Group Blog
 
All Blogs
 

ทำไม "ไข่เยี่ยวม้า" จึงมีสีดำ ?

      สันนิษฐานว่าไข่เยี่ยวม้ามีกำเนิดมาจากทางภาค ใต้ของจีนแล้วแพร่ไปทางเหนือ บางคนว่ามีกำเนิดจากบริเวณแม่น้ำยงสีจุดมุ่งหมายในการทำไข่เยี่ยวม้าก็เพื่อ ถนอมอาหารเก็บเอาไว้กินนาน ๆ

      ไข่ที่นำมาทำไข่เยี่ยวม้าใช้ได้ทั้งไข่ไก่ไข่เป็ด พอกด้วยส่วนผสมดังนี้คือ ใบชา ปูนขาว เกลือป่น ขี้เถ้า โดยนำส่วนผสมทั้งหมดคลุกปนกับน้ำร้อนหรือน้ำเย็นก็ได้ ให้เหนียวขนาดแป้งเปียก แล้วพอกไข่หนา ๗-๑๐ เซนติเมตร หลังจากนั้นก็นำไปคลุกแกลบ บรรจุลงภาชนะ เช่น ไห โอ่ง ถังไม้ ใช้กระดาษน้ำมันหรือพลาสติกปิดฝากันอากาศเข้า เก็บไว้ที่อุณหภูมิ ๒๔-๒๕ องศาเซลเซียส เปิดฝาทุก ๗ วันเพื่อกลับไข่ให้ไข่แดงอยู่ตรงกลางเก็บไว้นาน ๔๐-๕๐ วันก็กินได้ หรืออาจบรรจุภาชนะปิดฝาฝังดินไว้นาน ๕-๖ เดือน ไข่ที่ได้ที่แล้วสามารถเก็บไว้ได้นาน ๑ ปีไข่เยี่ยวม้าที่ดี ไข่ขาวต้องเป็นสีน้ำตาลคล้ำใส

      เชื่อกันว่าไข่เยี่ยวม้าเป็นอาหารบำรุงร่างกาย บำรุงโลหิตทำให้เจริญอาหาร ผู้ผลิตบางรายอาจใส่สารตะกั่วลงไปด้วยเพื่อควบคุมความเป็นกรดด่างของไข่ สารตะกั่วนี่เองที่ทำให้ไข่เยี่ยวม้าเป็นอาหารที่ไม่ปลอดภัยนัก

      เสียดายที่ “ซองคำถาม” หาคำอธิบายเกี่ยวกับไข่เยี่ยวม้าในเชิงวิทยาศาสตร์ไม่ได้ จึงไม่อาจตอบข้อสงสัยของคุณประชุมและของตัวเองได้ทั้งหมด โดยเฉพาะข้อสงสัยสำคัญที่กวนใจ “ซองคำถาม” อยู่ไม่วาย นั่นคือ ทำไมเจ้าไข่ดำนี้จึงชื่อ “ไข่เยี่ยวม้า”




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2553 20:33:47 น.
Counter : 344 Pageviews.  

ทำอย่างไรดี? ก้างปลาติดคอ

ใครที่เคยมีประสบการณ์ “ก้างปลา” ติดคอ คงจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างดี ว่า การกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นอย่างไร แค่จะกลืนน้ำลายตัวเองสุดแสนจะทรมาน บางรายโชคดี ใช้วิธีดื่มน้ำเยอะ ๆ หรือ กลืนข้าวคำโต ๆ แล้วได้ผล แต่หลายคนใช้สารพัดวิธีก็ไม่หาย สุดท้ายต้องโร่ไปให้หมอช่วยเอาออกก็เยอะ

ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลในเรื่องนี้ ผู้เขียนจึงมาสัมภาษณ์ ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน สาขาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ผศ.นพ.ปาร ยะ อธิบาย ว่า ก้างปลาติดคอพบได้ทุกช่วงอายุ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการศึกษาว่าเป็นช่วงอายุใดมากที่สุด และเป็นก้างปลาชนิดใดมากที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่เจอมักจะเป็นปลาทู คงเป็นเพราะประชาชนนิยมบริโภคมากก็เป็นได้ ปลาอื่น ๆ ก็มีมาให้เห็นเหมือนกันแต่ค่อนข้างน้อย

คนไข้ที่มาหาหมอส่วนมาก ก้างปลาติดคอมา 2-3 วันแล้ว ที่ติดคอปุ๊บมาหาหมอทันทีจะน้อย ส่วนใหญ่จะรู้วิธีว่า ต้องดื่มน้ำมาก ๆ หรือกลืนข้าวคำโต ๆ ในบางรายก็ใช้ได้ผล เนื่องจากก้างปลาปักอยู่บริเวณตื้น ๆ พอกลืนข้าวก้างก็ติดลงไปกระเพาะ อาหาร สามารถขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ แต่ถ้าก้างปักลึก การกลืนข้าวคำโต ๆ อาจไปกดก้างให้ปักลึกกว่าเดิม ดังนั้นในรายที่อาการไม่ดีขึ้นจึงมาหาหมอ

เราไม่เคยนับสถิติจำนวนคน ไข้ในแต่ละปี แต่ที่ รพ.ศิริราช น่าจะมีคนไข้ประมาณ 2-3 รายต่อวัน ส่วนใหญ่มักจะมาตอนกลางคืนที่แผนกอุบัติเหตุ หมอทั่วไปตรวจดูแล้วไม่พบก้างปลา ก็จะมาปรึกษาหมอหู คอ จมูก

อาการ คนไข้ก้างปลาติดคอ คือ เจ็บคอ กลืนน้ำลายแล้วเจ็บ ส่วนใหญ่คนไข้จะชี้บอกได้เลยว่า เจ็บตรงไหน บวกกับการซักประวัติ ว่าไปทานแกงปลา ปลาทอด กลืนน้ำลายก็เจ็บทุกครั้ง อันนี้เป็นครูที่จะบอกว่ามีปัญหาก้างปลาติดคอ

คนไข้บางรายปล่อยทิ้ง ไว้นาน อาจมาด้วยอาการอักเสบ ติดเชื้อ มีหนอง ในช่องคอ โดยเฉพาะถ้าก้างปลาติดที่หลอดอาหาร ทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจจะทำให้เกิดการอักเสบที่ผนังของหลอดอาหาร จนเกิดการทะลุของหลอดอาหาร เกิดการอักเสบติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มระหว่างหัวใจและช่องปอดได้ แต่พบได้น้อย

ตำแหน่งที่พบก้างปลาติดบ่อย คือ บริเวณต่อมทอนซิล บริเวณโคนลิ้น บริเวณฝาปิดกล่องเสียง บริเวณใกล้หลอดรูเปิดทางเดินอาหาร แพทย์หู คอ จมูก จะใช้กระจกเล็ก ๆ เหมือนกับหมอฟัน สวมเฮดไลต์ ที่ศีรษะ ส่องตรวจดู ส่วนใหญ่จะเจอ ก็ใช้อุปกรณ์คีบออกมา

ในบางรายก้างปลา อยู่ลึก คนไข้อาเจียนง่าย ไม่สามารถเอาก้างออกได้ จะพ่นยาชา ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วพยายามอีกที ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ทำอย่างไรก็ไม่ออก อาจต้องดมยาสลบ ให้คนไข้นอนแล้วลองดูอีกที แต่ส่วนใหญ่จะสามารถเอาก้างออกได้ที่ห้องตรวจเลย ที่ต้องดมยาสลบมีน้อยรายมาก

ก้างปลาติดคอทำให้เสียชีวิตได้หรือ ไม่ ? ผศ.นพ.ปารยะ กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่เคยเจอ ที่เจอมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง คือ เจอปักอยู่ที่หลอด

