|
ที่มา "อนุสาวรีย์ชัยฯ"
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (Victory Monument) เป็นอนุสาวรีย์ในกรุงเทพมหานครโดยรอบเป็นวงเวียนอยู่กึ่งกลางระหว่างถนนพหลโยธิน ถนนราชวิถี และถนพญาไทตั้งอยู่ที่กิโลเมตรที่ 0.0 ถนนพหลโยธิน
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของทหาร ตำรวจและพลเรือนที่เสียชีวิตไปในกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส เรื่องการปรับปรุงพรมแดนไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศสซึ่งในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิต 59 คน พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2484 และจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้กระทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2485 สถาปนิกผู้ออกแบบอนุสาวรีย์คือ หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล
ก่อนที่จะมีการ สร้างวงเวียนอนุสาวรีย์ บริเวณจุดตัดของถนนพญาไท ถนนราวิถี และถนนพหลโยธิน นี้มีชื่อเรียกว่า "สี่แยกสนามเป้า"
นอกจากเป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญ และเป็นที่จารึกรายนามทหารที่เสียชีวิตในกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส (สงครามอินโดจีน) สงครามโลกครั้งที่ 2และสงครามเกาหลีแล้ว ยังเป็นต้นทางของถนนพหลโยธินรวมไปถึงศูนย์กลางการคมนาคมที่มีรถโดยสารให้บริการในหลายเส้นทางเป็นจำนวนมาก ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า BTS และรถตู้ ผ่านตลอด 24 ชั่วโมงจึงทำให้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นชุมทางการคมนาคมที่สำคัญของกรุงเทพมหนครในปัจจุบัน
ทั้งนี้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถือเป็นหลักกิโลเมตรที่ 0 ของประเทศไทย ในขณะที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นหลักกิโลเมตรที่ 0 ของกรุงเทพมหานครอีกด้วย
ที่มา : Victory Moment
Create Date : 30 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 30 มีนาคม 2553 10:38:53 น. |
Counter : 349 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ธัญพืช สำคัญอย่างไร?
“เมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ที่เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร เนื้อ นม เนย ไข่ กลายเป็นของหายาก และมีราคาแพง ประชาชนส่วนใหญ่จึงต้องรับประทานข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เล่ย์เป็นหลัก ปรากฎว่าช่วงนั้นชาวยุโรปเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งน้อยมาก ทั้งนี้ เนื่องจาก ข้าวเมืองหนาวทั้ง 2 ชนิดนี้มีสารแอนติออกซิเดนต์สูง จึงช่วยป้องกันความเสื่อมและการถูกทำลายของเซลล์ทั่วร่างกายอันเป็นสาเหตุ ของมะเร็งได้”
นอกจาก ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เล่ย์ ที่จัดเป็นธัญพืชเมืองหนาว หรือข้าวฝรั่ง ตามคำนิยามของอาจารย์สาทิสแล้ว ยังมี ข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวฟ่าง ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน
โดยข้าวสาลี จะมีประโยชน์สูงสุด ถ้าไม่ผ่านการขัดขาว ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดี โดยเฉพาะถ้าเป็นจมูกข้าวของข้าวสาลีพันธุ์ Wheat จะอุดมไปด้วยวิตามินอี รักษาสิวได้ชะงัดเชียวค่ะ
