Group Blog
ใต้ปีกรัก...บท 1
เวลา เป็นนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิค ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) เขาเป็นหนุ่มเลือดร้อน พูดจาโผงผางจนติดจะขวานผ่าซาก ใครๆ ออกปากว่าเป็นคนขวางโลก โดยเฉพาะสาวๆ ต่างค่อนขอดลับหลังว่า ปากเสีย หากทว่าน่าแปลกสาวๆ กลุ่มนี้อีกเช่นกันที่คอยแวะเวียนมาต่อปากต่อคำราวกับว่าการได้ถูกเขาตอกกลับให้เจ็บๆ คันๆ ในหัวใจเล่นเป็นความสุขอย่างหนึ่ง

เจ้าตัวได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มรูปงาม รูปร่างสูงเพรียวราวกับนักฟุตบอลยุโรป เป็นคนขยันขันแข็ง เอาการเอางาน รักเพื่อนฝูงและชอบช่วยเหลือครูบาอาจารย์ ด้วยเหตุนี้จึงมีอาจารย์และนักศึกษาทั้งชายและหญิงเข้ามาพูดคุยด้วยไม่ได้ขาด โดยเฉพาะเพื่อนต่างเพศทั้งสาวและไม่สาวต่างให้ความสนใจและเข้ามาติดพันมากมายจนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนเจ้าชู้ทั้งที่โดยพื้นนิสัยแล้ว เขาไม่ชอบสุงสิงกับใคร โดยเฉพาะกับสาวๆ เขาไม่ต้องการความสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินเลยสถานะเพื่อน ด้วยว่าเจียมตัวในความยากจนของตนเอง

เวลาอยู่กับหลวงลุงบุญรักษาที่วัดในกาญจนบุรีมาตั้งแต่เล็กๆ อาศัยข้าวก้นบาตรชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ ๗ ขวบจวบจนปัจจุบันอายุ ๒๓ ปีก็ยังคงกินนอนอาศัยอยู่ที่วัด เขาเป็นชาวสุพรรณบุรีมาแต่กำเนิด เกิดในครอบครัวเกษตรกรที่มีฐานะขัดสน มีพี่น้องถึงสิบสองคนโดยเขาเป็นลูกชายคนสุดท้อง ด้วยเหตุนี้พ่อแม่จึงฝากฝังให้อยู่กับหลวงลุงที่จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ หลวงลุงบวชเณรมาตั้งแต่เล็กๆ จวบจนปัจจุบันเป็นรองเจ้าอาวาส และด้วยความที่ฐานะทางบ้านยากจน เวลาจึงต้องหยุดเรียนเพื่อช่วยเหลือครอบครัว เพิ่งจะได้กลับมาเรียนอีกครั้งเมื่อปีก่อน เมื่อเทียบกับเพื่อนในรุ่นราวคราวเดียวกันเขาจึงมีอายุมากกว่าใครๆ หลายคน และเป็นสาเหตุให้เขาได้รับความยำเกรงในฐานะหัวโจกจากเพื่อนร่วมห้องกลายๆ

“เวลาจะไปไหน” หลวงลุงถามขึ้นเมื่อเห็นหลานชายเดินมาคว้ากุญแจรถกระบะ โดยที่บ่าข้างหนึ่งสะพายเป้ใบไม่ใหญ่นักไปด้วย รถคันที่ว่า โยมพ่อของหลวงลุงถวายไว้ให้ใช้ตั้งแต่เมื่อครั้งบวชเรียนใหม่ๆ จนถึงตอนนี้แม้มีสภาพเก่าทรุดโทรม แต่ก็ยังใช้การได้ดี เนื่องจากได้เวลาคอยหมั่นตรวจสภาพรถ และเปลี่ยนอะไหล่ให้อยู่บ่อยๆ

เวลาตอบตรงๆ ว่า “จะไปช่วยแม่ยกแปลงมันสำปะหลังครับ” เขาหมายถึงขับรถกลับไปบ้านไร่ของพ่อแม่ที่จังหวัดสุพรรณบุรีเพื่อช่วยทำไร่ทำนา ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมปลายภาค จึงมีเวลากลับไปช่วยงานที่บ้านได้ แล้วเขาก็บอกต่อว่า “ผมขัดห้องน้ำแล้วก็เดินสายไฟในคณะให้ทั้งหมดแล้วนะครับ” อาคารแต่ละหลังในวัดแห่งนี้เรียกว่าคณะซึ่งรับผิดชอบโดยหลวงพ่อแต่ละรูป อย่างหลวงลุงบุญรักษารับผิดชอบคณะสองซึ่งจะดูแลตั้งแต่ที่พักตลอดจนอาหารการกินของเด็กวัด

เวลาใช้คณะสองเป็นที่กินอยู่หลับนอนร่วมกับเพื่อนๆ เด็กวัดอีก ๕ คน ซึ่งแต่ละคนล้วนมาจากลูกหลานชาวเกษตรในจังหวัดใกล้เคียงนี้ ทั้งห้าคนเรียนด้านอาชีวะทั้งหมดซึ่งมีทั้งวิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยอาชีวศึกษาและวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี บางคนกำลังเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) บางคนเรียนระดับปวส. ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมก๊วนที่สนิมสนมกันเป็นอย่างดี อาจจะทะเลาะเบาะแว้งกันไปบ้างตามประสาคนที่อยู่ด้วยกัน แต่โดยภาพรวมก็ถือว่าเรียบร้อยดี นอกจากนี้เขายังมีเพื่อนซี้จากต่างคณะซึ่งบางคนเรียนระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยรัฐ

ในคณะสอง แต่ละคนมีหน้าที่ไม่เหมือนกัน ต่างมีเวรทำความสะอาดคณะหมุนเวียนสลับกันไป โดยตอนเช้าหลังจากเดินตามหลวงลุงไปบิณฑบาตแล้ว ก็กลับมาเก็บข้าวของที่ได้จากการบิณฑบาต ทำความสะอาดที่หลับที่นอน ส่วนคนที่มีเวรเก็บกวาดเศษขยะใบไม้ใบหญ้ารอบคณะ ก็ตื่นมาทำแต่เช้าแล้วจึงอาบน้ำและถ้าใครมีเวรทำความสะอาดห้องน้ำในเช้าวันนั้น ก็ถือโอกาสทำความสะอาดไปในคราวเดียวกันขณะอาบน้ำ แล้วจึงนำอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตใส่กล่องไปกินเป็นมื้อเที่ยงที่วิทยาลัย กิจวัตรของเวลาเป็นแบบนั้น

“ขอบใจมาก” หลวงลุงตอบด้วยน้ำเสียงปรานี ผลจากเหตุการณ์น้ำท่วมวัดเมื่อหนก่อน ทำให้วัดตัดสินใจเดินสายไฟใหม่ในทุกอาคาร โดยยกให้สูงจากจุดเดิม ซึ่งก็ได้ลูกศิษย์วัดที่เป็นเด็กอาชีวะเหล่านี้มาช่วยเดินสายไฟใหม่และช่วยกันทำคันกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำจากคลองข้างๆ ไหลทะลักเข้ามาในอาณาเขตวัด ซึ่งกลุ่มของเวลาค่อยๆ ทำจนมาเสร็จทุกอาคารในวันนี้ แล้วหลวงลุงก็ถามต่อว่า “ว่าแต่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ทำไมไม่อยู่อ่านหนังสือที่นี่ กลับไปบ้านจะได้อ่านหรือ” หลวงลุงรู้ดีว่าที่บ้านไร่ของเวลาอยู่กันอย่างแออัดและมีงานไร่งานนาให้ทำไม่ได้ขาดมือ ถ้าหลานชายกลับไปย่อมไม่มีเวลาอ่านหนังสือแน่นอน อีกอย่างในช่วงสั้นๆ ที่เวลายังไม่กลับไปนี้ ก็ยังมีพี่ๆ อีกหลายคนช่วยอยู่ หลวงลุงรู้ว่าเวลาเป็นความหวังของครอบครัวด้วยว่าหัวดีที่สุดในบรรดาลูกๆ ทุกคน ครอบครัวจึงอยากให้เขาตั้งใจเรียนและเรียนจบสูงๆ เพื่อจะได้กลับไปเป็นกำลังหลักของครอบครัว ซึ่งนั่นก็คือการเรียนหลักสูตรต่อเนื่อง ๒ ปี เพื่อจบปริญญาตรี

