|
"ผมเป็นได้อย่างที่เป็น และจะพยายาม"....// 17ปีของเรากับคุณสืบ นาคะเสถียร
Let my thoughts come to you , when Im gone , like the afterglow of sunset at the margin of starry silence.
ขอให้ความคิดคำนึงของฉัน ย้อนมาเยือนเธอแม้เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ดุจแสงค้างฟ้าของอาทิตย์อัสดง สะท้อนสู่แดนสงบตรงที่ดาวเริ่มปรากฏดวง / รพินทรนาถ ฐากูร
คุณสืบ กับ เรา เราไม่ได้เกี่ยวดองเป็นญาติกัน, เราไม่ได้ทำงานเหมือนคุณสืบ, เราไม่อาจทำเหมือนเขาได้ ...แต่เขาอยู่ในใจเรามาตลอด 17 ปี
สืบ นาคะเสถียร นักอนุรักษ์ที่มอบชีวิตให้กับหน้าที่ และ ใช้ลมหายใจสุดท้าย เป็นจุดเริ่มต้นของตำนาน
.....ความตายของเขาคือจุดเริ่มต้นให้รู้จักคนชื่อนี้ เป็นจุดเริ่มต้นให้คนทั่วไปหันไปสนใจชีวิตนักอนุรักษ์ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การได้รับยกย่องเป็นมรดกโลกของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เป็นดั่งตำนานของประเทศ) ..........................................................................
จำได้ว่า ตอนม.3 แอบนั่งน้ำตาซึมในชั่วโมงเรียน หลังจากได้อ่านข่าว"นักอนุรักษ์ท่านหนึ่งยิงตัวตายอย่างเดียวดายที่บ้านพักในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง"
วันนั้นได้คุยกับหลายๆเสียง บางคนบอกเราด้วยสีหน้าเหยียดๆว่า
"คนแบบนี้อ่อนแอนะ...ถ้ามีชีวิตอยู่ต่อจะทำประโยชน์ให้โลกได้มากกว่านี้"
บางคนก็ว่าเขา"ปล่อยให้ความเครียดเข้าครอบงำจนคิดสั้น"^ ^ ^ ใช่....ประโยคพวกนี้ไม่มีใครกล้าเถียงหรอก เพราะมันอาจถูกต้อง ถ้าใช้แค่สมองด้านซ้ายคิด
แต่ประโยคพวกนี้ ทำให้เราโมโห...โมโหตัวเองที่หาคำพูดดีๆมาโต้แย้งไม่ได้ และก็โมโหรากเหง้าความชั่วร้ายบางอย่างในโลกใบนี้ ที่คนโชคดีอย่างเราไม่ได้เจอะเจอกับตัวเอง แต่รู้แค่ว่า มันเป็นสาเหตุให้คนดีหลายๆคนในโลกนี้ต้องตายไป(ไม่ว่าจะเป็นความตายที่ถูกยัดเยียด หรือ จำต้องเลือกด้วยตัวเอง )
เราว่ามันอหังการเหลือรับ กับคนที่วิจารณ์ว่าเขาอ่อนแอ ทั้งๆที่...
....ไม่ได้อยู่ในหน้าที่รับผิดชอบอย่างเขา ที่ต้องทุ่มชีวิตดูแลป่าใหญ่ด้วยงบการดูแลแค่ไร่ละ 83 สตางค์
....ไม่ได้สัมผัสชีวิตจริงของการทำงานในสายที่ใครๆในประเทศไม่ค่อยเหลียวแล
....ไม่ได้ต้องพยายามอย่างเหน็ดเหนื่อยในการเก็บข้อมูลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเพื่อนำเสนอให้เป็นมรดกโลกเพื่อให้ทั่วโลกหันมาสนใจ และง่ายขึ้นต่อการดูแลรักษาไว้เป็นปอดของประเทศไทย
....ไม่ได้อดหลับอดนอนและทำงานวันละ16 ชั่วโมงเพื่อช่วยชีวิตสัตว์ที่กำลังจะจมน้ำตายเพราะการสร้างเขื่อน ไม่ได้ต้องสูญเสียชีวิตของลูกน้องไปในการติดตามล่าพวกลักลอบตัดไม้และค้าสัตว์ป่า
หากคุณไม่เคยทุ่มเทชีวิตเพื่อหน้าที่อันยากลำบากได้อย่างเขา ควรหรือที่จะเสียมารยาทไปวิจารณ์กันด้วยคำพูดและสีหน้าอย่างนั้น
คนจริงจังในหน้าที่บางคน ยอมตาย ดีกว่าจะมีชีวิตต่อไปโดยที่สุดท้ายตัวเองก็จะหมดแรง และถูกกลืนไปกับกระแสของโลกที่มันไหลเชี่ยวและไม่สามารถฉุดรั้งบางอย่างที่ตนยึดถือไว้ได้ เพราะความตาย (ของบางคน ในบางสถานการณ์) อาจมีเสียงอันดังยิ่งกว่าการมีชีวิต ..........................................................................
