Group Blog
All Blog
|
◄ Chapter 19 : 19 ชั่วโมงกับการเดินทางบทสุดท้าย
![]() Chapter 19 : 19 ชั่วโมงกับการเดินทางบทสุดท้าย ![]() ** ก่อนเริ่มเรื่อง ขอชี้แจงไว้สำหรับคนที่ต้องการติดต่อ nakoze นะคะ ท่านที่ต้องการติดต่อเข้ามาพูดคุยเรื่องไปเวิร์ค สอบถามปัญหาชีวิต คิดไม่ตก ขอคำถามสัมภาษณ์นายจ้าง สัมภาษ์วีซ่าสำหรับเด็กWAT สามารถส่งอีเมล์เข้ามาคุยได้ที่ claz_zic@hotmail.com หรือแอดเฟสบุคมาที่ https://www.facebook.com/b.faii หรือหากอยาก Skype กันก็แอดมาได้ที่ iiscentz ทั้งนี้ถ้าส่งเมล์ก็ช่วยเขียนหัวเรื่องมาด้วยไม่งั้นมันไปอยู่ใน junk box ค่ะ ส่วนถ้าจะแอดเฟสและสไกป์ ช่วยส่งแมสเสจมาด้วย ไม่อย่างนั้นขออนุญาตไม่รับแอดค่ะ ท้ายที่สุดนี้ ไม่ต้องเกรงใจนะคะถ้าอยากเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน บอกไว้ให้เคลียตรงนี้เลยว่ายินดีมากๆที่มีน้องๆเพื่อนๆเข้ามาทักทาย ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งที่เขียนเมล์มาคุยกับ nakoze เรื่อง WAT ![]() ดังนั้นแล้ววางใจได้ว่า nakoze ตอบให้ทุกคำถามและทุกคนอย่างแน่นอนค่ะ ![]() จบจากเรื่องการมาของเด็กจีนในที่สุดก็ถึงวันที่ nakoze ต้องบอกลาอเมริกาเสียที Nakoze กับแฟนต้าตัดสินใจเดินทางกลับวันเดียวกัน แต่คนละสายการบิน วันนั้น nakoze ก็ตื่นนอนแต่เช้าเดินไปล่ำลาเพื่อนๆที่ร้านแมค บรรยากาศการจากลาช่างแสนเศร้ายิ่งนัก มีแต่คนบอกว่าไม่อยากให้กลับ (ฉันก็ยังไม่อยากกลับหรอกจ๊ะ) nakoze เดินไปกอดคนโน้นที ที่สำคัญคือได้ถ่ายรูปกะเจฟฟรี่กับหนุ่มฮอตอีกคนในร้าน ชื่ออะไรจำไม่ได้ละ แล้วคือแบบสองคนนี้ก็มาโอบไหล่แล้วถ่ายรุปด้วย …. เอ่อ..แค่นี้กรูพอใจละ ได้แต๊ะอั๋งเจฟฟรี่ ทำความฝันอันสูงสุดได้สำเร็จแล้ว 55+ พอเสร็จแล้วแดเนียลก็ออกมาบอกลาบอกว่าไปส่งที่สนามบินไม่ได้ น่าเสียดายจัง (หลังจากที่เมิงโกงเงินกรูไปเป็นหมื่นก็ไม่ต้องไปส่งแล้วล่ะ ลากันแค่นี้พอ nakozeคิดในใจ) เวลาประมาณบ่ายๆ พี่เบลล์ก็ขับรถมารับ nakoze กับแฟนต้าไปสนามบินที่เมือง Des Moines,IA เราล่ำลากันอย่างเศร้าศร้อย….ตลอดเวลาที่อยู่ที่อเมริกา พี่เบลล์เป็นทุกอย่างจริงๆ เป็นทั้งเพื่อน เป็นพี่สาว เป็นผู้ปกครอง อารมณ์นั้นคือแบบอยากจะร้องไห้ออกมา แต่พี่เบลล์ก็เข้มแข็งพอจะดันหลังให้เราสองคนเดินเข้าไปที่เกท พอมาถึงเกทก็รอบอร์ดดิ้งตามปกติ ด้วยความที่ไมได้จองที่นั่งมาล่วงหน้า nakozeกับแฟนต้าก็ถูกจับแยกกันไปนั่งคนละที่ ฮือๆ ยิ่งเศร้าเข้าไปใหญ่ คือใจกับปากมันคันมากอยากจะเม้าท์กัน แต่ที่นั่งมันไม่ติดกันนี่สิ ทรม๊าน ทรมาน ~ จนในที่สุดเวลาประมาณ 1 ทุ่ม nakozeกับแฟนต้าก็มาถึงสนามบิน Seattle, WA อย่างราบรื่น …. แฟนต้าเลือกที่จะบินกลับกับ EVA เพราะเราต่างคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ถ้ารู้จักกันมาก่อนเข้าโครงการบ้างก็คงจะได้เลือกไปสายการบินเดียวกัน ได้เที่ยวด้วยกันอีกซักรอบ Nakozeนั่งรำลึกอดีตความหลัง 3 เดือนที่ผ่านมาด้วยกันจนถึงประมาณตี 1 กว่า