Every ending is a new beginning ....

Dubai in December 2010.

หลังจากที่เดินลากกระเป๋าใบใหญ่ แต่ข้างในกลวงเพราะเอาเสื้อผ้าไปไม่ถึง 10 ชุด ออกมาจาก ตม เดินผ่าน จุดนัดพบ ที่ใครๆ มายืนรอรับ ญาติ รอรับแขกของโรงแรม แต่ไม่มีใครมารับเราเลย เรานัดกับหัวหน้า เธอจะบินมาจากฮ่องกง(คนเดียว) แบบเรา แต่เที่ยวบินของเธอจะถึง ปะรมาณ 10.30 Pm คืนนี้ นั่นหมายความว่า เราต้องรออยู่ที่สนามบิน นานหลายชั่วโมง หุหุหุ ทำไงได้เพราะเราเองดันไปยืนยันเองว่าจะรอไปโรงแรม พร้อมกัน ......
วันนั้นอากาศ ค่อนข้างเย็นสบาย เพราะเป็นช่วง ฤดูหนาวมั้ง เรามองไป รอบๆ เราอยู่ที่ Terminal 3 ที่เป็นของสายการบิน EK โดยเฉพาะ ( หรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่เข้าใจว่างั้นล่ะ ) สถานที่กว้างโล่ง คนไม่ค่อยพลุกพล่าน แบบสนามบินสุววรณภูมิ บ้านเรา เรามองหาห้องน้ำ เพราะไม่ได้เข้าห้องน้ำมาตลอดทาง พนักงานที่ดูแล ห้องน้ำ หน้าตาเหมือนคนไทยมากๆ แต่พอพูดออกมา ไม่ใช่คนไทย เราผิดหวังเล็กน้อย

ออกมาจากห้องน้ำ ก็หาทางไป Terminal 1 เพราะเครื่องที่หัวหน้านั่งมาจะจอดที่นั่น เราเดินไปถามพนักงานหญิงที่นั่ง ประจำ เค้าท์เตอร์ ประชาสัมพันธ์ หน้าตาเป็นคนพื้นที่ เขาตอบคำถามเราด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย รำคาญ แบบทำหน้าตาได้น่า....มากๆ เรานึกในใจว่า อีนี่เคืองอะไรกรู เปล่าวะ แค่ถาม แค่นี้ทำเป็นไม่พอใจ รึอิจฉาที่เราสวยกว่า (เยอะ) ฮึฮึ น่าจะยังงั้น แต่เราก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร เพราะจำเป็นต้องเอาตัวรอด ณ.เวลานั้น เราเลยยิ้มให้ ขอบคุณมาก แล้วก็เดินขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนเพื่อต่อรถฟรี ไป เทอร์มินัล 1

คนขับรถ บริการดีมากๆ ช่วยยกกระเป๋า พาเราไปส่ง จาก Terminal 3 ถึง 1 ห่างกัน ประมาณ 500 เมตร แต่ไม่สามารถเดินไปได้ เพราะรู้สึกทางจะต่างระดับ ซับซ้อน อะไรประมาณนั้น
เรามาถึงที่หมายแต่ยัง งง ๆ ว่า ทำไม เทอร์มินัล 1 มันเล็กๆ แคบๆ อ่ะ หรือจะมาผิดที่วะ ....เลยเดินไปถามคนที่เดินสวนมา ...ผู้คนน่ารักมาก ตอบคำถามเราแบบชัดเจน และเต็มใจ ไม่เหมือนประชาสัมพันธ์คนนั้นเลยสักนิด หรือว่าคนที่เราถามจะไม่ใช่คนท้องถิ่น เป็นต่างชาติแบบเรา เลยเต็มใจจะช่วยเหลือ ....
แล้วเราก็ได้เข้ามานั่งรอ ข้างใน เฝ้ารอเครื่องบินลำแล้วลำเล่า เริ่มหิว
แต่ดูแล้วไม่มีอะไร น่ากินเลย .... ดีที่เราพกขนม ยูโร่ คาสตาด มาจากกรุงเทพฯ อิอิอิ ถ้าไม่ได้กินขนมเราคงหิวตายคาสนามบิน