ส่วนข้าวไรย์ คนไทยอาจไม่คุ้นชื่อนัก แต่ข้าวไรย์เป็นพืชตระกูลข้าวสาลีที่มีประโยชน์สูง ไม่แพ้ธัญพืชชนิดอื่น โดยเป็นแหล่งรวมของวิตามินบี1 วิตามินบี2 และมีกรดอะมิโนไลซีนสูง ช่วยเสริมระบบการเผาผลาญอาหารและการเติบโตของร่างกาย
สุดท้ายในกลุ่มนี้ เป็นข้าวฟ่าง ที่อุดมไปด้วยเส้นใย จึงย่อยง่าย อีกทั้งยังมีสารโปรตีนในปริมาณใกล้เคียงกับถั่วเหลือง พร้อมธาตุแมกนีเซียม โพแทสเซียม และวิตามินบี3 สูง
ต่อมาเป็น กลุ่มธัญพืชคุณค่าสูง หากินได้ง่าย แถมราคาเบา
นำขบวนมาด้วย ข้าวโพดแหล่งคาร์โบไฮเดรต และสรรพคุณทางยา ช่วยบำบัดโรคดีซ่าน และตับอักเสบได้
ลูกเดือย ประกอบด้วยวิตามินบี 3, ธาตุแมกนีเซียม และโพแทสเซียม ซึ่งช่วยบำรุงระบบการทำงานของประสาท
ลูกบัว เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี และยังมีสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุงหัวใจ ไต และประสาท แถมช่วยบรรเทาอาการท้องร่วงได้ด้วย
ถั่วหลากชนิด ที่ชีวจิตแนะนำให้เป็นทางเลือก ทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์
งา ธัญพืชสีดำ มีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิต และความเครียดได้
สำหรับวิธีการบริโภคในแบบชีวจิต นอกจากจะรับประทานควบคู่กับข้าวกล้อง ในปริมาณครึ่งหนึ่งของอาหารทั้งหมดในแต่ละวัน ตามที่อาจารย์สาทิสแนะนำแล้ว เรายังรับประโยชน์จากธัญพืชโดยการดื่มน้ำอาร์ซีได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากส่วนประกอบหลักของน้ำอาร์ซี คือ ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ข้าวบาร์เล่ย์ ลูกเดือย และลูกบัว ซึ่งมีดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอจากธรรมชาติ จึงทำให้ร่างกายกระปรี้ประเปร่า ลดอาการอ่อนเพลียได้เป็นปลิดทิ้ง
ที่มา cheewajit.com
Create Date : 29 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 29 มีนาคม 2553 17:31:12 น. |
Counter : 189 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
11 เคล็ดลับ การทำงานอย่างมีความสุข
1. เริ่มงานอย่างสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ปลอดโปร่ง
2. ปรับปรุงบุคคลิกภาพ ให้เหมาะกับตำแหน่งและลักษณะงาน
3. สนทนาแลกเปลี่ยนกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานอยู่เสมอ
4. ศึกษาวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม
5. ใส่ความกระตือรือร้น และพลังวังชาลงไปในงาน
6. หมั่นบันทึกคำเตือนเพื่อกันลืม สำหรับตนเอง
7. หมั่นหาความรู้เพื่มเติมตลอดเวลา
8. หากต้องการคลายเครียด ลองหาหนังสือธรรมะมาอ่าน
9. อย่าจริงจังกับงานและชีวิตจนเคร่งเครียด
10. แบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วลำดับความสำคัญของงาน
11. กำหนดเวลาพักผ่อน เวลาทำงาน และเวลานั่งสมาธิให้ชัดเจน
Create Date : 29 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 29 มีนาคม 2553 15:19:01 น. |
Counter : 235 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เทคนิค การบริหารเวลา Time Management
What a time ….. เวลาคืออะไร?
เวลาคือ .... สิ่งเดียวที่ทุกคนในโลกมีอยู่อย่างเท่าเทียมกัน
เวลาคือ .... ความคุ้มค่า แต่จะมีค่าเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มันอย่างไร?