แฟนต้าก็ต้องเตรียมเดินไปขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย Nakoze เดินไปส่งแฟนต้าถึงจุดตรวจพาสปอร์ต เราโบกมือลากันอย่างใจหาย ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าเวลาแค่ 3 เดือน จะได้เพื่อนที่แสนจะรู้ใจเพิ่มมาอีกหนึ่งคน พอเพื่อนรักบินจากไป ตอนนี้ก็เหลือตัวคนเดียวแล้ว Nakoze เดินลงไปชั้นล่างของสนามบินเพื่อจะไปเช่ารถเข็น (สนามบินที่นี่ถ้าจะใช้รถเข็นขนกระเป๋าต้องเสียตังค์ค่ะ) แต่ว่าก็มีคุณป้าท่าทางใจดีที่แกคงใช้รถเข็นเสร็จพอดี เดินเอารถเข็นมาส่งให้ถึงมือ คุณป้าแกบอกว่าเอาไปใช้เลย จะได้ไม่ต้องเสียตังค์นะจ๊ะ แหม่โชคดีจริง โลกเรายังมีคนแบบนี้เหลืออยู่จริงๆสินะ พอได้รถเข็นแล้วเราก็เดินวนรอบสนามบินหาพื้นที่จับจองพักสายตาให้ค่ำคืนอันแสนยาวนานรีบๆผ่านไปเสียที ในที่สุดก็ได้ที่นั่งตรงข้ามกับกองทัพทหารอเมริกันที่นอนเรียงรายอยู่บนพื้น ที่เลือกตรงนี้เพราะคนพลุกพล่าน เลยคิดว่ามันคงปลอดภัย เหมือนนอนอยู่ท่ามกลางกองทัพอย่างไงอย่างงั้น 55+ Nakoze นั่งเอนหลังไปกับเก้าอี้ได้ไม่นานก็เกิดมโนสำนึกขึ้นได้ว่า ถ้านอนท่านี้อาจจะโดนมือดีเข็นกระเป๋าหนีไปได้ ว่าแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งแล้วก็เอาหัววางทับกระเป๋าเดินทาง สองมือก็โอบรอบกระเป๋าไว้อีกที (รักษายิ่งชีพค่ะพี่สาวฝากซื้อครีมเยอะ) ![]() ใครบอกว่านอนค้างสนามบินแปปเดียวก็เช้า nakoze จะเถียงว่าไม่จริงโว้ยยยยย ด้วยความที่เราไม่ได้นอนราบ แต่เป็นการนั่งหลับแล้วใจก็พะวงห่วงของ มันให้ทำให้ nakoze สะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกชั่วโมง หลังก็ปวด รู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด จนเวลาผ่านไปใกล้ฟ้าสาง nakoze ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้รู้สึกมึนๆ เบลอๆ ลองเอามือคลำๆตัวดูก็พบว่าเป็นไข้เลยจ้า คือแบบว่าคืนก่อนหน้าเดินทางก็พักผ่อนน้อย เพราะเด็กจีนเม่งอพยพกันมาพอดี กระเป๋าก็ต้องนั่งจัดจนดึก พื้นที่ก็ไม่ค่อยมีทำอะไรมันก็ขัดๆไปหมด ผลคือมันเลยเป็นไข้กลางอากาศ ยาที่พกมาจากไทยก็ยกให้พี่เบลล์ไปหมดแล้ว ร้านขายยาในสนามบินก็ไม่เปิดซักที นั่งสัปปะหงกรอจนประมาณ 7 โมงเช้า สนามบินก็เริ่มกลับมาคึกคัก Nakoze เดินโซซัดโซเซไปล้างหน้าแปรงฟันและเข้าห้องน้ำที่ผ่านไป3เดือน ประตูเม่งยังเป็นช่องอยู่เหมือนเดิม 55+ นึกว่าอากาศร้อนขึ้นประตูจะขยายได้อีกบ้างนิดหน่อยเสียอีก เสร็จแล้วก็เดินไปซื้อยาที่ร้านขายยาด้านล่าง ตอนนั้นใครเดินสวน nakoze ไปคงนึกว่าอีนี่อัพยามาแน่แท้ หน้าตาหล่อนกำลังไฮได้ที่เลย 55+ Nakoze นั่งภาวนาอยู่นาน เข็มนาฬิกาก็เหมือนจะแกล้งเดินช้ากว่าที่ควรจะเป็น (เพ้อเพราะพิษไข้ 55+) ในที่สุดประมาณ 9 โมงเช้า เคาเตอร์ของสายการบิน Asiana airlines ก็มาเปิดให้เช็คอิน Nakoze ก็พุ่งเข้าไปเช็คอินคนแรกๆ ดีใจจะเกือบจะกระโดดที่จะได้บินเสียที แต่ปรากฏว่าพนักงานเค้าแจ้งว่า เครื่องดีเลย์จะออกประมาณ 14.45 