ด้วยเหตุที่เวลาหัวดี อาจารย์ประจำสาขาช่างยนต์คนหนึ่งที่รักเขาเหมือนลูกหลาน กอปรกับรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณที่เวลาเข้าไปช่วยลูกชายเขาจากเหตุการณ์ก่อเหตุทะเลาะวิวาทของเด็กช่างกลจนตัวเองถูกลูกหลงกระสุนปากกาปืนฝังที่หัวไหล่ ตอนนั้นเวลาผ่านไปเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี เขาจะไม่เข้าไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็ได้ แต่ด้วยความที่ไม่ใช่คนดูดาย เมื่อเห็นคนสถาบันเดียวกันบาดเจ็บ เขาจึงฝ่าวงปะทะเข้าไปนำร่างบาดเจ็บของลูกชายอาจารย์ออกมานำส่งโรงพยาบาลโดยไม่คิดถึงชีวิตของตัวเอง ทั้งที่เหตุการณ์ตอนนั้นชุลมุนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แค่เห็นว่าเด็กบาดเจ็บเป็นเด็กที่ใส่เสื้อช็อปของสถาบันตัวเอง เขาก็เข้าไปช่วยทันที แม้จะช่วยลูกชายของอาจารย์ไว้ไม่สำเร็จเพราะต่อมาก็ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล แต่สำหรับอาจารย์แล้ว รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเวลา ด้วยเหตุนี้จึงอยากสนับสนุนด้วยการส่งเสียให้เล่าเรียนสูงๆ ให้มากที่สุดเท่าที่สติปัญญาและความสามารถจะไปถึงได้

แรกสุดเวลาปฏิเสธและบอกไปว่าเขาสามารถกู้เงินกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต(กรอ.) มาใช้ในการเล่าเรียนได้ เหมือนขณะนี้ที่เขาเล่าเรียนระดับปวช.และปวส. เขาก็กู้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) มาโดยตลอด หรือไม่ก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยและอีกอย่างหลายหลักสูตรในมหาวิทยาลัยก็เป็นหลักสูตรทวิภาคีที่ร่วมกับสถานประกอบการ โดยนอกจากจะได้เรียนและปฏิบัติจริงในสถานประกอบการแล้ว ยังได้เงินเบี้ยเลี้ยงรายเดือนอีกด้วย แถมจบแล้วยังมีโอกาสที่สถานประกอบการจะรับเข้าเป็นพนักงานในทันที หากประหยัดหน่อย เวลาคิดว่าน่าจะเพียงพอกับค่าเล่าเรียน ทว่าอาจารย์ไม่ยอมรับคำปฏิเสธของเขาและยืนยันให้เขาลองไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าไม่ติด ก็ค่อยว่ากันอีกที

เวลาแย้งว่า “กลับไปบ้านก็อ่านหนังสือได้ครับ”

“สรุปว่ายังไงก็จะกลับสุพรรณฯ ให้ได้ว่างั้นเถอะ” ผู้บวชเรียนทางธรรมกระเซ้า แต่เมื่อหลานชายพยักหน้ากลับมา หลวงลุงก็จ้องหน้าอย่างค้นคว้า ก่อนกล่าวอย่างรู้ทันว่า “ความจริงเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะไปสอบจริงจัง กะจะไปสอบแค่พอเป็นพิธีอย่างนั้นใช่ไหม?”

เวลาหัวเราะเมื่อหลวงลุงรู้ทัน เขาเลือกที่จะไม่ตอบ เวลายังไม่ได้บอกหลวงลุงว่าบริษัทด้านผลิตรถยนต์ที่เขาไปฝึกงานด้วย ติดตามทาบทามมาให้ไปสมัครงาน ขณะนี้เขาอยู่ระหว่างการชั่งใจว่าจะไปสมัครงานเลยโดยไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือจะไปลองสอบพอเป็นพิธี แล้วกลับมาสมัครงานที่บริษัทดังกล่าว

เมื่อเห็นหลานชายไม่ตอบ หลวงลุงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่คิดที่จะสอบจริงจัง จะหวังได้งานดีๆ ได้ยังไง อย่าลืมว่าเจ้าเป็นความหวังของพ่อแม่นะเว” ประโยคหลัง หลวงลุงเรียกชื่อเล่นของเขา บุญรักษาพูดตามความเชื่อของคนสมัยโบราณที่ฝังใจว่างานดีๆ คือการรับราชการ และการจะรับราชการให้ได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าคนนายคนได้ ก็ต้องเรียนจบสูงๆ มีใบปริญญา