จากการที่เรานั่งนานเห็นผู้คนมากมาย มารอรับญาติ พี่น้องเพื่อนฝูง ทั้งคนต่างชาติ คนท้องถิ่นที่ใส่ชุดประจำชาติ คนที่นี่หน้าตาดีๆ ทั้งนั้นเลย เรานั่งมองผู้คนแบบเพลิดเพลิน จนเวลาเลยผ่านไปนานมาก ระหว่างนั้น เราจะได้ยินเสียงสวดเป็นพักๆ

ในที่สุด ไฟลท์ของหัวหน้าเราก็มาถึง 10.30 Pm แต่กว่าเราจะได้เจอกัน ก็ผ่านไป 1 ชม กว่าจะผ่านด่าน รอกระเป๋า.....ดีใจมากๆ
มีรถจากบริษัทฯ (บริษัทฯ สาขาที่เราไปอบรม) มารับที่สนามบินด้วย
ไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะมีคนมารับ คิดว่าต้องนั่ง แท็กซี่แน่นอน ก่อนหน้านั้น เรานึกในใจว่าถ้าเราคลาดกับหัวหน้า เราจะเรียกแทกซี่ไปโรงแรมเอง เพราะมีใบจองโรงแรมกับแผนที่อยู่ในมือเรียบร้อย ตอนนั้นจะรอไม่ไหวแล้วง่วงนอนมาก เวลาที่ไทย ตอนนั้น มันเลยเที่ยงคืนไปแล้ว แต่เรายังนั่งอยู่สนามบินไม่รู้ทนได้ไง
เราได้เจอคนทีจะมาเทรนด์ให้เราในคืนนั้นด้วย (เป็นคนเลบานอน ตัวโตๆ) เพราะเขาก็มารอพวกเราอยู่ที่สนามบินประมาณว่าลงจากเครื่องที่นี่ เหมือนกัน แล้วรอหัวหน้าเรา เพือจะไปรถคันเดียวกัน แต่เราไม่รู้จัก ว่าคนไหน คือใคร ....เรากับหัวหน้าไปพักกันที่ IBIZ แต่คนที่มาเทรนด์แยกไปพักอีกที่นึง โดยคนขับซึ่งขับรถซิ่งมากๆ จะมารับไปที่ ห้องประชุมของบริษัทฯ เช้าวันรุ่งขึ้น
เราได้นอนห้องเดียวกับหัวหน้า เป็นห้องเตียงคู่ หัวหน้าไม่กล้านอนคนเดียวเพราะกลัวผี เราซื้อมาม่า รสต้มยำ กับรสไก่ ไปจากกรุงเทพฯ เอารสไก่ ไปฝากหัวหน้า รสต้มยำเราจะกินเอง ....ซื้อกระเป๋าผ้า นารายา ใบใหญ่ไปฝากเธอด้วย ถูกใจมากมาย ....หัวหน้าเราเป็นสาวฮ่องกง ผิวพรรณดีมาก แต่คืนแรก กว่าจะคุยกันรู้เรื่องนานมากเพราะไม่ชินสำเนียงกันและกัน ก่อนหน้านั้นเคยเจอกันที่ไทย สองครั้ง แต่ไม่ได้คุยไรกันมากมาย เจอกันแค่ 2 ชั่วโมงเต็มที่ มาคราวนี้ต้องอยู่ด้วยกัน 4-5 วัน เลยต้องปรับตัวเรืิ่องสำเนียงเราก็อังกฤษสำเนียงไทยโคตรๆ คริคริ แต่ภูมิใจอ่ะ รักเมืองไทย หัวหน้าเราพูดอังกฤษคล่องมากๆ แต่สำเนียงค่อนข้างฟังยากสำหรับเราแต่ก็สื่อสารกันได้พอเข้าใจ(อาจมีแอบ งง กันทั้งสองฝ่าย)
คืนนั้นเราหิวมาก ลงมาหาของกินในโรงแรม แต่ห้องอาหารปิดซะแล้ว
มีแต่ เบเกอร์ ในร้านขายเครื่องดื่มของโรงแรมเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น
เราเลยต้องกิน แต่ก็อร่อยดี ลืมเขียนไปว่า รีเซพชั่นที่นี่ ไม่ค่อยยิ้ม เท่าไหร่ มีแต่เรายิ้มอยู่คนเดียวถึงแม้ไม่มีใครยิ้มตอบเราก็ไม่แคร์
เราเหนื่อยมากกับการเดินทาง แต่หลับสบายมาก พอๆ กับความเหนื่อย
และแล้วก็ตื่นมา พร้อมกับแสงอาทิตย์ยามเช้าของ ดูไบ



รูปนี้ถ่ายจาก อ้อฟฟิศที่เราไป เทรนด์ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย
1/12/10-5/12/10 ระยะสั้นๆ แต่ประทับใจ





ด้านหลัง อ้อฟฟิศ สังเกตว่าผู้คนมีน้อยมาก ไม่รู้ไปไหนกันหมด อ้อช่วงนั้นเป็นวันหยุด เราเพิ่งนึกออก






ดูไบ ยามราตรี / รูปนี้ถ่ายแถวๆโรงแรมที่เราไปพักค่ะ
มีสถานีรถไฟฟ้าอยู่ไม่ไกล ด้วย




รูปนี้คือบริเวณหน้าของอ้อฟฟิศ ถนนหนทาง โล่งโจ้ง แดดแรงมาก





ดูไบ มอลล์คืนวันที่ 4/12/2010









Local people and local dresses ...very nice





รูปสุดท้ายก่อนขึ้นแท็กซี ไป สนามบิน ไปก่อนน่ะ ดูไบ อาจจะไม่ได้เจอกันอีกนาน หุหุหุ



รู้สึกประทับใจมากๆ กับการเดินทางครั้งนี้ ถึงแม้จะเป็นเมืองที่ไม่เคยอยู่ในความคาดหวัง หรือรู้สึกอยากไป (แต่เราก็ได้ไป แบบงงๆ ) 
เราและหัวหน้าสนิทกันมากขึ้น นึกถึงตอนที่เดินลงไปขอน้ำร้อนทีห้องครัวของโรงแรม เพื่อมาชงมาม่า แล้วอดขำไม่ได้ หัวหน้าเราตอนแรกกินเผ็ดไม่ได้ แต่สุดท้ายมาขอแบ่งรสต้มยำของเราไปกินซะงั้น เป็นการใช้ชีวิตระยะสั้นๆ ในต่างแดนที่สนุกมากสำหรับเรา อะไร ๆ รอบตัวก็ดู ตื่นตาตื่นใจไปหมด ในขณะเดียวกัน เราก็รู้สึกคิดถึงบ้านมากอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็รู้สึกดี ที่มีโอกาสได้ไป ที่นั่น

หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็นแค่การเริ่มต้นของการเดินทางไกล อีกครั้งของเราในอีกไม่นานนี้ ..... See u again next time




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2554    
Last Update : 24 ตุลาคม 2555 18:38:43 น.
Counter : 739 Pageviews.  

ครั้งแรก กับการเดินทางไกล >>> Dubai

ตั้งใจว่าจะเขียนบล้อกนี้ มานานแล้วค่ะ แต่ไม่มีแรงบันดาลใจใดๆ จนเวลาล่วงเลยมาเกือบปี ช่วงนี้อย่างที่รู้ๆ กันว่า ทุกคนต่างกังวลเกี่ยวกับน้ำท่วม จนไม่มีสมาธิในการทำอะไร เรายังคงมาทำงานตามปกติ ตั้งใจว่าถ้าไม่เห็น กระแสน้ำมาเคาะประตูหน้าอพาร์ทเม้นท์ เราก็จะยังไม่ย้าย.. หุหุหุ พอดีว่าบ้านเราอยู่ใกล้ กรุงเทพฯ และไม่ได้ อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เลยคิดว่าคงกลับบ้านไม่ยาก อะไรมากมาย เลยได้ โอกาสเขียนเรื่องที่ค้างคา

เรามีโอกาสเดินทางไป อบรมโปรแกรมที่ ดูไบ เมื่อธันวาคม 2553 (เรื่องเก่า เพิ่งเอามาเล่า อิอิ) เป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกเพื่อนร่วมงานบางคนบอกว่า น่าจะเป็นครั้งเดียวของเรา (ที่ไม่ต้องจ่ายเงินเอง เพราะบรัษัท ฯ จ่าย) ที่สำคัญ เราต้องเดินทางคนเดียว ตื่นเต้นแบบสุดๆ คิดในใจว่าจะเป็นยังไงนะ เวลานั่งอยู่บนเครื่องบิน แล้วถ้าเกิดบังเอิญ เครื่องที่เรานั่งไป ดันเกิดอุบัติเหตุตก หรืออะไรประมาณนั้น พูดง่ายๆ คือกลัวตายนั่นล่ะ หลานชายเราต้องปลอบใจว่า เปอร์เซนต์ที่จะเกิดอุบัติเหตุ มีน้อยถ้าเทียบกับการเดินทางทางรถยนต์
เราก็เลยรู้สึกสบายใจขึ้น

ก่อนเดินทาง พี่ชาย กับพี่สาว และหลานชายขับรถพาเราไป ดู สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นของจริง ตั้งแต่สร้างเสร็จมานานหลายปี นึกภาพออกเลยใช่ไหมคะว่าเราเชยขนาดไหน 555

แล้ววันที่เดินทางก็มาถึง .....เหมือนเดิม พี่ชาย พี่สาวมารับที่อพาร์ทเม้นท์และไปส่งที่สนามบิน พี่ๆ ขับรถหลง ลงผิดทาง เป็นผลให้เรามาถึง เค้าท์เตอร์เช็คอิน ของสายการบิน EK เกือบไม่ทัน พนักงานที่ เช็คอินให้เรา บอกเราว่า พี่ รีบๆ เข้าไปเลย จะไม่ทันแล้ว ......

เราร่ำลา พี่ๆ แบบอาลัย อาวรณ์ แต่หลังจากเข้าไปข้างในแล้ว เราต้องรออีกเกือบครึ่ง ชั่วโมงกว่าจะได้ขึ้นเครื่อง ความรู้สึกแรกคือ เครื่องบิน
ลำใหญ่มากๆ

เรานั่งชั้น อีโคโนมิค คลาส ดูเหมือนจะแออัด ที่นั่งเต็มทุกที่ ผู้คนมากหน้าหลายตา เรานั่งริมหน้าต่าง เพือจะได้ดูวิว ข้างนอก คนที่นั่งข้างเราคือคู่สามี ภรรยา ต่างชาติ เขาน่ารักมากๆ ช่วยแนะนำเรื่องคาดเข็ดขัด ปรับเบาะ เปิดมอนิเตอร์์ตรงหน้าที่นั่ง และที่สำคัญ ....ช่วยแปลภาษาอังกฤษ ( จาก แอร์โฮสเตส ) เป็นภาษาอังกฤษ ให้เราฟังอีกที สุดยอด แห่งความใจดี เรารู้สึก โง่มากๆ ที่ฟังแอร์ พูดไม่เข้าใจ 5555

