขาชอบเรียกลูกติดของแม่เลี้ยงว่า ‘อลิส’ เหมือนกับเวลาเรียกชื่อเพื่อนฝรั่งของเขา ซึ่งสมัยก่อนอลิสามักค้านอยู่บ่อยครั้งโดยอ้างว่าไม่ใช่ฝรั่งเพราะงั้นอย่าเอามาใช้ เขากลับคิดว่าแม้เธอไม่มีเชื้อฝรั่ง แต่ใบหน้าสวยเฉี่ยวค่อนไปทางตะวันตกเสียยิ่งกว่าลูกครึ่งบางคน อย่างไรก็ดีเดี๋ยวนี้เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยปากค้านแล้วเมื่อเขาเรียกด้วยชื่อนั้น คงเบื่อที่จะค้านแล้วกระมัง

เควินนึกแล้วมองน้องสาวต่างสายเลือดตรงๆ ให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ผู้หญิงตรงหน้าก็ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือคงเส้นคงวาในเรื่องไม่ลงรอยกับเขา ถ้าบอกให้เธอทำอย่าง เธอก็จะทำอีกอย่าง ราวกับความสุขของเธอคือการได้แกล้งขัดใจเขา

จำได้ว่าอลิสาไม่กินเส้นกับเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกันในงานแต่งงานของพ่อเขาๆ ก็พยายามญาติดีกับเธอตลอดมา แต่ฝ่ายนั้นกลับวางท่าปั้นปึ่ง เชิดหน้าหยิ่งผยองอย่างพร้อมที่จะเอาเรื่องกับเขาทุกเมื่อ แต่พระเจ้าช่วย…แม้เธอจะร้ายกาจอย่างนั้น หากอย่างหนึ่งที่เขาจำต้องยอมรับก็คืออลิสางามสง่าไม่เปลี่ยนแปลงจริงๆ สิบปีก่อนงามเด่นอย่างไร วันนี้วินาทีนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้นเช่นเดิม เขานึกทึ่งเธอมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้วที่หยิบจับทำอะไร ก็ชวนมอง ดูดีไปหมด

ก็ดูอย่างตอนนี้สิ...เธอแค่นั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้กระจกตรงหน้าเขาในชุดเสื้อยืดเก่าๆ ปล่อยชายที่เปื่อยยุ่ยคลุมกางเกงขาสั้นจู๋ อวดปลีขาเรียวยาวขาวผ่อง เธอคงลุกมาจากที่นอนทั้งอย่างนั้น เพราะผมยาวสลวยกระเซอะกระเซิงและหลุดลุ่ยออกมาจากมวยผมที่เจ้าตัวรวบไว้หลวมๆ ทางด้านหลัง แต่พระเจ้าช่วยด้วยเถอะ เธอกลับดูดีอย่างเหลือร้าย…. สวย งามสง่าและเซ็กซี่

เธอทำได้อย่างไรกัน ทั้งที่อยู่ในชุดเก่าๆ เปื่อยยุ่ย แต่กลับดูดีและเซ็กซี่เหลือร้าย! เควินนึกแล้วลอบพินิจอีกฝ่ายละเอียดลออขึ้น อลิสน้อยของเขาเติบโตขึ้นมากในปีนี้ สูงชะลูดเพรียวลม หากทว่าก็งามสมส่วนทั้งอกเอว สะโพกดูจะรับกันอย่างเหมาะเจาะ

ความจริงตลอดสามปีแรกที่คุณโรเจอร์แต่งงานกับคุณอุษา เขาบินมาเยี่ยมครอบครัวที่ภูเก็ตอยู่บ่อยครั้ง แต่ภายหลังรับงานแสดงหนัง เขาก็ไม่ได้บินมาอีกเลย ติดงานตลอด ไม่ใช่แค่ครอบครัวทางนี้ แม้แต่ครอบครัวใหม่ของแม่ที่อเมริกา หรือง่ายๆ แม้แต่ตัวเขาเอง เขาก็ยังแทบไม่มีเวลาให้กับตัวเอง ไม่สิ…แล้วเควินก็นึกแก้ความคิดตัวเอง ช่วงสองสามปีให้หลังที่เขาเข้าวงการการแสดงแล้ว แม้จะงานยุ่ง แต่เขาก็หาเวลามาเยี่ยมครอบครัวคุณโรเจอร์ที่ภูเก็ตได้ อย่างน้อยก็ในช่วงเทศกาลสำคัญๆ อลิสาเองต่างหากที่ติดงานตลอด เวลาเขามาเธอมักติดงานด่วนในนาทีสุดท้ายเสมอ เขากับเธอจึงคลาดกันตลอดและเป็นอย่างนี้มาเป็นเวลาเจ็ดปีเต็มแล้ว…เป็นเวลาเจ็ดปีเต็มที่พวกเขาไม่ได้เจอกันเลย ยกเว้นรับรู้ข่าวคราวของอีกฝ่ายผ่านทางครอบครัว

