*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 

เรื่องเล่า การมาฝึกอบรมที่ เยอรมัน ตอนที่ ๔

คราวที่แล้วได้เล่าเรื่องเทศกาล carnival กับการวิธีการฝึกอบรมของ FNF ณ สถาบัน International Academy for Leadership of the Friedrich Naumann Foundation (IAF) ที่เมือง Gummersbach ประเทศ Germany ไปแล้ว คราวนี้ ขอกล่าวถึงการไปทัศนศึกษา หรือ Sight Seeing ที่เมือง Hamburg ทางตอนเหนือของประเทศเยอรมันนี ให้ฟังสักเล็กน้อยครับ

กลุ่มของผู้เข้าฝึกอบรมในหลักสูตร Conflict Prevention & Conflict Management ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ เหมือนทุกวัน แม้นว่า วันนี้ (๒๑ ก.พ.๕๒) จะเป็นวันเสาร์ ที่หลายคนรวมทั้งผม จะมีนิสัยค่อนข้างขี้เกียจสักเล็กน้อย วันเสาร์ ก็จะต้องนอนตื่นสาย หลังจากวันธรรมดา จะต้องตื่นแต่เช้ามาโดยตลอด เมื่อรับประทานเสร็จช่วงเวลา ๗ โมงเช้า พวกเราก็ออกเดินทางจาก Gummersbach ซึ่งถือเป็น Middle of nowhere เนื่องจาก สถาบัน IAF อยู่ห่างไกลจาก downtown ของเมือง Gummersbach ที่มีประชากรเพียงประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน ทำให้เห็นแต่ฝูงแกะระหว่างการฝึกอบรม เมื่อถึงเวลา ๘ โมงเช้าตรง ตามเวลาเยอรมันนี (German Time: GT) ล้อรถก็หมุน แล่นผ่านตามถนนหลวงหมายเลข ..... มุ่งขึ้นเหนือไปเมืองท่าติดต่อทางการค้าของเยอรมันนี กับประเทศต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงประเทศจีน และ ญี่ปุ่น ที่เป็นพาร์ทเน่อร์สำคัญของเยอรมันนี ขนาดที่ว่า มีบริษัทของประเทศจีนเป็นร้อย ๆ แห่งร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทในเยอรมันนีเลยทีเดียว

การเดินทางไป Hamburg ต้องใช้เวลาประมาณ ๕ ชั่วโมงเศษ ๆ ดังนั้น ผู้อำนวยการหลักสูตร จึงให้คนขับรถหยุดพักระหว่างทาง ซึ่งก็จะมีร้านค้าตามจุดพักรถขายอาหาร เครื่องดื่ม ซึ่งรวมถึงกระทิงแดง (Red Bull) ซึ่งเป็นสินค้าของไทยด้วยแต่ราคาของกระทิงแดงที่นี่ค่อนข้างแพง เกือบ ๓ ยูโร เลยทีเดียว น่าทึ่งมาก การกำหนดเวลาการเดินทางของเยอรมันนี มีความแม่นยำมาก เช่นว่า รถไฟจะถึงสถานีปลายทางกี่โมง ก็ตรงเวลาตามนั้น รวมถึงการเดินทางของพวกผมนี่ ใช้เวลา ๕ ชั่วโมง ๑๓ นาที คนขับรถก็ทำเวลาได้ตรงตามนั้นเลยทีเดียว ทางสถาบัน IAF จัดให้พวกเราพักที่โรงแรม InterCityHotel ซึ่งใกล้กับสถานีรถไฟและรถบัส (Central Station) หรือ Banhof ของเมือง Hamburg เพียงการเดิน ๓ นาที แหล่งที่พักจึงใกล้กับสถานที่ shopping center มีร้านค้ามากมายตั้งเรียงรายตามถนนหนทาง มีรถบริการ แบบรถราง รสบัส และ รถไฟใต้ดิน ซึ่งทำให้การเดินทางสะดวกอย่างมาก ผู้คนในเมือง Hamburg จึงไม่นิยมใช้รถยนต์กัน เมือง Hamburg นี้ เป็นเมืองขนาดใหญ่ของเยอรมันนี ในระดับใกล้เคียงกับ เบอร์ลิน และ มิวนิค ถ้าจะถามต่อไปว่า เมืองใหญ่ ๆ มีประชากรเท่าไหร่ ก็ตอบได้เลยว่าประมาณ ๓ ล้านคนนี่ ก็ถือว่าใหญ่มากแล้ว ส่วนที่ Hamburg มีประชากรเพียง ๑.๗ ล้านคนเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้กับกรุงเทพมหานครเลย

เมือง Hamburg มีอะไรน่าสนใจมากมาย และมีให้เลือกในทุกรูปแบบ ตั้งแต่ อาหารการกิน ดนตรีแจ๊ส แหล่งจับจ่ายใช้สอย และเลือกซื้อสินค้า รวมถึงชีวิตกลางคืน ที่มีสีสรรอย่างมากกมาย หากใครผ่านสถานีรถไฟ St.Pauli แล้วลงเดิน ก็จะพบกับเขตที่เรียกกันว่า Red Light District คือ ถนนอันตราย ไม่ได้อันตรายแบบจะถูกจี้ถูกปล้นหรอกนะครับ แต่เป็นว่า เป็นชิวิตที่ร้อนแรง เต็มไปด้วยพลังขับเคลื่อนทางเพศ มีคลับ บาร์ สถานที่ท่องเที่ยวกลางคืน Sex Shop แน่นอนครับ คือ มีโสเภณีที่ยืนบริการเป็นหลักแหล่งอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย เคยมีผู้ร่วมสัมมนาว่า กฎหมายในเรื่องโสเภณี ควรจะเป็นอย่างไร ควรถูกกฎหมายหรือไม่ ฯลฯ อันนี้ เถียงกันไม่จบสิ้น แล้วแต่จะคิดกันไป แต่ในเยอรมันเขาเลือกให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจะได้รับการปกป้องและคุ้มครองสิทธิ์ต่าง ๆ อย่างผู้ใช้แรงงานพึงมี

กลับมาเรื่องการดูงานของพวกเรา ในวันแรก เมื่อมาถึงที่ โรงแรม ทาง สถาบันได้จัดให้พวกเรา นอนกันอย่างสบาย ๑ คนต่อ ๑ ห้อง แต่โรงแรมในเยอรมันนี ค่อนข้างงกครับ ไม่มีอินเตอร์บริการ หากจะใช้อินเตอร์เน็ต ก็ต้องซื้อ ชั่วโมงละ ๙ ยูโร คนเยอรมันนิยมสูบบุหรี่ (กลัวจะตายกันช้าหรือไงก็ไม่ทราบ) ทำให้ห้องพักในโรงแรม เหม็นคละคลุ้งด้วยกลิ่นบุหรี่ เพราะกลิ่นเหล่านี้ มันสะสมเข้าไปตามฝาผนัง และ พรม ทำให้เหม็นอย่างไม่มีทางหาย ยกเว้นจะมีการซักพรมหลาย ๆ ครั้ง ๆ จึงจะหายไป ทำให้ผมนอนไม่สบายสักเท่าไหร่ อีกอย่าง หมอนของโรงแรมและสถานที่ฝึกอบรมนี่ ก็มีลักษณะเหมือนกัน ๆ คือ บางมาก ๆ ไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่

