Water Lilly Pukpui doesn't fit lulu pug on postcard Sky for Fonkoon

Shuggie Otis สามสิบปี ยังไม่สาย

เล่าเรื่องโดย เวสารัช

click to comment


I Can Stand to See You Die - Shuggie Otis


“ขอบอกเลยว่ามึงต้องฟังอัลบั้มนี้ให้ได้...ไม่งั้นก็อย่าแค่นมาคุยว่าเป็นแฟนเพลงบลูส์”
คลับคล้ายคลับคลาว่าผมทับถมทำนองนี้กับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่บ้าฟังเพลง
และบ้ากีต้าร์เหมือนกัน สมัยยังเรียนอยู่ปีสี่ที่ม.กรุงเทพ ว่าแล้ว ไม่พูดเปล่า
ทั้ง ๆ ที่คุยกันทางโทรศัพท์นั่นแหละ ผมบรรจงเร่งเสียงสเตอริโอคอมโบเครื่อง
กระจิ๋วหลิวทีละน้อย เสียงกีต้าร์บลูส์ในทางคอร์ดแบบโซล ค่อย ๆ แว่วหวานออกมา
พอได้ที่ ผมเอาหูโทรศัพท์ไปวางได้ระยะเหมาะ ๆ กับดอกลำโพง ให้มันฟังถนัด ๆ
นึกครึ้มในใจ ตามประสาคนเป็นโรคผีบ้า-พึงพอใจกับการ‘จับช้างเผือก’
ได้ก่อนเพื่อนฝูง

“เป็นไงวะ ? เสียวซ่านไปถึงก้นกบเลยดิ ? อย่าลืมเลี้ยงเบียร์ขอบคุณกูล่ะ”
“ เพลง Gospel Groove ของ Shuggie Otis !
โธ่พี่ ผมก็มีเหมือนกันแผ่นเนี้ย ฟังทุกเช้าตอนนั่งบิ๊วต์ในห้องส้วม”

อุ๊วะ (อุทานในใจ) ช้างอ้วนนวลฉวี แปดเปื้อนราคี
ถูกเพื่อนขี่เสียแล้ว !

. . . . . . .


click to comment


ผมเจอ Shuggie’s Boogie :
Shuggie Otis Plays the Blues แผ่นนี้ในร้าน
ทาวเวอร์เร็คคอร์ด สาขา สยามเซ็นเตอร์


เล่ามาถึงตรงนี้ ขอแวะบรรยายถึงวิบากกรรมของร้านเทป-ซีดีเพลง
ร้านนี้ เสียหน่อย อันมีลำดับความดังนี้
1.เปิดให้บริการเป็นครั้งแรกที่ชั้นสี่
ห้างสยามเซ็นเตอร์
2.ชั้นสี่ ห้างสยามเซ็นเตอร์ถูกไฟไหม้ ทาวเวอร์ฯ
ก็วอดไปด้วย ยังความเสียใจสู่มิตรรักแฟนเพลงเป็นที่ยิ่ง
3.เปิดให้บริการที่เดิม แต่ความหลากหลายของแนวเพลงน้อยลง
4.ถูกเทคโอเวอร์ หรืออย่างไรไม่ทราบ เปลี่ยนชื่อร้านเป็น
ซีดีแวร์เฮ้าส์
5.ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ห้างดิสคัฟเวอรี่ชั้นห้า ส่วนทำเลเก่า
มีศูนย์อาหารหน้าตาน่าอึดอัดมาแทนที่
6.ต่อมาอีกกี่ปีไม่ทราบ ซีดีแวร์เฮาส์ลดราคาล้างสต็อก
(และผมไปไม่ทันเก็บแผ่นเด็ด ๆ ...เซ็งจิตมาก) แล้วปิดตัวไปในที่สุด


โอเค ! กลับมาเล่าต่อ ตอนที่ผมไปได้ซีดีแผ่นนี้มา
อยู่ในพีเรียดที่สองของร้าน คือ หลังจากไฟไหม้ไปแล้ว และ
กลับมาเปิดบริการใหม่ ภายในร้านยังมีการแบ่งสัดส่วน
โชว์แผ่นซีดีตามแนวเพลงเหมือนเดิม โดยมีพื้นที่กระจุ๋ม
กระจิ๋ม น่ารัก ๆ ไว้สำหรับเพลงบลูส์ หนึ่งบล็อค

เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กฝึกหัดเล่นกีต้าร์ จะต้อง
มีห้วงเวลาหนึ่งที่มันจะต้องหันมาสนใจเพลงบลูส์ จะด้วย
ฟังคำผู้เฒ่าสอนมา หรือด้วยใจรักชอบเองก็แล้วแต่
ตัวผมในเวลานั้นก็เป็นอย่างนั้น เทียวไล้เทียวขื่ออยู่
แต่ตรงบล็อกนั้น ไม่รู้กี่เที่ยว หยิบ ๆ จับ ๆ อยู่นั่นแล้ว
แต่ละคราว ไม่แคล้ว เจอแต่บลูส์ระดับเง็กเซียนฮ่องเต้
(คือ ไม่ใช่แค่เซียนชั้นผู้น้อย) ไล่ตามลำดับตัวอักษร
A.= Albert King
B.= BB King
F.= Freddie King
บลา ๆ ๆ ไล่ไปจนถึง S.Stevie Ray Vaughan