อาหารแล้วทะลุ ออกมาที่คอ เนื่องจากก้างปลาเป็นวัสดุแปลกปลอม ร่างกายจะผลักมันออกมา บางคนทะลุหลอดอาหารมาถึงผิวหนังที่คอก็มี

มีคำแนะนำให้ฝานมะนาว เป็นชิ้น ๆ นำมาอม หรือ บีบน้ำมะนาวลงคอ ? ผศ.นพ.ปารยะ กล่าวว่า สมัยก่อนเชื่อว่ามะนาวจะทำให้ก้างอ่อนลง แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ก็พูดลำบาก เพราะถ้าก้างปลามีแคลเซียมเยอะ ก็คงยากที่มะนาวจะกัดกร่อนหรือสลายไปได้

ท้ายนี้ขอแนะนำว่า การกินปลาทุกครั้งควรมีสติ คือ เอาก้างออกก่อน แล้วกินช้า ๆ ค่อย ๆ เคี้ยว ค่อย ๆ กลืน เพราะจากที่เคยสอบถามคนไข้ส่วนใหญ่ มักจะกินไปคุยไป ไม่ทันได้ดูว่าปลาที่ตักใส่ปากมีก้างหรือไม่ พอรีบเคี้ยวรีบกลืนก็เลยทำให้ก้างติดคอ




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 16 พฤษภาคม 2553 15:29:09 น.
Counter : 826 Pageviews.  

จริงเหรอ หัวโตแล้วจะฉลาด?



ความเชื่อที่ว่า ศีรษะโต แล้วจะฉลาด เป็นสิ่งที่นักวิทยา ศาสตร์ถกเถียงกันมาตลอดว่าจริงหรือไม่?

แต่สิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์เห็นด้วย คือ สมองใหญ่ไม่ได้แปลว่า ต้องฉลาดเพราะ ถ้าเป็นเช่นนั้น ช้างและปลาวาฬคงจะชนะใสๆ ถ้าได้เล่นเกมเติมคำในช่องว่าง

แต่ความฉลาดอาจขึ้นอยู่กับสัดส่วนมวลของสมองเทียบกับมวลร่างกาย ช้างนั้นมี สมอง ราว 4,780 กรัม คิดเป็นร้อยละ 0.1 ของน้ำหนักร่างกายที่ใหญ่โต ขณะที่สมองคนหนัก ราว 1,200 กรัม คิดเป็นร้อยละ 2 ของน้ำหนักร่างกาย

แนนซี่ บาร์ริคแมน บัณฑิตคณะมานุษยวิทยาเชิงชีววิทยา และกายวิภาคศาสตร์ มหาวิทยาลัยดุ๊ก รัฐนอร์ธแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การศึกษาหลายชิ้นชี้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดไหน หากมีสมองใหญ่จะมีส่วนทำให้มีทักษะในการคิดที่ซับซ้อน มากขึ้น เช่น การคิดค้นหนทางแก้ปัญหา การวางแผนใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการหาอาหาร รวมถึงวิธีการเข้าสังคมที่แยบยลมากขึ้นด้วย

ที่มา : นสพ.ข่าวสด




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 16 พฤษภาคม 2553 15:15:08 น.
Counter : 425 Pageviews.  

"ตาของกั้ง" สามารถนำมาคิดค้นเทคโนโลยี เพิ่มความคมชัดให้ DVD ได้



      เทคโนโลยีความบันเทิงภายในที่พักอาศัยนั้นกำลัง รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว แผ่นภาพยนตร์และเพลงทั้ง DVD และ CD ก็มีการพัฒนาเรื่องความคมชัดของภาพอยู่เสมอเช่นกัน ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์พบว่า ตาของสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งอาจเป็นแรงจูงใจให้เกิดการคิดค้นเทคโนโลยีแบบใหม่ สำหรับเพิ่มความคมชัดในการชมภาพยนตร์จากแผ่น DVD ได้