ตอนบ่ายของวันที่ ๒๑ ก.พ. ๕๒ ผู้อำนวยการหลักสูตร ปล่อยให้พวกเราเดินเล่นตามใจ เราก็เดินช๊อปปิ้งกันใหญ่ ไม่ใช่ของมันถูกหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะที่เราอยู่ที่ Gummersbach มันไม่มีอะไรให้ดูนั่นเอง เพื่อนผม ซึ่งเป็นตำรวจ ชาวกาน่า ท่านอยากได้กล้องดิจิตอล ถ่ายภาพตัวเอง ท่านก็ให้ผมแนะนำว่าจะซื้ออะไรดี ผมว่า กล้องที่ดีที่สุดในสายตาของผม คือ cannon ผมเลยแนะนำให้เขาซื้อ ซึ่งเดี๋ยวนี้ กล้องราคาถูกลงไปเยอะครับ อย่างกล้องรุ่นธรรมดา ใช้แบตตารี่แห้ง แบบใช้แล้วทิ้งไป ความละเอียดของภาพประมาณ ๗ ล้านเม็ดสี ราคาไม่ถึง ๑๐๐ เหรียญแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน สัก ๓ หรือ ๔ ปีที่แล้ว ขนาดความละเอียดภาพ ประมาณ ๓ ล้านเม็ดสี ก็ประมาณ ๒๐๐ เหรียญแล้ว พอเพื่อนผมได้กล้อง ก็ลิงโลดถ่ายภาพนั่น ถ่ายภาพนี่ แล้วเขาก็หลงทางหายไป 5555

ผมซื้อเสื้อไปหลายตัว เพราะว่า ผมเอาเสื้อเผ้ามาไม่มาก เนื่องจากได้ยินว่าที่สถาบันมีเครื่องซักผ้า คืนวันศุกร์ (๒๐ ก.พ.๕๒) คืนก่อน ออกเดินทางจึงซักผ้าซะหน่อย ปรากฎว่า เครื่องปั่นผ้าแห้งที่สถาบันไม่สามารถทำให้ผ้าแห้งได้ แถมยังดูเหมือนกับเปียกโชก จนต้องเอามือบีบน้ำออก จึงไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ ก็ต้องไปหาซื้อสินค้าลดราคา ได้เสื้อผ้าลดราคามาพอสมควร พอเอาชีวิตรอดไปได้ในระหว่าง ๔ วันที่ Hamburg ครับ เมื่อช๊อปปิ้งเสร็จ พวกเราก็กลับไปกินอาหารเย็นที่โรงแรมที่ว่า อาหารของเยอรมันนี มันช่างไม่อร่อยเสียจริง ๆ ครับ มีแต่ครีมชี้สกวน ๆ ใส่ผัก หรือ ใส่ข้าว ใส่เนื้อ ก็จำใจฝืนกินให้มันมีชีวิตรอดไปวัน ๆ

วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ก.พ. ๕๒ นี่ เมืองเงียบเหมือนเมืองร้างเลย เพราะว่า ร้านรวงต่าง ๆ ในเยอรมัน ปิดให้บริการหมด มีแต่ร้านอาหารที่ยังเปิดอยู่ ตอนเช้า พวกเราก็ไปนั่งรถชมเมือง โดยมีไกด์มาอธิบายทัศนียภาพทั่ว ๆ ไป ประวัติความเป็นมาของตึก และสถานที่ต่าง ๆ ใน Hamburg จะมีทะเลสาบขนาดใหญ่ ๆ กว่า สวนลุมพินี ประมาณ ๒ เท่า ซึ่งสร้างขึ้นมาเองเมื่อคราวสร้างเมือง เพื่อให้ประชาชนมีน้ำกินและได้พักผ่อน ประชาชนส่วนใหญ่ ก็จะมาวิ่งพักผ่อนรอบทะเลสาบนี้ หากวิ่งครบรอบ ก็จะกินเวลาประมาณ ๔๕ นาที รอบ ๆ ทะเลสาบ มีบ้านของดาราดัง คนดัง หรือ คนตระกูเก่าแก่ สถานทูตต่าง ๆ เรียงรายกันไป โดยอาคารที่จะปลูกรอบทะเลสาบแห่งนี้ มีกฎหมายควบคุมอาคารให้สูงไม่เกิน ความสูงของต้นไม้ บริเวณรอบทะเลสาบ ซึ่งมอง ๆ ไป ก็จะสูงไม่เกิน ๒ ชั้น เพื่อให้บริเวณรอบทะเลสาบ คงความสวยงามไว้ได้ และ ไม่ปิดกั้นทิศทางลม ทำให้อากาศบริเวณนี้ ดีมาก ๆ และยังเห็นเป็นเครื่องฟอกอากาศ และ ดักฝุ่นละอองตามธรรมชาติด้วย

ในเมืองแห่งนี้ ยังมีสถาบันต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ มหาวิทยาลัย Hamburg ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่สำคัญ เก่าแก่ มีชื่อเสียงในทางด้านกฎหมายด้วย สถาบันวิจัยอิสระ GIGA ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณมาจากรัฐบาลกลางและเมือง Hamburg เพื่อทำการศึกษาปัญหาความขัดแย้งในด้านทรัพยากรน้ำ พลังงาน ฯลฯ เพื่อหาแนวทางหาพลังงานทดแทนให้แก่ประเทศและแก่โลกด้วย นอกจากนี้ ทางเมือง Hamburg ยังมีอภิโคตรมหาโปรเจค พัฒนาเมืองชายท่า โดยจะมีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ เรียงรายกันตามท่าน้ำ รวมถึงโรงละครขนาดยักษ์ ที่มีลักษณะคล้ายกับโรงละครของออสเตรเลีย ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๒ และใช้เงินลงทุนสูงมาก ๆ

ตอนบ่ายของวันอาทิตย์ (๒๒ ก.พ.๕๒) พวกเรานั่งเรือไปชมท่าเรือขนส่งสินค้าของเมือง Hamburg ที่ส่งสินค้าไปทั่วโลกด้วยท่าเรือแห่งนี้ โดยเฉพาะสินค้าระหว่างประเทศยุโรปด้วยกัน กับสินค้าเอเชีย มีบริษัทใหญ่ ๆ เช่น ฮุนได และ บริษัทของจีน ขนส่งสินค้าจำนวนมาก