พอประเหมาะเคราะห์ดี เจอตัวแปลก ๆ
ก็รีบตะครุบทันที ปรากฏว่าเป็นหนึ่งในสองแผ่นสุดท้ายของร้าน
ผมงี้กระดี๊กระด๊าเหมือนตัวเองเป็นคนแรก ของโลกที่ได้ฟัง
ตอนกลับไปที่ร้านครั้งถัดมา แผ่นที่เหลือก็หายไปแล้ว

ทีนี้เลยยิ่งบ้าไปกันใหญ่ คิดว่าตัวเองได้ฟังเป็นคนสุดท้ายอีกต่างหาก
ถ้าไม่ถูกเพื่อนดับฝันเสียก่อน ท่าทางจะยังกู่ไม่กลับจนทุกวันนี้

. . . . . . .



click to comment



หลายปีต่อมา มีเพื่อนไปเป็นสต๊าฟจัดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ งานหนึ่ง
ของคนดนตรีกลุ่มน้อย ทางผู้จัดงานไม่มีค่าแรงให้
แต่ยกคอลเล็กชั่นซีดีหนึ่งกระเป๋าใหญ่ ๆ มาให้
ก๊อป - ไร้ท์ กันตามอำเภอใจ ผมเลยได้อานิสงส์ไปด้วย
แล้วก็เลยปะหน้า นาย ชักกี้ คนเดิมคนนี้ที่กลับมาในคราบ
เพลงโซล กิ๊บเก๋ กับอัลบั้ม Inspiration Information

หลายปี ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เพื่อนฝูงที่เล่นดนตรี
ด้วยกัน แตกกระสานซ่านเซ็นกันไป ตัวคนเขียนเองก็ร่ำ ๆ
จะลืมเสียแล้วว่าเคยเป็นพวกหมกมุ่น ครุ่นคิดกับเสียงเพลง
เสียมากมายปานนั้น จนไม่กี่วันก่อน นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับ
บ้าน ไม่มีเพลงอะไรจะฟัง (เพราะแผ่นซีดีที่ฟังประจำ
ถูกถ่ายโอนไปอยู่บ้านแฟนเสียสิ้น...โดยไม่รู้ตัว) เลยไปคุ้ยหา
ในกรุ เจอนายชักกี้ เพื่อนเก่า จนมีเรื่องมาเล่าให้
ชาวบ้านฟัง ณ ขณะนี้

. . . . . . .

ถ้าในโลกดนตรีจะมีอัจฉริยะอยู่สักหยิบมือน้อย ๆ
หนึ่งหยิบ ชักกี้ โอทิส ก็น่าจะอยู่ในอุ้งมือนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
อาจจะเพราะหมอนี่โตมาในครอบครัวนักดนตรี
(เขาเป็นลูกชายศิลปิน อาร์แอนด์บี รุ่นเก๋า Johnny Otis)

ฟังว่า ชักกี้ เล่นดนตรีอาชีพตั้งแต่อายุสิบสอง และเพราะว่า
อายุยังไม่ถึงเกณฑ์จะเข้าไน้ท์คลับ หมอเลยต้องใส่แว่นดำ
และติดหนวดปลอมอยู่พักใหญ่ !

บ้าไปกว่านั้นคือ เขาเล่นได้ทุกอย่าง ในงาน
เพลงส่วนใหญ่ (ยกตัวอย่างเช่นในอัลบั้ม inspiaration
Information) เขาจะบันทึกเสียงเอง ทั้ง กีต้าร์
เบส คีย์บอร์ด และร้องนำ แถมไม่ว่าจะจับ จะร้อง
อะไร ก็ทำได้ในระดับที่แทบจะทำร้ายจิตใจนักดนตรี
ประจำเครื่องนั้น ๆ ให้เลิกเล่นไปเลย
(ชักกี้ เคยเล่นเบสให้ แฟรงก์ แซปป้า อัจฉริยะหลุดโลก
ของวงการ ฟิชชั่น-ร็อค คนที่ สตีฟ วาย เทิดทูนเป็นอาจารย์ใหญ่ )

น่าประหลาดที่ข่าวคราวในวงการเพลงของ
ชักกี้ ขาดหายไปห้วน ๆ หลังยุค เซเว่นตี้ส์ หลังจาก
สร้างงานเพลงเจ๋งเป้งไว้หนึ่งกระบุง คนเราไม่น่าจะ
หายสาบสูญไปได้