เวลารู้ดีว่าความเชื่อแต่ดั้งเดิมนั้นเป็นสิ่งที่แก้ไขยาก แต่เขาก็อดแย้งออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ ไม่ได้ว่า “ผมทราบว่าผมเป็นความหวังของครอบครัว แต่ว่าไม่จำเป็นจะต้องจบสูงๆ หรือจบมหาวิทยาลัยถึงจะประสบความสำเร็จในชีวิตหรือในการงานนี่ครับ ความรู้แค่ป.4 มัธยม ปวช.หรือปวส. ก็สามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ ถ้าเรารู้และเชี่ยวชาญในงานที่เราทำจริง” เวลาจะยกตัวอย่างกรณีของหลวงลุงก็ทำได้ไม่ถนัดปาก เพราะฝ่ายนั้นถึงจะไม่จบการศึกษาทางโลก แต่ก็จบการศึกษาทางธรรมถึงขั้นเปรียญธรรม ๙ ประโยค (ป.ธ.๙) ซึ่งเป็นระดับชั้นสูงสุดของการศึกษาแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย

หลวงลุงบุญรักษาโต้ต่อว่า “ก็แล้วความรู้แค่นั้น จะเอาไปทำอะไรได้ สมัยนี้ต้องจบสูงๆ ถึงจะไปแข่งขันกับเขาได้” ผู้เป็นรองเจ้าอาวาสยังคงแย้งตามความเชื่อดั้งเดิม

เวลาค้านเสียงอ่อนๆ ว่า “ข่าวคราวทางหน้าหนังสือพิมพ์ก็บอกอยู่ว่าคนเรียนจบปริญญาตรีตกงานมากมาย แต่สายอาชีวะกลับขาดแคลนเพราะตลาดแรงงานต้องการเกินกว่าที่วิทยาลัยจะผลิตได้ เรียกว่าเรียนสายอาชีพไปไม่ตกงานแน่ครับ แถมยังนำความรู้มาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน อย่างน้อยก็ช่วยเหลือตัวเองซ่อมอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านได้ อย่างเดินสายไฟ ซ่อมรถ แอร์ ทีวี ตู้เย็น ฯลฯ โดยไม่ต้องจ้างคนอื่นให้เสียเงิน”

หลวงลุงเถียงไม่ออก เพราะเพิ่งประจักษ์พยานจากการที่หลานชายและเหล่านักเรียนนักศึกษาอาชีวะที่เป็นเด็กวัดต่างช่วยกันเดินสายไฟใหม่ให้ บุญรักษายังคงแย้งแต่ไม่เต็มปากเต็มคำนักว่า “เรื่องนั้นก็ใช่อยู่ แต่ว่าอาตมาก็ยังไม่เห็นหนทางว่าจะจบแค่ปวส.แล้วหางานดีๆ ทำได้ยังไง อย่างน้อยการจะเป็นเจ้านายคน ก็ต้องมีความรู้สูงๆ”

เวลายังคงยิ้มในหน้าเมื่ออธิบายต่ออย่างใจเย็นว่า “การจะได้งานดีๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าคนนายคนนี่ครับ หลวงลุงก็ทราบว่าผมไม่เกี่ยงงาน แล้วผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่างานที่ใช้แรงงานก็สามารถประสบความสำเร็จเป็นเจ้าคนนายคนได้” ยามนั้นเวลาประกาศออกไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นไปอย่างที่เจ้าตัวได้ลั่นวาจาไว้หรือไม่ แต่เขาก็มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จให้จงได้ นั่นคือนิสัยของเขาๆ อยากพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เขาคิดและเชื่อไม่ผิดพลาด

หลวงลุงถอนหายใจแล้วว่า “เอาเถอะถ้าเชื่ออย่างนั้น อาตมาก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วเหมือนกัน” ถอนใจอีกระลอกด้วยความปลงตก แล้วกล่าวต่อ “ถ้าเจ้ายืนยันจะกลับบ้านแบบนี้ ก็ขับรถระวังก็แล้วกัน ว่าแต่จะกลับมาเมื่อไหร่”

เวลายิ้มอ่อนๆ อีกครา แล้วตอบว่า “อีก ๒-๓ วันครับ ขอดูที่บ้านก่อนว่างานยุ่งมั้ย ถ้ายุ่ง...ผมจะโทร.มาบอกหลวงลุงอีกทีครับ” เวลาตอบอย่างนอบน้อมแล้วกราบลาออกมา