แม้ไม่เจอกัน แต่เขาก็รู้ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของเธอตลอด ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง เขารู้ว่าเธอเป็นนักข่าวและคอลัมนิสต์ของนิตยสารพลอยไพลินซึ่งเป็นนิตยสารชื่อดังในเมืองไทย ดูจะเป็นเส้นทางที่ไปได้สวยสำหรับอลิสา เขาได้ยินว่าเธอได้รับเงินเดือนพุ่งพรวดๆ เร็วกว่าเพื่อนร่วมงานรุ่นราวคราวเดียวกัน ฉะนั้นหญิงสาวทำอะไร อยู่ที่ไหน เขาก็รับรู้ตลอด ซึ่งพ่อเขากับอาอุษาโทรศัพท์มารายงานให้ทราบเป็นระยะๆ โดยเฉพาะพ่อเขานั้น ดูจะเห่อลูกเลี้ยงคนนี้เป็นพิเศษ โทรมาเล่าให้ฟังตั้งแต่สมัยรุ่นๆ แล้วว่าอลิสาแข่งกีฬามหาวิทยาลัยได้รับรางวัลชนะเลิศบ้างล่ะ เรียนดีจนได้เกียรติบัตรชมเชยบ้างล่ะ อลิสาอย่างนั้นอลิสาอย่างนี้จนฟังแล้วแทบหูแฉะ นอกจากนั้นน้องฝาแฝดของเขา ก็ยังโทรศัพท์มาแย่งกันเล่าถึงความเก่งและความดีของเธอให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง ประโยคฮิตที่ฟังจนติดหูคือ พี่ลิสของแอลดีอย่างนั้น พี่ลิสของอาร์ดีอย่างนี้ จนบางครั้งเขาอดคิดขำๆ ปนติดตลกในใจไม่ได้ว่าครอบครัวของพ่อเขา ดูจะมีแต่อลิสาและน้องแฝดเท่านั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีพื้นที่ว่างใดๆ ในครอบครัวเหลืออยู่สำหรับเขา ทุกคนดูจะพร้อมใจลืมเลือนไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยมีเขาเป็นสมาชิกของครอบครัวด้วยเหมือนกัน

น่าอิจฉาที่หญิงสาวเป็นศูนย์รวมความรักของทุกคน…

“คุณยังไม่ตอบฉัน...เคล ว่าโรเจอร์กับแม่รู้หรือเปล่าว่าคุณโผล่มาอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นลอนดอน”

เสียงอลิสาปลุกเควินให้ตื่นจากภวังค์ เขากระแอมแล้วหันไปตอบอีกฝ่าย “มันต่างกันตรงไหน จะลอนดอนหรือเมืองไทย ถ้าพวกท่านรู้...ผลมันจะต่างกันยังไง พี่ไม่เข้าใจ” พูดพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น

“อ๋อ…ต่างกันแน่ เพราะถ้ารู้ แม่กับโรเจอร์ก็ต้องบอกฉันแล้วว่าคุณมาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ที่ลอนดอน แต่นี่พวกท่านยังเข้าใจว่าคุณไปเปิดตัวหนังอยู่ที่ลอนดอน”

“สรุปที่ฉุนเฉียวนี่เพราะไม่รู้ล่วงหน้าใช่ไหมว่าพี่จะมา”

อลิสาอ้าปากค้างเมื่อเขาโพล่งขึ้นมาชนิดที่เรียกว่านั่งอยู่กลางใจเธอ หุบปากฉับแล้วว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย” ทว่าน้ำเสียงแผ่วลงอย่างมาก

“ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วอย่างไหน ทำไมเราต้องมาฉุนเฉียวใส่พี่ด้วย”

“เปล่าทำอย่างนั้นสักหน่อย” อลิสาแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ เธอไม่ชอบใจนักที่เขาจับไต๋ได้ เจ้าตัวกระแอมแล้วกล่าวว่า “คุณยังไม่ตอบฉันว่าทำไมถึงแวบมาอยู่ที่ภูเก็ตนี่ ทำไมถึงไม่อยู่ที่ลอนดอน”

เควินยกมือกอดอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายติดใจเรื่องนี้นัก คลี่ยิ้มมุมปากแล้วว่า “แล้วไง ถึงพี่จะอยู่ที่ลอนดอนหรืออยู่นี่ เราก็ยังต้องมาเยี่ยมบ้านช่วงนี้อยู่ดีไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นมันจะต่างกันตรงไหน พี่ถามหน่อยเถอะ”

อลิสาขบริมฝีปาก เธอจะบอกได้อย่างไรว่าเธอพยายามเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขาเรื่อยมา ทุกคราวที่รู้ว่าการพบปะสังสรรค์ของคนในครอบครัว จะมีเขาเดินทางมาร่วมด้วย เธอเป็นต้องเปลี่ยนแผนกะทันหัน หาเรื่องออกไปทำสกู๊ปต่างจังหวัดบ้าง หรือไม่ก็เดินทางไปต่างประเทศบ้าง เพื่อจะได้อ้างแม่กับคุณโรเจอร์ได้ว่ามีงานเข้ากะทันหันเลยมาร่วมงานไม่ได้

“เรายังไม่ตอบพี่…อลิส ว่าถ้ารู้ล่วงหน้าพี่อยู่ที่นี่ มันจะเกิดผลอะไรตามมา”

“เปล๊า...จะมีอะไรเกิดขึ้นล่ะ” อลิสาย้อนถามกลับแล้วไหวไหล่ “อีกอย่างไหนๆ คุณก็โผล่มาที่นี่แล้ว เพราะงั้นจะฟื้นฝอยไปก็ไลท์บอยใช่ไหม? เพราะงั้นก็ลืมๆ ไปเถอะ” พูดพร้อมกับโบกมือไปมาตรงหน้าราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย จากนั้นเจ้าตัวก็กล่าวต่อไปว่า “ว่าแต่ทำไมถึงไม่ไปเปิดตัวหนังเรื่องใหม่ที่ลอนดอนล่ะ เห็นแม่ว่าจะมีดาราฮอลลีวูดไปร่วมงานมากมายไม่ใช่เหรอ”

“ไหน...ใครว่าฟื้นฝอยไปก็ไม่มีประโยชน์?” เอาคำหญิงสาวมาย้อนถามกลับยิ้มๆ

“นั่นไม่ใช่การฟื้นฝอย แต่เรียกว่าหาข้อมูลเพื่อก้าวไปข้างหน้าต่างหาก”

“เรานี่มันเถียงข้างๆ คูๆ จริงเชียวอลิส...จะยอมจนมุมบ้างได้ไหม อย่างน้อยก็เถียงอย่างคนมีเหตุผลบ้าง”

“ก็นั่นล่ะเหตุผลของฉันล่ะ” อลิสาพูดอย่างไม่ยี่หระนัก

เควินถอนหายใจอย่างระอา ก่อนยอมตอบตรงๆ ว่า “พี่ไม่ไปเปิดตัวหนังที่ลอนดอน เพราะไม่อยากไป เมื่อไม่อยากไปก็เลยแคนเซิล เหตุผลก็มีแค่นั้น”

“เหตุผลง่ายดีนี่” อลิสาประชด

“อ๋อ...แน่นอน ง่ายแน่ ขาดพี่ไปเสียคนหนังเขาก็ไม่เจ๊งหรอก”

“พูดง่ายๆ คนไม่มีความรับผิดชอบก็มักพูดง่ายๆ อย่างนี้แหละ” อลิสาพูดลอยๆ

“ว่าใครไม่มีความรับผิดชอบ?” เควินขมวดคิ้วมุ่น

“จะว่าใครเสียอีกล่ะ ในครัวนี่มีแต่เราสองคน” ย้อนกลับหน้าตาเฉย

เควินขมวดคิ้วหนักขึ้น “พี่หมายถึง...กล้าว่าพี่เชียวเหรอ”

อลิสากลั้นยิ้มขำจนพวงแก้มบวมตุ่ม ก่อนจะลอยหน้าต่อล้อต่อเถียงว่า “กล้าไม่กล้าก็ว่าไปแล้ว…มีอะไรไหมเควินสุดหล่อ?”

