|
ใช้ถุงยางให้ได้ผลสูงสุด
ถุงยาง เป็นอุปกรณ์คุมกำเนิด ที่ทำจากยางพารา หรือโพลียูรีเทน มีทั้งสำหรับผู้ชายและหญิง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายชายที่ควรสวมครอบอวัยวะเพศชาย ขณะมีเพศสัมพันธ์ ช่วยเก็บน้ำอสุจิที่ฝ่ายชายหลั่ง สามารถป้องกันได้ทั้งการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะมีเพศสัมพันธ์ทางปากช่องคลอด หรือทางทวารหนัก ซึ่งไม่รับประกันว่า สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ 100% แต่สามารถลดอุบัติการณ์ของการติดเชื้อลงได้มาก
ส่วนการคุมกำเนิดชนิดอื่น สามารถคุมได้เฉพาะการตั้งครรภ์ ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้
การใช้ถุงยางอนามัยให้ได้ผลปลอดภัยสูงสุด
- เก็บในที่เหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป ไม่ให้ถูกแสง ไม่ควรเก็บในกระเป๋ากางเกง ควรใส่ในกระเป๋าหลวม ๆ
- ใช้ถุงยางอนามัยใหม่ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- เวลาเปิดไม่ควรใช้ปาก กรรไกร หรือเล็บ เพราะอาจทำให้ถุงยางฉีกขาดได้
- ห้ามใช้ vasalin baby oil หรือ cold cream ในการหล่อลื่น เพราะอาจทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพ รั่วและฉีกขาดได้
- ไม่เหมาะที่จะใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะจะเกิดแรงเสียดสีมาก และเกิดเลือดออกได้ง่าย จึงไม่ปลอดภัยพอ
- หากต้องการใส่ยาฆ่า sperm ให้บีบใส่ปลายถุงยางอนามัย
- หากปลายถุงยางไม่มีถุงสำหรับเก็บเชื้อ ให้ดึงปลายถุงยางซักครึ่งนิ้ว เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับเก็บเชื้อ
- ม้วนถุงยางจนถึงโคนอวัยวะเพศ
- หากสงสัยว่าถุงยางแตก ให้หยุดการมีเพศสัมพันธ์ทันที
- เมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วให้ใช้มือบีบปลายถุงยาง แล้วถึงอวัยวะเพศออก
- ดึงถุงยางออกจากอวัยวะเพศ ระวังอย่าให้เชื้อหก แล้วนำไปทิ้ง
- ชำระล้างมือ ฟอกสบู่ เพื่อทำความสะอาด
Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2553 20:14:51 น. |
Counter : 231 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ขี้หู ภัยเงียบที่ควรระวัง
ใครๆ มักเข้าใจผิดว่า มีขี้หูไม่ดี ควรเอาออก และนี่คือ ภัยเงียบที่คาดไม่ถึง หลายคนอาจไม่ทราบว่า ขี้หู สร้างจากต่อมสร้างขี้หู ซึ่งอยู่ในช่องหูชั้นนอก ขี้หูมีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ มีสารต่อต้านเชื้อโรคและไม่ละลายน้ำ มีหน้าที่ช่วยปกป้องผิวหนังของช่องหูชั้นนอก และป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในช่องหู บางคนมีขี้หูเปียก บางคนก็ขี้หูแห้ง ขี้หูมาก ขี้หูน้อยก็มี
โดยปกติ ขี้หูจะมีการเคลื่อนที่จากเยื่อบุแก้วหูออกไปยังช่องหูชั้นนอกได้เอง ไม่จำเป็นต้องไปแคะออก ปัญหาของขี้หูมักเกิดจาก "ขี้หูอุดตัน" อยู่ภายในช่องหูชั้นนอก และเมื่ออุดตันนานวันเข้า ขี้หูก็จะจับตัวเป็นก้อนแข็งจนทำให้เกิดปัญหาในการรับฟังเสียงพูด คือ จะได้ยินไม่ชัดเจนเท่าที่ควร ที่เรียกว่า เกิดอาการหูอื้อ หูตึง นั่นเอง
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด คือ การใช้ไม้พันสำลีทำความสะอาดช่องหูชั้นนอก โดยเฉพาะหลังอาบน้ำ แล้วมีน้ำเข้าหู จะทำให้รู้สึกรำคาญ ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะยิ่งกระตุ้นให้ต่อมสร้างขี้หูทำงานมากขึ้น มีปริมาณขี้หูที่ผลิตออกมามากขึ้น และถ้ายิ่งดันไม้เข้าไป หรือปั่นรูหูแรงๆ จะทำให้ขี้หูในช่องหูอัดแน่นยิ่งขึ้น และอาจทำให้ช่องหูชั้นนอกถลอก อักเสบ ติดเชื้อได้ เนื่องจากผิวหนังภายในช่องหูชั้นนอกนั้น เปราะบางมาก เวลาแหย่ไม้เข้าไปลึกๆ แล้วไปกระแทกโดนเข้าจะเจ็บมาก และอาจทำให้เยื่อแก้วหูบาดเจ็บหรือทะลุได้
ฉะนั้น เมื่อสงสัยว่ามีขี้หูอุดตัน ควรไปพบแพทย์ โดยแพทย์จะใช้เครื่องส่องหูตรวจช่องหูชั้นนอกว่าเป็นขี้หูอุดตันจริงหรือไม่
ถ้าเป็นขี้หูอุดตันจริง...