หลวงลุงมองตามร่างสูงปราดเปรียวที่หายลงไปจากเรือนแล้ว ก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด แววตาเต็มไปด้วยรอยกังวลแกมห่วงใย ด้วยว่าเขาเห็นอะไรบางอย่างที่บ่งบอกว่าอนาคตของหลานชายจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลหากเขากลับสุพรรณบุรีหนนี้.... ความจริงไม่ใช่การกลับสุพรรณบุรี หากแต่เป็นการพบใครบางคนในระหว่างทางต่างหากที่ทำให้ชีวิตหลานชายเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ซึ่งเป็นไปในทางที่ทำให้เขาลำบากมากขึ้น ด้วยเหตุนี้หลวงลุงจึงพยายามพูดรั้งไว้ แต่ทว่าดูเหมือนไม่สำเร็จนัก...

กรรมย่อมหมุนล้อไปตามกงล้อของมัน....



ถนนมุ่งสู่จังหวัดสุพรรณบุรีค่อนข้างโล่งเนื่องจากยังเช้าอยู่มาก นานๆ ครั้งถึงจะมีรถสวนมาสักคัน ลมโกรกเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดไว้เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ จนผมหยักศกนุ่มสลวยดั่งผมอิสตรีปลิวสยายไปกับสายลม เสียงเพลงลูกทุ่งยอดนิยมจากวิทยุตอนหน้ารถที่เปิดทิ้งไว้เป็นเพื่อนมาตลอดทางดังกระหึ่มรอบทิศทาง เวลาดัดแปลงรถกระบะของหลวงลุงโดยนำเครื่องเสียงมาติดตั้ง ทำให้เสียงดังกระหึ่มมากเป็นพิเศษ แล้วจังหวะที่เขากำลังร้องคลอไปกับเพลงลูกทุ่งนั่นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นรถลัมโบร์กินีจอดเสียอยู่ข้างทาง อะไรไม่ดึงดูดสายตาเท่าสาวน้อยหน้าตากระจุ๋มกระจิ๋มที่กำลังยืนพิงข้างรถ เธอถือผ้าโพกผมผืนขาวสะอาดโบกไปมาเพื่อขอความช่วยเหลือ ท่วงท่าเธอทำให้คิดถึงนางเอกในภาพยนตร์ฮอลีวูดสักเรื่องด้วยว่าเก๋ไก๋ราวกับดารานักแสดงที่กำลังเข้าบทบาท ผิวพรรณเธอขาวสะอาดสะอ้านดั่งหยวกกล้วยอย่างเห็นได้ชัดแม้ในระยะไกลขนาดนี้ เธอดูบอบบางไม่ต่างจากตุ๊กตาเคลือบญี่ปุ่นชั้นดี เมื่อพิเคราะห์จากรถสปอร์ตคันหรูของเธอที่จอดเสียอยู่ริมทางกับหน้าตาผิวพรรณอย่างคุณหนูแล้ว เวลาไม่สงสัยเลยว่าเธอต้องเป็นลูกหลานของพวกไฮโซจากฟ้าเมืองกรุงสักคนที่ขับรถหลงทางผ่านมาแถวนี้เป็นแน่

หลานชายของหลวงลุงพารถไปจอดท้ายรถสปอร์ตคันหรูในระยะห่างออกมา ดับเครื่องยนต์ ลงจากรถก่อนเดินตรงไปหาเด็กสาว มั่นใจว่าเธอเป็นพวกหูไม่ถึงเพลงลูกทุ่งแน่ เพราะก่อนดับเครื่องยนต์ เขาทันเห็นเธอยกมือป้องหูพลางทำปากเบ้ พอเพลงเงียบลง จึงลดมือลงแต่ยังคงมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง เมื่อเขาเดินตรงไปหา เธอก็ผงะถอยหลังไปสองก้าวพร้อมทั้งกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจดเท้าเท้าจดหัว นั่นทำให้เขานึกถึงเพื่อนๆ ลูกคนรวยที่ชอบดูถูกเหยียดหยามคน แต่เธอไม่ใช่แค่นั้น ยังมีกลิ่นอายของลูกกวางตื่นภัยที่ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายๆ จึงคอยระวังอยู่ในที เอ...แต่นึกอีกทีเธอเหมือนลิงแสมเหมือนกันที่ตอนนี้คงเหม็นเบื่อกะปิอย่างเขามากๆ?? เวลานึกอย่างขำๆ