      สัตว์ที่ว่านั้นก็คือ "กั้ง" ญาติห่างๆ ของกุ้งนั่นเอง นักวิทยาศาสตร์บอกว่า กั้งที่อาศัยอยู่บริเวณแนวปะการังยักษ์ Great Barrier Reef ในออสเตรเลียมีดวงตาที่พิเศษกว่าสัตว์อื่นๆ ตรงที่สามารถตรวจจับแสงและสีต่างๆ ได้ดี ซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเทคโนโลยีเกี่ยวกับภาพรุ่นใหม่ เช่น แผ่น DVD และแผ่น CD ได้ นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า กั้งออสเตรเลียมีดวงตาที่สลับซับซ้อนที่สุด มีเซลล์ต่างๆ ถึง 12 ชนิด คอยรับและจำแนกสีต่างๆ ในขณะที่ดวงตามนุษย์มีเซลล์แค่ 3 ชนิดเท่านั้น ดวงตาแต่ละดวงของกั้งสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และแต่ละข้างยังแบ่งเป็น 3 ส่วน ซึ่งสามารถเล็งไปที่จุดใดจุดหนึ่งได้ กั้งจึงมองเห็นความลึกแบบ 3 มิติ ได้ด้วยตาเพียงข้างเดียว นอกจากนี้ กั้งยังสามารถจำแนกรูปแบบที่แตกต่างกันของแสงสีต่างๆ ได้ รวมทั้งแสงที่ขดเป็นวงกลมกระจายไปทั่ว ซึ่งดวงตาของสัตว์อื่นไม่อาจสัมผัสได้

      นักวิจัย นิโคลัส โรเบริ์ต แห่งมหาวิทยาลัยบสิสตอล ในอังกฤษ พบว่า ดวงตาของกั้งมีเซลล์ที่มีความไวต่อแสงสูงมาก และมีการทำงานในลักษณะเดียวกับชิ้นส่วนหนึ่งในเครื่องเล่น DVD และ CD หรือทัศนอุปกรณ์อื่นๆ ที่เรียกว่า Quarter-Wave Plates แต่ทำงานได้ดีกว่ามาก เพราะสามารถปรับเปลี่ยนแถบสีได้หลากหลายกว่า นักวิทยาศาสตร์ยังไม่แน่ใจว่าทำไมกั้งต้องมีเซลล์ดวงตาที่ซับซ้อนขนาดนั้น หนึ่งในสมมติฐานก็คือ ช่วยในการค้นหาและจับเหยื่อใต้น้ำด้วยการมองเห็นที่ชัดเจนกว่า อีกสมมติฐานหนึ่งบอกว่า กั้งใช้แสงแบบวงกลมที่สัตว์อื่นไม่สามารถมองเห็นนี้ ในการสื่อสารและเตือนภัยกับกั้งตัวอื่นๆ แต่ไม่ว่าจะใช้เพื่อประโยชน์ใดก็ตาม คุณโรเบริ์ต บอกว่า สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือ กระบวนการทางธรรมชาติที่สร้างเซลล์ดวงตาของกั้งขึ้นมานั้น ไม่มีสิ่งประดิษฐ์ใดๆ ในโลกเทียบได้เลย

      นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ความมหัศจรรย์ในดวงตาของสัตว์น้ำประเภทเปลือกแข็งต่างๆ จะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ ขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ดวงตากลมใหญ่ที่มองเห็นได้ไกลในมุมกว้างของกุ้งมังกรหรือ ลอบสเตอร์ ก็ดลใจให้เกิดการคิดค้นกล้องดูดาวเพื่อใช้มองแผ่นฟ้าในยามค่ำคืนมาแล้ว เรียกได้ว่าเป็นประโยชน์จากตาของสัตว์จำพวกกุ้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกับตากุ้งยิงแต่อย่างใด

ที่มา : sudipan.com




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 16 พฤษภาคม 2553 15:08:58 น.
Counter : 254 Pageviews.  

อันตราย! ของ "สตอเบอร์รี่"



ที่มา : ที่นี่ดอทคอม




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2553 16:37:19 น.
Counter : 328 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

DeWalt
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add DeWalt's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.