แต่หมอก็หายไปแล้วครับ ทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่

นักวิจารณ์เพลงบลูส์บางคนบอกว่า
เป็นเพราะ ชักกี้ โตมาเป็นวัยรุ่นที่เล่นเพลงบลูส์
ในยุคที่กระแสร็อคแอนด์โรลกำลังท่วมท้องธารา
ขณะที่แฟนเพลง อาร์แอนด์บี และ โซล ต่างบ่น
เสียดายว่า อัลบั้ม ‘inspiration information’
ของเขา มาถึงก่อนเวลาของมันสามสิบปี (วางจำหน่าย
ครั้งแรกปี ค.ศ. 1974) เพราะมันเป็นงานเพลง
ไซคีเดลิกป๊อบ ที่กลั่นจากมันสมอง
ของมือกีต้าร์ระดับพระเจ้า (องค์ที่ถูกลืม)

อัลบั้ม inspiration information
เพิ่งจะถูกนำมารีมาสเตอร์ในปี 2001 และทำยอด
ขายมากกว่าสมัยเซเว่นตีส์บานเบอะ จนกระทั่ง
ติดอันดับอัลบั้มเพลงโซลคลาสสิกกับเขาด้วย
แม้แต่ โคริน เบลีย์ เร นักร้องสาวผิวสีชาวอังกฤษ
ก็ยังเคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Guardian ว่า
งานเพลงชุดนี้ของ ชักกี้ โอทิส เป็นหนึ่งในอัลบั้ม
สุดเลิฟตลอดกาลของเจ้าหล่อน

. . . . . . .

“ขอบอกเลยว่าคุณ ต้องฟังสองอัลบั้มนี้ให้ได้ ถ้าคุณรักเพลงบลูส์ และโซล”
ผมจะไม่ทับถมผู้อ่านที่อุตส่าห์สละเวลาให้หมดเปลือง
บนหน้ากระดาษของผม แต่ฝากไว้ในอ้อมใจก็แล้วกัน

พูดกันถึงเสียงร้อง ชักกี้ มีเนื้อเสียงที่เท่เสียไม่มีใครเกิน
คือ นอกจากทุ้ม ๆ นุ่ม ๆ แล้ว ยังแอบมีความแหบห้าวแบบแมน ๆ
กลั้วผสมอยู่ และถ้าพูดถึงสไตล์การเล่นกีต้าร์ ก็ต้องบอกว่า
หมอนี่เฉียบจนเป็นบ้าไปแล้ว !

ในขณะที่เขาก้าวสู่วงการใน (รัชชะ)สมัยของ Jimi Hendrix
ราชากีต้าร์ผู้แผ้วถางทาง บลูส์ สู่ฮาร์ดร็อค และ ฟิวชั่น ชักกี้ กลับมี
เสียงของตัวเองอย่างชัดแจ้ง เขามีความพลุ่งพล่านแบบหนุ่มร็อค
มีความไหลลื่นแบบแจ๊ส แต่ก็ยังคงกลิ่นรากเหง้าที่กรุ่นดินแถบลุ่ม
แม่น้ำมิสซิสซิปปี (ต้นธาร ตำนานบลูส์)

ในหมู่นักกีต้าร์บลูส์สมัยใหม่ ไม่เคยมีใครเล่นได้สด
อย่างนี้ นอกจาก สตีวีย์ เรย์ วอห์น และ ชักกี้ โอทิส ก็มาถึงแวดวง
บลูส์ก่อน สตีวีย์ ตั้งหลายขวบปี ! (เหล่ามือกีต้าร์ ได้ฟังแล้วจะ
ทึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับบริบทของวงการบลูส์ในยุค 70s)

สำหรับอัจฉริยะผู้เสกเป่ากีต้าร์บลูส์ได้เหมือน
พ่อมดหมอผี ตั้งแต่อายุสิบห้า แต่กลับถูกหลงลืมอยู่ใน
ซอกหลืบของเวลาคนนี้ เขาจะรู้สึกอย่างไร ? ผมไม่รู้จริง ๆ

แต่เขาคงไม่เสียใจ ไม่เสียดาย อาจบางที...ไม่แยแสด้วยซ้ำ
เหมือนเมื่อครั้งหนึ่งที่เขาได้รับการทาบทามจากวง
ร็อคเจ้าตำนานจากอังกฤษ เดอะ โรลลิง สโตน ให้เข้าไป
อุดตำแหน่งกีต้าร์ที่ว่างอยู่

“No,thanks”
เขาตอบสั้น ๆ สุภาพ และเรียบง่ายแบบนั้น

. . . . . . .

click to comment



ผมค้นเจอเขา จากซอกมุมเล็ก ๆ ของร้านขายซีดี
หลงลืม แล้วหยิบกลับมาฟังใหม่

ขณะที่แฟนเพลงทั่วโลก ค้นพบเขา หลังจาก
หายสาบสูญไป สามสิบปี

“ดนตรีนี่ อะเมซซิ่ง ติงลี่ จริง ๆ ว่ะ”

ผมรำพึง แล้วหยิบกีต้าร์ขึ้นเล่นอีกครั้ง

ที่ไหนสักแห่ง - บางเขตแขวงของกรุงเทพฯ
เจ้าของซีดี Shuggie’s Boogie แผ่นสุดท้าย
ของร้าน ทาวเวอร์เร็คคอร์ด คงกำลังนั่งเล่นกีต้าร์อยู่เหมือนกัน

ผมหวังใจไว้

………………………………………………………………………



05 Me and My Woman.wma - Shuggie Otis




Gospel Groove สำเนียงกีต้าร์บลูส์ โดยเด็กหนุ่มวัยสิบห้า !!!!