อะไรทำให้เขาจู่ๆ นึกถึงลิงขึ้นมา? เวลาถามตัวเองแล้วนึกตอบได้ในทันทีว่าเพราะเธอดูเป็นเด็ก ให้อย่างไรก็อายุไม่ถึง ๑๕ ปี แต่ริอ่านแต่งหน้าเข้มจัดยังกับแสดงงิ้ว อืม...งิ้วอาจฟังรุนแรงเกินไป เพราะถ้าพูดตามสัตย์จริงอย่างให้ความเป็นธรรมแล้วละก็ ต้องบอกว่าสวยดี เพียงแต่มันทำให้เธอดูแก่เกินวัย เข้าทำนองแก่แดดซึ่งไม่เหมาะกับวัยอย่างเธอ

ใช่...ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่ง เขาจับมาล้างเครื่องสำอางแล้วๆ จะสั่งสอนว่าเป็นเด็กเป็นเล็ก ควรปล่อยให้งามตามวัย งามตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องแต่งเสริมอะไรอีก เพราะวัยอย่างเธอน่ารักและสดใสตามธรรมชาติอยู่แล้ว

เวลายังคงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยขณะเดินตรงไปหาเธอ เด็กสาวที่กำลังยืนกอดอกตรงหน้าจัดว่าสูงมากเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะเขาสูงเกือบ ๑๘๐ เซนติเมตร ขณะที่เธอสูงในระดับไล่ๆ หัวไหล่เขา ส่วนหนึ่งอาจเพราะรองเท้าส้นสูงด้วย อืม...เขาเพิ่งสังเกตว่าเธอใส่ส้นตึกสูงเกือบ ๓ นิ้ว...จำเริญจริงแม่คุณ!! เดินเข้าไปใกล้อีกนิด เขาเห็นวงหน้าเรียวรูปไข่ที่ประกอบด้วยเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก ไล่ตั้งแต่ดวงตากลมโตสีน้ำทะเลอย่างที่ดูออกว่าไม่ใช่ม่านตาธรรมชาติ แต่น่าจะสวม “บิ๊กอายส์” อย่างเด็กวัยรุ่นสมัยนี้นิยมกันมากกว่าซึ่งเพื่อนของเขาบางคนก็ใส่ เธอมีจมูกเล็กแต่โด่งปลายรั้นบอกถึงความเอาแต่ใจ เรียวปากบางแต่อวบอิ่มด้วยลิปสติกสีแดงสด คางบุ๋มเล็กน้อยอย่างสาวเซ็กซี่ ขณะที่แก้มสองข้างนวลเนียนเป็นสีชมพูจากเครื่องสำอาง เขาอยากนักรู้ว่าถ้าปราศจากสารเคมีพวกนั้นแล้ว ใบหน้าภายใต้จะเป็นอย่างไร? จะขาวอมชมพูด้วยเลือดฝาดไม่ต่างจากเรียวแขนและแขนที่โผล่พ้นขอบเสื้อเอวลอยและกางเกงขาสั้นที่เห็นขาวนวลเนียนอยู่ในขณะนี้หรือไม่?

ใช่...เป็นสิ่งที่น่าสงสัยชวนหาคำตอบจริงๆ แล้วเขาก็อดคิดต่อไม่ได้ว่า เธอมาชนบทแต่กลับแต่งตัวยั่วไอ้เข้ เป็นน้องเป็นนุ่ง จะจัดหวดก้นเสียให้เข็ด