รู้สึกว่าสายการบินนี้จะดีเลย์ทุกไฟลท์เลยอ่ะตั้งแต่ที่ขึ้นมา วันที่ออกมาจากกรุงเทพมันก็ดีเลย์ ถึงวันกลับกรุงเทพก็ยังดีเลย์อีก ในที่สุดเวลา 14.20 nakoze ก็ได้เข้าไปนั่งในเครื่องบินเสียที หลังจากมาถึงสนามบินตั้งแต่ 1 ทุ่มเมื่อวาน รวมระยะเวลานั่งรอก็….19 ชั่วโมงเอ๊งงงง 14.50 เจ้านกเหล็กลำยักษ์ก็พุ่งทยานขึ้นฟ้า nakoze โบกมือลาอเมริกาอย่างช้าๆ ก่อนพึมพำเบาๆว่า “แล้วเจอกันใหม่ปีหน้านะ Work and Travel” ![]() จากอาการไข้จากสนามบินมันส่งผลให้ nakoze เพลียมากๆ ผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนเครื่องไต่ระดับเพดานบิน และเป็นการหลับที่ลึกและยาวนานที่สุดในชีวิต nakoze หลับยาวมาจนตอนกัปตันประกาศว่าเครื่องกำลังเข้าสู่เขตประเทศเกาหลี เฮือก!! ไอ้คนที่นั่งข้างๆมันคงคิดว่านังคนนี้มันตายไปแล้วหรือเปล่า เพราะตลอดทางมันไม่ลืมตา ไม่ลุกมากิน ไม่เข้าห้องน้ำ ไม่อะไรทั้งสิ้น 55+ พอถึงเกาหลีเสร็จ nakoze ก็เดินหน้ามึนๆไปเข้าช่อง ต.ม เพราะตั้งใจจะแวะมาเหมาสกินฟู้ดก่อนกลับไทย เราก็ไม่ได้กรอกช่องโรงแรมเพราะไม่ได้จองโรงแรมไว้ล่วงหน้า พอเดินเข้าไปถึง ต.ม ก็เห็นว่าช่องโรงแรมมันเว้นวางไว้ นางก็เงยหน้าที่ผ่านมีดหมอกรีดเปลือกตามาแล้ว ก่อนจะถามเสียงเบาว่าแล้วจะพักที่ไหน (สงสัย ต.ม เกาหลีไม่เคยเจอคนเที่ยวแบบไร้แผนการ 55+) Nakoze ก็เลยตอบนางไปว่า “เอ่อ ฉันยังไม่ได้จองที่พัก จะลงไปจองที่เคาเตอร์ด้านล่างนี่ล่ะ” ต.ม แกก็ โอ้ โอเคๆ แล้วก็ปั๊ม ปั่ป welcome to korea อ่าวเวนกำ คนอื่นเค้ามีหลักฐานกันสามหน้ากระดาษ กรูนี่โรงแรมไม่จองยังผ่านมาได้อีกเหลือเชื่อจริง ![]() สิ้นสุดการเดินทางสำหรับ Work and Travel 2010 แล้วนะคะ ติดตามชมเรื่องราวการผจญภัยในเมืองใหญ่ระดับโลกอย่าง New York City ของ nakoze ได้ในบล็อกถัดไปค่ะ Work and Travel 2011 (คลิกเพื่ออ่าน) ◄ Chapter 18 : การมาถึงของคนโปรดคนใหม่
Chapter18 : การมาถึงของคนโปรดคนใหม่ (ขอบคุณภาพจาก : //postmasculine.com/dealing-with-jealousy) ความเดิมตอนที่แล้ว… หลังจากที่นีน่า แทมและพิมพ์ได้เดินทางกลับไทยไปเรียบร้อยแล้ว ร้านแมคที่เคยรื่นเริงก็ดูเหงาลงไปถนัดตา แม้ว่าจะมีเรื่องไม่ลงรอยกันมากมาย แต่พอถึงวันที่รู้ว่าเค้าจะกลับแล้วมันก็อดใจหายไม่ได้ แต่มันก็เป็นวัฏจักรแบบนี้ล่ะชีวิตเด็กWATพอคนเก่าออกไป คนใหม่ก็เข้ามาแทนที่....
หลังจากที่กลุ่มเด็กไทยบางส่วนเดินทางออกนอกอเมริกาได้ประมาณ1วัน พี่เบลล์ก็ส่งข่าวว่าจะมีเด็กเวิร์คจากจีนมาทำงานแทน ซึ่งคาดว่าจะเดินทางมาถึงตามกำหนดเริ่มงานที่ใส่ไว้ใน DS2019 แต่แล้วเย็นวันหนึ่งขณะที่แฟนต้าnakozeและพี่ลูกเกดกำลังนั่งสับไพ่ในมืออย่างเมามัน พี่เบลล์ก็มาเคาะห้องหน้าตาตื่น แล้วเล่าให้ฟังว่า กลุ่มเด็กจีนมันเกิดความผิดพลาดอะไรก็ไม่รู้มันไม่ยอมโทรมาคอนเฟิร์มว่าจะมาถึงเมื่อไร ทางร้านก็เลยเข้าใจว่าจะมาถึงตามที่ระบุไว้ ซึ่งก็คืออีก2-3วันข้างหน้า แต่ปรากฏว่าพวกนางมาถึงกันคืนนี้ !!! และที่สำคัญกว่านั้นคือแดเนียลกำลังไปรับเค้าจากสนามบินตอนนี้!! ซ้ำร้ายกว่านั้นเด็กจีนไม่มีห้องนอน เพราะที่ร้านไม่รู้ว่ามันจะมา ที่โรงแรมก็ไม่มีห้องแล้ว เลยจะมาขอให้มาร่วมหอลงโลงเย๊ย!!ให้มาขอนอนเบียดๆกันด้วยสองสามคืน รอให้nakozeกับแฟนต้ากลับไทยก่อน แล้วถึงจะขยับขยายห้องอีกที ตอนนั้นคือไม่ค่อยมีใครพอใจกลุ่มสาวจีนเท่าไร.. แต่จะทำไงได้ ช่วยได้ก็คงต้องช่วยไป