วันต่อมา (๒๓ ก.พ.๕๒) พวกเราไปดูงานที่ มหาวิทยาลัยการทหารของเยอรมัน ที่มีชื่อว่า...Helmut-Schmidt-University of the German Armed Forces ณ Hamburg..บรรยายโดย Dr. Martin Nassua, Director of International Affairs ของมหาวิทยาลัยนี้ .. หลักสูตรการฝึกทหารที่เยอรมันนี น่าสนใจมาก เพราะจะมีการฝึก ๑ ปี เพื่อเตรียมตัวเป็นทหาร แล้วจะมีการเรียนทางวิชาการอีก ๔ ปี เช่นเดียวกับการเรียนของมหาวิทยาลัย โดยเน้นให้เห็นว่า พวกเขาที่จะเป็น Officer นี้ ที่แท้จริงนั้น พวกเขา คือ Civilian ที่มี Uniform เท่านั้น ไม่ได้เป็นคนวิเศษวิโส มาจากสวรรค์วิมารที่ไหน กล่าวคือ ระหว่างการฝึกอบรมทางวิชาการ จะมีการเรียนการสอนในทางวิชาการทหารด้วย อาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ไม่มีการวิ่ง ลำบาก ลำบน ตั้งแต่ ตีห้าเศษ ๆ เหมือนโรงเรียนทหาร ตำรวจของไทย มีแต่การดูงาน การฝึกงาน ตามสถาบันทหารระหว่างปิดภาคการศึกษา แต่จะมีการเน้นให้เขาเห็นว่า พวกเขาเป็นทหารที่มีวินัย ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย จะไม่มีการทรยศต่อหลักการแห่งรัฐธรรมนูญ ไม่มีการฉีกรัฐธรรมนูญด้วยการทำการขบถ รัฐประหาร หรือ จะเรียกอะไรให้สวยหรูก็ตาม ไม่มีทั้งนั้น ทหารต้องมีความเป็นประชาธิปไตย ภายใต้กฎเกณฑ์ของกองทัพ ตามหลักการ The Rule of Law ซึ่งทหารที่ได้รับการฝึกฝนที่นี่ ได้รับการสั่งสอนว่า เมื่อเขาเป็นผู้น้อย เขาต้องปฏิบัติตามคำสั่ง แต่ถ้าคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เขาไม่ต้องทำ นายทหารระดับผู้บังคับบัญชา ก็จะได้รับการสั่งสอนและฝึกอบรมว่าจะต้องไม่สั่งการอะไรโง่ ๆ หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะลูกน้องของเขาจะไม่ทำตามคำสั่งแย่ ๆ เหล่านั้น

ผู้บรรยายได้อธิบายให้พวกเราฟังว่า การที่สถาบันทางทหารของเยอรมัน มีแนวคิดเช่นนี้ได้ ก็เพราะการผ่านบทเรียนที่ขมขื่นในอดีต ที่มีทหารโง่ ๆ รับฟังคำสั่งฮิตเล่อร์ โดยไม่คิด ไตร่ตรอง ทำให้เกิดความหายนะต่อสังคมเยอรมัน และเป็นรอยจารึกที่ฝึงในจิตใจ เป็นความอับอายที่ไม่มีวันจางหาย ที่ครั้งหนึ่ง เยอรมัน เคยมีทหารโง่ ๆ เป็นผู้นำ แล้วประชาชนก็หลงไหลคำหวานของทหารโง่ ๆ และบ้า ๆ เหล่านั้น ทำให้ประเทศต้องล่มจม เมื่อเยอรมันนี พัฒนาหลัก The Rule of Law อย่างเข้มแข็ง หลักการแห่งกฎหมายหรือนิติรัฐ จึงเป็นกลไกสำคัญ ที่ทำให้ประเทศไม่ต้องตกอยู่ภายใต้หายนะอีก แนวคิดน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ให้ได้เห็นตัวอย่าง ว่า ประเทศที่จะเจริญได้ จะต้องมีหลักนิติรัฐ ที่มั่นคง เป็นเครื่องมือในการกำหนดและกำกับการใช้อำนาจของผู้นำทุกระดับ ทุกชนชั้น หลักนิติรัฐ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ๆ ต้องพัฒนาอย่างมั่นคง ไม่ใช่ว่าจะได้มาโดยกระบอกปืนของทหารที่ออกมายึดอำนาจ หรือ ได้มาจากการสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะมาบันดาลให้เกิดขึ้น แต่จะต้องเกิดจากการพัฒนาการที่ต่อเนื่อง ยั่งยื่น และมีนักกฎหมายที่ยืนหยัด ฟันฝ่า แสดงความคิดที่ต่อต้านกระแสสังคม แม้จะเป็นกระแสหลัก หากไม่ถูกต้อง ก็จะต้องต่อสู้ เพื่อให้เห็นว่า หลักนิติรัฐ แท้จริง มันเป็นเรื่องสำคัญ ที่ไม่อาจจะก้าวกระโดดได้ หรือไม่อาจจะละเลยได้ โดยอ้างว่า เพื่อทำลายการเมืองที่ทุจริต หรือ นักการเมืองเลว เพียงบางคน หรือ หลายคน โดยต้องแลกกับความย่อยยับแห่งหลักนิติรัฐ กับ การปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศ ดังปรากฎตามวิถีของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย

ผมจะได้เล่าเรื่องในเรื่องการฝึกอบรมและการดูงานที่ Hamburg ต่อไปใน blog หน้าครับ





 

Create Date : 09 มีนาคม 2552    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 8:59:59 น.
Counter : 586 Pageviews.  

เรื่องเล่าจากเยอรมัน เกี่ยวกับการฝึอบรมที่ Friedrich Naumann Foundation ตอนที่ สาม

เมื่อวานได้เล่าเรื่อง ประเพณี Carneval festivities ไปแล้วว่ามีลักษณะอย่างไร แต่ยังไม่ได้เล่าว่า มันมีที่มาอย่างไร เลยขอกล่าวเพิ่มเติมอีกสักหน่อย




เทศกาล คานิวาล ในโคโลนจ์ (คลิ๊กเพื่อดูรูปเพิ่มเติม)



จากการที่ได้อ่านเกี่ยวกับ ประเพณี Carnival นี้ ได้ความดังนี้ครับ Carnival season is a time of wild fancy-dress parties and costume-balls, which are open to the public. Carnival reaches its climax in big street processions with elaborately decorated floats, usually on Rosenmontag. Carnival celebrations happen mainly in the Catholic parts of Germany. Nevertheless, Karneval parties do occur in some places in the north of Germany.

กล่าวโดยสรุปก็คือ ประเพณีนี้ จะมีเล่นอย่างสนุกสนานในภาคใต้ของเยอรมัน มีประเพณีทางศาสนา กับ ที่มาเรื่องเสรีภาพในการพูด กล่าวคือ ในสมัยก่อน ยังมีกษัตริย์อยู่ที่เยอรมัน ก็มีกฎหมายห้ามวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่ากษัตริย์จะชั่วช้า เลวทรามปานใด ก็ตาม เรียกว่า การขาดความโปร่งใสสุด ๆ ตรวจสอบไม่ได้ แต่ที่เยอรมันนี่ มีข้อยกเว้นครับ คือ ในหนึ่งอาทิตย์ของประเพณีนี้ ก็จะมีการปล่อยให้วิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ โดยมีข้อห้ามลงโทษอย่างเด็ดขาดครับ แบบว่า มันอึดอัดนัก ก็ระบายออกมาบ้าง อะไรทำนองนั้น

วันนี้ (๒๐ ก.พ.๕๒) บรรยากาศในห้องเรียน สนุกสนานมาก ๆ ครับ เพราะเป็นการเรียนเรื่องบทบาทของสหประชาชาติในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง หลักการห้ามใช้กำลังทหาร และ กลไกของ Security Council ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในโลกนี้ ตอนบ่าย ก็เป็นการ จำลองสถานการณ์ โดยให้ผู้เข้าร่วมสัมมมนา เป็นตัวแทนประเทศต่าง ๆ ที่ปัจจุบันเป็น สมาชิกขององค์กรสหประชาชาติ และเป็น Security Council ด้วย ผมได้เป็นตัวแทนประเทศ ลิเบีย (Honourable delegated) เพื่อน ๆ ก็เป็นตัวแทนประเทศอื่นๆ โดยมี ประธาน (Distinguished Mr. President) ควบคุมการประชุม ประเทศรัสเซีย ได้นำปัญหาความขัดแย้งใน Georgia ที่มีกลุ่มขบถ พยายามแย่งตัวเป็นอิสระจาก Georgia โดยมีรัสเซียหนุนหลัง หลังจากเหตุการณ์นองเลือด เลขาธิการ UN ได้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาเป็นวาระเร่งด่วน เพื่อหา Resolution ของ Security Council ในการยุติความขัดแย้งให้ได้


ท่านประธาน ก็แจกเอกสาร สรุปข้อเท็จจริง ในเอกสาร ก็จะมีจุดยืนและขอบเขตการทำหน้าที่ของตัวแทนประเทศ พร้อมมีข้อกำหนดของแต่ละประเทศให้ทำอะไร สนับสนุนใคร ขนาดไหน .... เรื่องที่น่าสนใจ ก็คือ ผู้เข้าร่วมประชุม ในสถานการณ์จำลอง ทำได้เนียนมาก ๆ ครับ มีการส่งข้อความ ข่มขู่ ชักชวน ร้องขอ เช่น ตัวแทนฝรั่งเศส ส่งข้อความไปยัง ตัวแทนของประเทศในแอฟริกา ว่า ถ้าไม่สนับสนุนท่าทีของฝรั่งเศส ความช่วยเหลือเรื่องอาหาร ฯลฯ ก็จะน้อยลง หรือถูกตัดไป ฯลฯ สมาชิกประเทศที่เห็นว่า ประเด็นของตนในการประชุมนั้น เช่น รัสเซีย ต้องการสนับสนุนกลุ่มขบถให้แยกตัวออกจาก Georgia ก็จะสนับสนุนสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง หรือ Self-determination ในขณะอเมริกา สนับสนุน เอกราชและอำนาจอธิปไตยของรัฐ Integrity of State ก็จะมีท่าทีให้ Georgia ใช้กำลังปราบปรามขบถอย่างเต็มที่ เพราะเป็นกิจการภายในของรัฐ สมาชิกที่ประชุม ซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ลประเทศ เห็นที่ประชุมเริ่มเอนเอียงไปยังจุดต่าง ๆ ที่ตนไม่ต้องการ ก็จะมีการร้องขอให้พักการประชุม ๓๐ นาที เพื่อ นำไปสู่ Informal discussion ระหว่างกลุ่มประเทศที่มีทิศทางเดียว เพื่อกำหนดทิศทางให้ได้รับการชนะโว๊ต

เล่นเกมส์กันอย่างนี้ จนกระทั่ง ๑ ทุ่มเศษ ๆ ลงมติครับ มีมติเห็นด้วย (Favour) มติไม่เห็นด้วย (opposed) และ งดออกเสียง ปรากฎว่า ไม่ถึง ๙ เสียง ใน ๑๕ เสียง ก็ทำให้ไม่มี UN Resolution ซึ่งวิทยากร ก็บอกว่า สิ่งที่พวกเราทำกันนี้ มันช่างเหมือนที่ประชุม UN จริง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ และที่เหมือนกันที่สุด ก็คือ ที่ประชุม UN ซึ่งมีการเรียกประชุมเรื่องนี้จริง ๆ เมื่อวันที่ ๘ ส.ค. ๒๕๕๑ เวลา ตีหนึ่งครึ่ง .. ท้ายสุด เป็นแค่เกมส์ ไม่มีมติอะไรออกมาเลย


ชีวิตการเรียนก็จบลงแค่นี้ สำหรับวันศุกร์ สุดสัปดาห์ ทำอะไรเหรอครับ .. ก็ซักผ้า และเตรียมการเดินทางไป ทัศนศึกษา และดูงานที่ Hamburg ในวันพรุ่งนี้ ตั้งแต่ ๘ โมงเช้า กลับมาที่สถาบันอีกที ก็โน่นเลยครับ วันที่ ๒๔ ก.พ. ๕๒ ทางสถาบันเตรียมกิจกรรม การเรียนรู้ แบบค้นหาด้วยตนเอง และ ไกด์ทัวร์ ไว้เยอะมาก ๆ น่าสนใจกับวิธีการอบรมของฝรั่งจริง ๆ กลับไป ผมว่าจะลองเอาไปใช้กับการอบรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติบ้าง ไม่รู้จะเวิร์ค แค่ไหน ... แล้วจะเล่าเหตุการณ์ในบล๊อกต่อ ๆ ไปครับ







 

Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 8:59:43 น.
Counter : 636 Pageviews.  

เรื่องเล่าจากเยอรมัน การฝึกอบรมที่ Friedrich Naumann Foundation ตอนที่สาม

ผมได้เล่าวิธีการฝึกอบรม และ เรื่องอาหารไปแล้วว่าที่เยอรมันนี่ อาหารแปลกดี วิธีการอบรม ก็น่าสนใจ วิธีการฝึกอบรมที่นี่ เน้นสองอย่าง คือ ช่วงเช้า จะเป็นการสอนหรือบรรยาย ในเรื่องต่าง ๆ เช่น สองวันมานี้ ก็จะมีการสอนเรื่อง รูปแบบของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เช่น รูปแบบการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยบุคคลที่สาม มีกี่ลักษณะ แต่ละลักษณะมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร มีปัจจัยที่ทำให้การเจรจาสำเร็จได้บ้าง ตอนบ่าย ก็จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หลังจากนั้น เรียนกันแล้ว ก็จะมีการมอบหมายหัวข้อให้ไปทำการศึกษาเพิ่มเติม เช่น หัวข้อกลุ่มที่ผมอยู่ได้ก็คือ Mediation เป็นอย่างไร ก็ต้องไปศึกษาว่า มันคืออะไร มีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร รูปแบบนี้ คนกลางต้องมีลักษณะอย่างไร ฯลฯ (ถ้าสนใจ ก็ลองอ่านท้ายบล๊อกนี้นะครับ)

ผู้จัดการอบรมบอกว่า สิ่งที่เขาต้องการ ก็คือ การแลกเปลี่ยน perspectives ระหว่างผู้เข้าอบรม ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากองค์กรเอกชนที่ไม่ประสงค์จะหากำไร คือ NGO นั่นแหละครับ มีตำรวจและอาจารย์อยู่สองสามคนเองมั๊งครับ สมาชิกส่วนใหญ่กลายเป็นว่า มาจากปาเลสไตล์ อิสราเอล และตะวันออกกลาง แล้วก็มีแอฟริกาและเอเชียด้วยเหมือนกัน ตอนบ่าย มีการนำเสนอหัวข้อ เกี่ยวกับ บทบาทของ NGO ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง บทบาทของสื่อในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ความขัดแย้งของวัฒนธรรม และ State Reform ซึ่งทำให้ผมมอง NGO ในแง่ที่ดีขึ้น เพราะที่จริง ก็มี NGO ที่ดี ๆ ในการเผยแพร่ให้ความรู้กับคนในระดับรากหญ้าให้เข้าใจระบบกฎหมาย แนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตย การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี การจุดประเด็นปัญหาในสังคมให้ทุกคนรับรู้ ฯลฯ แน่นอนครับ NGO ย่อมมีวาระซ่อนเร้นด้วย เช่นเดียวกับ บทบาทของสื่อ ที่สามารถทวีความขัดแย้งให้รุนแรงยิ่งขึ้นกว่า ๒๒๐ เปอร์เซ็นต์ จากความเป็นจริง สื่อที่ไร้คุณธรรมและจริยธรรม จึงกลายเป็นตัวการสร้างปัญหามากกว่าจะแก้ไขปัญหา