เวลาบอกตัวเองว่าปกติเขาไม่ชอบสุงสิงกับเด็กสาวๆ โดยเฉพาะพวกลูกไฮโซไฮซ้อด้วยแล้ว อยากหนีไปให้ไกลๆ เลยทีเดียวเพราะเรื่องมาก แต่ทว่ารายนี้กลับมีอะไรบางอย่างที่สะกดให้เขาอยากเข้าใกล้ เขาบอกไม่ถูกว่าคืออะไร? ไม่ใช่เพราะความสวยน่ารัก ไม่ใช่เพราะผิวพรรณที่ขาวนวลเนียนและไม่ใช่เพราะเธอมาจากครอบครัวร่ำรวย ไม่...ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเหล่านั้นอย่างแน่นอน แต่ที่เขาต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ก็เพราะทนเห็นความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ได้ต่างหาก และที่สำคัญเธออายุน้อยเกินกว่าจะมาเดินทะเร่อทะร่าอยู่กลางชนบทแบบนี้ซึ่งเสี่ยงต่อสวัสดิภาพของตัวเองอย่างยิ่ง ใช่...ต้องเป็นเหตุผลนั้นแน่ๆ เวหาพยายามตอกย้ำให้ตัวเองเชื่อแบบนั้น ขณะเดินตรงไปหาเธอ โดยใช้สายตาคมกริบสำรวจอีกฝ่ายไปในคราวเดียวกัน






Create Date : 23 มกราคม 2558
Last Update : 23 มกราคม 2558 22:44:49 น.
Counter : 933 Pageviews.

8 comments
  
ว๊าว คุณอุ๋ยเปิดบทแรก ก็ป๊ะกันแล้ว หนุ่มรถกะบะ กับสาวน้อยลัมโบกินิ แม๊ ช่างแตกต่างกันจริงจริ๊ง


อยากรู้ที่มาของชื่อ "เวลา" ค่ะ

ขอบคุณคุณอุ๋ยที่ตัดสินใจมาโพสต์ให้อ่านต่อค่ะ คนอ่าน ก็ลุ้นไปพร้อมคนเขียนเนอะ
โดย: susi IP: 1.10.199.124 วันที่: 23 มกราคม 2558 เวลา:22:40:31 น.
  
ชอบใจประโยคนี้จริงๆค่ะ งานที่ใช้แรงงานก็สามารถประสบความสำเร็จ เป็นเจ้าคนนายคนได้ อาชีวะสร้างชาติ
ได้จริงๆนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณกษมา ถาวร ผู้เป็น
บุคคลหนึ่งที่พิสูจน์ให้เรารู้ว่า วลีดังกล่าวไม่ใช่เป็นแค่วลีที่
กล่าวลอยๆเท่านั้น ขอบคุณคุณอุ๋ยค่ะ
โดย: วรรณ IP: 58.11.108.222 วันที่: 24 มกราคม 2558 เวลา:9:42:19 น.
  
วาว....เดินเรื่องอย่างไวเลย ได้ลุ้นละว่าจะเป็นกรรมตามวงล้ออย่างไร สงสัยชื่อเวลาเหมือนกันค่ะ
โดย: Napai IP: 1.47.33.144 วันที่: 24 มกราคม 2558 เวลา:9:58:13 น.
  
กรี๊ดดดดดดดดดด เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย ฮ่าๆๆ

ตอนแรกที่เห็นคุณกานต์ทัก "เวลา" อุ๋ยยังอ่านเป็น "เวหา" ตอนนั้นอุ๋ยก็ตะขิดนิดๆๆ ว่าพี่จ๋าตั้งชื่อได้เจ๋งทำให้คุณกานต์สะดุดอยากรู้ที่มา แต่พอคุณ Napai ทักอีกคนเลยสะดุดต้องย้อนกลับมาอ่าน แล้วพอเห็นว่า "เวลา" ไม่ใช่ "เวหา" นึกในใจ ... แล้วตรู ฮ่าๆๆๆ เลยกลับไปแก้ไขในต้นฉบับใหม่ทั้งหมด

คือชื่อจริงๆ ของพระเอกคือ เวหา ค่ะ ตอนแรกฉบับที่ยังไม่โพสต์ อุ๋ยใช้ชื่อว่า "กสมา" แต่ก็ออกตัวกับเจ้าตัวไปแล้วว่า เป็นแค่ตุ๊กตา เดี๋ยวพอคิดหาชื่อได้โดนใจ ก็ค่อยเปลี่ยน แต่ทีนี้พอจะมาโพสต์ ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเลยดีกว่า เพราะกลัวว่าจะทำให้คุณกษมา ได้รับผลกระทบเพราะต้องออกตัวว่าประวัติทั้งหมด อุ๋ยแค่แปลงมาไม่ได้นำมาทั้งหมด คุณกษมา ไม่ใช่เด็กวัดเพียงแต่มีพี่ชายบวชเรียนเป็นพระตั้งแต่วัยรุ่น มีพี่น้อง 12 คนจริงเกิดในครอบครัวเกษตรที่สุพรรณจริง แต่ที่เหลือจากนั้นอุ๋ยก็แต่งเสริม