Gospel Groove - Shuggie Otis



Shuggie’s Boogie
ทีเด็ดอยู่ที่ช่วงอินโทร ชักกี้ บรรยายถึงอิทธิพลทางดนตรี
ที่เขาได้รับจาก ศิลปินรุ่นพ่อ พร้อมกับสาธิตสไตล์กีต้าร์ของแต่ละคน
(เท่โคตรจริง ๆ)

02 Shuggies Boogie.wma - Shuggie Otis



Inspiration Information
ไตเติ้ลแทร็ค จากอัลบั้มชื่อเดียวกัน เป็นเพลงโซลเท่ ๆ
ที่อาจขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดยุค 2008 ได้สบาย ๆ

Inspiration Information - Shuggie Otis








 

Create Date : 29 กันยายน 2551    
Last Update : 30 กันยายน 2551 9:23:20 น.
Counter : 751 Pageviews.  

The Musa Blues Band บลูส์แมน ๆ ที่ผมคิดถึง

เล่าเรื่องโดย เวสารัช (แฟนดิฉันเอง)

Track 1 - The Musa Blues Band
Stormy Monday Blues - The Musa Blues Band



ตกค่ำ คนเรามักมีชั่วขณะหนึ่งที่ได้กลับมาเป็นตัวเอง

จะด้วยการทำงานของนาฬิกาชีวภาพ หรือ กลไกของสังคมก็ตามที
พอถึงเวลาที่แดดเริ่มอ่อนจาง สีน้ำเงินเข้มกระเดียดดำละลายไปเคล้าผืนฟ้า
ช่วงรอยต่อระหว่างกลางวัน-กลางคืน เรามักจะกลับมาเป็นตัวเอง
ด้วยการสูดหายใจเต็มปอดและผ่อนลมออกช้าๆยืดยาดตามความพึงใจ
เพราะนาทีนั้น ไม่มีใครจะมาสั่งเราได้ว่า
“คุณอย่าเสือกหายใจนานเกินไป” หรือ “นี่ไม่ใช่เวลาเข้าส้วม”
หรือ“จงทำงานให้คุ้มค่าเงินที่ผมจ่ายลงไปกับคุณ”

เป็นตลกขำ-ขื่น ที่ความเป็นตัวของตัวเองแหวกว่ายกลับมาสู่เรา
พร้อมความอ้างว้าง เหมือนเราใช้เวลาทั้งวัน ว่ายน้ำหนีตัวเองจนเหนื่อยอ่อน
เพื่อจะมาสมทบกันอีกครั้งในยามเย็น พึมพำกับตัวเอง
“เราได้ทำอะไรไปบ้างในวันนี้?”

เพียงการเป็นตัวเองเท่านั้นก็เจ็บปวดแล้ว?

เพลงบลูส์ก็เป็นเช่นนี้ บลูส์เกิดมากับคนอเมริกันผิวดำที่ถูกใช้งานเหมือน
ทาสในไร่ฝ้ายเมื่อศตวรรษที่แล้ว หย่อนก้นลงในเพิงพัก เล่นกีต้าร์เก่า ๆ
ด้วยความรู้ทางดนตรีแบบงูๆปลาๆ เพียงต้องการจะปลดเปลื้องความรู้สึกที่ถูกล้อมกรอบ
น่าคิดว่าคนงานผิวดำคนแรกที่เริ่มดีดกีต้าร์แล้วแผดเสียงร้อง
โหยหวนเป็นทำนองแปร่งหูแบบบลูส์ บลูส์ นี้
ก็น่าจะเริ่มร้องเริ่มเล่นเป็นเพลงตอนย่ำค่ำเหมือนกัน

กว่าศตวรรษผ่านพ้น คนเป็นทาส นับวันมีแต่จะเพิ่มจำนวน
ตัวผมเองก็ร่วมขบวนไปกับเขาด้วย ตกค่ำ ย่ำเท้าอยู่กับที่
รอจนตัวตนของตัวเอง เดินทางกลับเข้าร่างได้
ก็ออกพล่านไปตามแหล่งบันเทิงที่มีเสียงเพลง… เพลงบลูส์

คืนฤดูหนาวของปีพ.ศ.2542 (ค.ศ.1999) บรรยากาศตามลานเบียร์
แช่มชื่นกว่าทุกวันนี้(ตามความรู้สึกของผม)เพลงบลูส์ยังหาฟังได้ง่าย
ผมกับเพื่อนสามสี่คนที่ยังไม่สำเนียกในความเป็นทาสของตัวเอง และยังเป็น
แค่นักศึกษาปีหนึ่งปีสอง นิยมไปนั่ง ‘ดัดจริต’ อยู่ตามลานถองข้าวหมักที่
มีวงดนตรีแจ่ม ๆ มาเล่นให้ฟังเป็นบางวัน