1. แพทย์จะพยายามนำขี้หูออกให้ อาจโดยการล้างช่องหูชั้นนอกด้วยน้ำเกลือ การคีบหรือดูด หรือใช้เครื่องดูดขี้หูออก 2. ถ้าไม่สามารถเอาขี้หูออกได้ เนื่องจากขี้หูอัดแน่นมาก หรือเอาออกได้เพียงบางส่วน แพทย์จะสั่งยาละลายขี้หูจำพวกโซเดียมคาร์บอเนตให้ไปหยอดที่บ้านประมาณ 1 สัปดาห์ วันละ 7-8 ครั้ง แล้วนัดมาดูอีกครั้ง ซึ่งหลังจากหยอดยาละลายขี้หูแล้ว จะทำให้ขี้หูอ่อนตัวมากขึ้น ทำให้แพทย์เอาขี้หูออกได้ง่าย แต่อาจทำให้ขี้หูในช่องหูขยายตัวและอุดตันช่องหูชั้นนอกมากขึ้น ทำให้หูอื้อมากขึ้นได้
ครั้งต่อไปเพื่อป้องกันไม่ให้ขี้หูอุดตันอีก ควรปฏิบัติดังนี้
1. อย่าใช้นิ้วแหย่ช่องหูเด็ดขาดเพราะขอบเล็บที่ปลายนิ้วจะทำให้ช่องหูชั้นนอกถลอก ติดเชื้อและอักเสบได้ง่าย
2. อย่าใช้ไม้พันสำลีทำความสะอาดหู หรือปั่นหูเมื่อน้ำเข้าหูอีก ควรป้องกันไม่ให้น้ำเข้าขณะอาบน้ำ โดยหาสำลีชุบวาสลินหรือสวมหมวกอาบน้ำดึงลงมาคลุมถึงใบหู ในรายที่เล่นกีฬาทางน้ำ อาจใช้ที่อุดหูสำหรับนักดำน้ำซึ่งมีขายตามร้านกีฬามาช่วย
3. หลายคนมักคิดว่า การทำความสะอาดข้างในช่องหูหรือเช็ดรูหูนั้น ก็เหมือนกับการทำความสะอาดร่างกายทั่วไป แต่จริงๆ แล้ว การปล่อยให้มีขี้หูเคลือบช่องหูบ้าง จะดีกว่า เพราะยิ่งเช็ด หรือแคะหูมาก ช่องหูจะยิ่งแห้ง คันและระคายเคืองได้มากกว่า แต่ถ้าน้ำเข้าหู อาจใช้ไม้พันสำลี ชนิดเนื้อแน่น ขนาดเล็กซับน้ำที่ปากช่องหูเล็กน้อยก็พอ แต่ถ้าน้ำเข้าหูเป็นชั่วโมงแล้ว ยังไม่ออกมา หูยังอื้ออยู่ ส่วนใหญ่เป็นเพราะมีขี้หูซึ่งอยู่ในส่วนลึกของช่องหู อมน้ำไว้ ถ้ามีอาการเช่นนี้ควรให้แพทย์หู-คอ-จมูก ตรวจทำความสะอาดช่องหูจะดีที่สุด
4. ในรายที่ขี้หูแห้ง อาจใช้ยาละลายขี้หู หยอดรูหูเป็นประจำ เพื่อทำการล้างขี้หู อาจใช้เพียงอาทิตย์ละครั้ง ถ้าไม่มีปัญหา อาจห่างออกไปเป็น 2 หรือ 3 หรือ 4 อาทิตย์ หยอด 1 ครั้ง ก็จะช่วยลดการอุดตันของขี้หูในช่องหูชั้นนอกได้
เพียงเท่านี้... ท่านก็จะไม่พบกับปัญหาขี้หูอุดตันอีกต่อไป
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 11:20:55 น. |
Counter : 351 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เชื้อโรคในธนบัตร...