ส่วนที่มาของ "เวหา" มาจากสัญลักษณ์อาชีพของพระเอกที่ผลิต ฮ. ค่ะ พี่จ๋าเป็นคนช่วยคิดชื่อ เพราะอุ๋ยก็ไม่รู้จะหาอะไรแทนดี กษมา แปลว่าอดทน ความหมายดี แต่จะนำมาใช้จริงๆ ก็หวั่นจะกระทบชื่อคุณกษมา ก็เลยตัดสินใจจะแปลงค่ะ ที่มาเป็นฉะนี้ ต้องขอบคุณคุณกานต์และคุณ Napai ที่ช่วยทัก ไม่งั้นผิดไปไกลเลยค่ะ


คุณวรรณคะ อุ๋ยขออนุญาตส่งคอมเมนท์ของคุณวรรณให้คุณกษมานะคะ ความจริงก็ส่งให้เขาอ่านละค่ะ แหะๆ ทั้งของคุณกานต์และพี่สุของตอนที่แล้วอุ๋ยก็ส่งให้เขาอ่าน สรุปความเห็นไหนพาดพิงถึงเขา อุ๋ยก็จะส่งให้เขาอ่านค่ะ ^_^
โดย: คณิตยา วันที่: 25 มกราคม 2558 เวลา:0:24:00 น.
  
คุณอุ๋ยคะ
จะเข้ามาบอกว่า วรรณ และศิริวรรณ เป็นมนุษย์คนเดียวกันค่ะ ช่วงนี้ดิฉันเอ๋อเกินลิมิต ขออภัยค่ะ ตกลงว่าพระเอกชื่อ เวหา นะคะ ว่าแต่ว่า ฮ. จะชื่ออะไรน้าาาาา ชื่อ สีหมอก
คงจะไม่ได้เนอะ เพราะตรงกับความจริง ขอเสนอว่าขื่อ เหิรฟ้า นะคะ อิ อิ
โดย: ศิริวรรณ IP: 171.96.160.13 วันที่: 25 มกราคม 2558 เวลา:9:48:24 น.
  
เฉลยแล้วที่มาของชื่อ "เวลา"

มาจาก .. เวลานั้น คนเขียน "เบลอ" เหอ เหอ

โดย: susi IP: 1.10.199.19 วันที่: 25 มกราคม 2558 เวลา:13:50:23 น.
  
เรื่องนี้ได้ประโยชน์ในแง่ของความคิดดีมากๆ เลยค่ะ ทำให้เอ๋นึกถึงแฟนเพื่อน เรียนช่างกลปวช. ต่อปวส. แต่เป็นคนรักดีอาจารย์ช่วยหางานให้เพราะรู้ว่าฐานะทางบ้านไม่ดี เจ้าตัวเองก็เป็นคนเรียนเก่งด้วยทำงานส่งเสียตัวเองจนจบปริญญาตรีทางด้านวิศวะไฟฟ้าจากสถาบันชื่อดังของรัฐทางด้านนี้แห่งหนึ่ง ทำงานไปเรียนไปจนกระทั่งจบป.โท ได้งานดีมีผู้ใหญ่สนับสนุน สบายไปละ สร้างตัวจากจากไม่มีอะไรเลย จนกระทั่งมีบ้าน มีรถ 2 คัน ปลอดหนี้ ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ปี

จริงๆ แล้วเอ๋ว่าคนที่เรียนทางด้านนี้ ถ้ารักดีนะคะ หลายๆ คนประสบความสำเร็จได้เร็วมากเลย แต่พ่อแม่หลายคนก็ไม่อยากให้ลูกเรียนทางด้านนี้เพราะกลัวลูกหลง
โดย: pantan IP: 171.96.179.44 วันที่: 26 มกราคม 2558 เวลา:20:11:20 น.
  
ขอบคุณค่ะ คุณอุ๋ย ที่มาโพสต์ให้พวกเราได้อ่านกันค่ะ ใครบางคนที่หลวงลุงคิดถึงจะเป็นแรงผลักดันให้พระเอกของเราเปลี่ยนไปหรือเปล่าคะ
โดย: พี่สุ...จ้า IP: 182.52.8.92 วันที่: 27 มกราคม 2558 เวลา:10:03:47 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments