เวลาที่เหลืออยู่
>1 เดือนเต็มๆ กับการเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาล ของเรากับพี่ๆ มีแต่แม่ที่ยังคงนอน อยู่ในนั้น โดยมีพวกเราสับเปลี่ยนกันไปเฝ้า ดูแล ตอนนี้แม่เริ่มรับรู้น้อยลง สายตาของแม่ดูเลื่อนลอย เหมือนกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ มีบางครั้งที่เราเรียกแม่ดังๆ เพื่อที่จะบอกแกว่าเราอยู่ตรงนี้นะ สายตาของแม่จะเป็นเหมือนเดิม เหมือนทุกครั้งที่เคยมองเรา เวลาที่แม่ยังไม่ป่วย มีอะไรบางอย่างสื่อให้เรารับรู้ว่าแม่ยังไม่อยากจากเราไป แม่ยังเป็นห่วงและอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเราให้นานกว่านี้ แต่สภาพร่างกายของแม่ไม่แข็งแรงพอที่จะทนทานกับโรคร้ายนี้ได้นานนัก เรากับพี่ๆนอนเฝ้าแม่ ด้วยกัน ในคืนวันเสาร์ ช่วยกันเปลี่ยนผ้าอ้อม และดูแลแม่เหมือน สมัยที่แม่เคยดูแล พวกเราตอนเป็นเด็กๆ รู้ดีว่าพวกเราคงไม่สามารถทดแทนพระคุณของแม่ได้หมดในชาตินี้ แต่นี่คือโอกาสสุดท้ายที่พวกเราจะทำได้ ในขณะที่แม่ยังพอรับรู้อยู่บ้าง เช้าวันอาทิตย์เรากับพี่สาวออกไปใส่บาตร ที่ข้างโรงพยาบาล วันอาทิตย์เป็นเสมือนวันเกิดของแม่ มีพระรูปหนึ่งซึ่งเป็นญาติๆ กับเราแนะนำให้ใส่บาตรในวันนี้ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของแม่ เพื่อให้อาการเจ็บปวด ทรมานทุเลาลง พวกเราไม่รีรอที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้แม่ดีขึ้น และก็แปลกมาก หลังจากที่กลับจากใส่บาตร อาการทุรนทุรายของแม่เริ่มลดลง เราคงไม่กล้าหวังที่จะมีปาฏิหารย์ ให้แม่เราหายจากโรคร้าย เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ แค่ให้แม่ไม่เจ็บปวดทรมาน นั่นคือสิ่งที่เราและพี่ๆร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย ถ้าหากสิ่งศักดิ์สิทธ์ นั้นมีอยู่จริงๆ
|
|
|
|
|