ทุกครั้งที่แวะไปลานว่างหน้าห้างเวิร์ลเทรดเก่า
หรือลานสันทนาการข้างตึกสยามดิสคัฟเวอรี่ ผมจะแอบหวังใจอยู่เล็ก ๆ
ให้นักดนตรีกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นมาบนเวที ไม่เบร็คแรกตอนหนึ่งทุ่ม
ก็เป็นเบร็คสองประมาณสามทุ่ม

นักร้องนำผมยาวหยักศก หน้าซูบตอบหนวดเครารกครึ้ม
สะพายกีต้าร์กิ๊บสันเลสพอลสีดำกระด้างดูเก่าเก็บพอกันกับเจ้าของ
มือกีต้าร์ลี้ด ผมยาวตรงรวบไว้กลางหลังลุ๊กส์เหมือนอินเดียนแดง
สะพายกีต้าร์เฟนเดอร์สตราโตแคสเตอร์ อเมริกันสแตนดาร์ด
สีเทาที่ดูอมเหลืองขะมุกขะมอมจากการคลุกควันบุหรี่ทุกวี่วัน
มือเบสผมหยิกหยอย หน้าตายิ้มแย้ม สะพายอิเล็กทริคแจ๊สเบสของเฟนเดอร์
และ มือกลองผู้มีทรงผมสั้นเต่อที่สุดในวง (ณ วันนั้นถ้าจำไม่ผิด
เจ้าตัวจะไว้หนวดเข้ม ๆ เหนือริมฝีปากบน)

สารรูปของประดาคุณพี่เหล่านี้ บรรยายออกมาแล้ว
ก็คงไม่มีอันใดประหลาด คุณอาจจะคิดว่า ตั้งแต่ยุคซิกซ์ตี้ส์
เป็นต้นมา ทั่วโลกต่างมีนักดนตรีลักษณะท่าทางแบบนี้อยู่ออกเกลื่อน
ถูกของคุณ ! เพราะสิ่งที่ได้ใจชาวทาสอย่างผมและ
ผองเพื่อนไปเต็ม ๆ นั้นไม่ใช่รูปลักษณ์ แต่คือเสียงที่พวกเขาเล่น
และร้องออกมา

ซึ่งถ้าเรียกตามหลักเกณฑ์ของวงศ์วานนักวิจารณ์
ก็ต้องเรียกว่า บลูส์ร็อค หรือ บางเพลงก็ต้องเรียกเป็น บลูส์-ฟังก์
จะเรียกอย่างไหนให้ฟังเก๋ก็ตามที สำหรับผมแล้วดนตรีที่ได้ฟัง
ในหลาย ๆ คืนของปีนั้น มันก็คือบลูส์แท้ ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
ตั้งแต่พยางค์แรกที่ อ.มูซา นักร้องนำเอื้อนเสียงออกมา ‘บลูส์โน้ต’ *
ก็ลอยละล่องไปทั่วบรรยากาศ

พี่สงค์ มือกีต้าร์ลี้ดของวง กลายเป็นกีต้าร์ฮีโร่ของผม
นับแต่วันนั้น (จนวันนี้) การเล่นของแกในเพลงช้าจะมีทั้งวลีที่สวยงาม
และบีบคั้นไปพร้อม ๆ กัน ส่วนเพลงเร็วก็มีความมันส์ที่ก่ออาการ
คันขึ้นในหัวใจคนฟัง ยิ่งลีลา ‘โยก’ ตอนพี่แกเค้นเสียงแต่ละเสียง
ออกมาถึงจุด ‘กระสัน’ ของบทเพลงด้วยแล้ว ป๊อดโมเดิร์นด็อก
ก็เถิด พึงระวัง! พี่แกจัดเป็นนักกีต้าร์ที่เล่น’หมดตัว’จริง ๆ เล่น
เอาผมเองเกิดอาการเสียวสันหลังวาบหลายครั้งตอนที่โน้ตบางตัว
พุ่งปรี๊ดไปโดนต่อม

ตกค่ำของปีพ.ศ. 2551 ยังไม่ทันถึงหน้าหนาว ผมก็เกิด
อารมณ์แบบทาสที่ปรารถนาการปลดปล่อยเสียได้ เพราะฝน
ที่ตกไม่หยุดหย่อนพาอากาศเย็นเยือกมาสะกิดต่อมรับรส
ให้อยากลิ้มเบียร์เย็น ๆ เคล้าเพลงบลูส์ น่าสงสาร (ตัวเอง)
ที่ ‘เบียร์’ นั้นหาง่ายแต่ ‘บลูส์ ‘ กลับหาฟังแทบไม่ได้แล้ว

ตามร้านเหล้าเคล้าดนตรีของพ.ศ.นี้ จงบทจรไปเถิด ให้ถ้วนทั่ว
ทุกแหล่งที่ระบุว่าเป็น blues & jazz pub คุณจะพบกับสมรภูมิ
ของหลายเหล่าทัพเสียง มือกีต้าร์ที่พยายามจะเป็น สตีวี เรย์ วอห์น
แต่เลียนแบบมาได้แค่สามสี่วลีเพลงกับการทุบตีทารุณกรรมกีต้าร์
เสียงคนเล่นแฮมมอนออร์แกนเหมือนคนพิการไม่มีนิ้ว
(พ่อคุณสไลด์มือผ่านคีย์บอร์ดไปมา ๆ รูดปื๊ด ๆ ไม่มีท่วงทำนองเล็ดลอดมาให้ได้ยินสักแอะ
กับมือกลองที่พยายามตียังไงก็ได้ ให้ขัดแย้งกับคนอื่น (!?)

