ครั้งหนึ่งในชีวิต...ขอลากสังขารไปพิชิตภูกระดึง
ตอนทำหัวข้อเรื่องท่องเที่ยวทีแรกก็ว่าจะเขียนแบบใส่รายละเอียดเยอะหน่อย ไปๆมาๆ ไม่รอดล่ะค่ะ ตอนนี้เลยขอใช้บลอกเก็บประมวลภาพความประทับใจ เผื่อจะยั่วต่อมอยากเดินทางของคนอื่น แล้วก็เป็นบันทึกความทรงจำของเราก็แล้วกัน เพียงแต่อาจไม่เรียงตามเวลาเท่าไหร่นะ แหะๆ เริ่มต้นด้วย ทริปภูกระดึง (5-8 ธ.ค. 2552) ทริปนี้ มีที่มาเพราะว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านั้น เราและกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยไปตะลุยเที่ยวลาวด้วยกัน 7 ชีวิตแบบไม่ง้อทัวร์แล้วสนุกมาก พอเข้าปี 52 ช่วงกลางๆปีเลยคิดว่าน่าจะหาที่ไปเที่ยวไกลๆแต่อยู่ใน budget ที่รับกันได้อีกครั้ง ไอ้ครั้นจะไปทะเลก็ดูกระไร เพื่อนคนหนึ่งเลยเสนอภูกระดึงขึ้นมา และบังเอิญมากที่ในกลุ่มเราก็ไม่เคยมีใครไปเลยนอกจากเพื่อนคนนี้ สรุปก็เลยตกลงจะไปวัดสังขารด้วยกันเพื่อไต่ภู ที่ใครๆเค้าบอกว่า แฟนจะได้วัดใจแฟน เพื่อนจะได้วัดใจเพื่อนกันก็จากทริปนี้นี่แหละ หึหึ (ปั๊บๆๆๆๆ สมมติว่าเวลาผ่านไปแล้วสามเดือนจากที่คุยกัน เถียงกับนายเรื่องขอลาหยุดเรียบร้อย บลาๆๆ) เริ่มออกเดินทางกันตอนหัวค่ำของคืนวันที่ 4 ธันวา ซึ่งหมอชิตสองแน่นขนัดไปด้วยผู้โดยสาร พวกเราทั้ง 7 คน (เท่าตอนที่ไปลาว แต่สมาชิกบางคนเปลี่ยนหน้า) ก็นั่งรถ ปอ.สอง ของแอร์เมืองเลยแบบหลับบ้างไม่หลับบ้างไปลงที่ท่ารถตรงผานกเค้า จ.เลย เช้าวันพ่อพอดี จากนั้นก็เหมารถสองแถวไปที่ทำการของภูกระดึงเพื่อลงทะเบียนและจองลูกหาบ ส่วนเต๊นท์นั้นเพื่อนคนหนึ่งโอนเงินมาจองไว้แล้ว ก็แค่ไปแจ้งชื่อยืนยัน หลังชั่งน้ำหนักสัมภาระเสร็จ ม้วนขากางเกง เอาแจ๊คเกตผูกเอวเรียบร้อย ก็เคลื่อนขบวนไต่ภูพร้อมๆกับนักท่องเที่ยวผู้ร่วมทางจำนวนหลายร้อยทันที และเนื่องจากเป็นวันพ่อ นักท่องเที่ยวที่ขึ้นภูวันนี้เลยได้รับยกเว้นไม่ต้องจ่ายธรรมเนียมตอนขึ้นด้วย
พวกเราใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงในการไต่ภู เพราะเริ่มไต่กันตอนเจ็ดโมงกว่า แล้วก็มีพักกันตลอดทาง เพราะถึงจะบอกว่าวัดสังขาร แต่ให้หักโหมขึ้นไปก็เห็นจะไม่ไหว ซึ่งระยะทางขึ้นจริงๆจะประมาณ 5 กิโลเมตร และพอถึงหลังแปแล้วต้องเดินทางราบอีกประมาณ 3 กิโลเมตรถึงจะถึงจุดที่กางเต๊นท์
ตอนที่พวกเราไปถึงหลังแปนั้นก็ราวๆสิบเอ็ดโมงครึ่งได้ ซึ่งคนยังขึ้นไปถึงไม่เยอะมาก พวกเราก็เอาของเก็บในเต๊นท์ซึ่งจองไว้สองหลังสำหรับชายหญิง จากนั้นก็ไปกินข้าวกลางวันก่อนจะกลับมารอสัมภาระจากลูกหาบ ต้องนับถือเลยว่าแต่ละคนอึดมาก แล้วตอนแรกเราเคยนึกว่าลูกหาบจะมีแต่ผู้ชาย ปรากฏว่ามีผู้หญิงด้วย แถมบางคนนี่น่าจะอายุรุ่นน้าหรือแม่เราได้เลยมั้ง หลังจ่ายค่าจ้างกับทิปให้ลูกหาบของกลุ่มเราแล้ว ตลอดบ่ายก็แทบไม่ได้ทำอะไร นั่งเล่นกลิ้งไปกลิ้งมากันแถวๆเต๊นท์นั่นล่ะ เพราะกะจะอัดโปรแกรมกันวันถัดไปอยู่แล้ว วันแรกก็ขอพักสบายๆก่อนแล้วกัน
อ้อ แล้วก็เพราะว่าวันนี้วันพ่อ ตอนกลางคืนก็เลยมีการจุดเทียนและร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีกันด้วย พวกเรานั่งเล่นกันหน้าเต๊นท์ตอนที่ทางศูนย์อำนวยการประกาศเวลาจุดเทียนชัยถวายพระพรพอดี ก็เลยร้องกันตรงนั้นล่ะค่ะ
ในรูปข้างล่างอาจไม่มีใครสังเกตเห็น แต่ที่จริงมี Absolute Vodka Special Limited Edition ที่ขนขึ้นไปเพื่อเพิ่มดีกรีความอบอุ่นให้ร่างกายกันด้วย อิอิ
เช้าวันที่สอง คนอื่นคงตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น แต่พวกเรานอนตื่นสายกันค่ะ 555 ตื่นมาก็เจ็ดโมงครึ่งได้มั้ง ล้างหน้าแปรงฟัน ฟังเพลงสระอโนดาตที่เปิดจากศูนย์อำนวยการ (เหมือนเพลงชาติประจำภูกระดึง ได้ฟังทุกเช้า) พอกินข้าวเช้าเสร็จก็เริ่มไปน้ำตกและตามหาเมเปิ้ลกันก่อนเลย อุณหภูมิตอนกลางคืนของที่นี่ต่ำแค่สิบกว่าองศาก็จริง แต่ระหว่างวันก็ประมาณยี่สิบ เรียกว่าเดินกันสบายๆ แต่เพราะเป็นหน้าหนาว น้ำตกเลยไม่ค่อยมีน้ำไหลเท่าไหร่ ที่ไปดูกันก็มีน้ำตกโผนพบ น้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ แล้วก็น้ำตกธารสวรรค์ ซึ่งที่ที่เจอเมเปิ้ลแดงเยอะที่สุดก็คือน้ำตกธารสวรรค์ แต่กระแสนักท่องเที่ยวก็ใช่ย่อยเหมือนกัน ต้องหามุมแทบแย่กว่าจะได้ถ่ายรูปที่ไม่ค่อยติดคนได้ เสร็จจากน้ำตกก็พากันฉีกไปเดินเส้นเลียบผา ซึ่งจะได้เจอที่แวะพักตามผาต่างๆและมีอาหารขาย ก็เดินไปพักไปเป็นระยะตามประสาคนยังปวดขากันอยู่ (อายุยังไม่ถึงเลขสาม แต่สังขารนำหน้าไปและ) กว่าจะถึงผาหล่มสักก็ราวห้าโมงได้ คนเยอะมากกกกก ยิ่งมุมที่เค้านิยมถ่ายรูปกันนี่คิวยาวเชียว ดีว่าถึงเพื่อนๆเราจะบ้าถ่ายรูปแต่ก็ไม่มากพอจะไปต่อแถว เลยหามุมถ่ายกันเอง
ปล. ตากล้องทั้งหลายในรูปข้างล่างนี่คนอื่นทั้งน้าน ไม่ได้รู้จักอะไรกันเล้ย
หลังจากนั่งเล่นสักพัก พอฟ้าเริ่มมืดก็เริ่มทยอยกันเดินกลับที่พัก ซึ่งตลอดทางต้องคอยส่องไฟฉายเพราะไม่มีเสาไฟตามทาง บางทีช่วงไหนเราเดินช้าก็อาจมีคนเดินแซงเราไป หรือไม่เราก็เดินแซงคนอื่นบ้าง แต่ว่ามองในแง่ดีก็ทำให้ไม่หวิวเกินไปเวลาเดินมืดๆแบบนี้ เพราะลองคิดดูว่าถ้ามากันแค่ไม่กี่คนในช่วงที่ไม่ใช่หน้าเทศกาล มาเดินตอนหลังพระอาทิตย์ตกแล้วได้ยินเสียงช้างนี่คงหลอนน่าดูเลยทีเดียว หลังจากคืนที่สอง ซึ่งอากาศตอนกลางคืนหนาวจนแทบนอนไม่หลับ แถมตอนเราตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนตีสองยังได้ยินเสียงหมูป่าอีกต่างหาก ก็เข้าสู่วันที่สาม ซึ่งมีเพื่อนสองคนจะกลับลงจากภูกันก่อน ตอนเช้าก็เลยตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นจากหน้าเต๊นท์กัน (แหะๆ) พอจัดการมื้อเช้าแล้วก็ไปไหว้พระพุทธเมตตา จากนั้นเดินไปน้ำตกธารสวรรค์ถ่ายรูปซ่อมกันอีกหน แล้วก็เดินไปกินข้าวกลางวันกันที่ผาหมากดูก หลังจากอิ่มหนำสำราญก็ถ่ายรูปกันอีกหน่อย แล้วก็โบกมือลาเพื่อนที่จะกลับก่อนตรงนั้นเลย เพราะจากผาหมากดูกสามารถเดินเลียบผาไปหลังแป แล้วก็เดินลงจากภูได้ ส่วนสัมภาระนั้นเพื่อนเอาไปฝากกับลูกหาบเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนกินข้าวเช้าแล้ว
ส่งเพื่อนเสร็จ พวกเรา 5 คนก็กลับมาที่จุดกางเต๊นท์แล้วไปอาบน้ำ ซึ่งขนาดอาบกลางวันยังหนาวเจี๊ยก แต่ดีตรงที่ไม่มีคิวให้รอ จากนั้นก็มานั่งๆนอนๆกันที่เต๊นท์ พอบ่ายแก่หน่อยก็เดินไปผานกแอ่นกันเพราะไม่มีอะไรทำ ซึ่งที่จริงมันเป็นที่ที่หันไปทางทิศตะวันออก พอพระอาทิตย์เริ่มคล้อย ทางเดินก็เลยชักมืดลงทุกที และนอกจากพวกเราที่เหลือชายหนุ่มคนเดียวแล้วก็ไม่มีใครเดินมาทางนี้กันเลย พอถึงป้ายที่บอกทางแยกระหว่างระหว่างลานวัดพระแก้วกับผานกแอ่นก็เลยตกลงกันว่า ชักรูปแล้วรีบเปิดเห้อออ เพราะเส้นทางนี้มันเป็นทางที่สัตว์ป่าออกหากินด้วย เกิดป๊ะตัวอะไรที่ออกมาล่าเหยื่อตอนแดดผีตากผ้าอ้อมนี่อาจได้วิ่งป่าราบ (แต่คาดว่าต่อให้มีอะไรโผล่มาจริงๆก็คงแกล้งตายอยู่ตรงนั้นล่ะ เพราะขาวิ่งไม่ไหวแย้ว) ตอนเดินกลับไปจุดกางเต๊นท์นี่ ถึงไม่ได้วิ่งแต่ก็เกือบแล้วค่ะ เพราะจ้ำพรวดๆยังกับจะไปต้อนกระบือ -*- แล้วเราไม่รู้เป็นอะไร ได้ยินเสียงซิปกระเป๋าสะพายเสียดสีกันก็ดั๊นหูเฝื่อนว่ามีเสียงฝีเท้าตามหลังทั้งที่เรากับเพื่อนอีกคนเดินท้ายสุด เลยยิ่งจ้ำจนแทบหายใจรดต้นคอเพื่อนผู้ชายคนเดียวที่เหลือ แล้วมันตลกตรงที่ พอเรากับเพื่อนจ้ำ เพื่อนที่เดินนำมันก็จ้ำตามไปด้วยยังกับจะแข่งกัน พอออกมาพ้นเขตป่าแล้วเราถึงได้กล้าหันกลับไปมอง ซึ่งที่จริงมันก็ไม่มีอะไรตามมาหรอก แต่ จขบ. ดันหลอนเอง พอเล่าให้เพื่อนฟังเลยหัวเราะกันใหญ่ แต่ดีแล้วล่ะที่มันไม่มีอะไรตามมาน่ะ ไม่อย่างนั้น....บรื๋อส์ ไม่อยากคิด คืนสุดท้ายบนภูกระดึง ก็กินจิ้มจุ่มให้ความอบอุ่นกัน โชคดีว่าราคาอาหารบนนี้ถูกควบคุมโดยทางอุทยานฯ ราคาก็เลยไม่ต่างจากร้านข้างล่างภูนัก แต่เพราะวันนี้มีนักท่องเที่ยวลงจากภูไปเยอะ ร้านรวงต่างๆเลยค่อนข้างเงียบเหงา หลังจากมื้อเย็น (หรือมื้อค่ำ?) พวกเราก็เข้านอนโดยที่ชายหนุ่มที่เหลือหนึ่งเดียวก็ได้ครองเต๊นท์ชายคนเดียวไป แต่คืนสุดท้ายนี่มีกรุ๊ปนักศึกษาที่เพิ่งขึ้นมาถึงมานอนที่เต๊นท์ใกล้ๆ และน้องๆก็ค่อนข้างเฮฮาพาโวยเสียงดังกันจนดึกดื่นอยู่ แต่คงเพราะพวกเราเหนื่อยเกินจะใส่ใจแล้วก็เลยหลับกันแบบม้วนเดียวจบยันเช้า
เช้าวันที่ 8 ธค. ก็เดินกลับลงมาจากภูกัน ซึ่งจากที่เคยคิดว่าเดินเที่ยวผากับน้ำตกบนภูนั่นปวดขาแล้ว ขาเดินลงนี่สาหัสกว่าแบบเทียบกันไม่ได้เลย (แสดงให้เห็นว่าอ่อนซ้อมมั่กๆ) ขาลงนี่ใช้เวลาสั้นกว่าขาขึ้น ประมาณสามชั่วโมงก็ลงมาถึงข้างล่าง แต่แทบจะรู้สึกเหมือนขากับตัวหลุดจากกันไปแล้ว เพราะตอนเดินลงขามันต้องคอยยั้งกับพื้นตลอดเลยทำให้เข่าทำงานหนัก ดังนั้นถ้าใครบอกเราว่าขาลงง่ายกว่าขาขึ้น เราขอยกมือคัดค้านคนนึงล่ะค่ะ -*-p
จบจากทริปภูกระดึงแล้ว พวกเราห้าคนก็แบกกระเป๋าเป้ เก็บความทรงจำดีๆกับความเหนื่อยล้าไปโบกรถสองแถวเพื่อไปท่ารถที่ผานกเค้า แต่ไม่ใช่เพื่อต่อรถเข้ากรุงเทพฯนะคะ แต่เพราะต้องไปต่อรถไปเชียงคานต่อ เพราะเคยคุยกันไว้แต่แรกว่าไหนๆก็ได้มาถึงเลยแล้ว ก็เที่ยวให้เต็มที่ให้คุ้มเวลากันไปเลย แล้วเจอกันตอนต่อไปกับทริปเชียงคานค่า ^^
Create Date : 13 มกราคม 2553 | | |
Last Update : 15 มกราคม 2553 13:22:28 น. |
Counter : 578 Pageviews. |
| |
|
|
|