มี ศจ.เพื่อนร่วมงานด้านการอนุรักษ์ท่านหนึ่งบอกคุณสืบว่า "บางครั้ง เราควรถอยออกมาจากสิ่งที่รักบ้าง" คุณสืบตอบว่า "ผมเป็นได้อย่างที่เป็นเท่านั้น และผมจะพยายามต่อไป" . . .
ตัวเราในวัยมัธยมสาม ...
เรื่องราวของคุณสืบ เป็นแรงบันดาลใจให้เราเลือกเอนท์ คณะวนศาสตร์ ในปีต่อมา(สมัยนั้นยังมีการสอบเทียบอยู่) แต่สุดท้าย เหมือนมีอะไรมาบอกว่านี่ยังไม่ใช่ทางของเรา สุดท้ายเราก็ใช้เวลาตัดสินใจถึงม.6 มาเข้าคณะแพทย์ซะแทน คิดเอาเองว่าน่าจะเป็นเครื่องมือที่เอนกประสงค์กว่า
ในวันนี้ แม้เราไม่ขอเลือกจะเป็นแพทย์ในสายที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งยืนยาวที่สุด หรือ สมบูรณ์ที่สุด อย่างน้อยเราก็ยังนับถืออาชีพนี้อยู่เสมอ และพยายามไม่ให้มันด่างพร้อย(ถึงแม้บางครั้งจะพ่ายต่ออารมณ์ไปบ้าง) เพราะมันทำให้เราดูแลครอบครัวได้ง่ายขึ้นในหลายๆด้าน ทำให้คนค่อนข้างหลุดโลกอย่างเรา ยังคงความสัมพันธ์กับผู้คนในแบบที่ยังสามารถเอื้อประโยชน์ทางกายหรือทางใจให้เขาได้ ทำให้เราระลึกไว้เสมอว่าความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม
และได้เข้าใจว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่การมีร่างกายที่สวยงามสมบูรณ์กว่าคนอื่นๆหรือการได้อยู่ค้ำฟ้าแต่อยู่ที่การได้ค้นพบสิ่งที่กำหนดความเป็นมนุษย์ของเรา
ซึ่งคุณค่าของมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับขวบปีที่มากหรือน้อยในการค้นพบ บางคนสามารถฝากอะไรไว้ให้กับโลกในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนตาย
สำคัญที่คนคนนั้นจะพบมัน หรือ ไม่พบ
และอาชีพนี้ ;ท่ามกลางหมู่คนมากมายในโลกที่ห่วงกังวลถึงร่างกาย ความสวยงาม อายุขัย ความเจ็บป่วยของตัวเอง และ คนที่ยึดยื้ออย่างเต็มที่ ..เพื่อให้ตัวเองและคนที่รัก ได้มีลมหายใจต่อไปในโลก(โดยที่บางคนไม่ทันได้คิดเลยว่า ยืดเวลาของชีวิตต่อได้แล้วจะทำอะไรหรือ )
......ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงใหล และนับถือนักสู้ที่กล้าเลือกที่ตายให้กับตัวเองแบบนี้
และความหลงใหลคนเช่นนี้ เป็นแรงคอยฉุดเรากลับมาเสมอในช่วงเวลาที่จิตวิญญาณของตัวเองเริ่มหายไปในกระแสสังคม
...จริงอยู่ว่า หากเรามองในมุมของคนที่ยังต้องอยู่ในโลก อย่างครอบครัวของคุณสืบ ที่ขาดเสาหลักไป คุณสืบ อาจดูเห็นแก่ตัว ที่ละทิ้งครอบครัวไว้ แต่ก็คล้ายกับหนทางของพระพุทธเจ้าไม่ใช่หรือ ที่ทำสิ่งที่ตนเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ จากนั้นก็ละทิ้งบางสิ่งไป เพื่อให้อีกสิ่งได้เติบโต
..........เพียงแต่ สิ่งที่คุณสืบทิ้งไป คือชีวิตของตนเอง
เราเชื่อว่า สิ่งที่คุณสืบได้ทำไว้อย่างเต็มที่ในช่วงที่มีชีวิต กับความตายที่ส่งเสียงดังในวันนั้น ยังคงเป็นพลังบางอย่าง บางความหมาย ให้กับคนมากมายหลายๆคน รวมทั้งเราด้วย
ดังนั้น ถ้ามีโอกาสได้พบครอบครัวของคุณสืบ เราอยากจะบอกว่าคุณสืบ ทิ้งอะไรไว้ในใจคนตัวเล็กๆอย่างเรามากมายขนาดไหน
17 ปีผ่านมา หลังจากได้อ่านเรื่องของคุณสืบใน national geoฉบับ ก.ย.49 อีกครั้ง ได้ทำให้เรามานั่งคิดด้วยวัยที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นว่าแทนที่จะเสียน้ำตาให้เขา ทำไมเราไม่เริ่มต้นทำอะไรที่เป็นการสืบทอดสิ่งที่คนๆนี้พยายามเอาไว้บ้าง
ทำในแบบที่ตัวเราทำได้ ค่อยๆเริ่มคิดเท่าที่ความสามารถมีในตอนนี้ บางทีเราอาจจะเป็นเมล็ดพันธุ์เล็กๆที่มีโอกาสเติบใหญ่ต่อไปก็ได้ -----------------------------------------------------------
สืบ นาคะเสถียร เกิดวันที่ 31 ธ.ค.2492 ที่อ.เมือง ปราจีนบุรี
จบการศึกษาจากคณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ เข้ารับราชการที่กรมป่าไม้ ปี2518
งานแรกของคุณสืบเริ่มที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว เขาชมภู่ จ.ชลบุรี หน้าที่ผู้รักษากฎหมาย การจับกุมผู้บุกรุกทำลายป่าและการต้านอิทธิพลมืด ทำให้เขาตระหนักว่า การเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ซื่อสัตย์นั้นเจ็บปวดเพียงใด
หลังทำงานได้ 3-4ปี ก็ได้รับทุนไปเรียนปริญญาโทสาขาอนุรักษ์วิทยาที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบางพระ และขอย้ายตัวเองเข้ามาเป็น นักวิชาการกองอนุรักษ์สัตว์ป่า ทำหน้าที่วิจัยสัตว์ป่า ในช่วงนี้ คุณสืบผลิตงานวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ป่า และสภาพนิเวศของป่าห้วยขาแข้งและป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
"ผมหันมาสนใจงานวิจัยมากกว่าที่จะวิ่งไปจับคน เพราะรู้ว่าจับได้แต่คนตัวเล็กๆ ตัวใหญ่ๆจับไม่ได้ ก็เลยอึดอัดว่ากฎหมายบ้านเมืองนั้นใช้ไม่ได้กับทุกคน"
ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าโครงการอพยพช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ตกค้างในอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเกิดน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนเชี่ยวหลาน ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาสก จ.สุราษฎร์ฯ
ดร.อแลน ราบิโนวิทซ์ (นักวิจัยชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้ามาทำวิจัยเกี่ยวกับสัตว์นักล่าในป่าห้วยขาแข้งขณะนั้น ; ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าโครงการวิจัยของสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าWCS)เป็นผู้มีประสบการณ์ในการอพยพสัตว์ป่า คุณสืบจึงชักชวนให้มาทำงานอพยพร่วมกัน
ดร.เคยกล่าวถึงคุณสืบไว้ว่า การพยายามที่จะช่วยเหลือสัตว์ที่ติดค้างอยู่ตามเกาะเล็กๆตามอ่างเก็บน้ำนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ผมเห็นคุณสืบทำงานวันละ16 ชั่วโมง อุ้มชะนีขึ้นจากน้ำ ย้ายงูขึ้นฝั่งแผ่นดิน ช่วยกวางป่าให้ว่ายน้ำขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมคิดว่าการพยายามเหล่านี้เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ แต่คุณสืบกลับคิดว่า ถ้าเขาช่วยชีวิตสัตว์เพิ่มขึ้นได้อีกตัวหนึ่ง ก็เป็นการพยายามที่มีค่าแล้ว
....ในระหว่างการช่วยเหลือสัตว์ เมื่อมีสัตว์ตัวหนึ่งตาย ผมมองใบหน้าชายร่างสูงผู้มีบุคลิกขรึมผู้นี้ สีหน้าของเขาราวกับจะตายไปพร้อมกับสัตว์ตัวนั้น และเขาก็ทำงานหนักขึ้นเพื่อช่วยชีวิตสัตว์ต่อไป
อพยพสัตว์ป่าจมน้ำ
งานอพยพสัตว์ป่าที่เขื่อนเชี่ยวหลาน ทำให้คุณสืบตระหนักว่า ลำพังงานวิชาการย่อมไม่อาจหยุดยั้งกระแสการทำลายป่าและสัตว์ป่าอันเป็นปัญหาระดับชาติและโลกได้
ดังนั้นเมือเกิดกรณีรัฐบาลวางโครงการจัดสร้างเขื่อนน้ำโจนในบริเวณป่าทุ่งใหญ่นเรศวร คุณสืบจึงโถมตัวเข้าคัดค้านอย่างเต็มกำลัง เขารีบเร่งทำรายงานผลการอพยพสัตว์ป่าจากเขื่อนเชี่ยวหลาน เพื่อบอกเล่าให้สาธารณชนรับรู้ว่าเป็นความพยายามที่เกือบจะไร้ผลโดยสิ้นเชิง เขายืนยันว่าการสร้างเขื่อนได้ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ แหล่งอาหาร ตลอดจนที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าอย่างรุนแรง กระทั่งความช่วยเหลือของมนุษย์ก็ไม่อาจชดเชยได้เลย
คุณสืบมุ่งมั่นผลักดันคัดค้านการสร้างเขื่อนน้ำโจน โดยทุกครั้งที่ขึ้นเวทีอภิปราย เขามักขึ้นต้นบทสนทนาด้วยคำพูดที่ว่า "ผมขอพูดในนามของสัตว์ป่า"
...ในที่สุด ด้วยการรวมพลังของกลุ่มนักอนุรักษ์ต่างๆ โครงการสร้างเขื่อนน้ำโจนจึงถูกระงับไป
ทว่าคุณสืบไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น กรณีเขื่อนน้ำโจนกลายเป็นบทเริ่มต้นความพยายามของเขาในการเสนอให้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและป่าห้วยขาแข้งมีฐานะเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ โดยเล็งเห็นว่าฐานะดังกล่าวจะเป็นหลักประกันสำคัญที่จะปกปักรักษาป่าผืนนี้ไว้ได้อย่างถาวร
ปลายปี 2532 คุณสืบได้รับทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกที่อังกฤษ พร้อมกับได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
...หากเป็นคนทั่วไปก็คงเลือกรับทุนเรียนต่อเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่คุณสืบยอมทิ้งอนาคตส่วนตัวและตัดสินใจรับตำแหน่ง แม้จะรู้ดีว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยความยากลำบากนานัปการ
ป่าห้วยขาแข้งเป็นผืนป่าที่อุดมไปด้วยพรรณไม้และสัตว์ป่าล้ำค่า ทำให้หลายฝ่ายต่างก็จ้องบุกรุกทำลายหาผลประโยชน์
ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับงานตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง คุณสืบแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดแจ้งที่จะรักษาป่าผืนนี้ไว้
"ผมมารับงานที่นี่โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน"
ปี 2533 งบประมาณการดูแลพื้นที่ ได้ไม่ถึงไร่ละหนึ่งบาท คุณสืบและคณะ พยายามปกป้องห้วยขาแข้งอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการบุกรุกของกลุ่มที่แสวงหาผลประโยชน์ได้ การดูแลผืนป่ากว่าล้านไร่ด้วยงบประมาณและกำลังคนที่จำกัด กลายเป็นภาระอันหนักอึ้งที่อยู่บนบ่า
บ่อยครั้งที่การปฏิบัติหน้าที่ เป็นการเสี่ยงต่อชีวิต และการสูญเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ที่เป็นลูกน้อง ทำให้เขายิ่งเหนื่อยล้า ถึงกับประกาศว่า "ถ้าจะมีคนตายอีก ต่อไปต้องเป็นผม"
เตรียมรับมือ
"คนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผมอยากให้เข้าไปเห็น เข้าไปรู้ ถ้าจะแก้ปัญหารถเมล์ในเมืองไทย คุณไปนั่งรถเมล์ดูเลย ถ้าจะรักษาป่า ต้องรู้ว่าพวกในป่าเขาลำบากอย่างไร เข้าไปในป่าเลย ไปเดินป่ากับผม ไปจับผู้ต้องหากับผม ต้องเข้าใจว่าการรักษาทรัพยากรพวกนี้ไม่ใช่พูดๆแล้วทำได้ คนร้ายมันพร้อมจะถูกจับ10ครั้ง โดนปรับแค่500 คุกก็ไม่ติด เป็นผม ผมก็เอา และถ้ามันหนักหนาก็ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ได้ แต่เจ้าหน้าที่ยิงก่อนไม่ได้ ถือว่าเกินกว่าเหตุ และผู้ต้องหามันเห็นหน้าเรา มันยิงใส่เรา แล้วเราก็ตาย เรามีค่าหรือ ตายไป อย่างดีก็เอาชื่อมาติดที่หน้าอนุสาวรีย์กรมป่าไม้"
เช้ามืดวันที่ 1 ก.ย.2533 คุณสืบตัดสินใจปลิดชีวิตตนเอง เพื่อให้เสียงปืนสะท้อนก้องไปทั่วผืนป่า
คุณสืบเขียนจดหมายสั่งลาไว้ 6 ฉบับ
"ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเองโดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ทั้งสิ้น ผมคิดว่า ผมทำได้ดีที่สุดแล้วเท่าทีผมมีชีวิตอยู่ ผมคิดว่า ผมได้ช่วยเหลือสังคมดีแล้ว ผมคิดว่า ผมได้ทำตามกำลังของผมดีแล้ว และ...ผมพอใจ ผมภูมิใจในสิ่งที่ผมทำ"
..........................................................................
ในการประชุมที่ตูนิเซีย ระหว่าง 9 ถึง 13 ธ.ค. 2534
ที่ประชุมมีมติยอมรับให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง เป็นพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติ แห่งแรกในประเทศไทย
อ้างอิง: NG ฉบับ ก.ย. 49
*****เพื่อนๆพี่ๆน้องๆจ๋า วันนี้เก๋เข้ามาแปะblogก่อนน้า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตามไปเยี่ยมทุกคนค่า*********
Create Date : 02 มีนาคม 2550 |
Last Update : 2 มีนาคม 2550 20:17:32 น. |
|
20 comments
|
Counter : 1538 Pageviews. |
|
|
|
โดย: กายแก้ว วันที่: 2 มีนาคม 2550 เวลา:22:00:23 น. |
|
|
|
โดย: ม็อคค่าเย็น (ม็อคค่าเย็น ) วันที่: 2 มีนาคม 2550 เวลา:22:38:36 น. |
|
|
|
โดย: พยูนน้อย (cyberx ) วันที่: 3 มีนาคม 2550 เวลา:0:44:50 น. |
|
|
|
โดย: >')Pla< IP: 58.9.140.213 วันที่: 3 มีนาคม 2550 เวลา:10:18:54 น. |
|
|
|
โดย: อะไรดี วันที่: 3 มีนาคม 2550 เวลา:12:04:08 น. |
|
|
|
โดย: กิล (li_goro ) วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:7:52:38 น. |
|
|
|
โดย: deawa (deawa ) วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:16:31:44 น. |
|
|
|
โดย: คนที่ผ่านเข้ามาอ่านคะ Next step @hotmail.com IP: 58.8.156.108 วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:13:22:34 น. |
|
|
|
โดย: นู๋ญ่า (kayook ) วันที่: 20 มิถุนายน 2550 เวลา:0:08:00 น. |
|
|
|
โดย: Protozoa วันที่: 20 มิถุนายน 2550 เวลา:8:26:29 น. |
|
|
|
โดย: kimjung IP: 58.9.51.104 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:51:09 น. |
|
|
|
โดย: ใคร หว่า IP: 202.143.160.18 วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:12:53:42 น. |
|
|
|
โดย: ภูมิใจในตัวเรา IP: 118.175.6.35 วันที่: 2 สิงหาคม 2552 เวลา:21:28:20 น. |
|
|
|
โดย: ไกด์ตุง IP: 124.121.155.25 วันที่: 1 กันยายน 2552 เวลา:14:54:53 น. |
|
|
|
โดย: ปณิตา IP: 112.142.142.91 วันที่: 22 สิงหาคม 2553 เวลา:20:38:54 น. |
|
|
|
โดย: walkin (walkin ) วันที่: 18 กันยายน 2553 เวลา:21:30:59 น. |
|
|
|
โดย: กรมป่าไม้ สาธุ IP: 171.96.35.221 วันที่: 15 พฤษภาคม 2555 เวลา:17:21:29 น. |
|
|
|
| |
|
|
ฮิ ฮิ ครั้งนี้ดีใจจังได้เจิมเป็นคนแรก