อย่ากระนั้นเลย เมื่อความมืดมาเยือน และเราท่านต่าง
กลับมาเป็นตัวของตนเอง ขอบรรณาการบทเพลง ‘บลูส์’
ที่ เดอะ มูซาบลูส์แบนด์ เคยร้อง-เล่น ไว้ เมื่อร่วมสิบปีก่อน


- - - - - - -




click to comment



Track 2 - The Musa Blues Band
crosscut saw - The Musa Blues Band



Track 9 - The Musa Blues Band
crossroad - The Musa Blues Band



Track 12 - The Musa Blues Band
Kansascity - The Musa Blues Band



Track 5 - The Musa Blues Band
Cash Talkin'


*The Musa Blues Band
(เป็นแผ่นซีดีที่ผลิตขึ้นมาเพียง 100 แผ่น ที่ผมไปได้มาจากงาน
แจ๊สริมน้ำ เมื่อหลายปีก่อน)

มูซา ชอบสันติ (อ.มูซา) : ร้องนำ, กีต้าร์
Wayn John Dikken : Saxsophone
สมประสงค์ โกละกะ (พี่สงค์) : กีต้าร์
Visout : คีย์บอร์ด
ภูมิใจ เรืองรุ่ง : เบส
ทศ พนมขวัญ : กลอง

งานชิ้นนี้ไม่ใช่งานสตูดิโอ แต่เป็นบันทึกการแสดงสด ๆ จากลานเบียร์
หน้าห้างเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ เมื่อปี พ.ศ.2542 (ค.ศ.1999)
ทางสมาชิกวงอธิบายถึงเหตุผลในการผลิตผลงานชุดนี้ออกจำหน่ายจ่ายแจก
ดังนี้

“เราตัดสินใจทำมันออกมา เพื่อรำลึกถึง เวย์น จอห์น ดิ๊กเก้น เพื่อนรักของเรา
ที่จากไป เราเปลี่ยนชื่อวงเกือบทุกปี แต่ก็ตัดสินใจกลับมาใช้ มูซา บลูส์ แบนด์
เพื่อรำลึกถึงทุกคนที่เคยร่วมเล่นและร่วมสนุกกับเรา...กับวันเวลาที่ผ่านมา”

เวย์น จอห์น ดิ๊กเก้น ก็คือเจ้าของเสียงแซ็กโซโฟนที่ทั้งกลมกล่อมและจัดจ้าน
ที่เราได้ยินกันในผลงานชุดนี้ นี่เอง

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
* blues note : ตามทฤษฎีดนตรีสมัยใหม่ หมายถึงโน้ตตัวที่ แฟลต 7 (6 ครึ่ง)
ของบันไดเสียงนั้น ๆ ซึ่งเป็นตัวสร้างคาแร็กเตอร์ให้คอร์ดโดมิแนนต์
หรือ คอร์ดเซเว่น อันเป็นพื้นฐานของดนตรีบลูส์ แต่ในทีนี้
ผู้เขียนตั้งใจจะสื่อถึงความรู้สึกที่ จับไม่ได้ ไปไม่ถึง อันเป็นอารมณ์
แบบบลูส์

* ไม่นานเดือนก่อน ผมบังเอิญไปเจอ ‘พี่สงค์ ฟอร์มวงทริโอขึ้นใหม่
ไปเล่นอยู่ที่ร้าน Overtone RCA และบังเอิญจริง ๆ ที่พกซีดีบันทึก
การแสดงสดของ เดอะมูซาฯ เมื่อปี 1999 ไว้กับตัว เลยได้เข้า
ไปทักทาย และขอลายเซ็น ;)


click to comment




 

Create Date : 21 กันยายน 2551    
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 15:07:51 น.
Counter : 993 Pageviews.  