ธนบัตรและเหรียญที่ใช้เปลี่ยนมือกันหลายมือ รู้ไหมว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
ดร.แฟรงก์ วีรีสคูป จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร ประเทศนิวซีแลนด์ตรวจพบ เชื้อแบคทีเรียในธนบัตร ประมาณ 1 - 2 เซลล์ ต่อพื้นที่เล็กๆ 1 ตารางเซนติเมตร ซึ่งมีหลายชนิดเช่น เชื้อ Escherichia coli, Staphylococcus aureus, Bacillus cereus และ Samonella spp. ซึ่งก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร
แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ เชื้อโรคเหล่านี้ดื้อยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ที่ใช้ในการรักษา ดังนั้นนักวิจัยจึงได้คิดพัฒนากระดาษที่ผลิตจากวัสดุสังเคราะห์พอลิเมอร์ ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียมาผลิตแทนธนบัตรแทนกระดาษ ที่ใช้กันอยู่
รู้อย่างนี้แล้ว ก็ควรระวังเชื้อโรคในธนบัตรกันด้วย
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 11:18:54 น. |
Counter : 296 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ฟอกสีฟันดีมั้ย?
มีคนรอบข้าง ถามว่า ฟันมีสีคล้ำ จะไปฟอกสีฟันดีมั้ย? ดังนั้น เพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลไปพร้อม ๆ กัน X-RAY สุขภาพ จึงมาพูดคุยกับ ทันตแพทย์หญิงชนิดา ธรรมสุนทร สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กระทรวง สาธารณสุข
ทันตแพทย์หญิงชนิดา อธิบายว่า การฟอกสีฟัน เพื่อทำให้ฟันขาวขึ้น มีความปลอดภัย แต่ควรทำภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์ ดังนั้นคนที่ต้องการฟอกสีฟัน อันดับแรกเลย ควรไปพบทันตแพทย์ เพื่อวินิจฉัยว่า ฟันสีคล้ำมีสาเหตุจากอะไร เช่น ฟันผุ เป็นรู มีคราบสีหรือ หินปูน หรือฟันตาย ซึ่งทันตแพทย์จะแก้ไขให้ตามสาเหตุ เช่น ฟันผุ แก้ไขปัญหาด้วยการอุดฟัน หากมีคราบสีหรือหินปูน จะแก้ไขด้วยการขัดฟันหรือขูดหินปูน หากเป็นฟันตายก็ควรได้รับการรักษารากฟันก่อนการฟอกสีฟันหรือบูรณะฟันด้วย วิธีที่เหมาะสมต่อไป
หากไม่ได้มาจากสาเหตุข้างต้น และทันตแพทย์พิจารณาว่า สามารถฟอกสีฟันได้ ทันตแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับคนไข้ ซึ่งผลของการฟอกสีฟัน ความขาวของฟันจะไม่คงทนถาวร เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 ปี สีฟันจะค่อย ๆ คล้ำลงเล็กน้อย อาจต้องมาทำซ้ำเป็นระยะ
การ ฟอกสีฟันที่ได้รับการ ยอมรับว่าได้ผลและมีความปลอดภัยสูง ได้แก่ การฟอกสีฟันที่คนไข้สามารถทำด้วยตัวเองที่บ้าน โดยใช้สารฟอกสีฟันที่ความเข้มข้นต่ำ ๆ ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์