ไม่ปล่อยให้หายใจหายคอได้นานหลังจากพี่เบลล์มาบอกข่าวเสร็จไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แดเนียลก็มาเคาะประตูห้องพร้อมกับเด็กเวิร์ค 3 สาวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ สภาพห้องตอนนั้นคือแบบว่าnakozeกับแฟนต้ากำลังรื้อของมาจัดเตรียมตัวกลับไทย ส่วนเด็กจีนที่มาใหม่ก็ขนกระเป๋ามากันคนละ2-3 ใบ ห้องตอนนั้นคือแบบแม่เมิงเอ้ยไม่มีทางให้กรูเดินเล๊ย มีแต่กระเป๋าสิบกว่าใบของพวกเราวางจนไม่มีที่ว่าง ถ้าเป็นไปได้มันคงเอามาวางบนหัวnakozeอีกซักหนึ่งใบ ว่าแล้วก็มาเม้าท์เรื่องเด็กจีนกันซะหน่อย เด็กจีนเซ็ตนี้มากัน3คน สองคนแรกนี่เหมือนซุปเปอร์โมเดลหลุดมาจากนิตยสาร หน้าคมนมโตกว่าจะออกจากห้องได้นี่ต้องโบกสารพัดครีม ไม่ว่าจะเป็นแป้งม้าควบ ครีมหอยลาย หรือลิปสติกตราเต่ากินผักบุ้ง นางก็สารพัดจะมีกัน ส่วนอีกคนก็อารมณ์เด็กจีนเนิร์ดๆปกติ และด้วยความที่ประเทศจีนมีนโยบายจำกัดจำนวนประชากร 1 ครอบครัวรัฐให้มีลูกได้แค่ 1 คน ดังนั้นแล้วเด็กที่มันเกิดมา1คน มันจะถูกรุมล้อมไปด้วย พ่อแม่ ปู่ย่าและตายาย คือขั้นต่ำก็ 6 รุม 1 อ่ะ (อย่าคิดลึกหมายถึงผู้ใหญ่ 6 คนดูแลเด็ก 1 คน) เนื่องจากมันเป็นหลานคนเดียวของครอบครัว ดังนั้นแล้วเวลาทำอะไรนางก็จะเซลฟ์จัดไปบ้างบางเวลา ประกอบกับที่เราเคยเห็นแต่ในหนังจีนพอนางเอกโดนจับหน้าอกหน่อยก็วี๊ดว๊าย เลยนึกว่าจีนก็คงเหมือนไทยที่ยังค่อนข้างปิดในเรื่องแบบนี้ คืนแรกผ่านไปnakozeได้เบาะลมจากพี่เบลล์ เอาไปปูไว้ข้างๆซิ้งค์ล้างจาน แบบมันเป็นสันดานไปแล้วที่ไม่ค่อยอยากนอนร่วมเตียงกับคนอื่นเท่าไร ก็เลยยกเตียงไปให้เด็กจีนเธอนอนแทน เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กจีนต้องไปรายงานตัวที่ร้านแล้วก็ไปรับมอบหมายเรื่องกะทำงาน พวกนางก็ลุกขึ้นมากันพรึบพรับถอดนั่นแก้นี่เหวี่ยงโน่น คือแบบแก้ผ้าต่อหน้า nakoze ผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่3 ที่ไม่ได้สนิทสนมกะพวกเมิงเล๊ย Nakoze ก็แบบ เฮ๊ย!! ตกใจไม่คิดว่าเค้าจะมาเปลี่ยนเสื้อผ้ากันโท่งๆแบบนี้ คืออยู่มา3เดือน ยังไม่เคยเห็นแก้มก้นพี่ลูกเกดกะแฟนต้าเลย แต่พวกนี้มาถึงกันคืนเดียวเห็นไปถึงไหนต่อไหนละ อร๊าย!! พูดถึงเรื่องจีนคงจะไม่พูดถึงเรื่องห้องน้ำก็คงไม่ได้ คืออันนี้ยืนยันเลยว่าคนจีนเม่งใช้ห้องน้ำกันได้ส้วมระเบิดมาก มีอยู่วันนึงหลังจากการมาถึงของเด็กจีน nakoze ก็เข้าไปอาบน้ำตามปกติ แต่ไอ้ที่ไม่ปกติคือมันมีกลิ่นฉี่ฉุนมาก ต้องเรียกแฟนต้าเข้ามาดมว่านี่จมูกตรูหาเรื่องคนเดียวหรือเปล่าวะเนี่ย มันเหม็นฉี่จนอดคิดไม่ได้ว่าเมิงฉี่ใส่ชักโครกหรือฉี่ใส่พรมวะเม่งโคดเหม็น นอกจากเรื่องห้องน้ำและเรื่องการกล้าแสดงออกแบบsexysexy ของหล่อนๆแล้ว พวกหล่อนยังซักอันเดอร์แวร์ผึ่งตากกันได้อย่างไม่เกรงใจสายตาประชาชน คือแบบเดินเข้ามาในห้องปุ๊ปจะเจออันเดอร์แวร์ของพวกหล่อนห้อยเป็นโมบายไว้ต้อนรับก่อนเลย แต่!! พวกหล่อนแบบว่าแซ่บมาก อะไรมาก คือเด็กไทยไปอยู่โน่นมา3เดือน ไม่มีเด็กฝรั่งมาติดซักคน แต่สาวจีนเธอมาได้ไม่ถึง2อาทิตย์ กลับได้แฟนฝรั่งควงเป็นตัวเป็นตน สร้างอนาคตลงหลักปักฐานร่วมกันเลยค๊า นี่มันหยามกันชัดๆ!!! แม้แต่เจฟฟรี่คนดีของnakozeก็เสร็จเรียบร้อยโรงเรียนจีนจากหนึ่งในพวกหล่อน นอกจากเรื่องของหนุ่มๆในร้านที่เสร็จพวกนางไปแล้ว แม้แต่เรื่องตำแหน่งงาน นางๆก็ล้ำหน้าเด็กไทยไปเยอะมาก พวกนางเข้ามาทำงานในตำแหน่งแคชเชียร์ทันทีที่มาถึง กรี๊ด!! กรูดักดานทำอยู่ในครัวตั้ง 3 เดือนเชียวนะ!! นอกจากนี้เด็กจีนก็กลายเป็นคนโปรดแดเนียลไปแล้ว เค้าพาไปเล่นเทนนิส พาไปเที่ยวชิคาโก้ โน่นนี่นั่นเต็มไปหมด ในขณะเด็กไทยอย่างเราๆอย่างดีก็ได้แค่กินข้าวดูหนัง เด็กไทยก็จะเอามาเม้าท์กันเป็นโจ๊กขำๆถึงชะตากรรมตัวเอง ฮือๆ โลกมันไม่ ยู้ด ติ ธรรรรม สำหรับบล็อกหน้าจะเป็นบทปิดท้าย Work and Travel ปี 2010 ของ nakoze แล้ว ขากลับใครว่าจะสบาย ลองมาฟังประสบการณ์ 19 ชั่วโมงในสนามบิน แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง วันนี้ลาไปก่อนค่าาา หลังจากที่น้องได้ทราบงานที่แน่นอนแล้ว ทำวีซ่าแล้ว จองตั๋วเครื่องบินแล้ว ก่อนวันเดินทางซัก 1 สัปดาห์ให้ส่งอีเมล์ไปหานายจ้างเพื่อคอนเฟิร์มวันเดินทาง โดยน้องควรจะบอกไฟลท์ วันและเวลาอย่างชัดเจน เพื่อที่นายจ้างจะได้ทราบก่อน รวมถึงต้องมีการตกลงเรื่องการเดินทางจากสนามบินเข้าที่พักให้เรียบร้อย รวมถึงเมื่อถึงสนามบินที่อเมริกาแล้ว ให้โทรไปคอนเฟิร์มเค้าอีกรอบว่ากำลังจะเข้าที่พัก จะให้เข้าไปรายงานตัววันไหน อย่างไรดี เพื่อความปลอดภัยของน้องๆเองค่ะ ◄ Chapter 17 : ดราม่าเด็กไทย..เมื่อเพื่อนสาวฉันโดนทำร้ายร่างกาย
![]() Chapter 17 : ดราม่าเด็กไทย..เมื่อเพื่อนสาวฉันโดนทำร้ายร่างกาย ![]() (ขอบคุณภาพจาก : //www.hark.com/collections/jxkgxmjkwx-slap) จากเหตุเงินของนีน่าหายจนเกิดรอยร้าวบางๆระหว่างนีนาและ nakoze แล้ว ใครจะคิดกันล่ะว่าไอ้รอยร้าวที่ว่ามันไม่ได้มีอยู่แค่รอยเดียว!! ย้อนความกลับไปเล่าถึงเพื่อนผู้ชายคนเดียวในกลุ่มนามว่าแทม แทมเป็นผู้ชายที่จัดได้ว่าดูดีแบบสาวไทยนิยม..ขาว ตี๋ มีงานอดิเรกหรู(ขออนุญาตไม่เอ่ยถึง) แต่สิ่งนึงที่แทมสอบตกชนิดที่เรียกว่าติด F ก็คือ แทมเป็นคนที่ปากไม่ดี พูดไม่ถนอมน้ำใจและไม่รู้จักกาลเทศะ จำได้ว่าวันแรกที่มาถึงอเมริกาแล้วพวกพี่ลูกเกด แฟนต้า นีน่าแทมแล้วก็พี่เบลล์ไปรอรับที่สนามบิน nakoze ก็สงสัยว่าพี่เบลล์รู้ได้ยังไงว่าคนที่เดินออกมานั้นจะใช่ nakoze เพราะเราไม่เคยเห็นหน้ากันเลย แทมก็ตอบสวนกลับมาด้วยความว่องไวว่า ก็ดูเอาจากหุ่นไง เห็นอ้วนๆอย่างนี้ใช่แน่นอน ผ่าง!!! เอ่า…ตายห่าละ พิจารณาตัวเองด่วนเลยกู T^T นอกจากเรื่องที่โดนกับตัวเองแล้วก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่รู้สึกว่าแทมเป็นผู้ชายปากปาปริก้ามาก(แปลว่าอะไรวะ?) แทมจะพูดแรงๆใส่คุณโดยไม่สนใจว่าเป็นหญิงหรือชาย ไม่เว้นแม่แต่ถ้าคุณเกิดป่วยเป็นมะเร็ง แทนที่จะให้กำลังใจ กลับกันแทมจะถามคุณว่าเป็นมะเร็งที่ไหน? เป็นมานานหรือยัง? ระยะไหนแล้ว? ด้วยความที่แทมเป็นคนปากแบบนี้ก็เลยทำให้เด็กไทยคนอื่นๆไม่ค่อยชอบใจแทมเท่าไรนัก สงครามเย็นระหว่างแทมกับคนอื่นๆเกิดขึ้นแบบเรื้อรังมานานโดยที่ ต่างคนต่างรู้ว่ากูไม่ชอบขี้หน้ามึงนะ แต่ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์รุนแรงอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่ง …… วันท้ายๆที่เด็กไทยทำงานที่แมคโดนัลก่อนจบโครงการ วันนั้นมีพี่เบลล์, nakoze, แฟนต้าและแทม ได้มาทำงานร่วมกันอย่างมิได้นัดหมาย(ได้ข่าวว่าตารางงานก็มี) เป็นเช้าวันที่ฝนตกพร่ำๆ บรรยากาศสลัวๆเป็นใจให้น่าหาเรื่องกระทืบคนยิ่งนัก Smiley ในครัวตอนนั้นมีแค่เด็กไทยที่อยู่ในครัว ส่วนพี่เบลล์เดินไปคุมหน้าที่อื่นในฐานะเมเนเจอร์ ซึ่งแน่นอนค่ะว่าวันนี้ สงครามเย็นมันเกิดขึ้นจนเห็นได้ชัดเจนเหมือนวันอื่นๆ nakoze ก็จะคุยแต่กับแฟนต้า แฟนต้าก็คุยแค่กับ nakoze ส่วนแทมก็เป็นเหมือนรัสเซียที่ไม่มีพันธมิตรใดๆ(เอ๊ะรัสเซียนี่มันไปเกี่ยวได้ยังไงนะ Smiley) จนกระทั่ง nakoze ได้ไปนั่งเบรกกินอาหารอย่างสบายใจเฉิบอยู่คนเดียวในห้องพักพนักงาน กัดแฮมเบอร์เกอร์สดใหม่ได้จากเตาไปไม่ถึง 3 คำ ก็เริ่มได้ยินเสียงคนตะโกนใส่กันแต่จับคำไม่ถูก รอฟังจนแน่ใจว่าไม่น่าใช่คนเล่นกัน แต่เหมือนตะโกนใส่กันมากกว่า nakoze ก็เลยละสายตาจากทีวีมาแคะหูรอเสือกเรื่องชาวบ้านแทน ตอนแรกเริ่มจับความได้รางๆแต่ไม่ใจว่ามันใช่ภาษาไทยไหม จนในที่สุดได้ยินเต็ม 2 รูหูเป็นภาษาบ้านเกิดดังก้องว่า “ ไอ้เหี้ย!! ” ต่อด้วยเสียงแฟนต้ากรี๊ด และตามมาด้วยเสียงหม้อ ไห ถาด กะละมังต่างๆตกกระทบพื้น nakoze ได้ยินเสียงพี่เบลล์เข้ามาร้องห้าม …. เอาแล้วไง จากสงครามเย็น คราวนี้มันเปลี่ยนมาเป็นสงครามโลกแล้วค่ะท่านผู้ชม สิ้นเสียงพี่เบลล์ไม่นาน แฟนต้าก็ถูกพามาที่ห้องพักพนักงาน nakoze อยู่ในสภาพที่กำลังถือแฮมเบอร์เกอร์เอาเข้าปาก (ผู้หญิงคนนี้ดูไม่ค่อยเดือดร้อนอะไรกับใครเลยเนอะ Smiley) แฟนต้าก็น้ำตาซึมก่อนจะปล่อยโฮออกมา จับเรื่องได้ว่าเมื่อกี๊ที่อยู่กัน 2 คนในครัว เค้าทะเลาะกัน ด่ากัน … จนที่สุดคือ “แทมต่อยหน้าแฟนต้า” ไอ้เราก็ตกใจเพราะไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้ถึงขั้นลงไม้ลงมือกับผู้หญิงแบบนี้ Smiley พอเกิดเรื่องได้ไม่ถึงนาที โฮเช่เมเนเจอร์ฝรั่งขวัญใจสาวไทยก็รีบวิ่งเข้ามาหาแฟนต้า โฮเช่ก็เลยให้แฟนต้ากลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อน แล้วมีการส่งท้ายบอกว่าเดี๋ยวฉันจะไปอัดไอ้แทมคืนให้เธอเอง …. แหม คนอะไร๊ หล๊อหล่อ >< วันต่อมาเข้าใจว่าเรื่องถูกส่งไปถึงหูแดเนียลผู้เป็น store manager