ที่นี่เอาจริงเอาจังมากมาย ถกเถียงกันหน้าดำคร่ำเครียด กินข้าวเสร็จ ยังมาดูสารคดี ซึ่งได้เสนอเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ในราวันด้า ซึ่งเกิดความขัดแย้งระหว่างสองเผ่า มีการออกโทรทัศน์และใช้สื่อของรัฐ ยุยงให้ไปฆ่าคนอีกเผ่าพันธ์หนึ่ง โดยกล่าวว่า ถ้าไม่ฆ่าเขา เราก็ต้องตายเหมือนหมาข้างถนน ฯลฯ เชื่อหรือไม่ว่า ภายใน ๑๐ สัปดาห์ มีคนตายหลายแสนคน ด้วยมีดคล้าย ๆ สปาร์ต้า ขนาดใหญ่ ซึ่งที่จริง คดีนี้ ผมเรียนมาแล้วสมัยอยู่อเมริกา แต่ไม่เคยเห็นวีดีโอ เห็นแล้วตกใจมากมาย เพราะคนตาย แม้กระทั่งขณะหลบหนีเข้าไปในโบสถ์ ตายกันเป็นพัน ๆ ๆ ในโบสถ์นั้น มีภาพการตัดคอด้วยมีดขนาดใหญ่ ฯลฯ แบบไม่น่าเชื่อเลยว่า มนุษย์ด้วยกันจะทำกันได้ คดีนี้ ก็มีการตั้งศาลพิเศษโดยสหประชาชาติ ชำระคดี โดยรัฐบาลผู้ยุยง และบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก็ต้องรับโทษไป

วันนี้ (๑๙ ก.พ. ๕๒) หลังจากเรียนเรื่องวิธีการขจัดปัญหาความขัดแย้ง ใน Northen Ireland ซึ่งบรรยายโดย Dr. Bernhard Moltman ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบัน PRIF & HSFK ที่ศึกษาเรื่องวิธีการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีใน แฟร็งค์เฟิร์ต มาบรรยายแล้ว เสร็จแล้วมีงานพิเศษครับ คือ เทศกาลที่เรียกว่า Carneval festivities ครับ

มองไป ก็คล้ายเทศกาล มาร์ดิกา ในหลุยเซียร์น่า ผู้คนแต่งตัวแปลกสุดฤทธิ์สุดเดช แฟนซีมากมายครับ มีเพลงบรรเลงตามถนนหนทาง เป็นวันหยุดของโรงเรียน เด็ก ๆ กับพ่อแม่ แต่งตัวแฟนซีสนุกสนาน ทางสถาบัน จัดงานให้พวกเราด้วย แล้วก็เชิญวงดนตรีและนักแสดง จาก Bielstein Carneval Club มาเต้นรำเล่นสนุกสนาน กับพวกเราด้วย

ตอนบ่ายเลยว่างไป ไม่ต้องเรียนถึง ๓ ทุ่มแบบทุกวัน 5555 ผมว่าตารางเรียนมันแน่นไปนิดนึงครับ แล้วพอตอนเย็น ๆ ๆ หลังกินข้าวเสร็จ ทางผู้ดูแลกลุ่ม ก็พวกเราเข้าไปในเมือง Gummersbach เพื่อดูว่าผู้คนที่นี่ เล่นสนุกสนานขนาดไหน แน่นอนครับ ต้องเข้าไปดูคนในผับ เสียค่าเข้า ๖ ยูโร แล้วก็ค่าเบียร์ไป ๒ ยูโร ค่ารถอีก ๑.๖๐ ยูโร ... นี่เป็นการเสียเงินครั้งที่สอง นับแต่มาอยู่ในเยอรมัน ครั้งแรก ก็ค่ากาแฟที่สนามบิน ราคา ๒.๘๐ ยูโร

ต้องยอมรับว่า เบียร์เยอรมัน อร่อยดี หวานหอม และซ่อนรสขมไว้เพียงเล็กน้อย แต่กินมากไม่ได้ เพราะแพง 55555 แล้วก็กลับบ้านมานอนด้วยประการละฉะนี้ครับ

____________________________



Mediation:

I. Definition: A skilled and impartial intermediary working to facilitate a mutually acceptable negotiation settlement of the dispute issues.

Mediation:

- Called different and wide processes --- conciliation (informal link leading to negotiation by a trusted party), consultation (communication and analysis of the problem by using human skill and social-scientific understanding of conflict etiology and dynamics) , Pure Mediation – Power Mediation – Arbitration (more binding – which seems to be fair and just) -- peacekeeping – monitoring the agreement between antagonists

- non-coercive and non-binding

- task – oriented method to solve the shared problem

- employed in all cultures in all regions of the world and all phases of recorded history

- Actors: religious leaders, community leaders, and special intermediaries played the significant role in this approach.

- Employed in all aspects of human’s life such as separating spouses, etc., to corporate battles between executives

- Developed and used in criminal and legal issues such as victim-offender reconciliation – replace the traditional process

- Used in Diplomatic practitioners – considered it as the stock-in-trade – to support the formal intervention by the states or UN – by using informal intervention through esteemed religious intermediaries and other levels also take part in activities

- This method used to mediate among various parties in order to meet mandate for international level

II. Identity and motives

- Must be impartial – no identity and direct interest in the dispute – but does not mean no concerned interests at all – State always enters into this method because mediator always receive some benefit.(P.3)

- Three types of mediators: Social network, the authoritative mediator – formal one, and independent mediator—objective consultation

III. Qualities and Competencies

- Impartialities ---- mediation process --- not favor the party and neutral about the outcomes

- Create trust to all parties

- Requisite Proper knowledge and skill -- substance issue, negotiation process, and capacity

- Empathetic listening to manipulate information, ability to quickly draft text, and a sense of humor

- Skill to help move the negotiation process without bias at the first stage till end and detail of implementation

IV. Assessing Effectiveness

- International level – also integral part of the standard of diplomatic practice but its effectiveness – no idea

- Domestic level – superior qualities to established court procedure

- Indicator: a range from situations - - victim offender reconciliation, divorce mediation, small claims court, neighborhood dispute, landlord-tenant conflict, environmental and public policy controversies

- Produce the greater degree of compromise and equal sharing of resources than adjudicated procedures

- Result : Win-Win rather Win-Lose or Lose-Lose

- Its efficiency – Speed of settlement process, expensive court fees, and costs of other legal services.

- Dispute climate – better and create long-term relationship to the disputants as yet another place to looking in assessing overall mediator effectiveness




 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 9:04:48 น.
Counter : 707 Pageviews.  