วิธีการคือ ก่อนที่จะทำการฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะให้ข้อมูลรอบด้านแก่คนไข้ และตรวจดูให้แน่ชัดว่า ฟันทุกซี่ ไม่ผุ ไม่มีอาการเสียวฟันเนื่องจากภาวะเหงือกร่น คนไข้ ได้รับการขูดหินปูนหรือขัดคราบสีที่ปกคลุม ฟันออกเรียบร้อยแล้ว ส่วนฟันที่มีอาการอุด วัสดุอุดจะต้องไม่มีการรั่วซึม จาก นั้น ทันตแพทย์ก็จะพิมพ์ปากคนไข้เพื่อสร้างแบบจำลองฟันและนำมาทำถาดฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะบันทึกสีของฟัน ก่อนเริ่มให้การรักษา จะนัดคนไข้มาลองถาดฟอกสีฟัน แนะนำวิธีใส่สารฟอกสีฟัน โดยส่วนใหญ่สารที่ใช้ฟอกสีฟันได้แก่ คาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ที่มีความเข้มข้น 10% โดยคนไข้จะใส่ถาดฟอก สีฟันวันละประมาณ 4 ชั่วโมง หรือจะใส่ตลอดทั้งคืนเวลานอนก็ได้ โดยระหว่างใส่ถาดฟอกสีฟัน ห้ามรับประทาน อาหารทุกชนิด
สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฟอกสีฟัน คือ อาการ เสียวฟัน การ ระคายเคืองเนื้อเยื่ออ่อน เช่น เหงือก ดังนั้นระหว่างการฟอกสีฟัน ทันตแพทย์จะนัดมาติดตามผลเป็นระยะ เพื่อดูผลของการฟอกสีฟันและแก้ไขอาการข้างเคียง ภายหลังเสร็จสิ้นการฟอกสีฟัน คนไข้ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภท ชา กาแฟ ไวน์ ซึ่งอาจทำให้มีคราบสีมาติดภายนอกฟันและทำให้ฟันดูคล้ำลงได้
ทั้งนี้ไม่แนะนำให้คนไข้ฟอกสีฟัน โดยซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีขายตามเคาน์เตอร์ในท้องตลาดมาทำเอง โดยไม่ได้ปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อหาสาเหตุ เพราะ 1.ปัญหาฟันสีคล้ำที่คนไข้มี อาจไม่ได้รับการแก้ไขให้ตรงจุด และเสียเงินโดยไม่จำเป็น 2.การฟอกสีฟันเอง มีโอกาสที่สารฟอกสีฟันจะไประคายเคืองเหงือก หรือเนื้อเยื่อภายในช่องปากได้มากกว่าวิธีที่ทำภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์ 3.อาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการเสียวฟัน
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2553 11:17:55 น. |
Counter : 252 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ตำนาน "ชา"
ช่วงนี้เรื่องของชา กำลังฮิต ทั้งชาเขียว ชาขาว เวลาไปช้อปปิ้ง ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็จะเห็นผลิตภัณฑ์ที่มีชาเป็นส่วนประกอบ วางขายกันให้เกลื่อนตลาดไปหมด ไม่ว่าจะเป็นชาบรรจุขวด เครื่องสำอาง แม้กระทั่งผ้าอนามัย...เราก็เลยนำเรื่องราวตำนานของชามาฝากกันค่ะ.....