แล้ว แดเนียลก็เลยให้แทม พี่เบลล์และnakoze ไปนั่งให้การต่อหน้าเค้า โชคดีของแฟนต้าว่าที่ในครัวติดกล้องวงจรปิดเอาไว้ทุกซอกทุกมุม ก็เลยได้ฉายซ้ำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นได้อย่างละเอียด …. แทมกล่าวอ้างว่า เขาทำไปเพราะแฟนต้าไปปัดหมวกบนหัวเขาหล่น เขาก็เลยป้องกันตัวด้วยการปัดมือแฟนต้า ….. แต่สิ่งที่ประจักษ์ใน CCTV ก็คือ แทมต่อยหน้าแฟนต้าก่อนจนแว่นตาหลุดกระเด็นตกพื้น ก่อนจะวิ่งไปต่อยซ้ำอีกรอบ จนกระทั่งพี่เบลล์วิ่งมาห้าม …. แดเนียลพูดออกมาคำนึงว่า “ เราไม่สนว่าใครจะผิดจะถูก แต่เธอเป็นผู้ชาย เธอไม่มีสิทธิจะทำร้ายร่างกายผู้หญิง เรื่องแบบนี้สังคมที่นี่รับไม่ได้” และในท้ายที่สุดผลการตัดสินจากศาลของท่านแดเนียลปุ้นจิ้น(เลียนแบบเปาปุ้นจิ้นมาชัดๆ) เราก็ได้ข้อสรุปว่า แทมถูกไล่ออก … แต่เคราะห์ยังดีที่สัญญาทำงานของแทมเหลืออยู่แค่ 2 วัน แดเนียลก็เลยให้แทมไม่ต้องมาทำงานอีกแล้ว พอครบกำหนดก็บินกลับไทยไปได้เลย หลังจากเหตุการณ์วันนั้นแฟนต้าก็ย้ายไปนอนที่บ้านพี่เบลล์เป็นเวลา 3 วัน 3คืน ด้วยจะรอให้แทมกลับไทยไปก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า โดยกลุ่มของนีน่า พิมพ์และแทมจะเดินทางกลับก่อนหน้าคนอื่นๆประมาณเกือบอาทิตย์นึง …. เหมือนเรื่องนี้จะเป็นดราม่าร้ายๆส่งท้ายชีวิตเด็กเวิร์ค แต่เรื่องราวการเดินทางกับโครงการ Work and Travel ของ nakoze ยังไม่จบแค่นี้นะคะ หลังจากเด็กไทยบางส่วนกลับไปแล้ว คราวนี้เราก็ได้ต้อนรับเพื่อนสาวชาวจีนมาแทนค่ะ พวกหล่อนจะสดใส ซาบซ่าส์ขนาดไหน ต้องรอชมตอนต่อไปค่ะ !! ![]() ◄ Chapter 16 : แก๊งค์ 4 สาว ตะลุยOmaha,NE
![]() Chapter 16 : แก๊งค์ 4 สาว ตะลุยOmaha,NE
มา work and travel ได้เวิร์คแบบเวรี่ เวรี่ ฮาร์ดแล้ว Nakoze ก็หวังว่าจะได้เที่ยวแบบเวรี่ ฮาร์ดด้วยเช่นกัน แต่หลังจากที่โดนไอ้แดเน่านายจ้างเฮงซวยโกงเงินไปแล้ว แผนการท่องเที่ยวบินไปโน่นไปนี่ขอ nakoze ก็ต้องจบลงอย่างน่าอนาถ อยากไปเที่ยวนิวยอร์คใจจะขาดก็ไม่ได้ไป ไอ้ครั้นจะนั่งรถแบบ greyhound ไปก็คงจะตูดตายด้านก่อนถึงที่หมายแน่ๆ
แต่ในที่สุดพี่เบลล์ผู้ใจดีดั่งนางฟ้านางสวรรค์มาโปรดก็ได้ถามว่าพวกเราอยากไปเที่ยวที่ไหนก่อนกลับไทยไหม ? พวกเราก็ตกลงกันว่าจะไปรัฐใกล้ๆที่สามารถขับรถไปได้ ซึ่งตอนนั้นก็มีอยู่ 3 ตัวเลือก 1. ชิคาโก้ เอ้อๆอยากไปๆ อะไรนะ? แพงหรอ ? โอเคพับโครงการโยนทิ้งไปได้เลย 2. Mall of America เฮ้ย จริงดิ่!! ไปๆ ไปช็อปกัน แต่เดี๋ยวนะพี่หนูขอเปิดกระเป๋าตังค์ดูก่อน ….. เอ่อพี่ หนูว่าเราไปที่อื่นกันแทนดีไหม 55+ 3. Omaha,NE เมืองอะไรวะพี่ไม่เห็นรู้จัก ใกล้ๆนี่เองหรอ ถูกด้วย ฮะ $100 ก็เอาอยู่ !! โอเคเลยพี่อันนี้ล่ะ และแล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเราเลือกไปลั๊นลา ก่อนกลับเมืองไทยที่ Omaha,NE หลังจากตัดสินใจได้เสร็จก็มานับหัวกันว่าใครจะไปบ้าง ซึ่งก็เป็นไปตามคาดคนที่ไปมีแค่ พี่เบลล์ , nakoze , แฟนต้าแล้วก็พี่ลูกเกด (เหมือนสนิทกันอยู่ 4 คนเลยนะว่าไหม T^T)