เวลาคือ .... สิ่งที่ทำให้เกิด อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
เวลาคือ .... สิ่งเดียวที่ไม่เคยรอใคร
และเวลาคือ ....... ชีวิต
จากการศึกษา โดยเฉลี่ยของคนทั่วไป พบว่า
1. เวลาทำงานช่วงไหนที่สมองปลอดโปร่งและทำงานดีที่สุด ... 10.00 – 11.00 น.. 2. เราควรใช้เวลาช่วงไหนในการวางแผนงานของวันถัดไป ... 16.45 – 17.00 น .. 3. ใน 1 ชม.ช่วงนาทีไหน ที่สมองมีสมาธิมากที่สุด ... 10 นาทีแรก ... 4. ช่วงไหนของวันที่มักจะมีสิ่งรบกวนมากที่สุด ... 10.00 – 12.00 น .. 5. ช่วงไหนที่ควรเลี่ยงจะใช้โทรศัพท์ไปหาลูกค้า ... 8.00 – 8.30 น .. 6. วันไหนในสัปดาห์ ที่ควรเลี่ยงการจัดประชุม ... วันจันทร์ ... 7. วันไหนในสัปดาห์ที่รถติดมากที่สุด ... วันจันทร์ และ วันเงินเดือนออก .... 8. ช่วงไหนของเวลาที่สมองจะทำงานได้มีประสิทธิภาพต่ำสุด ... 14.00 – 15.00 น. .. 9. หากท่านต้องการสร้างนิสัยใหม่ควรทำพฤติกรรมซ้ำๆ กันกี่วัน ... 21 วัน ... 10. วันที่เหมาะสมในการจัดประชุมทีมงาน ... วันพุธ ...
Create Date : 29 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 29 มีนาคม 2553 12:16:19 น. |
Counter : 230 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ตำนาน "ตรอกซุง" ...
เมื่อวานนี้ผมเขียนไว้ใน คอลัมน์ แนะนำหนังสือประจำวันเสาร์สั้นๆว่า ได้รับหนังสือที่มีประโยชน์มากเล่มหนึ่งจาก "ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ" สำนักพิมพ์มติชน ชื่อหนังสือ "ชื่อบ้านนามเมือง ในกรุงเทพฯ"
เป็น หนังสือที่ว่าด้วยที่มาที่ไปของ ถนน สะพาน วัด คลอง แยก และย่านต่างๆ ในกรุงเทพมหานครของเรานี่แหละครับอ่านแล้วก็ทำให้รู้ว่า ทำไมถนนนั้นจึงชื่ออย่างนั้น สะพานนี้จึงชื่ออย่างนี้ รวบรวมเรียบเรียง โดย คุณ ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย
ที่สำคัญ มากก็คือ ความเป็นมาเป็นไปต่างๆเหล่านี้ หากไม่มีการจดบันทึกไว้ วันใดวันหนึ่งก็อาจจะสูญหายไปได้
อนุชนรุ่นหลังๆก็ จะไม่มีทางทราบได้เลยว่า เหตุใดบริเวณนั้นจึงชื่อเช่นนั้น บริเวณนี้จึงชื่อเช่นนี้ ทำนองเดียวกับเรื่องราวหลายๆเรื่องที่สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยจนถึงบัดนี้
นอก จากจะชื่นชมและขอบคุณผู้จัดทำหนังสือเล่มนี้แล้ว เผอิญผมมีความหลังอยู่กับตรอก 2 ตรอก... เป็นความหลังที่เนิ่นนานมาก แต่ไม่เคยรู้เลยว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ตรอก แรกคือ "ตรอกโรงไหม" ถนนพระอาทิตย์ ครับ
ตรอกโรงไหมที่ว่านี้ จะอยู่ตรงข้ามกับวิทยาลัยนาฏศิลป์ หรือเยื้องๆร้านอาหารท่านํ้าของสโมสรกรุงเทพมหานครมาหน่อยหนึ่ง