เรื่องเล่าจากเยอรมัน เกี่ยวกับการฝึกอบรม ที่ Friedrich Naumann Foundation ตอนที่ ๒

บล๊อกที่แล้ว เรื่องเกี่ยวกับการเดินทางมาเยอรมันครั้งที่สอง ได้เล่าเหตุการณ์การเดินทางมาถึงเยอรมันให้ฟังไปแล้ว เดินทางไกล สำหรับคนสูงวัยอย่างผมนี่ เหนื่อยมาก จริง ๆ ตั้งสิบกว่าชั่วโมงกว่าจะมาถึงเยอรมันได้

หลังจากมาถึงแฟร็งค์เฟิร์ต และ ต่อรถไฟมาโคโลนจ์แล้ว ก็ปาเข้าไปประมาณ ๐๘.๑๓ น. ผมก็ลืมนัดกับทาง Friedrich Naumann Foundation ว่า มาถึงสถานีรถไฟที่โคโลนจ์แล้วทำอย่างไรต่อไป จะมีคนมารับหรือไม่ อย่างไร ผมลืมถามครับ ยุ่ง ๆ อยู่ช่วงนั้น เมื่อมาถึงสถานีโคโลนจ์ ก็ลากกระเป๋าไปที่จุดให้บริการลูกค้า ไม่มีคนถือป้ายรอ ..... ตายละ ทำไงดี เดินไปเดินมา ไม่มีเงาคนถือป้ายรอ ... หรือเราต้องซื้อตั๋วรถไฟไป Gummersbach เอง ก็เลยไปถามเจ้าหน้าที่ที่นั่น คนแรกเธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ... ตาย ๆ ๆ ๆ ๆ รอเจ้าหน้าที่อีกคนมา คราวนี้ เธอพูดภาษาอังกฤษได้ครับ ผมก็เอาหนังสือเชิญให้มาอบรมให้ดู ปรากฎว่า เธอแนะนำว่า จะซื้อตั๋วรถไฟไหม ... ผมว่า เฮ่ย ไม่ใช่ดิ ต้องมีคนมารับดิ ช่วยโทรไปหาที่สถาบันหน่อยได้ไหม ... เธอกรุณามากครับ โทรติดต่อเรียบร้อย จึงได้ความว่า จะมีคนมารับ แล้วเธอก็ประกาศทางไมค์ เรียบร้อย เจ้าหน้าที่สถาบันมารอผมตั้งแต่ ๐๘๐๕ น. ตามเวลานัดหมายของรถไฟ ซึ่งมาถึงล่าช้ากว่ากำหนดไป ประมาณ ๘ นาที ครับ

พอพบกับเจ้าหน้าที่ เขาก็ทักทาย แล้วก็เดินนำทางไป แต่ไม่ได้ช่วยลากกระเป๋าหนัก ๆ ของผมหรอกนะ ผมก็ลากกระเป๋าเดินตามไป ไกลใช้ได้เลย กว่าจะถึงลานจอดรถใกล้สถานีรถไฟ อากาศหนาวใช้ได้ครับ ประมาณ ลบ สามองศาเซลเซียส นั่งรถมาถึงที่สถาบัน ก็คุยเรื่องการงานที่เจ้าหน้าที่อยู่ เขาก็เล่าว่า เขามาทำงานที่สถาบันแห่งนี้ เพราะมันเป็นการทำงานทดแทนการไปรับใช้ชาติ ในฐานะทหาร ต้องทำงาน ๙ เดือน ตอนอายุครบ ๑๘ ปี แล้วพอทำงานเสร็จ ก็ไปเรียนต่อ โดยการทำงานให้รัฐหรือ Civil Job กับองคืกรการกุศล ลักษณะนี้ เป็นทางเลือกของคนไม่อยากเป็นทหารเกณฑ์ ซึ่งเมื่อก่อนต้องอบรม ๒ ปี แต่ตอนนี้ ลดเหลือ ๙ เดือน .... ผมว่า เมืองไทยน่าจะเอาเป็นแบบอย่าง ไม่ต้องไปเกณฑ์ทหารอะไรมากมายหรอก เสียงบประมาณเปล่า ๆ จ้างบุคลากรเหล่านี้ ทำงานในภาครัฐชั่วคราว เป็นระยะเวลาเท่าการฝึกอบรมทหาร ก็น่าจะดี เพราะประหยัดเงินในการฝึกทหาร ไม่ต้องมีการโกงกินเบี้ยเลี้ยงทหาร ฯลฯ แล้วยังได้งานราชการ โดยไม่ต้องมีการเพิ่มเงินเดือนอย่างต่อเนื่องในลักษณะภาระผูกพันด้วย

เอาละครับกลับมาเรื่องอบรมต่อ ... ในวันที่ ๑๕ ก.พ. เวลาค่ำนั้น ผู้บริหารระดับสูงของสถาบันได้มากล่าวต้อนรับ แล้วก็กินข้าวร่วมกัน แล้วเข้าทำการฝึกอบรม วิธีการเอาตัวรอดในระหว่างการฝึกอบรม ผมประทับใจวิธีการละลายกำแพงของที่นี่ครับ ... เขาให้พวกเราจับกลุ่มกัน กลุ่ม ๆ สองสามคน แล้วก็ถกเถียงกันว่า มีอะไรที่เหมือน ๆ กันบ้างในกลุ่ม มีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง ฯลฯ แล้วก็ออกไปพูดหน้าชั้น สนุกสนานเลยครับ ทำให้รู้จักกันมากขึ้น หลังจากนั้น ก็ยังมีกิจกรรมไปนั่งที่บาร์ ขายเครื่องดื่ม ที่สถาบันจัดไว้บริการสำหรับเจ้าหน้าที่ และ ผู้เข้าอบรม ก็รู้จักกันมากขึ้นเรื่อย ๆ วิธีการนี้ ผมก็ว่าดีเหมือนกันครับ

วันที่สองของการฝึกอบรม (๑๖ ก.พ. ๕๒) วันนี้ มีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับ Trends ของความขัดแย้งในโลกนี้ นำเสนอโดยนักวิจัยจากสถาบัน HIIK จากมหาวิทยาลัย ไฮเดนแบร์ก เอกสารนี้ ได้พูดถึงความขัดแย้งในโลกนี้ ซึ่งมีการระบุความขัดแย้งในไทย ระหว่างกลุ่มพันธมาล เฮ้ย พันธมิตรกับรัฐบาล และประจานรัฐบาลไทยที่ห่วย ไม่สามารถปกป้องสนามบินไว้ได้ด้วย รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางภาคใต้ ของกลุ่มแยกดินแดน ที่มีมูลมานานตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๕ เป็นต้นมา เอกสารนี้ ระบุความขัดแย้งในเอเชีย มีเกิดขึ้นกว่า ๑ ใน ๓ ของโลก ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก ศาสนา และ ลัทธิการปกครองที่แตกต่าง