เควินกอดอก ยืนพิงขอบโต๊ะหรี่ตามองผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในที่นั้น น้ำเสียงที่ใช้เรียกเขา ‘เควินสุดหล่อ’ ฟังออกชัดว่าดูหมิ่น ไม่ได้หมายความตามคำพูดสักนิด “เรานี่เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยนนะอลิส…” พูดแล้วละไว้แค่นั้น อย่างต้องการยียวนอีกฝ่ายบ้าง

“เหมือนเดิมยังไง” คราวนี้ถามอย่างระแวง

“ก็ชอบแหย่ชอบงัดข้อคนอื่น สงสัยเป็นพวกซาดิสม์แหงๆ แต่อ้อ...มีอย่างหนึ่งนะที่เปลี่ยนแปลงไปมาก…มากทีเดียว” เน้นย้ำตอนท้ายพร้อมกับชายตามองตรงทรวงอกหญิงสาวราวกับต้องการยืนยันคำพูดว่าเปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ แล้วเควินก็เอ่ยต่อว่า “เจ็ดปีที่เราไม่ได้เจอกัน…เราเปลี่ยนจากเด็กสาวที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาเดินได้ มาเป็นสาวเซ็กซี่อย่างร้ายกาจ สงสัยคงมีหนุ่มเทียวไล้เทียวขื่อหัวบันไดบ้านไม่แห้งสิท่า”

อลิสาชะงักทำหน้าไม่ถูกกับคำพูดเขา เพราะน้ำเสียงนั่น…จะชมก็ไม่ใช่ จะกัดก็ไม่เชิง มันฟังแล้วแปร่งๆ ชอบกล เธอจึงเลี่ยงไปว่า “คุณพูดภาษาไทยชัดขึ้นนี่ ดูเหมือนสำบัดสำนวนจะใช้ได้ทีเดียว”

“แน่ล่ะ...เราไม่ได้เจอพี่มากี่ปีแล้ว”

อลิสายิ้ม ยกมือเท้าแขนกับโต๊ะเพื่อลุกยืน กล่าวไปอีกทางว่า “เห็นทีฉันต้องขอตัวแล้วเควินที่รัก…มีธุระต้องออกไปทำข้างนอก ยังไงก็ยินดีนะที่ได้เจอคุณที่นี่ พักผ่อนตามสบายเพราะที่นี่ก็เป็นบ้านของคุณด้วยเหมือนกัน”

“เราเก่งเรื่องพูดให้คนอื่นกระอักกระอ่วนใจนะอลิส...เราทำให้พี่รู้สึกว่ามารบกวนที่นี่”

“อ้าว...ทำไมคิดมากยังงั้นล่ะ คุณทำให้ฉันรู้สึกผิดแล้วนะเนี่ย” มองเขาตาแป๋วด้วยนัยน์ตาใสซื่อ พร้อมกับย้อนถามกลับอย่างล้อเลียน

เควินจ้องหน้าอีกฝ่าย แต่เห็นเพียงแววตากลมโตใสๆ ตอบกลับมา เขาส่ายหน้าอย่างไม่อยากยอมรับ “เรานี่มันเจ้าเล่ห์อลิส”

อลิสาหัวเราะ “ฉันคงต้องไปจริงๆ แล้ว”

“ที่ลุกลี้ลุกลนรีบไปอย่างนี้ ไม่ใช่กลัวพี่ใช่ไหม”

“ทำไมฉันต้องกลัวคุณ”

“ก็ไม่รู้ ถ้าไม่กลัว ก็นั่งดื่มกาแฟให้หมดแก้วก่อนซิ ธุระเราด่วนมากจนต้องข้ามอาหารเช้าเลยเหรอ”

“กาแฟเย็นชืดหมดแล้ว” อลิสากล่าวลอยๆ

“งั้นนั่งลงแล้วพี่จะชงกาแฟแก้วใหม่ให้”

อลิสาถอนหายใจยาวเหยียด เธอจำต้องทรุดนั่งอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ รอเขาชงกาแฟแก้วใหม่อย่างใจเย็น นึกฉงนเล็กน้อยที่เขาตักส่วนผสมได้ถูก แต่ก็ไม่นึกอยากออกปากถาม จวบจนกระทั่งเขาวางแก้วกาแฟมาตรงหน้า หญิงสาวจึงประคองขึ้นจิบ พลันที่คาเฟอีนล่วงสู่ลำคอ เธอก็นึกอยากลืมเรื่องที่เขาทำให้เธอติดข้องหมองใจเสียสิ้น เพราะรสชาติที่เขาชงถูกปาก