เช้าวันเดินทางเราเริ่มต้นด้วยแพนเค้กมื้ออร่อยจากร้านแมค (นี่ขนาด day off กูก็ยังมากินแมคอีกหร่อเนี่ย) พออิ่มอร่อยจากมื้อเช้าเรียบร้อยเราก็เริ่มออกเดินทางค่ะ นั่งสัปหงกไม่นานก็มาถึง Henry Doorly Zooจุดหมายแรกของเราแล้วค่า!! (เริ่มเหมือนมาทัศนศึกษากับโรงเรียนมัธยมขึ้นทุกวัน T^T) สวนสัตว์ Hery Doory นี่อลังการมากเลยค่ะ เดินกันจนเมื่อย จะว่าไป nakoze ก็คิดว่าสวนสัตว์ที่ไหนบนโลกนี้ก็เหมือนกันล่ะ จะต่างกันหน่อยก็อาจจะมีเพิ่มสัตว์ท้องถิ่นเข้ามา แต่ตัวบังคับต้องเจ้ากอลลิล่าเลยค่ะ เจอทุกที่ทั่วโลก แอร๊ย ฉาก love scene ลิงหรือเปล่านี่ นอกจากนี้ก็ยังเจอกับหมูป่าผัดเผ็ด เย้ย!! หมูป่าเฉยๆแบบยังไม่ได้แปรรูป มีใครรู้จัก Olivia Ann Davis ไหมนะ ? แล้วก็ถึงวันนรกแตกอีกรอบค่ะ เมื่อ 3 สาวที่เหลือเค้าตกลงจะนั่งกระเช้าข้ามไปอีกฟากของสวนสัตว์กัน งานเข้า nakoze เต็มๆเลยค่ะคราวนี้ เดินไปขึ้นกระเช้าขาสั้นพั่บ พั่บ พั่บ พออยู่บนกระเช้า nakoze ก็เอาแต่นั่งหลับตาสวดภาวนาทุกคาถาในใจ จนอีตาฝรั่งที่มันนั่งสวนทางมาจากอีกฝั่งนึงตะโกนแซวบอกว่า I จ้าง U 3 เหรียญ ให้นั่งกลับไป เอามั๊ย ฮือๆๆ ไอ้บ้าไม่กลัวความสูงบ้างก็ให้มันรู้ไป
ระหว่างทาง nakoze ก็แอบเหวี่ยงใส่แฟนต้าด้วย โทษฐานที่มันเอาแต่เรียกให้หันหน้าไปถ่ายรูป ฮือๆ ก็ฉันกลัวนี่หว่า พอข้ามฝั่งไปได้ก็ไปพบกับเจ้าพวกนี้ ![]() ![]() นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมากค่ะ เข้าไปใน aquarium แต่ด้วยที่กล้องไม่เทพพอ ข้างในมันมืดถ่ายมาไม่สวยก็เลยขอไม่เอาลงแล้วกัน
เสร็จจากการทัศนศึกษาที่สวนสัตว์ก็เป็นเวลาใกล้ค่ำพอดี พี่เบลล์ก็เลยพาไปเดินเล่นริมน้ำ ก่อนจะพาเข้าไปเดินเที่ยวในตัว downtown ของ Omaha ซึ่งก็ด้วยความที่เป็นตอนกลางคืนก็เลยแทบจะไม่มีอะไรให้ดูแล้วล่ะ ถ่ายรูปก็ไม่ค่อยชัดเพราะแสงน้อย พอเริ่มจะไม่มีอะไรทำกันแล้วพวกเราก็กลับไปพักผ่อนที่โรงแรม เตรียมความพร้อมชาร์จแบตกล้องสำหรับแผนการเที่ยววันถัดไป
2nd day เช้าวันถัดมาเราก็หาอะไรง่ายๆทานแถวๆโรงแรม ก่อนจะขับรถไปที่พิพิธภัณฑ์กัน (เห็นมั๊ยล่ะ ทริปทัศนศึกษาของแท้ 55+) พอไปถึงก็อ้าปากค้าง …. อ้าวพิพิธภัณฑ์เม่งปิด ลืมเช็คตารางมา พี่เบลล์ก็เลยพาไปสวนพฤกศสาสตร์แทน (จะรักธรรมชาติกันไปไหน) เดินชิวชมธรรมชาติเสร็จก็มาเจอกับเจ้าหัวจักรรถไฟเข้า คลาสสิคดีแท้ ~ พอออกมาจากสวนพฤกศสาสตร์ก็ขับรถมาแถวๆStadium อย่างที่รู้ๆกันว่าคนอเมริกันบ้ากีฬามากๆ สนามกีฬาใหญ่ๆเค้าก็จัดทำซะสวยงามน่าเข้า ต่างกับสนามกีฬาบ้านเราราวฟ้ากับ…..
ทริปนี้เป็นทริปสั้นๆที่ใช้เวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ใช้เงินไปทั้งหมดแค่ $100 เอง พอกลับมาถึงบ้านพิมพ์ แทมแล้วก็นีน่าก็เข้ามาขอดูรูป แล้วก็บ่นเสียดายที่ไม่ไปด้วย ถึงแม้มันจะไม่ใช่ทริปในฝัน แต่มันก็เป็นอีกทริปที่ nakoze มีความสุขล่ะน่า... |
nakoze
![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
Link |