ความรู้สึกต่อมาคือ ตื่นเต้นมาก ตอนที่เครื่องบินกำลังจะยกระดับสูงขึ้นจากพื้น เรามองออกไปนอกหน้าต่าง มันเป็นมุมที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
มุมสูงที่เห็นอะไร ข้างล่างเล็กไปหมด เรายังคงมองเห็น พื้นล่างอยู่สักพัก หลังจากนั้น ก็เห็นแต่เมฆลอยผ่านหน้าต่าง ....โคตรคิดถึงบ้านเลยทีเดียว นึกในใจว่า จะไปเจอกับอะไรวะนี่รู้สึกโดดเดี่ยวมาก แตความกลัวมันหายไป หลังจากเครื่องบินยังคงรักษาระดับต่อไป เรานั่งหลับๆ ตื่นๆ ข้าวปลาไม่กิน เพราะตื่นเต้น ฝรั่งข้างๆถามเรา แน่ใจรึ ไม่กินอะไรน่ะ เราบอกว่าไม่ค่ะ ขอน้ำเปล่าแก้วเดียวพอ ....แต่มันไม่หิวจริงๆ น่ะ รู้สึกตืนเต้นมากกว่า เผลอแป้บเดียว (จริงๆ มันนาน ประมาณ 5 ชั่วโมง)
ได้ยินเสียงประกาศว่า เรากำลัง แลนดิ้งแล้ว เย้ .....เรามองออกไปที่หน้าต่าง .....

ทะเลทราย ....ภูมิทัศน์ที่แสนจะแตกต่างจากบ้านเรา โดยสิ้นเชิง ตื่นเต้น สุดๆ ... เราลาสองผัวเมีย ที่นั่งมาด้วยกัน เขาถามเราว่า จะมีคนมารับเราใช่ไหม ดูท่าทางเขาจะเป็นห่วง เพราะเราบอกว่า นี่คือครั้งแรกของเราที่ออกจากประเทศไทย เขาอาจคิดในใจ มันจะไปรอดไหมนั่งนี่ อิอิอิ แล้วเราก็บ้ายบาย จากกันที่สนามบิน

เราเดินตามผู้คนมากมาย เพื่อจะผ่านด่าน ตม เจอคนไทย หลายคนแต่
ยิ้มทักทายกันแล้ว แยกย้ายกันไป เพราะพี่ๆ เขามา ต่อเครื่องไป อีกประเทศนึง เราเดินไปเข้าแถวกับน้องผู้ชายคนไทย ระหว่างรอก็คุยกันฆ่าเวลา เขาบอกว่าเขามาหาเพื่อนที่ทำงานอยู่ที่นี่ ท่าทางเขาคล่อง และมนุษยสัมพันธ์ดีมาก น่าจะเดินทางบ่่อย น่าอิจฉา

รอสักพัก ก็มาถึงคิวเรา เราไปเจอ ตม หน้าตาดี เขาเช็ค พาสปอร์ต วีซ่า แล้วถามเราประโยคเดียวว่า พักที่ไหน เราตอบชื่อโรงแรมไปถาม สั้นมากๆ น่าจะถามเยอะๆ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นเราก็ เดินไป รอรับกระเป๋าที่เลื่อนมาตามสายพาน นั่นไง มาแล้ว กระเป๋าโทรมๆ ของเรา(ยืมพี่ชายมาอีกที) แล้วเราก็ลากกระเป๋าออกไป สู่ ดูไบ อย่างเดียวดาย .....

เวลา ณ.ตอนนั้น บ่าย 2.30 บ้านเราคง 6 โมงเย็นแล้ว ..... เดี๋ยวมาเขียนต่อค่ะ

(รูปนี้ถ่ายตอนขากลับค่ะ)




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2554    
Last Update : 27 ตุลาคม 2554 22:46:03 น.
Counter : 597 Pageviews.  


chawarin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Hello friends,

This should be my long diary ....now it's third years for me to be member of this blog....
Thanks all of you to visit my diary :-)

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add chawarin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.