เอกชัย เจียรกุล คนอุบลฯคือกัน

click to comment


เพิ่งถอยอัลบั๊ม Guitar Solo ของเอกชัย เจียรกุล/น้องเบิร์ด
ประทับใจสามเพลง พร้อมทั้งอยากเชียร์เด็กอุบลฯเหมือนกัน(จนออกนอกหน้า)
จึงวานคุณแฟนมาเขียนถึงทั้งสามเพลงให้หน่อย
เพราะข่อยฟังเป็นอย่างเดียวจริงๆเด้อ

เชิญรับฟังค่า

Kase No Oka - Ekachai Jearkul

Kase No Oka : Jyo Hisashi

เท่าที่เคยสัมผัสมา(ตามความรู้สึกส่วนตัวเด้อ)
รู้สึกว่าคนญี่ปุ่นมีเซ้นส์ด้านดนตรี(รวมถึงศิลปะด้านอื่นๆ?)
ที่เปิดกว้างต่อการผสมผสานกับความเป็นสากล
เพราะทำนองแบบญี่ปุ่นๆ พอนำมาบรรเลงแบบฝรั่ง
มันฟังดูอินเตอร์ชอบกลอย่างกับว่าถูกทำให้สามารถนำมาบรรเลงอย่างนั้นตั้งแต่แรก
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็อย่าง เพลง Sakura Variation*
ที่นักประพันธ์เพลง contemporary classical ชาวญี่ปุ่น Yuquijiro Yocoh
นำเอาทำนองเพลงญี่ปุ่นโบราณมาขยายความเป็น variation ต่างๆ
ตามแบบดนตรีคลาสสิก แล้วเจ้าพ่อกีต้าร์คลาสสิกชาวอังกฤษ John Williams
นำไปบรรเลงจนดังเป็นพลุแตกเมื่อหลายสิบปีก่อน

สำหรับเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองเหงา เศร้า แต่ไม่ฟูมฟาย แบบญี่ปุ่น
ตอนได้ฟังรู้สึกชอบใจที่น้องแกทิ้งช่องว่างให้ท่วงทำนองได้หายใจเป็นบางช่วง
ทำให้เสียงกีต้าร์กังวานออกมาเต็มที่ในจังหวะที่ผู้ประพันธ์เพลงแอบใส่คู่เสียงเท่ๆเอาไว้
เป็นการตีความที่เหมาะกับคาแร็กเตอร์แบบญี่ปุ่นๆ ที่ประหยัดถ้อยคำ

*(variations : การนำท่วงทำนองชุดหนึ่งๆมาสร้างแนวทางการบรรเลงหลายๆแบบ
ด้วยสีสันเทคนิกต่างๆ เพื่อสร้างมิติให้บทเพลง)




Love theme from the cine ma Paradiso - Ekachai Jearkul

Love Theme from the Cinema Paradiso : Ennio Morricone

ซาวนด์แทร็คหนังรักโรแมนถึกกก ที่น่าจะครองใจคอหนังหลายๆคน
เนื้อหาเกี่ยวกับความผูกพันระหว่างลุงพนักงานฉายหนังในโรงภาพยนตร์ท้องถิ่น
กับเจ้าหนูขาประจำตัวน้อย (รายละเอียดไปหาชมเอาเองรับรองปรี๊ด)
เพลงนี้ได้ยินครั้งแรกจากแผ่นอัลบั้มแนวคลาสสิกร่วมสมัย - Café Paradiso
ของนักกีต้าร์คลาสสิกชื่อ Steve Erquiaga
ต่อมาก็จากอัลบั้ม Beyond Missouri Sky ของเทพกีต้าร์แจ๊สหัวกระเซิง Pat Metheny
(ถ้าเรียกว่า ‘เทพหัวฟู’จะทำให้นึกถึง Jimi Hendrix ไปเสียฉิบ)
ตามด้วยอัลบั้ม When I Fall In Love ของนักทรัมเป็ต
(...คนนี้ขั้นเทพเหมือนกัน...หล่อขั้นเทพ)-Chris Botti*

ฟังมาหลายเวอร์ชั่น ก็ไม่เคยรู้เลยว่าหนังมันเกี่ยวกับอะไร รู้แต่ว่ามันไพเราะจนหัวใจสลาย
สุดท้ายต้องไปขวนขวายตามหาหมอผี (เพื่อขอแผ่นผีมาดู-HA)

สำหรับเวอร์ชั่นนี้ น้องเบิร์ดเรียบเรียงสำหรับบรรเลงแบบ solo (คือเล่นเดี่ยว)ด้วยตัวเอง
แล้วก็ทำได้ดีเสียด้วย มีการแต่งท่อนอินโทรนำเข้าทำนองหลักของเพลงอย่างกลมกลืน
ในช่วงไคลแม็กซ์ของเพลง มีการสอดใส่ไลน์ประสานแบบล้อเลียนเปียโนเข้าไป
เพิ่มความเร้าอารมณ์ คาดว่าน้องเขาคงอ้างอิงจากเวอร์ชั่นต้นฉบับที่ใช้ประกอบหนัง
เพราะฟังแล้วนึกถึงกลุ่มเครื่องสายที่ประโคมเรียกน้ำตาผู้ชมจนตรมตรอม

* ใครเป็นพวกบ้าเพลงเหมือนกัน แต่ไม่เคยฟังเวอร์ชั่นอื่นๆ ที่กล่าวมาของเพลงนี้
หามาฟังได้เลย เพราะทุกเวอร์ชั่นจริงๆ