สถาบันนี้ มีวิธีการที่จะทำให้ ผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้และศึกษาข้อมูล โดยแยกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ การฝึกอบรม ให้ความรู้ บรรยายในช่วงเช้า แล้วก็จะจัดกลุ่มให้ไปทำ Working Group ซึ่งก็คือ ให้ไปศึกษาเอกสารที่ได้รับการฝึกอบรม เพื่อนำมา Present ในรายละเอียด เช่น กรณีนี้ ก็จะจัดกลุ่ม เป็น ๕ กลุ่ม ศึกษาความขัดแย้งในภูมิภาคต่าง ๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ว่า ความขัดแย้งนั้น ๆ สำคัญอย่างไร Trends ความขัดแย้งในโลกนี้ น่าจะเป็นอย่างไร ฯลฯ ซึ่งก็ดูแล้ว อิทธิพลเรื่องความเชื่อทางศาสนา กับ ผลประโยชน์แอบแฝง น่าจะเป็นสาเหตุใหญ่ของการก่อความไม่สงบในโลกนี้

การอบรมในวันที่ ๑๗ ก.พ. ๕๒ เป็นเรื่อง กลไกตามกฎหมายระหว่างประเทศ ในการระงับและการจัดการความขัดแย้ง ซึ่งก็คือ UN กับ ความรู้เรื่องการบริหารความขัดแย้ง (Conflict Management) ซึ่งมี ๓ ตัวแบบ ได้แก่ Conflict Settlement, Conflict Resolution และ Conflict Transformation โดย กลไกแรก ดำเนินการโดยรัฐ ในการดำเนินการเพื่อจัดการความขัดแย้งอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ปัญหา ยุติลงโดยเร็ว โดยอาจจะไม่ได้เป็นการยุติอย่างถาวรก็ได้ สำหรับกลไกทื่สอง เป็นกลไกระดับกลาง ที่มองปัญหาความขัดแย้ง เป็นปัญหาของสังคมโดยรวม ต้องใช้ Professionals เข้ามาให้คำปรึกษาหารือ เพื่อนำไปสู่การระงับความขัดแย้งระยะยาว ส่วน Conflict Transformation เป็นกลไกที่ดำเนินการจาก Bottom Up จากกลุ่มรากหญ้า เพื่อทำให้เกิด Social Movement ไปสู่การจัดสรรและกระจายทรัพยากรและความเป็นธรรมในสังคมอย่างถาวร ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน และนำไปสู่การขจัดปัญหาอย่างถาวร เป็นต้น

วิธีการอบรม ก็คล้ายกับวันแรกครับ ท่านวิทยาการ ก็บรรยายไป ช่วงเช้า แล้วในช่วงบ่าย ก็จัดแบ่งกลุ่ม เป็น ๓ กลุ่ม เพื่อให้ศึกษารายละเอียด Approach แต่ละวิธีการ ให้ลึกซึ้ง ให้กลุ่มได้แสดงออกและมีการโต้เถียงว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปหรือไม่ พร้อมทั้ง ให้ศึกษาข้อมูลอื่น ๆ มาเป็นตัวอย่างด้วย วิธีการนี้ ผมว่าดีไม่น้อย เพราะทำให้แน่ใจว่า กลุ่มจะต้องไปศึกษาให้รู้จริง แล้วนำมา present ในห้องอีกที ซึ่งคนที่ร่วมสัมมนานี่ ถามไม่ลดละ จริง ๆ ๆ

สุดท้าย ขอพูดเรื่องอาหารครับ อาหารที่นี่ แปลกดี ข้าวเป็นเม็ดโต ๆ แข็ง ๆ กระด้าง ๆ นอกจากนี้ ก็มีเนื้อตุ๋น ไก่ย่าง ชี้ส เนย นม และ สลัดผัก ในมื้อหลัก ๆ แต่ในมื้อเช้า ก็จะมีแต่คอนแฟล๊ก นม ผลไม้ ..... ส่วนกาแฟ ทางสถาบัน เตรียมเครื่องกดไว้ กินได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเวลา ก็ไปกินได้สบายเลยครับ .... สำหรับคนชอบกาแฟอย่างผม นี่มีความสุขมากครับ .... สำหรับวันนี้ ก็หมดเรื่องเล่าด้วยประการละฉะนี้ครับ ................







 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 8:59:27 น.
Counter : 495 Pageviews.  

การเดินทางไปเยอรมัน ตามคำเชิญ Friedrich Naumann Foundation ตอนที่ ๑


สวัสดีครับ ปีนี้ เป็นปีแห่งการเดินทางของผม ตามคำทำนายของหมอดูตามเวปไซต์ ต้องเดินทางไปโน่น ไปนี่ ฯลฯ ก็จริงแหละ เพราะผมต้องเดินทางไปทำงานกับบ้านทุกวัน 55555 หมอดูทำนายแม่นแท้ ๆ ๆ

เรื่องการเดินทางจริง ๆ สำหรับเรื่องที่จะเล่า ก็คือ การเดินทางไปร่วมอบรมสัมมนาที่ประเทศเยอรมัน ผมเคยไปเยอรมันครั้งหนึ่งแล้ว โดยไปเยี่ยมเพื่อนที่เรียน ป.โทและเอก ทางกฎหมาย ที่เมืองคอนสแต๊นท์ ใกล้ทะเลสาบ ในปี ค.ศ. ๒๐๐๗ ยอมรับเลยว่า เยอรมันนี้ สวยงามมากมายครับ สะอาด แต่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง เพราะคนที่นี่ ขี้เมา และสูบบุหรี่ เต็มไปหมด แม้แต่ในสนามบิน ฯลฯ จัดที่แบ่งคนสูบบุหรี่ กับไม่สูบไว้ แต่ว่าไม่มีอะไรกั้นหรอกนะครับ จะแบ่งไปทำไม ... ควันมันก็ปนกันอยู่ดี แทบตายเหมือนกัน (โชคดี ตั้งแต่ต้นปีมา กฎหมายเยอรมันห้ามสูบบุหรี่ในอาคารอย่างเด็ดขาดแล้วครับ)

ไปเยอรมันคราวนี้ได้ทุนจาก Friedrich Naumann Foundation (FNF) มาเรียนที่ Gummersbach ห่างจาก เมืองโคโลนจ์ ประมาณ ๔๐ นาที โดยสถาบันฝึกอบรมนี้ เป็นองค์กรภาคเอกชน ที่สนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง ที่เป็น Liberal สอนให้คนทั่วโลก ได้รู้จัก สิทธิและเสรีภาพ หลักนิติรัฐ และ สิทธิในทรัพย์สินของเอกชน ที่รัฐจะต้องให้ความเคารพ ผมเรียนในหลักสูตร Conflict Prevention & Conflict Managment น่าสนใจมากเลยครับ แต่วันนี้ ยังไม่ขอเล่าเรื่องการเรียนสักเท่าไหร่ครับ

วันที่ ๑๔ ก.พ. ที่ผ่านมานี้ ก่อนเดินทางไปเยอรมัน ผมก็ต้องเดินทางทั้งวัน เพราะตั้งแต่ ก็ไปร่วมงานพิธีรับเสื้อครุยของผู้ช่วยผู้พิพากษารุ่น ๕๗ .... ดูแล้วโอเว่อร์นิดหน่อย รับเสื้อครุยก็ต้องมีพิธีรีตรอง แถมนัดให้พาญาติมาแต่ ๗ โมงกว่า เพราะรอประธานศาลฎีกา มาถึงห้องพิธี ๙ โมงเช้า ... โอ้ย อะไรจะเว่อร์ขนาดนั้น ความจริง นัดก่อนเวลาไม่มากนักก็น่าจะดี โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ไม่ใช่วัวใช่ควายเสียหน่อย จะได้ต้องนั่งนับจำนวน ฯลฯ อะไรกันตลอด ตอนเข้าฟังคำปฏิญาณตน แทนที่จะรู้สึกว่า มันขลังดี กลับต้องบอกว่า คลื่นไส้ จะอ๊วกออกมาให้ได้ ..... สงสารพ่อแม่ ผู้ช่วยผู้พิพากษา อยู่ดี ๆ ก็ถูกตัดสายเลือดออกไป เพราะเมื่อมาเป็นผู้ช่วยฯ กลายเป็นว่า ไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากพ่อแม่ที่ให้กำเนิดมา กลายเป็นว่า สืบเชื้อชายมาจากบรรพตุลาการ ซะงั้น 55555 (เอ้า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมวะเนี่ย ... เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของผม .... )