การดื่มชานั้นได้เริ่มขึ้นในประเทศจีน คาดว่าไม่น้อยกว่า 2,167 ปีก่อนคริสตกาล ตำนานการเริ่มต้น ของการดื่มชามีหลายตำนาน ทั้งเรื่องที่เป็นการค้นพบ โดยบังเอิญ เรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ทั้งนี้ก็แล้วแต่จะพิจารณากันนะจ๊ะ
ตำนานแรก เขาเล่าว่าจักรพรรดิเสินหนงของจีน เป็นผู้ค้นพบใบชาและวิธีชงชา ซึ่งการค้นพบครั้งนี้เป็นการค้นพบโดยบังเอิญ เมื่อพระองค์ทรงต้มน้ำดื่มใกล้ๆ กับต้นชา ขณะรอคอยให้น้ำเดือด กิ่งชาได้หล่นลงในหม้อชา (คงจะเป็นกิ่งเล็กๆ ที่ปลิวมาตามแรงลม) สักพักหนึ่งกลิ่นหอมกรุ่นก็โชยออกมา เมื่อพระองค์เอากิ่งชาออกแล้วทรงดื่ม ก็พบว่าน้ำดังกล่าว มีรสชาติดี และเมื่อนำไปศึกษาดูก็พบว่า มีสรรพคุณทางยาบางประการด้วย ตั้งแต่นั้นมาชาวจีนจึงได้รู้จักชา และวิธีการชงชา จักรพรรดิเสินหนงนี้ นอกจากทรงค้นพบสรรพคุณของชาแล้ว พระองค์ยังทรงค้นคว้า และทดสอบสมุนไพรชนิดต่าง ๆ กว่า 200 ชนิด ชาวจีนจึงได้นับถือว่าพระองค์ เป็นบิดาแห่งแพทย์ศาสตร์การค้นพบโดยบังเอิญ
อีกตำนานหนึ่ง ออกจะเป็นตำนานที่ เน้นเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ซักหน่อย กล่าวถึง นักบวชชื่อธรรม ซึ่งเป็นโอรสของกษัตริย์อินเดีย ท่านได้เดินทางมาจาริกแสวงบุญ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในจีน ในช่วงแผ่นดินของจักรพรรดิถูตี่ ในช่วงปี ค.ศ. 519 จักรพรรดิถูตี่ทรงนิยมชมชอบนักบวชมาก จึงได้นิมนต์ให้นักบวชไปพักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ในเมืองนานกิง ขณะที่นักบวชได้สวดมนต์ภาวนาอยู่ ก็เกิดเผลอหลับไปทำให้ชาวบ้านหัวเราะเยาะ เพื่อเป็นการลงโทษตนเอง มิให้กระทำความผิดเช่นนั้นอีก ท่านธรรมจึงได้ตัดหนังตาของตนทิ้งเสีย (นัยว่าอยากหลับดีนัก) หนังตาเมื่อตกถึงพื้นก็เกิดงอกขึ้นเป็นต้นชา ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็เห็นเป็นนิมิตที่แปลก จึงพากันเก็บชามาชงน้ำดื่ม โดยเชื่อว่าสามารถรักษาโรคได้
ตำนานสุดท้าย ที่ได้ทราบมา เรื่องก็มีอยู่ว่า ในสมัยหนึ่งได้เกิดโรคอหิวาตกโรค ระบาดในเมืองจีน ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ซินแสท่านหนึ่ง คือ เกี้ยอุยซินแสพบว่า สาเหตุใหญ่ของการเกิดโรค เกิดจากการที่ผู้คนพากันดื่มน้ำสกปรก จึงแนะนำให้ชาวบ้านต้มน้ำดื่ม และเพื่อให้ชาวบ้านเชื่อ จึงเสาะหาใบไม้มาอังไฟให้หอมเพื่อใส่ลงไปในน้ำต้ม (เป็นการหลอกล่อ) ซึ่งเกี้ยอุยซินแสก็พบว่า มีพืชชนิดหนึ่ง ที่สามารถให้กลิ่นหอมมากเป็นพิเศษ มีรสฝาดเล็กน้อยและแก้อาการท้องร่วงได้ จึงเผยแพร่วิธีการนี้ ให้ชาวบ้านได้ทำตาม ซึ่งพืชที่มีกลิ่นหอมที่ว่านี้ ก็คือต้นชานั่นเอง
หม้อต้ม และเทลงดื่มในชาม
และไหนๆ ก็เล่าถึงตำนานใบชากันแล้ว ก็ขอเล่าเรื่องการกำเนิดปั้นชาด้วยเลยดีกว่า ในยุคแรกๆ นั้น ชาวจีนดื่มชา จะใช้หม้อต้ม และเทลงดื่มในชาม ต่อมามีการค้นพบปั้นชาขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ใกล้เมืองอี๋ชิงมณฑลเจียงซู โดยเด็กรับใช้ของคุณชายตระกูลอู๋ ที่กำลังจะเดินทางไปสอบจอหงวน ได้แวะพักที่วัดจิน ซา ซึ่งที่วัดนี้มีเตาเผาเพราะพระจะปั้นภาชนะดินใช้เอง วันหนึ่งหลังจากทำหน้าที่ ปรนนิบัติคุณชายเรียบร้อยแล้ว เด็กรับใช้คนนี้ได้หลบมาพักผ่อน และเห็นพระปั้นภาชนะดินอยู่ จึงเข้าร่วมวงด้วย ปั้นไปปั้นมา ออกมาเป็นภาชนะทรงกลมมีฝาปิดด้านบน ด้านข้างเติมหูจับ และต่อพวยกาออกมา กลายเป็นอุปกรณ์ชงชา และกรองใบชาใบแรกของโลก