Russian Song - Ekachai Jearkul

Russian Song : Sergey Rudnev

นักกีต้าร์ที่มาทางสายคลาสสิกโดยตรงนั้น
มีจำนวนมากทีเดียวที่มาตกม้าตายเวลาต้องบรรเลงเพลงพื้นเมือง
หรือเพลงที่แสดงถึงอิทธิพลของดนตรีพื้นเมืองอย่างโจ่งแจ้ง
ไม่ว่าจะเป็นเพลงสเปนิชที่ต้องสะบัดข้อมือ ‘สตรั๊ม’
(หรือเรียกแบบบ้านๆว่า ‘ตีคอร์ด’) อย่างฉับไว หรือ
เพลงจากฝั่งละตินอเมริกาที่มีสัดส่วนจังหวะผิดประหลาดไปจากหลักการของดนตรีคลาสสิก
(อย่าง ซัลซ่า บอสซาโนว่าฯลฯ)

เคยได้ไปชมคอนเสิร์ตของนักกีต้าร์คลาสสิกระดับเวิร์ลคลาสหลายคน
(ที่บ้านเฮานี่แหละจ้ะ...เพิ่นมาสำแดงให้เราดู)
มีแค่หยิบมือเดียวจริงๆ ที่จะเล่นเพลงบู๊ ๆแบบพื้นถิ่นได้อย่างมีสำเนียงฟังถึงอกถึงใจ
แม้แต่เมื่อคราวสาว(ไม่น้อยแล้ว)มหัศจรรย์ นาม หยาง ซู่ เฟย จากเมืองจีน
มาเปิดคอนเสิร์ต อีตอนเล่นเพลงคลาสสิก เธอเล่นเนียนมาก
แต่พอเล่นเพลงจากฝั่งละตินกลับแสดงอาการประดักประเดิดออกมา ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ

แต่น้องเบิร์ดทำได้!!!! ด้วยความที่เราก็ไม่คุ้นเคยกับเพลงพื้นเมืองแบบรัสเซียน
เลยไม่กล้าฟันธงไปเสียให้เด็ดขาด เพียงแต่ว่ากันตามความรู้สึก- ฟังแล้วมัน ‘ได้ใจ’ ดี
ไม่ดูมือไม้อ่อนอ้อนแอ้นแบบพวกคลาสสิกหัวสูงบางกลุ่ม
นับว่าเข้าถึงวิญญาณไอ้ตูดบ้านนอกโดยแท้ (HA)



***แ่ผ่นน้องเบิร์ดซื้อที่ร้านgramophone ชั้น2 Siam Paragon
และแอบเห็นแว่บๆว่าที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯก็มีวางขาย




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 26 กันยายน 2551 17:09:32 น.
Counter : 1108 Pageviews.  

วาดภาพประกอบเพลง

Blue Way (Take # 1)

my paint

01-Blues Way#01.mp3 - Way


แฟนเรากำลังขะมักเขม้นทำเพลงนี้อยู่
ก็เลยหยิบกระดาษ หยิบสี กลายเป็นภาพนี้แหละ
(ปล. เพลงนี้ยังไม่เสร็จเด้อ แอบจิก Take # 1 มาลงก่อน)




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 28 ตุลาคม 2552 13:34:31 น.
Counter : 928 Pageviews.  

- - - f l y m e t o t h e m o o n - - > รวมมิตรฝ่าสายฝนสู่ดวงจันทร์

Smiley  ขอแนะนำรวมมิตรฝ่าสายฝนสู่ดวงจันทร์  Smiley





Original paint by Justin DeGarmo


พี่สาวคนโต -- Diana Krall

น้องสาวคนเล็ก -- Coco d'Or

เพื่อนร่วมรุ่น -- Utada Hikaru

คุณแม่แห่งชาติ (สาธารณรัฐ บอสซาโนว่า) -- Astrud Gilberto

คุณพ่อ (ผู้บุกเบิกเพลงนี้) -- Frank Sinata

คุณป้าที่ไหนเนี่ย -- Julie London









 

Create Date : 26 เมษายน 2551    
Last Update : 14 พฤษภาคม 2551 12:12:54 น.
Counter : 410 Pageviews.  

1  2  

Evil is Live
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เริ่มแก่ขึ้นเรื่อยๆทุกปี
งานหลัก ดูหมาอ้วนๆตามร้านค้า บ้านเรือน และบาทวิถี
ความมุ่งมั่นระดับ2ปีจบ---ผลิตหนังสั้นชีวิตหมาอ้วน
ความมุ่งมั่นระดับ10ปีจบ---อ่านออก เขียนได้ 日本語
ความมุ่งมั่นระดับ25ปีจบ---เปิดร้านขายเบียร์กลั้วเพลงแจ๊ส
\(^O^)/
Creative Commons License
ทุกภาพที่ปรากฎในบล็อกนี้ (ยกเว้นระบุที่มาใกล้ภาพ) โดย Ubon V. อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ใช่งานดัดแปลง 3.0 ที่ยังไม่ได้ปรับแก้. Postcards Exchange
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Evil is Live's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.