มาพูดเรื่องการเดินทางต่อ ผมได้รับการจัดสรรให้นั่งสายการบินราคาประหยัดของ Lufthansa สายการบินเยอรมัน ในวันที่ ๑๔ ก.พ. ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๒๓.๕๕ น. เดินทางย้อนเวลา บินกลับมาทางตะวันตก ตรงไปยัง แฟร้งค์เฟิร์ต โดยทางสายการบินก็แจ้งว่า หลังจากมาถึง แฟร้งค์เฟิร์ต แล้วจะต้องนั่งรถไฟความเร็วสูงมายังเมืองโคโลนจ์ ต่อไป โดยผมจะต้องถือกระเป๋าไปเอง ทางสายการบินไม่อาจจะจัดการเอากระเป๋าไปขึ้นรถไฟให้

ที่จริง สายการบินว่างพอสมควรครับ ผมก็ขอบอกว่า เอาที่ชั้นธุรกิจให้ผมเถอะ ขอไปงั้นแหละ เผื่อฟลุ๊ค เหมือนตอนนั่งสายการบิน เอเชียน่า ได้จริง ๆ นะครับ แต่คราวนี้ สายการบิน Lufthansa บอกว่า จะต้องให้สมาชิกของเขาก่อน เลยชวดไป พร้อมกับว่า ถ้าอยากได้สิทธิพิเศษจริง ๆ ก็สมัครสมาชิกของสายการบินเขาดิ 555 ก็เลยสมัครไว้ด้วย ผมขอที่นั่งริ่มทางเดิน เพราะต้องไปห้องน้ำบ่อย ๆ

มาถึงสนามบิน แฟร็งค์เฟิร์ต แล้ว ก็ดูน่าจะใช้เป็นตัวอย่างของสนามบินสุวรรณภูมิได้ คือ เดินไกลชิบหายเลยครับ .... แต่มีข้อดีคือ มีหัวลำโพงในสนามบิน ไปบรัสเซลส์ ฯลฯ จากที่นี่ได้หมด เป็นรถไฟความเร็วสูง เร็วกว่า ๒๐๐ กม. ต่อ ชม. ครับ มาถึงแล้ว ตรวจหนังสือเดินทาง สำหรับผม ไม่ต้องใช้วีซ่า เพราะเป็นคนพิเศษ 555 ไม่ใช่หรอกครับ ใช้หนังสือเดินทางราชการ ไม่ต้องมีวีซ่า สำหรับบางประเทศในโลกนี้ครับ ซึ่งรวมถึงเยอรมันด้วย พอตรวจหนังสือเดินทางเสร็จ ผมก็ปวดขี้ครับ ไปขี้ อยู่ประมาณ ๑๕ นาที แล้วก็เดินผมไปรอกระเป๋าที่สายพาน ๑๔ ตามที่สายการบินแจ้ง ไม่มีครับ ถามเจ้าหน้าที่ เรื่องกระเป๋า ... เขาบอกว่า ไปที่รถไฟแล้ว ในใจคิดว่า สายการบินดีจัง ขนให้เสร็จสรรพ ไปถึงสถานีรถไฟ ชานชลาที่ ๖ ก็เกิดสงสัย มันจะขนขึ้นเครื่องให้เราตอนไหนวะ ... เลยวิ่งกลับไปถามเจ้าหน้าที่สายการบินที่เคาท์เตอร์ เขาก็ว่า ดีแล้วที่ถาม เพราะกระเป๋า อยู่ตรงหน้าที่เคาท์เตอร์ ก่อนไปสถานีรถไฟ ไม่งั้น ผมก็เสร็จละครับ ไม่มีเสื้อผ้าใช้

นั่งรถไฟจากแฟร์งค์เฟิร์ต ไปโคโลนจ์ ใช้เวลา ๕๐ นาที หนาวมาก ๆ ครับ ลบ ๓ องศาเซลเซียสครับ ... นั่งมาถึง โคโลนจ์ ก็หาเจ้าหน้าที่ FNF ที่มารอรับ ไม่เจอครับ ต้องประกาศกันวุ่นวาย ในที่สุด ก็มีคนเดินทางมารับ ขับรถจาก โคโลนจ์ ไปที่เมือง กัมมัส บะส์ ที่ฝึกอบรมอีก ๔๐ นาที ไปถึงห้องพักยังไม่เสร็จ เพราะจริง ๆ เขาเตรียมพร้อมสำหรับเวลาเย็น ๆ ๆแต่สายการบินผมมันไปแต่เช้า .... ก็เลยไปนั่งกินข้าว และ นั่งพัก หลับไหลไปก่อน .....

ผมได้ห้องพักเลขที่ ๕๐๒ ของอาคารที่ทำการฝึกอบรม เป็นห้องเตียงเดียว มีโต๊ะทำงาน ห้องน้ำในตัว เจ๋งเลย ครับ นอนหลับกลิ้งเลย จนเย็นจึงลงไปรวมพล เพื่อทำพิธีเปิด ผู้อำนวยการสถาบัน ก็มาต้อนรับง่าย ๆ พร้อมมีน้ำเสริฟคนละแก้ว พูดจบ กินข้าว แล้วก็ไปอบรมวิธีการเอาตัวรอดระหว่างการฝึกอบรม ทางสถาบันแจกเหรียญ ไว้แลกกินน้ำ และ ซื้อเหล้า ซื้อไวน์ ที่บาร์ ซึ่งอยู่ชั้นล่างสุดของสถาบัน ค่าซักผ้า ครั้งละ ๒ ยูโร (ไม่ยักจะแจก) ในใจก็คิดว่า แค่อาหารไม่ต้องซื้อ ก็สบายไปละครับ ไม่ต้องทำขนาดรัฐบาลสหรัฐฯ นอกจากแจกค่าเดินทางแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ที่จัดการอบรมในลักษณะนี้ จะแจกค่าเบี้ยเลี้ยงให้ด้วยในแต่ละวัน ปกติ ก็จะประมาณ วันละ ๒๐๐ บาท สหรัฐ เช่น ที่สถาบัน ILEA - Bangkok ก็แจกค่าใช้จ่ายเหล่านี้ด้วย ... แล้วชีวิตผมก็จบลงที่เตียงนอน ....วันนี้ นอนยาวเป็นแน่ เพราะเดินทางเหนื่อยมาทั้งวัน .... แล้วผมจะเล่าเรื่องให้ฟังในวันต่อ ๆ ไปครับ






 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 21 มิถุนายน 2553 8:58:49 น.
Counter : 1344 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.