ส่วนความแตกต่างระหว่างกาน้ำชา และกากาแฟนั้น เราสังเกตได้จากพวยกา กล่าวคือ ถ้ามีพวยยื่นออกมาจากตอนก้นนั้นเป็นกาน้ำชา เพราะเมื่อใส่ใบชาลงไป ใบชาจะลอยอยู่เหนือผิวน้ำ เมื่อรินน้ำชาก็จะไม่มีใบชาปนออกมา ด้านกากาแฟนั้น พวยกาจะอยู่ตรงส่วนบนของกา เพราะเวลาชงผงกาแฟจะจมลงไปนอนก้นโดยเร็ว เวลารินกาแฟผง กาแฟจะได้ไม่ไหลปนออกมา
ทราบเรื่องตำนาน ของชาและกาน้ำชาไปแล้ว คราวนี้มาทราบเรื่องสรรพคุณของชากันบ้าง ซึ่งสรรพคุณที่แท้จริงของชานั้น ปัจจุบันก็ได้มีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยนักวิทยาศาสตร์จากหลายสถาบัน ซึ่งผลที่ได้ก็แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเน้นศึกษาเรื่องอะไรเป็นสำคัญ เช่น ประโยชน์ทางโภชนาการ หรือเกี่ยวกับเครื่องสำอาง เป็นต้น
ซึ่งทางเราสรุปความย่อๆ ได้ว่า ใบชานั้นมีคุณสมบัติทางเคมีบางประการ ซึ่งในจำนวนนั้นจะมี กรดแทนนิค ปริมาณ 20 – 30 % กรดแทนนิคนี้ มีคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบและการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีสารอัลคาลอยด์ 5%( ส่วนใหญ่จะเป็นคาเฟอีน) ซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นการทำงาน ของระบบประสาทส่วนกลาง และระบบเมตาบอลิซึ่ม(การเผาผลาญพลังงาน)
นอกจากนี้ชาวจีนเชื่อว่า ชามีคุณสมบัติในการแยกองค์ประกอบ ของเนื้อและไขมัน ดังนั้นชาจึงมีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร ซึ่งชาวจีนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ดังมีสำนวนที่พูดกันติดปากว่า "ขาดเกลือสามวัน ยังดีกว่าขาดชาหนึ่งวัน"
ชาเขียว ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
สำหรับชาเขียว ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบันนั้น บางคนเข้าใจผิดว่า ชาเขียวคือชาญี่ปุ่น แต่ความจริงแล้ว ชาเขียว คือ ชาทุกชนิดที่ผลิตโดยการ เอาใบชาสดมาคั่วให้แห้ง โดยไม่ผ่านขั้นตอน การทำปฏิกิริยา ของออกซิเจนกับใบชา ดังนั้นจึงเชื่อกันว่าในชาเขียว จะมีสารคาเทชิน อยู่มากกว่าชาชนิดอื่น(คุณสมบัติในการป้องกันมะเร็ง)
แต่ไม่ว่าจะเป็นชารูปแบบใด ความนิยมเรื่องดื่มชาก็มีมากขึ้นทุกวัน เนื่องจาก รสชาตินุ่มนวลของชาประการหนึ่ง และข้อมูลยืนยันทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับสรรพคุณของชาอีกประการหนึ่ง นอกจากนี้ในปัจจุบัน เครื่องดื่มชา (ชงสำเร็จ) ก็หาได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปอีกด้วย
Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2553 | | |
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2553 20:43:49 น. |
Counter : 257 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|