เรียกว่า ถ้าเราขับรถเลี้ยวเข้าถนนพระอาทิตย์ ทางด้านที่มาจากสนามหลวง หรือโรงละครแห่งชาติปุ๊บ จะถึงตรอกโรงไหมทันที (อยู่ทางฝั่งขวามือ) เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ในตรอกโรงไหมจะเป็นที่ตั้ง ของค่ายมวย "วรวุฒิ" ซึ่งมี ผุดผาดน้อย วรวุฒิ ยอดนักชกรูปหล่อเป็นนักมวยเอกประจำค่าย
เลยไปหน่อยจะเป็นหอพัก ชื่อ "หอพักเวช-ธรรม" ซึ่งผู้อยู่อาศัยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นนักศึกษา ธรรมศาสตร์ หรือไม่ก็คนทำงานที่จบธรรมศาสตร์แล้ว แต่ยังไม่มีปัญญาซื้อบ้านเลยต้องอยู่หอพักต่อ
ทะลุตรอกออกไปอีกซีก หนึ่งจะเป็นบริเวณ โรงกษาปณ์ ซึ่งสมัยก่อนจะมีโรงอาหารที่มีชื่อเสียงมาก ข้าวแกงถูก โอเลี้ยงถูก...โดย เฉพาะโอเลี้ยงโรงกษาปณ์แก้วขนาดยักษ์ สนนราคาเพียงแค่ 50 สตางค์ ก่อนจะขึ้นเป็น 75 สตางค์ และ 1 บาท ในภายหลังเป็นที่เลื่องลือทั่วกรุง
ช่วงเรียนหนังสือที่ธรรม ศาสตร์ ผมอยู่ประจำที่หอพักแห่งนี้ จึงมีความคุ้นเคยกับตรอกโรงไหม ตลอดจนย่านถนนพระอาทิตย์ ย่านวัดชนะสงคราม และหลังโรงกษาปณ์เป็นอย่างดียิ่ง
แต่ ผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ทำไมตรอกที่หอพักของผมตั้งอยู่จึงมีชื่อว่า ตรอกโรงไหม... จนกระทั่งได้อ่านหนังสือเล่มนี้...ซึ่งบันทึกไว้ว่า
ใน สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ปรากฏหลักฐานว่ามี โรง ไหมหลวงอยู่ 2 โรง โรงหนึ่งอยู่บริเวณใกล้สะพานช้างโรงสี ริมคลองคูเมืองเดิม อีกโรงหนึ่งอยู่ใกล้บริเวณวังหน้า โรงที่ใกล้สะพานช้างโรงสีเลิกกิจการไปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว คงเหลือแต่โรงไหมใกล้วังหน้า เป็นที่ทอพระภูษาทรงพระเจ้าอยู่หัว และทอผ้าสำหรับพระราชทานเจ้านายและข้าราชการ
อย่างที่เรียกกันว่า ผ้าสมปัก มีเจ้าคุณหญิงเป้าธิดาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ เป็นผู้ กำกับการควบคุมการผลิตพระภูษาทรงและผ้าสมปักตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถึงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเลิกกิจการ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงเครื่องแบบข้าราชการมาเป็นผ้าม่วง และผ้าอื่น ๆ ซึ่งนิยมใช้ผ้าที่สั่งจากต่างประเทศ
โรงไหมหลวงจึงเป็นที่สำคัญแห่งหนึ่งในสมัยนั้น ใช้เรียกเป็นชื่อสถานที่ใกล้เคียง
เช่น ถนนโรงไหม คือถนนที่อยู่ริมคลองคูเมืองตัดผ่านโรงไหมหลวง ต่อมาเมื่อมีการปรับปรุงเป็นถนนสมัยใหม่ และบริเวณนั้นไม่มีโรงไหมตั้งอยู่แล้ว จึงเปลี่ยนชื่อเป็น ถนนเจ้าฟ้า ตามความเหมาะสม
ส่วนชื่อ คลองโรงไหม นั้น ปรากฏว่ามี 2 คลอง คือคลองที่ขุดแยกจากคลองรามบุตรี หลังวัดตองปุ ปัจจุบันคือวัดชนะสงคราม มาออกคลองคูเมืองเดิมข้าง ๆโรงกษาปณ์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังใช้เรียกชื่อคลองคูเมืองเดิม ตอนที่ผ่านโรงไหมหลวงนี้ว่า คลองโรงไหม เช่นกัน ต่อมาเมื่อถมคลองต่าง ๆ และปรับที่สร้างอาคาร โรงเรือน เกิดเป็นตรอกซอกซอยขึ้นมาหลายแห่งในบริเวณดังกล่าว
เพื่อเป็นการรักษาเรื่องราวในอดีตให้คงอยู่ กรุงเทพมหานครจึงตั้งชื่อตรอกแห่งหนึ่งในบริเวณโรงไหมหลวงว่า "ตรอกโรงไหม" ด้วยประการฉะนี้
ครับ! ผมอาศัยอยู่ในตรอกนี้มาตั้งนานเพิ่งจะรู้ที่มาที่ไป ตอนแก่ตัวแล้วนี่เอง
เมื่อ 4-5 ปีก่อนผมเคยแวะไปเยี่ยมเยียนหนหนึ่ง พบว่าหอพักที่ผมเคยอยู่ถูกรื้อสร้างใหม่เป็นโรงแรมเล็ก ๆ ประเภทเกสต์เฮาส์มีฝรั่งมังค่าที่หลามมาจากถนนข้าวสารเช่าอยู่เต็ม ค่ายมวย "วรวุฒิ" และบ้านอื่น ๆ ที่ผมคุ้นเคยก็หายไปหมดสิ้น รวมทั้งบ้านป้าหลังหอที่ผมเคยผูกปิ่นโตแบบเซ็นได้ (2-3 เดือนจ่ายที) ก็หายไปเช่นกัน
สำหรับตรอกอีกตรอก หนึ่งที่ผมมีความผูกพันพอสมควร ได้แก่ "ตรอกซุง" ที่บางรักโน่นครับ
เหตุ ที่ผูกพันไม่ใช่เพราะผมเคยไปอยู่อาศัยอะไรหรอก แต่เป็นเพราะผมชอบรับประทานข้าวขาหมู และเป็นแฟน "ข้าวขาหมูตรอกซุง" มานานพอสมควร
ทุกวันนี้ เวลาคิดถึงก็มักจะนั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสไปลงสถานีสะพานตากสิน แล้วก็เดินย้อนมาที่ตรอกซุงบางรัก รับประทานข้าวขาหมูที่ยังคงเปิดร้านอยู่สัก 1 จาน พอให้หายคิดถึงอยู่เสมอ ๆ (ไม่กล้ารับประทานมาก เพราะหมอห้าม)
ตำนาน ตรอกซุง ในหนังสือเล่มนี้เขียนไว้ว่า
"ในบริเวณ (บางรัก) เคยมีคลองเล็ก ๆ ไหลผ่านไปสู่แม่นํ้าเจ้าพระยา ซึ่งครั้งหนึ่งมีผู้พบต้นรักขนาดใหญ่ อย่างที่เรียกว่าต้นซุงจมอยู่ในคลองนั้น ความใหญ่ของไม้รักที่พบครั้งนั้นเป็นที่สงสัย และเล่าลือกันถึงที่มา แต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าซุงไม้รักนั้นมาจากไหน"
"ต่อมาครั้งใดที่เอ่ย ถึงสถานที่บริเวณนั้นก็จะใช้ชื่อ ไม้รัก เป็นที่หมาย เมื่อเวลาผ่านไปคำเรียกไม้รัก ไม่เป็นที่รับรู้ของคนรุ่นหลัง ๆ จึงกลายเป็น บางรัก ไปในที่สุด ส่วน คลองที่พบซุงไม้รักนั้นเรียกกันติดปากว่า คลองต้นซุง ภายหลังเมื่อถมคลองกลายเป็นตรอก จึงเรียกว่า "ตรอกซุง"
ครับ! ได้คำตอบทั้งที่มาของ "บางรัก" และ "ตรอกซุง" ที่อยู่ในย่านบางรักในปัจจุบันไปพร้อม ๆ กัน แต่ตำนาน "ขาหมูตรอกซุง" คงต้องไปค้นหาจากที่อื่นครับ เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ บอกไว้!
ที่มาจาก variety.teenee.com
Create Date : 27 มีนาคม 2553 | | |
Last Update : 27 มีนาคม 2553 17:39:32 น. |
Counter : 448 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|