เธอไม่รู้ตัวเลยว่าถูกลอบมองพฤติกรรมโดยตลอด เควินยิ้มมุมปากแล้วกล่าวว่า “กาแฟสอง คอฟฟี่เมตหนึ่งและน้ำตาลสอง” เอ่ยขึ้นเรียบๆ อย่างเดาใจอีกฝ่ายได้ เขาหมายถึงกาแฟสองช้อนชา คอฟฟี่เมตหนึ่งช้อนชาและน้ำตาลสองช้อนชา

ดวงตาดำขลับตวัดมองเขาพลันอย่างคาดไม่ถึง แต่เมื่อเห็นเขาจ้องอยู่ก่อนแล้ว เธอก็รีบหลุบตาต่ำเสมองแก้วกาแฟในมือ รู้สึกใจเต้นแปลกๆ อีกแล้ว น่าเจ็บใจชะมัด...

“จะไม่ถามต่อหรือว่าทำไมพี่ถึงรู้ได้ว่าเราดื่มกาแฟรสไหน” เควินยังถามต่ออย่างต้องการตอแย เขาจำได้อย่างแม่นยำนับตั้งแต่ชงกาแฟแก้วแรกให้เธอเมื่อสิบปีก่อน ก็แปลกดีที่เขายังจำได้

อลิสาส่ายศีรษะ “ไม่ค่ะ... บางเรื่องเก็บไว้เป็นปริศนาก็น่าสนใจดี ว่าแต่งานคุณเป็นไงบ้างคะ”

เควินมองหญิงสาวยิ้มๆ อย่างรู้ทัน ไม่เอ่ยอะไร ตอบตรงคำถามว่า “ก็เรื่อยๆ ปีนี้พี่รับงานอีกสองเรื่อง จะเปิดกล้องเร็วๆ นี้”

“งานคุณไปได้สวย ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ”

เควินพยักหน้ายอมรับ “แล้วเราล่ะลิส เห็นพ่อว่าดาเนียลเจาะจงให้เราไปทำสกู๊ปเขาไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนเราก็ไปได้สวยในงานคอลัมนิสต์เหมือนกันนะ” น้ำเสียงเควินมีแววชื่นชมจริงใจ ดาเนียลที่เขาเอ่ยถึงเป็นนักเทนนิสระดับโลก

อลิสายกมือเสยผมอย่างเก้อเขิน “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก…โรเจอร์ก็พูดเกินไป ททท. กำลังรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยน่ะ เลยทำสารคดีโปรโมตเมืองไทยแล้วเชิญดาเนียลมาเป็นพรีเซนเตอร์ในฐานะคนดังที่ชื่นชอบเมืองไทย ช่วงนี้อยู่ระยะโปรโมตสปอร์ตโฆษณา ททท.เลยเชิญทุกสื่อไปทำข่าวสัมภาษณ์เขาก็แค่นั้น”

“แต่นิตยสารพลอยไพลิน...ดาเนียลเรียกร้องว่าต้องเป็นเราโดยเฉพาะไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงมีแววริษยาโดยไม่รู้ตัว

“ก็คงประมาณนั้น” ยอมรับอย่างเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญนัก

เควินขมวดคิ้วมุ่น “เราไปรู้จักหมอนั่นตั้งแต่ตอนไหน” น้ำเสียงดุราวกับผู้ปกครอง

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เจอกันบนเครื่องบินคุยกันถูกคอเลยแลกเปลี่ยนอีเมลเบอร์โทรกันก็แค่นั้น”

“เขาติดต่อมาบ่อยสินะ” น้ำเสียงติดประชดประชัน

อลิสาขมวดคิ้วบ้าง แต่ก็ยังพูดดีกับเขา “ไม่บ่อยหรอกค่ะตามแต่โอกาสอำนวย เขามีแข่งเยอะเลยไม่ค่อยมีเวลา เดี๋ยวฉันคงต้องขอตัวแล้วล่ะค่ะเคล ต้องออกไปทำธุระข้างนอกจริงๆ ขอบคุณนะคะสำหรับกาแฟแก้วนี้”

คราวนี้เควินไม่เอ่ยปากท้วงอีก คงเพียงแต่มองตามแผ่นหลังบอบบางของอลิสาที่เดินลับขึ้นชั้นสอง อลิสาไม่มีทางรู้ว่าเขาคิดอะไร และหากรู้ เจ้าตัวคงหนาวๆ ร้อนๆ พานจับไข้แน่…









Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 31 พฤษภาคม 2552 0:32:32 น.
Counter : 487 Pageviews.

10 comment
1  2  3  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments